Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ...ฤกษ์ยามที่ดี... (หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 25 มี.ค.2008, 2:12 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ฤกษ์ยามที่ดี
วันอาทิตย์ที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๐

Image

ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย

ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังธรรมะปาฐถา
อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว
ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี
เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา

วันอาทิตย์เป็นวันหยุดงานฝ่ายกาย
เราทั้งหลายก็มาทำงานฝ่ายจิตใจกัน คือมาศึกษาธรรมะ
อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนา
เพื่อจะได้นำไปเป็นหลักปฏิบัติในชีวิตประจำวันต่อไป
เพราะว่าชีวิตกับธรรมะจะต้องอยู่ด้วยกัน แยกออกจากกันไม่ได้
ถ้าแยกตัวชีวิตออกจากธรรมะเมื่อใด ก็เหมือนกับว่าเป็นคนไม่มีชีวิต
ชีวิตจะสมบูรณ์เรียบร้อยก็ต้องมีธรรมะประคับประคองจิตใจ เรียกว่า มีชีวิต
เพราะฉะนั้นจึงมีศาสนาว่า ถ้าท่านเข้าถึงพระผู้เป็นเจ้า ท่านก็จะมีชีวิต
คำว่าพระผู้เป็นเจ้าก็หมายถึงธรรมะนั่นเอง
ใครเข้าถึงธรรมะผู้นั้นก็เรียกว่า มีชีวิต
หรือที่พูดว่าเมื่อเข้าถึงธรรมะท่านได้ชีวิต

ชีวิตที่สมบูรณ์ก็ต้องมีธรรมะเป็นหลักประคับประคองใจตลอดเวลา
ทิ้งธรรมะเสียเมื่อใดชีวิตวุ่นวายเมื่อนั้น
อันนี้เราจะเห็นได้ง่ายๆ ว่า เวลาเรามีความวุ่นวายใจ
มีความทุกข์มีความเดือดร้อนใจนั้น
ก็เพราะขาดธรรมะเป็นหลักคุ้มครองใจ
เมื่อไม่มีธรรมะคุ้มครองใจ จิตใจวุ่นวาย
มีความเดือดเนื้อร้อนใจความเดือดเนื้อร้อนใจที่เกิดขึ้นนั้น
ก็เพราะว่าไม่เข้าถึงธรรมะ
เพราะฉะนั้นเมื่อเข้าถึงธรรมะความทุกข์หายไป
ความเดือดร้อนทั้งหลายก็คลายจางไป ชีวิตมันสมบูรณ์ขึ้น
เพราะฉะนั้นชีวิตกับธรรมะจึงสิ่งคู่กันแยกออกจากกันไม่ได้

เราทั้งหลายที่มีความเข้าใจในเรื่องนี้ จึงได้แสวงหาธรรมะเป็นหลักครองใจ
และก็ได้เห็นผลของธรรมะว่า
ให้ความคุ้มครองให้ความสุขแก่ชีวิตของเราอย่างไรบ้าง
ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันหลายประการ
ในแง่ต่างๆ เราแก้มันได้ด้วยอะไร
ถ้าที่ประพฤติธรรมก็แก้มันด้วยความรู้ความเข้าใจในธรรมะ
เอาธรรมะมาแก้ปัญหา ชีวิตก็ผ่อนคลายไป
พ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อน อันนั้นคือผลที่ปรากฏอยู่

ความไม่สบายใจนั้นก็เป็นโรคอย่างหนึ่งเหมือนๆ กับโรคทางร่างกาย
คนเราที่เป็นโรคทางกายต้องกินยาเพื่อรักษาโรคทางกาย ฉันใด
เมื่อมีโรคทางจิตใจขึ้นมา ก็ต้องใช้ยาแก้โรคทางใจ
ยาแก้โรคทางกายนั้นเป็นเรื่องทางวัตถุ
เพราะว่าร่างกายนี้เป็นวัตถุ เกิดขึ้นด้วยธาตุมีประการต่างๆ
การมีโรคทางกายก็เนื่องจากว่า อะไรบางอย่างขาดไป
ความต้านทานก็น้อยไป จึงเป็นเหตุให้เกิดโรคทางกายขึ้นมา
แต่ถ้าหากว่าเราไม่รู้เท่ารู้ทัน โรคนั้นก็จะกำเริบเสิบสาน
ทำให้เราต้องพ่ายแพ้แก่โรค ร่างกายถึงแก่ความแตกดับลงไปได้ ฉันใด
ในเรื่องทางจิตใจนี่ก็เหมือนกัน มันมีโรคทางใจเกิดขึ้นบ่อยๆ

โรคทางใจนั้นไม่เหมือนกับโรคทางกาย
คือโรคทางกายมันมีตัวเป็นเชื้อโรคประเภทต่างๆ
ที่เข้ามายึดเอาร่างกายเป็นเรือนของมัน เป็นที่เกิดเป็นที่อาศัย
แล้วก็ทำให้เราต้องพ่ายแพ้
คนใดที่ยังมีกายปกติ ก็หมายความว่า ความต้านทานทางร่างกายนั้นยังดีอยู่
เมื่อความต้านทางร่างกายยังสมบูรณ์พร้อม เราก็เอาชนะโรคได้
แต่ก็ไม่แน่นักว่าความต้านทานทางกายนี้จะดีหรือสมบูรณ์อยู่ตลอดไป
มันอาจจะเกิดความเพลี่ยงพล้ำขึ้นมาเมื่อใดก็ได้
เพราะฉะนั้นคนบางคนที่เรามองเห็นว่า มีร่างกายเป็นปกติเป็นน้ำเป็นนวล
ร่างกายแข็งแรง แต่ก็เกิดการเจ็บไข้ลงได้ทันที
แล้วบางอันนี้ แสดงว่ามันมีเชื้อโรคอย่างแรงเกิดขึ้นในร่างกาย
ทำให้ความต้านทานของร่างกายนั้นสู้ไม่ได้ ก็เลยต้องยอมแพ้มัน
กลายเป็นโรคประจำกายประจำตัวไป
และอาจจะถึงความแตกดับลงไปเมื่อใดก็ได้
เรื่องการเรียนรู้ในเรื่องโรคทางกาย
ก็เพื่อจะได้มีการป้องกันแก้ไข ในเมื่อโรคนั้นเกิดขึ้น
เราก็จะได้มีชีวิตเป็นปกติ ไม่วุ่นว่ายมากเกินไป ฉันใด

เรื่องของจิตใจเรานี้ก็เหมือนกัน เมื่อมีโรคทางใจเกิดขึ้น
ก็เพราะว่าเราพ่ายแพ้ต่อสิ่งที่ยั่วยุ คือ อารมณ์ประเภทต่างๆ
ที่เข้ามากระทบประสาททั้งห้า คือตา หู จมูก ลิ้น กาย หกรวมทั้งใจด้วย
อันนี้เป็นประตูแห่งโรคทางใจ เพราะว่ามีสิ่งภายนอกมากระทบ
เมื่อมีสิ่งภายนอกมากระทบเข้าแล้ว
เราไม่สามารถจะต่อสู้มันได้เราก็พ่ายแพ้แก่สิ่งนั้น
การพ่ายแพ้ก็หมายความว่า ตกเป็นทาสของสิ่งนั้น
เช่นเราตกเป็นทาสของ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส
อันเป็นเรื่องของวัตถุเหมือนกัน ที่เขาเรียกว่า มัวเมาในวัตถุ
หลงใหลอยู่ในสิ่งนั้น ไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น
จิตใจก็วุ่นวายมีปัญหาเกิดขึ้นบ่อยๆ อาจถึงกับเสียผู้เสียคนไปก็ได้

การสูญเสียทางร่างกายนั้น ไม่เป็นการสูญเสียเท่าใด
แต่การสูญเสียทางด้านจิตใจนั่นแหละ
เป็นความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ในชีวิตของเรา
เพราะคนเราถ้าใจมันมันเสียเสียแล้ว อะไรๆ ก็จะพลอยเสียไปหมด
แม้ร่างกายจะเป็นปกติ แต่ว่าจิตใจมันเสียกำลังไป
คนจะเป็นคนที่สมบูรณ์อยู่ได้อย่างไร
กำลังใจจะสูญเสียก็เพราะว่าปล่อยตัวปล่อยใจมากเกินไป
ในสิ่งต่างๆ ที่เป็นวัตถุอันเกิดขึ้นกระทบทางจิตใจ
เราไม่สามารถจะเอาสิ่งนั้นได้
ที่ไม่สามารถจะเอาชนะได้นั้น ก็เพราะว่าไม่มีสติไม่มีปัญญา
ตัวสติก็คือตัวธรรมะ ปัญญาก็คือตัวธรรมะ
เราไม่มีธรรมะคุ้มครองจิตใจ เราจึงได้พ่ายแพ้แก่สิ่งเหล่านั้น
แต่ถ้าเรามีสติรู้ทัน มีปัญญารู้เท่าต่อสิ่งนั้น
เราไม่พ่ายแพ้แก่อารมณ์สิ่งใดมากระทบ เราก็ปัดมันไป
ปัดทิ้งไปปัดทิ้งไป ไม่ยอมรับสิ่งนั้นไว้ ไม่ยอมรับโดยความไม่รู้ไม่เข้าใจ
แต่ว่าเราจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้น ด้วยความรู้ความเข้าใจ
เรียกว่าด้วยความรู้เท่าทัน ถ้าเรารู้เท่าทันต่ออารมณ์
อารมณ์ที่มากระทบก็เหมือนกับคลื่นที่มากระทบฝั่ง มันหายไป

คลื่นที่หายไปนั้นไม่ได้ทำฝั่งให้เสียหาย เช่นเราไปยืนอยู่ที่ชายทะเล
เราก็จะพบว่ามีคลื่นมากระทบฝั่งอยู่ตลอดเวลา
คลื่นที่กระทบฝั่งนั้นมันไม่ได้ทำฝั่งให้เสียหายอะไร
กระทบแล้วมันก็หายไปๆ เราจึงพูดว่า หายไปเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง
ที่มันหายไปแบบคลื่นกระทบฝั่งนั้น ไม่มีความเสียหายมากนัก
อารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นมากระทบจิตใจเรานี้ก็เหมือนกัน
ถ้าหากว่าเราไม่รู้เท่าทัน มันก็ทำให้เราเสียหาย
คือ ทำให้เกิดความรู้สึกรุนแรงในเรื่องนั้นๆ
ความรู้สึกรุนแรงมันเป็นไปทางรักก็ได้ ทางชังก็ได้
ทางหลงก็ได้หรือทางใดทางหนึ่งก็ได้ ถ้ารุนแรงแล้วมันก็วุ่นวายเดือดร้อน
แต่ถ้าเป็นไปแต่พอดีๆ ก็จะไม่เกิดความเสียหายมากเกินไป
อันนี้เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นแก่ใครเมื่อใดก็ได้
ถ้าหากว่าบุคคลนั้นขาดธรรมะเป็นเครื่องประคับประคองใจ
ก็จะเกิดปัญหาวุ่นวายกันด้วยประการต่างๆ

ทีนี้อีกประการหนึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นในใจของเรานั้น
มันไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้นดังที่กล่าว
แต่ว่ามันก่อให้สิ่งอะไรๆ ขึ้นต่อไปในใจของเรา
ที่เรียกว่าเป็นนิสัย นิสัยก็คือสิ่งที่เราสร้างมันขึ้นวันละเล็กละน้อย
สร้างมันขึ้นเรื่อยๆ เพิ่มมันขึ้นเรื่อยๆ ในจิตใจของเรา
สิ่งที่เราสร้างขึ้นเรื่อยๆ นั้นถ้าสร้างด้วยความหลง ความเข้าใจผิด
มันก็งอกงามมาเป็นความหลง ความเข้าใจผิด
ถ้าเราสร้างมันขึ้นด้วยปัญญามันก็งอกงามขึ้นเป็นปัญญา
ทำให้เกิดประโยชน์แก่ชีวิตของเรา
แต่ว่าส่วนมากมักจะสร้างมันขึ้นด้วยความหลง ความเข้าใจผิด
แล้วก็ไปยึดติดอยู่ในสิ่งเหล่านั้น จนกลายเป็นนิสัย
เพราะฉะนั้นคนเราจึงมีนิสัยไม่เหมือนกัน

ที่ไม่เหมือนกันนั้นก็เพราะว่าไม่มีธรรมะอยู่ในใจ
ถ้าจิตใจที่มีธรรมะแล้วมันเหมือนกันหมด
ไม่มีความแตกต่างกัน เพราะธรรมะเข้าไปปรุงแต่ง
พอธรรมะเข้าไปปรุงแต่งใจของใคร
ใจนั้นก็มีสภาพปกติ จิตที่ปกตินั้นคือจิตที่ไม่กระทบด้วยอะไรๆ
มันเป็นจิตที่สะอาดอยู่เพราะไม่มีสิ่งเศร้าหมองเข้ามารบกวน
เป็นจิตที่สว่างเพราะรู้แจ้งในสิ่งทั้งหลายตามสภาพที่เป็นจริง
แล้วก็เป็นจิตที่สงบเพราะอะไรๆ มารบกวนไม่ได้
มันไม่กระเพื่อมขึ้นกระเพื่อมลง ไม่มีการเปลี่ยนเป็นนั้นเป็นนี้ไปตามรูปต่างๆ
สภาพจิตใจก็เป็นตัวเอง เรียกว่า สะอาด สว่าง สงบ
ความสะอาดสว่างสงบนั่นแหละ เป็นหน้าตาดั้งเดิมของตัวเรา ของจิตใจของเรา

แต่ว่าคนเรามักจะเข้าใจผิด คิดว่าสิ่งที่มาปรุงแต่งนั้นมันเป็นตัวเรา
เป็นเรื่องของเราขึ้นมา เช่นมีความโกรธประจำเป็นนิสัย
ก็นึกว่าตัวริษยานั้นเป็นของตน ไปยึดเอาสิ่งเหล่านี้เข้ามาไว้ในใจ
ก็ทำใจให้มันวุ่นวายไปด้วยประการต่างๆ
สร้างปัญหาคือความทุกข์ ความเดือดร้อนให้เกิดขึ้นในใจ เ
พราะหลงผิดไปตู่เอาสิ่งเหล่านั้นว่าเป็นตัวเรา
ความจริงนั้นไม่ใช่ มันเป็นแต่เพียงมายา
เครื่องปรุงแต่งที่ทำให้เราเปลี่ยนโฉมหน้าไปในรูปต่างๆ
อย่างนั้นอย่างนี้ด้วยประการต่างๆ เท่านั้น
เพราะฉะนั้นอย่าได้ไปยึดเอาสิ่งเหล่านั้นว่าเป็นตัวเราของเราเป็นอันขาด
แต่ให้รู้ว่านั่นไม่ใช่เรา นั่นไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา มันเป็นแต่เพียงภาพมายา
ที่มาหลอกเราให้หลงให้เพลิดเพลินไปชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น
ถ้าเรารู้เท่าทันอย่างนี้ เราก็จะไม่เสริมสร้างความคิดนึกตรึกตรองของเราในทางเสีย
นิสัยที่ไม่ดีจะไม่เกิดขึ้นในใจ แต่มันจะเป็นตัวเดิมอยู่ตลอดเวลา
เรียกว่า เป็นตัวเองโดยสมมติ

ที่เราพูดกันว่า เรามันต้องเป็นตัวเองบ้าง
แต่ว่าจะเป็นตัวเองในทางเสีย ไม่ได้เป็นตัวเองในทางที่ถูกต้อง
คือไม่เป็นตัวเองแท้ๆ ไม่เป็นตัวเดิมแท้ๆ แต่มันเป็นตัวอื่นที่ปลอมเข้ามาเป็นตัวเอง
แล้วก็เป็นเหตุให้เกิดปัญหาวุ่นวายขึ้นในจิตใจด้วยประการต่างๆ
นี่ก็เพราะว่าไม่มีเกราะป้องกันตัว
ธรรมะเป็นเหมือนเกราะป้องกันภัยอันตราย
ไม่ให้เกิดขึ้นกระทบกระเทือนต่อจิตใจของเรา
ทำให้สภาพจิตใจของเราสงบสบาย
ญาติโยมทั้งหลายลองคิดดูง่ายๆ ว่าเรานี้ต้องการความสงบหรือไม่
ต้องการความสบายทางจิตใจหรือไม่
ถ้าถามอย่างนี้ทุกคนก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าเราต้องการ
แต่ว่าความต้องการนั้นมันถูกหรือผิด มันตรงต่อสภาพที่แท้หรือเปล่า
อาจจะเป็นความต้องการที่ผิดไปก็ได้
เช่นความสุข เราอาจจะเข้าใจความสุขไม่ตรงตามความเป็นจริง

ความสบายก็เหมือนกัน เราอาจจะไม่เข้าใจตามความเป็นจริง
เราอาจจะเข้าใจความสุขในทางที่ต้องการอะไรก็ได้ดังใจ เข้าใจไปอย่างนั้น
ต้องการจะกินอะไรก็ได้กินดังใจ ต้องการจะทำอะไรก็ทำได้ดังใจ
ต้องการจะไปไหนก็ไปตามที่ใจต้องการ เราอาจจะนึกว่า
นั่นแหละเป็นความสุขของเรา ความจริงนั้นมันไม่ใช่เป็นความสุข
เพราะว่าสิ่งที่เราได้ตามความต้องการนั้น
มันไม่เป็นปัจจัยที่จะให้เกิดความสุขได้เสมอไป
เพราะอะไร ก็เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นมันมีการเปลี่ยนแปลง
มันไม่คงทนอยู่ในรูปอย่างนั้นเสมอไป
เรามีสิ่งใดสิ่งหนึ่งในชีวิตของเรา เช่นเราได้อะไรบางอย่าง
สิ่งที่เราได้นั้นมันจะอยู่กับเราตบอดไปหรือไม่
ลองคิดดูว่าชีวิตของเราตั้งแต่หนุ่มมาจนถึงบัดนี้ เราได้อะไรมาบ้างแล้ว
แล้วสิ่งเหล่านั้นมันยังอยู่ไหม หรือว่ามันหายไปแล้ว
แล้วเราก็ได้อะไรมาอีก แล้วมันก็หายไปอีก
ตั้งแต่เกิดจนบัดนี้เราสวมเสื้อผ้ากี่ชุดแล้ว ใช้นาฬิกากี่เรือนแล้ว แหวนกี่วงแล้ว
อะไรๆ กี่อย่างแล้ว แม้บ้านที่เราอยู่อาศัยบางทีก็เปลี่ยนหลายหนแล้ว
บางทีก็รื้อแล้วก็สร้างใหม่อีกแล้ว
นี่แสดงว่า มันไม่ได้คงทนถาวรอยู่ในรูปนั้นตลอดไป
แต่ว่ามีการเปลี่ยนสภาพอยู่ตลอดเวลา
ก็สิ่งใดที่มันมีการเปลี่ยนแปลงอยู่อย่างนั้น
มันเป็นสิ่งที่เรียกว่าไหลอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา
ควรหรือที่เราจะไปจับเอาตอนใดตอนหนึ่ง ว่าเป็นตัวแท้เป็นของเราขึ้นมา
ทางที่ถูกก็ไม่ควรไปจับไปฉวยเอาอย่างนั้น

แต่เราควรจะได้มองมันให้เห็นชัดตามสภาพที่มันเป็นอยู่จริงๆ
คือมองให้เห็นว่ามันเป็นแต่เพียงกระแสที่ไหลอยู่ตลอดเวลา
เหมือนกับกระแสน้ำมันไหลไปเรื่อยๆ มันไม่มีหยุดยั้ง
ถ้าเราไปนั่งอยู่ที่ริมคลองริมเหมืองในหน้าฝน จะเห็นว่าน้ำมันไหลเชี่ยวเป็นเกลียวไป
ไม่เคยไหลกลับมา นั่นคือสภาพความจริงของสิ่งทั้งหบลายมันเหมือนกันหมด
ร่างกายของเรา เครื่องใช้ไม้สอย อะไรๆ ต่างๆ ที่อยู่รอบๆ ตัวเรานั้น
มันไม่มีหยุดนิ่งเลยสักอย่างเดียว หยุดนิ่งเมื่อใดมันก็ดับเมื่อนั้น
เพราะการหยุดนิ่ง คือการตายของวัตถุ

วัตถุในหยุดนิ่งมันก็ตายแต่ถ้ายังมีการเปลี่ยนไหลเวียนอยู่แล้วมันก็ยังไม่ตาย
มันยังมีชีวิตอยู่ต่อไป ที่เรียกว่ามีชีวิตก็คือการไหลวนนั่นเอง
ความไหลวนนั้นมันเป็นเรื่องของความเปลี่ยนแปลง เราจะไปจับมันได้หรือ
ล้อรถที่กำลังหมุนใครจะไปจับมันได้ ลมที่กำลังพักแรงใครจะไปจับมันได้
ใบพัดที่กำลังหมุนเครื่องจักรนั้น ใครจะไปจับมันได้ ขืนจับมันก็ตีมือขาดไปเท่านั้นเอง

เครื่องยนต์กลไกที่กำลังหมุนนั้นอย่าเที่ยวไปแตะเทียว
ขืนไปแตะเข้าจะตายจะวุ่นวายจะเดือดร้อน
อันนี้มันก็เป็นบทเรียนสอนเราอยู่ในตัวว่า
อย่าไปจับอะไรเข้าเพราะมันไม่ยอมหยุดกับเรา
แต่มันจะต้องเปลี่ยนของมันไปตามธรรมชาติ
เราจึงควรจะมองในแง่ว่า มันเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา
เราจะไปจับฉวยเอาได้หรือ เราจะไปยึดถือเอาสิ่งนั้นว่าเป็นของเราได้หรือ
เราเพียงแต่นึกได้ว่าเรามีสิ่งนั้น สิ่งนี้มันอยู่กับเราในวันนี้
แต่วันต่อไปไม่แน่ว่ามันจะอยู่กับเราหรือไม่
มันจะดีอยู่อย่างนี้หรือไม่ หรือมันจะเปลี่ยนไปในรูปใดอีกเราก็ไม่รู้

เพราะไม่มีอะไรเป็นเครื่องหมายบอกว่าจะเป็นอะไรเมื่อใด
เรารู้ได้แต่เพียงประการเดียวว่ามันไม่เที่ยงไม่แท้
มีการแปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาเท่านั้นเอง
อันนี้คือสภาพความจริงของชีวิต เรื่องอื่นๆ ก็เหมือนกัน
ไม่ใช่เพียงแต่เรื่องวัตถุที่เรามองเห็น
แม้สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเรา จะไปยึดถือมั่นว่า
จะต้องเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ก็ไม่ได้
ใครไปยึดมั่นถือมั่นก็เป็นทุกข์ ที่พระท่านบอกว่าอุปาทาน
การเข้าไปยึดมั่นในเรื่องใดก็ตาม ย่อมเป็นทุกข์เพราะเรื่องนั้น
คนเราเป็นทุกข์เพราะอุปาทาน
อุปาทานหมายความว่าการไปยึดถือไว้ด้วยความเข้าใจผิด
อย่างนั้นมันก็เป็นความทุกข์ความร้อนใจ
เช่นในลัทธิต่างๆ ในแง่เศรษฐกิจการเมืองอะไรๆ ก็ตาม
ถ้าใครไปหลงใหลมัวเมายึดถือเข้า มันก็วุ่นวาย
เขาเรียกว่ามันรุนแรงไปเป็นคนที่เรียกว่ามีความคิดรุนแรง หัวรุนแรง

ความรุนแรงของความคิดก็เกิดจากความยึดมั่นมากเกินไปในเรื่องนั้น
ถือว่าอันนี้แหละถูกอันอื่นไม่ถูก การคิดอย่างนี้มันชักจะมากไป
แล้วก็ทำให้เกิดความขัดแย้งกันระหว่างบุคคลอื่นๆ
พระพุทธเจ้าสอนเราอย่างไรในเรื่องนี้ พระองค์บอกว่า ตถาคตรู้ทุกอย่าง
แต่ตถาคตไม่ได้ติดอยู่ในความรู้นั้น อันนี้เป็นคำพูดที่สำคัญ
ตถาคตมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องอะไรทุกอย่าง
แต่ตถาคตไม่ได้ติดอยู่ในความรู้นั้น
นั่นแหละเป็นหลักที่ช่วยให้เรามีความสุขทางใจ
คือไม่ติดมั่นอยู่ในสิ่งนั้น เราเพียงแต่เอาสิ่งนั้นมาใช้
ใช้ให้มันเกิดประโยชน์ในทางพ้นทุกข์ ไม่ได้ใช้ให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนใจ
เรามีอะไรเราใช้อะไรก็ตาม ถ้าเรามีเราใช้สิ่งนั้นจนเป็นทุกข์แล้วก็โง่ละ

เรามันโง่ไปแล้วมีอวิชาคือความหลงเข้าไปครอบงำจิตใจแล้ว
จึงได้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนใจ อันนี้ขอให้ญาติโยมจำไว้ให้ดี
ว่าในขณะใดที่เรามีอะไรเราเป็นอะไร แล้วเราเป็นทุกข์มันก็ผิดละ แปลว่า
เรามีสิ่งนั้นผิดแล้วจึงได้เกิดความทุกข์เราเป็นสิ่งนั้นผิดแล้ว จึงได้เกิดความทุกข์
เราคิดผิดแล้วจึงได้เกิดความทุกข์ขึ้นมา
มนุษย์เราไม่ควรจะให้เป็นทุกข์ ไม่ควรจะเป็นให้เป็นทุกข์
ไม่ควรคิดในเรื่องอะไรๆ จนมีความทุกข์ มีความเดือดร้อนใจ
เพราะการมีการเป็นในรูปอย่างนั้น เป็นความเขลาแบบหนึ่ง
มันสร้างความวุ่นวายใจสร้างปัญหาขึ้นในชีวิต

ผู้มีปัญญาฉลาดในเหตุผลนั้น จะไม่มีอะไร
ไม่เป็นอะไรที่ให้เกิดทุกข์เกิดร้อนขึ้นมาในจิตใจ
แต่ว่าจะมีมันด้วยปัญญาจะเป็นมันด้วยปัญญา แล้วก็ไม่เป็นทุกข์ทางใจ
เพราะฉะนั้นเครื่องวัดความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันของเรานั้น
มันอยู่ที่ว่ามีเป็นหรือว่าเป็นเป็นเช่นนั้นเอง
ถ้ามีเป็นแล้วก็ไม่กลุ้มใจ ถ้ามีไม่เป็นแล้วก็กลุ้มใจ เป็นไม่เป็นก็กลุ้มใจ
ถ้าเป็นเป็นแล้วก็ไม่ต้องกลุ้มใจ ไม่ต้องมีความทุกข์ความเดือดร้อนใจ
อันนี้มันเป็นหลักสำคัญ เราอาจจะทำไม่ได้ในตอนแรกๆ
เพราะว่าปัญญามันยังไม่พอสติมันยังไม่ดี เราก็ค่อยคิดไปปลงไป
นึกไปในทางที่ถูกที่ชอบเรื่อยๆ ไป จิตใจมันค่อยอิสระเสรีขึ้น
ค่อยมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนั้นถูกต้องขึ้น
ทีนี้เมื่อใดจิตใจเรามีเสรีมีความคิดถูกต้อง เราก็เบาใจโปร่งใจ
พอเรารู้สึกว่าเบาใจโปร่งใจในสิ่งทั้งหลายทั้งปวง
ในสิ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตของเราแล้ว
เมื่อนั้นแหละเราได้เข้าถึงธรรมะ เรียกว่าเข้าถึงแก่นของธรรมะ
ที่จะช่วยให้เรามีจิตใจสงบ มีความสุขในชีวิตประจำวัน แก่นมันอยู่ที่ตรงนี้

เพราะฉะนั้นญาติโยมต้องเอาคำนี้ไปไว้คอยเตือนตัวเองเสมอ
ว่าเราเข้าไปเกี่ยวข้องกับอะไรก็ตาม อย่าเข้าไปเกี่ยวข้องในรูปที่มันเป็นพิษแก่เรา
อย่าให้มันเป็นพิษแก่เรา แต่เราจะเข้าไปเกี่ยวข้องในรูปที่มันจะไม่เป็นพิษไม่เป็นภัย
มันจะต้องจะทำให้เราเดือดเนื้อร้อนใจอะไรๆ ก็ตาม
ตามปกติมันก็อยู่ตามเรื่องของมัน แต่ว่าใจของเราที่เข้าไปเกี่ยวขอ้งกับมันนั่นแหละ
ทำให้เราเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ เหมือนคำพูดที่เขาพูดว่า
สิ่งทั้งหลายมันไม่ดีไม่ชั่ว แต่ว่ามันดีชั่วที่ใจของเราเข้าไปเกี่ยวข้องต่างหาก
เราเข้าไปเกี่ยวข้องกับมันในรูปใด มันก็ดีไปอย่างนั้นบ้าง ชั่วไปอย่างนั้นบ้าง
ตัวอย่างที่เห็นง่ายๆ เช่นวันคืนเดือนปี อันนี้มันไม่ดีไม่ชั่วอะไร
ที่เราไปเชื่อหมอดูเขาว่าวันนั้นดีวันนั้นชั่ว นั่นมันดีชั่วตามแบบหมอเขา
ไม่ใช่ตามแบบธรรมะของพระพุทธเจ้า ถ้าพูดตามแบบธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้ว
สิ่งทั้งหลายมันไม่ดีไม่ชั่ว วันคืนมันไม่ดีไม่ชั่ว ไม่มีวันดีไม่มีวันร้าย
มันมีแต่วันคืนธรรมดาที่เปลี่ยนไปตามจักรราศี

วันคืนที่หมุนไปตามจักรราศีนี้มันก็มีเพียงสองอย่างเท่านั้น
คือกลางวันกับกลางคืน กลางวันเพราะมีแสงอาทิตย์ กลางคืนเพราะไม่มีแสงอาทิตย์
เราจึงมีกลางวันกลางคืน กลางวันกลางคืนนี้มันมีอยู่ตลอดเวลา
มันลำบากแก่การที่จะพูดจากัน จึงต้องตั้งชื่อให้มันหน่อย
ตั้งชื่อว่าเป็นวันอาทิตย์ จันทร์ อังคาร ฯลฯ เอาชื่อเข้ามาตั้งไว้เพื่อจะให้เรียกขานกันง่าย
หลายวันก็เป็นสัปดาห์ หลายสัปดาห์ก็เป็นหนึ่งเดือน
เดือนนี้ก็นับตามการโคจรของจันทร์ ข้างขึ้นข้างแรมเรานับกันไปอย่างนั้น

วันนี้นับตามโคจรของดวงอาทิตย์ วันที่หนึ่ง สอง สาม สี่ ฯลฯ ไปจนครบเดือนหนึ่ง
เดือนมันก็มีหลายเดือนก็ต้องตั้งชื่อให้มันหน่อย ไม่มีชื่อก็เรียกกันยาก
ไม่รู้ว่าเดือนไหน วันมันมีแล้ว แต่เดือนมันไม่มีชื่อก็ลำบาก
ครบสิบสองเดือนก็สมมติว่าเป็นปีหนึ่ง แล้วมันก็มีหลายปีหลายรอบ
สิบสองเดือนหลายครั้งก็มาตั้งชื่อให้เขาหน่อย ปีชวด ฉลู ขาล ฯลฯ
ว่ากันไปตามเรื่อง เพื่อจะให้มันง่ายแก่การนับ
ไม่ใช่เรื่องอะไร เรื่องสะดวกแก่การนัดหมาย
การจดบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ ว่าได้เกิดขึ้นวันที่เท่านั้นเดือนนั้น ปีนั้น
แล้วปีนั้นเขาก็เอาศักราชไปใส่เข้า ศักราชนั้นเอาตามศาสนา เช่นเราเอา พ.ศ.
ก็นับตั้งแต่วันพระพุทธเจ้าปรินิพพานมา ค.ศ. หรือตามศักราชอะไร
ตามศาสนาของใคร ก็เอามาเป็นเครื่องนัดหมายกันไว้ มันมีเท่านี้

ทีนี้พวกหมอดูเขาเอาไปว่า อันนี้มันดีอันนี้มันไม่ดีขึ้นมา วันนั้นดีวันนั้นไม่ดี
อันนี้ไม่เป็นตามหลักศาสนา ไปเที่ยวใส่วันดีวันร้ายเข้า
ความจริงมันไม่ดีไม่ร้าย แต่ว่าดีร้ายมันอยู่ที่ตรงใหนมันอยู่ที่การคิดของเรา
อยู่ที่การคิดการพูดการกระทำของเรา
ถ้าเราคิดดีพูดดีทำดี วันมันก็พลอยดีไปกับเรา
เราคิดชั่วพูดชั่วทำชั่ว วันเวลามันก็พลอยชั่วไปกับเรา
ลำพังวันเวลานั้นไม่ดีไม่ชั่ว แต่ว่ามันดีชั่วเพราะเราทำ

เช่นในชั่วโมงนี้ ญาติโยมมานั่งฟังปาฐกถาธรรม
เวลานี้ดีสำหรับพวกเราที่อยู่ที่นี้
แต่ว่าชั่วโมงนี้มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งไปโห่ไก่สองตัวกำลังตีกันอยู่
เวลานั้นมันก็ไม่ดีสำหรับพวกนั้น
เพราะมันไปเล่นการพนันหรือว่าไปล้อมวงโจ้ไพ่กันอยู่ หรือว่าไปกินเหล้ากันอยู่
หรือว่าไปทำสิ่งเหลวใหลกันอยู่ หรือบางที่อาจจะตีตั๋วเข้าสนามม้าอยู่เวลานี้
วันของคนพวกนั้นมันก็แย่เต็มที มันไม่ดีเพราะไปเล่นการพนัน
ไปเหลวใหลไปประพฤติชั่ว วันก็พลอยชั่วไปกับคนนั้น นี่มันเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้นลำพังวันเวลานั้นมันไม่ได้ดีไม่ได้เสียอะไร
แต่ว่าเรามันไปยึดสิ่งที่เรียกว่าวิชาหมอดู
มากไปหน่อย แล้วเขาก็ทายไว้อย่างนั้นอย่างนี้
หมอดูบางทีก็เป็นพระนี่แหละ แต่ว่าทายเวลาไม่เข้าเรื่อง
ไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวอะไร เผลอบ่อยๆ ทำเลอะบ่อยๆ
เมื่อวานนี้เขานิมนต์ไปงานแต่งงาน
บอกว่าแต่งงานกรุงเทพฯ เขาแต่งกันเช้าๆ
ทั้งนั้น มันสะดวกรถราไม่ติด เจ้าบ่าวออกจากบ้านมาก็สะดวกดี
ไม่เอาอย่างนั้น ไปเอาเพลโน้น
พระให้ฤกษ์รดน้ำเจ้าบ่าวเจ้าสาวสิบเอ็ดโมงสี่สิบนาที
เวลาฉันอาหาร เจ้าภาพก็ดูนาฬิกาอยู่บ่อย
กลัวพระจะฉันเลยเวลาไป แล้วมันจะพ้นฤกษ์ไป

แต่ว่าพระก็ไม่ได้ฉันเลยเวลา เพราะว่าพระฉันไม่นานหรอก
สิบห้านาทีก็ฉันเสร็จแล้ว พอฉันเสร็จแล้วก็ทำเรื่องอื่นไปต่อ
เทศน์ให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวฟัง
พอเทศน์เสร็จก็ไม่ได้ดูว่าสิบเอ็ดสี่สิบหรือเปล่า พรมน้ำมนต์เลย
พรมเสร็จก็เรียกว่ามันยังไม่ถึงเวลา แต่ว่าก็พรมเรียบร้อยแล้วเลยบอกให้รู้ด้วยว่า
มันไม่ดีที่เวลามันดีที่เธอทั้งสองทำดี
ถ้าอยู่ด้วยกันด้วยความรักต่อกันมีคุณธรรมประจำจิตใจ มันก็อยู่กันเรียบร้อย
แต่ถ้าแต่งกันฤกษ์ดีแต่ถ้าไม่รักกันมันก็อยู่กันไม่ได้
หรือว่าจิตใจไม่ได้ปรับปรุงในทางธรรมะ ไม่มีความเชื่อ ไม่มีศีล ไม่มีปัญญา
ไม่มีความเสียสละต่อกัน มันก็อยู่กันไม่ได้ พูดให้เข้าใจเรื่องอย่างนั้น
แล้วก็พรมน้ำให้ไปตามเรื่องตามราว

ความจริงน้ำมนต์ ไม่ได้ทำคนให้ดีเด่นอะไรขึ้นมาหรอก
แต่ว่าเขาพรมกันตามธรรมเนียมเท่านั้นเอง
ก็อธิบายให้เขาเข้าใจว่า น้ำนี้พรมแล้วไม่ใช่ว่าเธอจะดีขึ้น
ไม่ใช่มันไม่ดีอะไรแต่ว่าพรมกันตามธรรมเนียมเท่านั้นเอง
ที่ดีนั้นมันอยู่ที่เธอทำดี ชั่วก็อยู่ที่ทำชั่ว
แล้วสิ่งที่ประเสริฐก็คือธรรมะที่ให้ อันนี้วิเศษดีกว่าน้ำในขันเป็นไหนๆ
แต่ที่เขาเอาน้ำใส่ขันมาไว้นี้ก็เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจ
ว่าให้เราอยู่ให้เย็นเหมือนกับน้ำ อย่าทะเลาะเบาะแว้งกัน ให้รักใคร่สามัคคีกัน
อย่าแยกออกจากกันทางจิตใจ ใจที่มันจะไม่แยกก็คือใจที่มีธรรม
ถ้าใจไม่มีธรรมมันแยกกัน ใจโลภใจโกรธใจหลงนี่มันไม่ตรงกัน
คนหนึ่งโลภคนหนึ่งมันขัดกันแล้ว แต่ถ้าใจมีธรรมะมันเหมือนกัน ไม่มีแตกต่างกัน
สิ่งที่ไม่เหมือนกันย่อมเข้ากันไม่ได้ อันนี้มันเป็นกฎแห่งความจริง
ของเหมือนกันมันก็เข้ากันได้ไม้เหลี่ยมกับไม้เหลี่ยม เอามาซ้อนกันเรียบร้อย
แต่งเอาไม้กลมมาซ้อนบนไม้เหลี่ยมมันเก้งก้าง อย่างนั้นไม้ซื่อกันไม้คด
เอามากองรวมกันแล้วมันไม่เรียบร้อย มีนมีรูมีช่องเยอะแยะ
อันนั้นมันคด แต่ถ้าซื่อทั้งหมดแล้วกองเรียบร้อยสวยงาม

เช่นไม้กระดานนี่กองเรียบร้อย แต่ถ้าคดมั่งซื่อมั่งเอามากองก็เหมือนกับกองฟืนอย่างนั้น
เราไปดูกองฟืนที่เขาเอาไม้มาจากป่า ไม่เรียบร้อยเก้งก้างอยู่อย่างนั้น
เพราะฉะนั้นของที่ไม่เหมือนกันก็เข้ากันไม่ได้ ของใดเหมือนกันมันเข้ากันได้
จิตใจคนเรานี้ก็เหมือนกัน
ถ้าจะให้เข้ากันได้ต้องมีธรรมะจิตใจที่มีธรรมะมันมีสภาพเหมือนกัน
พอเหมือนกันแล้วมันก็อยู่กันได้เข้ากันได
ขาดธรรมะแล้วใจมันคดมันงอ มันเข้าไม่ได้ หลักมันเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้นสิ่งอะไรก็ตามจะว่าดีก็ดีตรงที่เราคิด ชั่วก็ตรงที่เราคิด
ดอกไม้อย่างเดียวกันคนหนึ่งอาจจะชอบก็ได้ คนหนึ่งอาจจะไม่ชอบก็ได้

ลองสังเกตุดูบางคนชอบดอกไม้อย่างนี้ บอกว่าแหมกลิ่นหอม
แต่บางคนว่าไม่ไหวได้กลิ่นแล้วปวดหัว เช่น ดอกลำเจียกเป็นต้น
ดอกลำเจียกบางคนชอบหอมดี แต่บางคนพอได้กลิ่นดอกลำเจียกแล้วมึนศีรษะขึ้นมาเชียว
มันเป็นอย่างนั้น ดอกไม้อย่างเดียวกันคนหนึ่งชอบอีกคนหนึ่งไม่ชอบ
อาหารก็เหมือนกัน อาหารอย่างเดียวแต่คนหนึ่งชอบจะรับประทาน อีกคนหนึ่งกลืนไม่ลง
ทำไมอย่างนั้น มันเรื่องของจิตใจที่ยอมรับหรือไม่ยอมรับในสิ่งนั้น
มันไม่ใช่เกี่ยวด้วยอาหารแท้ๆ
แต่เกี่ยวด้วยจิตใจที่เข้าไปเกี่ยวข้องว่า มันเข้ากันได้หรือไม่
ฝากับตัวมันพอจะเข้ากันได้หรือไม่ได้นั้น มันเนื่องจากสมมติฐานที่เรามีไว้ในใจของเรา

คนเราทุกคนมีฐานสมมติอยู่ในใจทั้งนั้น
ไม่ว่าเรื่องอะไรสีที่เราแต่งตัว รูปร่างของสิ่งที่เราเกี่ยวข้อง
อารมณ์ประเภทต่างๆ มันมีฐานอยู่ในใจ
ฐานนั้นก็ไม่ใช่ของเดิมแท้ แต่ว่าเราอยู่กับสิ่งนั้นจนชินมาแต่ตัวน้อยๆ
เช่นบางคนชอบกินปลาร้า เพราะกินมาตั้งแต่เด็กๆ
แต่ว่าบางคนกินไม่ลง พอได้กลิ่นก็ฮึดขึ้นมาทีเดียวกินไม่ได้
คนที่กินได้เพราะเขาเคยกินมาตั้งแต่ตัวน้อยๆ
คนชอบกินแกงกะหรี่ใส่เครื่องเทศ แต่บางคนพอได้กลิ่นแล้วกินไม่ไหว

เหมือนกับเมื่อไปอินเดีย เวลาไปอินเดียได้กลิ่นเครื่องเทศ
ญาติโยมจมูกฮึดไปตามๆ กัน กินไม่ได้
เคยสั่งอาหารในรถไฟมาเลี้ยงโยม บอกว่าเอาไปเถอะเจ้าคุณดิฉันกินไม่ลง
อาหารก็ดีแกงกะหรี่ไข่เสียด้วย กลิ่นมันเข้าจมูกแล้วดิฉันกินไม่ลง

แต่ว่าคนอินเดียทำไมเคี้ยวเพลิน ก็เขากินมาตั้งแต่ตัวน้อยๆ เวลาเด็กๆ
ก็เหมือนกันทุกคนกินนมแม่ นมแม่ไม่รู้ว่ารสชาติเป็นอย่างไร
เราจำไม่ได้ว่าเรากินนมแม่รสเป็นอย่างไร ไม่ได้ติดในรสนั้น
แล้วต่อมาพอโตขึ้นหน่อยเขาให้กินอาหารอื่น
หัดให้กินอะไรมันก็ติดอันนั้น หัดให้กินแกงชนิดไหนก็ชอบแกงชนิดนั้น
หัดให้กินแกงจืดมันก็ติดแกงจืด ให้กินแกงเผ็ดก็ติดแกงเผ็ด
หัดให้กินน้ำพริกก็ชอบน้ำพริก หัดให้กินอะไรก็เป็นอย่างนั้น
อันนี้มันมาทีหลังทั้งนั้น เป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นในใจของเรา
เราเพาะมันขึ้นมา มันจึงเป็นสิ่งที่คุ้นเคยกัน

เรียกว่าเป็นนิสัยมันติดเป็นนิสัย ทีนี้เมื่อคุ้นเคยกันเป็นนิสัยเช่นนั้นแล้ว
เราก็ไปนึกว่า ฉันชอบอย่างนั้น ฉันชอบอย่างนี้
ความชอบหรือความไม่ชอบนั้น มันก็เนื่องกันว่าสิ่งนั้นมันถูกกับสิ่งที่ตนมีหรือเปล่า
ถ้ามันเข้ากันได้กับสิ่งที่ตนมี ตนก็ชอบใจ
ถ้ามันเข้ากันไม่ได้กับสิ่งที่ตนมี ตนก็ไม่ชอบใจ
เรื่องอะไรๆ มันก็อย่างนั้นทั้งนั้น เรื่องรูป เรื่องเสียง กลิ่น รส สัมผัส ห้าประการ
ซึ่งเรียกว่า กามคุณห้า มันอยู่ที่ว่าเข้ากันได้หรือเข้ากันไม่ได้
ถ้าเข้ากันได้เราก็ชอบใจ ถ้าเข้ากันไม่ได้เราก็ไม่ชอบใจ หลักมันเป็นอย่างนั้น

ทีนี้เราจะทำอย่างไร เมื่อจิตจะต้องไปพบกับอะไรๆ
เราก็ต้องมีธรรมะเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งนั้น
ธรรมะที่เราจะใช้ก็คือว่าปรับตัวให้พอเข้ากันได้กับสิ่งนั้น จะไม่เป็นทุกข์
ถ้าเราปรับเราไม่ได้ เราก็ต้องเป็นทุกข์เรื่อยไป
เช่น เราไปอยู่กับคนที่มันไม่ถูกอารมณ์
แต่ว่าต้องอยู่ เราก็ต้องปรับตัวเราให้มันพออยู่กันได้
ให้มีใจสบาย ไม่วุ่นวายไม่เดือดร้อน ให้เราคิดง่ายๆ อย่างนี้ว่า
การอยู่ที่เป็นทุกข์กับการอยู่ที่เป็นสุขนั้น อันไหนจะดีกว่ากัน
ลองคิดง่ายๆ ตั้งสูตรขึ้นมาพิจารณาง่ายๆ
ว่าการอยู่อย่างเป็นทุกข์กับการอยู่อย่างเป็นสุขนี้อันไหนดีกว่ากัน

ญาติโยมก็จะมองเห็นว่า อ้อไปอยู่เป็นสุขดีกว่าอยู่เป็นทุกข์ไม่ดีเลย
หลักมันเป็นอย่างนั้น แล้วเราก็มารู้ว่าการอยู่เป็นสุขดีการอยู่เป็นทุกข์ไม่ดี
แล้วก็สังเกตจิตใจของเราเองในขณะที่เราเป็นอยู่
เราก็มองดูใจเราว่าเวลานี้ใจของเราเป็นอย่างไร ร้อนหรือว่าวุ่นวาย
มืดมัวกลุ้มหรือมันเป็นอย่างไร หรือว่าสงบเย็นไม่วุ่นวายไม่กลุ้มไม่มัว
เราก็พิจารณาตัวเรา ก็มองเห็นว่ามันเป็นอะไร
ในเรื่องสงบไม่ต้องพูดถึงมันดีอยู่แล้ว
แต่ถ้าสมมุติว่าใจมันเร่าร้อนวุ่นวายขึ้นมา มีความทุกข์มีปัญหา
เราควรจะเก็บสิ่งนั้นไว้ดีหรือว่าควรจะกวาดมันทิ้งไป

สมมุติว่าในบ้านของเรามีแมวตัวหนึ่งมันมาถ่ายอะไรไว้
พอเราเข้าไปถึงก็เหม็นขึ้นมาเชียว เราจะทิ้งไว้อย่างนั้น
ไม่เป็นไร มันไม่อยู่ในจมูกมีแต่กลิ่นมากระทบ ไว้อย่างนั้นแหละ
มันจะถูกหรืออย่างนั้น ไม่ได้ กลิ่นมันไม่ดีต้องจัดการเอาผ้ามากวาดมันไป
เช็ดถูเสียให้เรียบร้อย แล้วสิ่งนั้นมันก็หายไป ฉันใด
อารมณ์ที่เข้ามาในใจของเราก็เหมือนกัน
ถ้าอารมณ์ใดมากระทบใจแล้วทำให้เราเป็นทุกข์ ไม่สบายใจ
หงุดหงิดงุ่นง่าน เรียกว่าพื้นมันเสีย
ของเดิมไม่เสียแต่ว่าเราไปทำอะไรราดลงไปเลยมันเสียไป เป็นทุกข์
แล้วเราจะนั่งเป็นทุกข์อย่างนั้นหรือ จะเดินเป็นทุกข์อยู่อย่างนั้นหรือ
จะนอนเป็นทุกข์อยู่อย่างนั้นหรือ อย่างนั้นมันก็ไม่ไหวเรียกว่าแย่เต็มที
ถ้าไปนั่งเป็นทุกข์อยู่อย่างนั้นก็ไม่เข้าเรื่อง ทางที่ถูกนั้นเราควรจะทำอย่างไร
เราควรจะแก้ปัญหานั้นเพราะขึ้นชื่อว่าความทุกข์ความเดือดร้อนแล้ว
ไม่ควรตั้งรากฐานขึ้นในใจของเราเป็นอันขาด

เพราะถ้ามันตั้งฐานขึ้นแล้วมันเจริญงอกงามขึ้นไป
แล้วไม่ได้เจริญงอกงามเพื่อความสุขของเรา
แต่มันเจริญงอกงามเพื่อความเสื่อมแก่ของชีวิตของเรา
เหมือนกับหญ้าชนิดหนึ่งขึ้นในสนามถ้ามันเจริญแล้วสนามเสียหมดเลย
ไม่ได้ แล้วเราจะปล่อยให้มันเจริญอยู่อย่างนั้นหรือ
เราควรจะแก้ไหม ถ้าเป็นคนรักสนามหญ้าก็ต้องแก้ ต้องเอาออก
อย่าว่าแต่ว่าหญ้าอื่นมาขึ้นเลย
แม้หญ้าที่มันอยู่แต่มันเปลี่ยนสีเป็นสีขาวไป มันไม่เขียวมันขาว
แสดงว่ามีเชื่อราเกิดขึ้นในหญ้านั้น เราจะปล่อยให้มันขาวอย่างนั้นหรือ
มันไม่ได้ขาวหย่อมเดียว ต่อไปมันจะลุกล่ามไป
แล้วหญ้าในสนามที่เราลงทุนปลูกไว้มันแพงมันจะเสียหาย เราจะทำอย่างไร
เราก็ต้องไปซื้อยาปราบเชื้อรามาละลายน้ำเข้าตามส่วนผสม
เสร็จแล้วก็เอาไปราดหญ้าต้นนั้น หญ้านั้นกระทบยาฆ่าเชื้อราหาย
มันก็เขียวต่อไป นี่ฉันใด อะไรที่เป็นเชื่อราเกิดขึ้นในใจของเรา
ทำให้จิตใจของเราเปลี่ยนสีเปลี่ยนสรรไป ไม่เหมือนเดิมหน้าตาดั้งเดิมหายไปแล้ว

แต่มีใบหน้าใหม่ขึ้มมา เป็นหน้ายักษ์หน้ามารขึ้นมาเชียว
เช่นเข่นเขี้ยวกันฟันอยู่ตลอดเวลา มันสบายไหม นั่งกัดฟันกรอดๆ อยู่นั้นมันสบายไหม
นั่งเจ็บใจจริงเจ็บใจจริง บางคนนั่งบ่นอย่างนั้น
ก็รู้ว่าเจ็บใจแล้วเรื่องอะไรมานั่งเจ็บใจอยู่อย่างนั้น มันไม่ได้เรื่องอะไร
จิตใจมันตกต่ำลงไป เพาะเชื้อแห่งความไม่ดีไว้
เราก็ต้องรีบแก้ไข การแก้ไขนั้นจะทำอย่างไร ก็ต้องศึกษาสาเหตุของเรื่อง
ให้ยึดหลักว่าสิ่งทั้งหลายเกิดจากเหตุไม่มีเหตุ ผลจะเกิดขึ้นไม่ได้
และเหตุนั้นอย่าไปเอาภายนอกเป็นอันขาด
อย่าไปพูดว่าไอ้คนนี้แหละมันทำให้ข้าโกรธ ไปแก้มันอย่างไร
แก้ด้วยการทุบหัวคนนั่นหรือ มันก็ติดคุกกันเท่านั้นเอง
แก้ตรงนั้นไม่ได้ เราอย่าไปแก้ที่เขา มันต้องแก้ที่เรา แก้ที่เรามันจึงจะถูก

ทีนี้บางคนไปแก้ที่เขา คนใช้ทำไม่ดีไล่ตีออกไปเสีย หาคนใช้ใหม่
คนใหม่ก็ไม่ดีอีกไล่มันออก มันออกบ่อยๆ มันอาจจะไปพบกันมั่ง
แหมนายบ้านนี้ไล่เราออกบ่อยๆ ทีหลังเราอย่าออกเฉยๆ ต้องเอาอะไรไปมั่ง
ทีนี้แหละมันยกเค้าไปเลย เลยเอาเสียเรียบไปเลย มันลงโทษไม่ใช่เรื่องอะไร
มันลงโทษเจ้าบ้านที่ไม่ประพฤติธรรม
ลงโทษขนไปหมดเราก็เดือดร้อน อย่างนี้ไม่ได้
เราต้องแก้ที่ตัวเรา ใจมันร้อนก็แก้ให้มันเย็นเสีย
ใจมันไวแก้ให้มันช้าลงสักหน่อย อย่ามีอารมณ์วูบวาบรุนแรงมากเกินไป
ต้องคิดแก้ไขปรับปรุงที่ตัวเรา เมื่อเราแก้ที่ตัวสิ่งภายนอกก็พลอยถูกแก้ไปด้วย
การแก้ที่คนอื่นนั้นไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกต้อง แต่เราแก้ที่ตัวเราจึงจะถูกจะชอบ

เหมือนกับว่าคอมมิวนิสต์มันมีอยู่ในประเทศไทย
เวลานี้ผู้ก่อการร้ายเราจะไปปราบก็ปราบไปเถอะมันอาจไม่หมดไม่สิ้น
ทีนี้เราจะต้องปราบภายใน คือรู้ว่าอะไรเป็นเหตุที่พวกนั้นคิดแก้เมืองไทย
เหตุมันก็อยู่ที่การคอรัปชั่นอะไรต่ออะไรต่างๆ ในสังคม
เราก็ต้องคิดแก้พวกนั้น แก้คอรัปชั่น แก้ความเป็นอยู่ให้พอสบายตามสมควร
แก้เรื่องโจรผู้ร้าย อย่าให้พวกนั้นเอาไปใช้เป็นเครื่องมือไปโฆษณา
บอกว่านี่แหละมันแบบนี้แหละ มันลักวัวลักควายจะลักต่อไป
ไม่รู้ว่าจะลักเอาไปไหน คนก็จะมองเห็นว่ามันดีวัวไม่หายควายไม่สูญ

เคยไปพบกับชาวบ้านแถวนครศรีธรรมราช แหมวุ่นวายเหลือเกิน
มีวัวอยู่สองตัวมันจะมาลักอีกแล้ว อยู่ลำบาก
ถ้ามันอยู่ใกล้ๆ ผมจะไปแล้วจะไม่อยู่แล้วเมืองไทยนี่
ฟังแล้วชักจะสงสัยว่าแกจะไปไหน
ถามว่าจะไปไหน ไปอยู่ประเทศที่เขาเป็นคอมมิวนิสต์
ใครบอกว่าประเทศนั้นมันสบาย
อธิบายกันเสียนานแกจึงจะรู้เรื่อง ว่าอ้อมันไม่สบายอะไร มันสู้เมืองไทยไม่ได้
มันเที่ยวโฆษณาอย่างนี้เรียกว่าโฆษณาชวนเชื่อ ให้คนหลงผิดเข้าใจผิด
ทีนี้เราต้องรู้จุดว่าเขาเอาจุดไหนไปโฆษณา เอาจุดไหนไปเป็นเหยื่อล่อให้คนเข้าใจผิด
ก็ต้องแก้ที่จุดนั้น แก้การไปด้วยปราบก็ต้องปราบกันไปด้วย
แก้ก็ต้องแก้ไปด้วย เอาแต่ปราบอย่างเดียวมันก็ไม่ได้
ต้องปลอบโยนประชาชนทั้งหลายให้ได้อยู่ดีกินดีมีความสุขความเจริญ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็พวกโจรผู้ร้าย ต้องเอาจริงเอาจังกันเสียหน่อย
ปราบให้มันปราบเรียบลงไป แล้วก็รู้ว่าที่มันเป็นโจรนี่เพราะอะไรด้วย

บางคนเขาบอกว่า คนมันยากจนคนจึงเป็นขโมยกัน อันนี้ไม่แน่
คนอินเดียมันจนกว่าบ้านเรา แต่มันไม่ขโมยกัน มันอยู่กันอย่างนั้น
มันไม่ลักขโมยฉกชิงวิ่งราวล้วงกะเป๋า ไม่ปรากฏมากมายเหมือนบ้านเรา
นานๆ มันจึงจะเกิดสักรายหนึ่ง เผลอๆ ก็เอามั่ง
แต่บ้านเราไม่เผลอลืมตาไปอย่างนี้มันเอาเลย
สมัยนี้ทันสมัย นั่งจักรยานเฉี่ยวเอาไปเลย นั่งรถสามล้อก็เอาได้
นั่งรถยนต์มันก็เฉี่ยวได้พวกนี้ พวกนี้มันเก่ง
เรียกว่าเป็นเหยี่ยวจักรยานยนต์พวกนี้
ก็ต้องคิดปราบปรามพวกนี้มันอยู่ตรอกไหน ซอยไหน
เก็บๆ รวมไว้เกาะไหนซักเกาะหนึ่ง ให้มันทำงานทำการไปตามเรื่อง
เอามาลงโทษเสียมั่ง หรือเอาไปคุ้ยผักตบชวาข้างคูถนนเสียมั่ง
อย่าตัดสินขังเฉยๆ ต้องเอาออกมาทำงานให้คนเห็นหน้ามันบ่อยๆ
แก้มัน มันขี้เกียจนักชอบขโมย ต้องแก้ปัญหาให้ถูกจุด

ตัวเราก็เหมือนกัน มีอะไรเกิดขึ้นต้องแก้ให้ถูกจุด
การแก้ถูกจุดในแง่ธรรมะ ต้องแก้ว่าฉันเองเป็นผู้ผิด
ให้บอกตัวเองว่าฉันเป็นผู้ผิด ไม่ใช่เรื่องของอารมณ์อื่น
ไม่ใช่เรื่องดินฟ้าอากาศอะไรทั้งนั้น
มันอยู่ที่เราปรับตัวเราไม่ถูก เราจึงเป็นอย่างนั้น จึงควรจะแก้ที่ตัวเราเอง
ปรับตัวเราให้เรียบร้อย สิ่งทั้งหลายก็จะดีขึ้น อันนี้เป็นหลักของพระพุทธเจ้า
ท่านให้แก้ที่ตัวเราอย่าแก้ที่ภายนอก แก้ที่อะไรๆ มันไม่ถูกจุดทั้งนั้น
เหมือนกับปวดหัวเอายาไปพอกหัวแม่เท้ามันไม่ถูก มันต้องพอกที่ขมับ
ที่ขมับมันก็ไม่หายปวดต้องกินยาแก้ปวด
กินยาแก้ปวดมากก็ไม่ได้ ติดยาอีก ปวดทีไรกินยาทุกทีมันก็ยุ่ง
เราต้องรู้ว่าเรื่องปวดหัวนี้มันเรื่องอะไร เพราะคิดมาก วิตกกังวล
อดหลับอดนอน มีเรื่องยุ่งในใจ ก็เกิดความวิตกกังวลขึ้นมา

อาตมาเคยเป็นเหมือนกันบางครั้ง พอเริ่มทำใจให้สงบ หายใจเบาๆ
อย่าให้มันแรง พอแรงแล้วความดันมันขึ้น
หายใจเบาๆ ค่อยๆ ทำใจให้สงบเดี๋ยวๆ
มันก็หายไม่ต้องกินยา ใช้วิธีรักษาตามธรรมชาติ
คือเราว่าที่มันปวดเพราะเลือดมันขึ้น เลือดมันขึ้นเพราะสมองมันทำงานหนัก
เมื่อสมองคิดมากมันก็เร่งระดมพล มันทำงานมากต้องช่วยมันหน่อย
นี่เราเอางานไปให้สมองมันทำ หยุดคิดเสีย หายใจเบาๆ ทำจิตใจให้สงบว่างเปล่า
ปล่อยวางอารมณ์เสียประเดี๋ยวมันก็หายไป มันไม่ปวดนานๆ มันหายไป
มันต้องแก้อย่างนั้น บางคนปวดเช้าปวดเย็น
เราสังเกตุดูปวดเช้าปวดเย็นหมายความว่า
มีความวิตกกังวล พอตื่นเช้าวิตกกังวลแล้ว เรื่องนั้นเรื่องนี้
เรื่องที่ไม่ค่อยจะเป็นสาระ เอามาคิดมาอ่านให้มันวุ่นวายใจ
เราตื่นเช้าต้องทำใจให้สดชื่น ทำจิตใจให้มันว่างจากอารมณ์ต่างๆ
มองอะไร ดูอะไรก็ให้มันสบายใจ อย่าคิดในเรื่องร้ายๆ
คิดในเรื่องดีเรื่องงาม มองในแง่ดีแง่งาม
อากาศมันเป็นอย่างไร เราก็พอใจในสิ่งเหล่านั้น มองอะไรไปก็ต้องพอใจไว้ก่อน
จะดุด่าใครก็อย่าไปดุใครเช้าๆ ให้มันนุ่งห่มแต่งตัวกันเรียบร้อย

แล้วจะเรียกมาสอน ก็เรียกมาสอนกันให้สบายๆ อย่าสอนด้วยโมโหโทโส
ถ้าทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนเราสอนให้เขาโกรธด้วย
เช่นเราจะสอนลูก ทำโกรธขึ้นแล้วก็เรียกมานี่ๆ แล้วก็ดุ
เหมือนกับสอนลูกให้ดุเหมือนเรา
จำไว้เถอะลูกเอ๋ย พ่อขี้ดุอย่างนี้ ทีนี้มันจำแบบไว้
เราสอนให้มันดุ ลูกก็ดุเหมือนพ่อ หรือว่าดุเหมือนแม่ อย่าสอนเวลานั้น
เราต้องทำใจให้เย็นให้สงบ แล้วก็เรียกมาพูดกันทำความเข้าใจกัน
ค่อยๆ สอน ค่อยๆ ปลอบ อย่างนั้นเขาเรียกว่า สอนด้วยปาก
แล้วก็ทำให้มันดูด้วย ทำความเป็นผู้ใจเย็นให้ลูกดูด้วย
เด็กมันก็จำแบบไว้ แล้วต่อไปก็จะอารมณ์ดีไม่ขี้โกรธ จิตใจมันปกติ
เพราะว่าพบเรื่องปกติภายในบ้าน พ่อเป็นปกติ แม่ก็เป็นปกติ
จิตใจก็เป็นปกติแล้วเด็กอย่างนี้แหละ
จะเป็นคนอยู่เป็นสุขในโลกต่อไป เพราะจิตใจเขาปกติ
ไม่วู่วามไม่เร่าร้อน มีอารมณ์สดชื่น ยิ้มแย้มแจ่มใส

อย่างนี้เราต้องฝึกต้องสอนเขา เราต้องทำให้เป็นตัวอย่าง
แล้วก็ชี้แจงเหตุผลให้เขาเข้าใจในเรื่องอะไรๆ ต่างๆ
อันนี้มันต้องอ่านหนังสือรักลูกให้ถูกทาง
เพราะว่าเขียนไว้ละเอียดแล้ว หาอ่านได้ คนที่มีลูกต้องอ่าน
ลูกสาวจะแต่งงานต้องอ่านหนังสือเล่มนี้ด้วย
เตรียมตัวจะมีลูกไว้ก่อน พอตั้งท้องมันจะได้ทำถูก
มีลูกมีเต้าก็จะได้ทำถูกต่อไป เป็นคู่มือมารดาดีมีประโยชน์
ก็คงพอสมควรแก่เวลา ขอจบไว้เพียงแต่เท่านี้


คัดลอกจาก...ปัญญานันทะอมตธรรม
http://www.panya.iirt.net

สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 26 มี.ค.2008, 10:32 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สู้ สู้ สาธุ สาธุ...คร้าบบ. ยิ้มเห็นฟัน
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง