| 
        
          |   | 
           | 
            | 
         
     
| ผู้ตั้ง | 
ข้อความ | 
 
ลูกโป่ง 
บัวแก้ว 
 
  
  
เข้าร่วม: 01 ส.ค.  2005 
ตอบ: 4089 
 
 
 | 
 ตอบเมื่อ:
06 มี.ค.2008, 11:09 am | 
   | 
 
 
 
 
 
 
คนเรามักจะรู้สึกเหงาและว้าเหว่เมื่ออยู่ไกลบ้าน ห่างเหินจากมิตรสหาย 
 
แต่บางครั้งแม้อยู่บ้านก็ยังรู้สึกเหงาและว้าเหว่อยู่นั่นเอง 
 
ความรู้สึกดังกล่าวเกิดขึ้นด้วยหลายสาเหตุ 
 
แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ มีอะไรบางอย่างขาดหายไปจากชีวิตของเรา
 
 
อะไรบางอย่างนั้นอาจได้แก่ เพื่อน คนรัก พี่น้อง พ่อแม่ 
 
หรือคนใกล้ชิดที่เคยเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา 
 
หรือคนที่เรารู้สึกผูกพันด้วย แต่บางครั้งสิ่งที่ขาดหายไปนั้น 
 
เราอาจไม่เคยมีมาก่อนเลย แต่จิตใจโหยหาอยู่ลึกๆ 
 
เช่น ความรักที่จริงใจ ครอบครัวที่อบอุ่น หรือชุมชนที่เรารู้สึกสนิทแนบแน่น
 
 
ความเหงาและว้าเหว่อาจเกิดขึ้นท่ามกลางชีวิตที่เร่งรีบและกลุ่มชนที่พลุกพล่าน 
 
แต่ไม่ว่ารอบตัวจะวุ่นวายเพียงใด ภายในใจนั้นกลับวังเวง เปล่าเปลี่ยวอย่างยิ่ง 
 
เพราะลึกๆ เรารู้สึกแปลกแยกกับผู้คน หรือรู้สึกว่านี่ไม่ใช่ ที่ ของเรา 
 
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เรากำลังโหยหา บ้าน ที่แท้จริง
 
 
บ้านที่ใจใฝ่หา อาจหมายถึงผู้คนหรือชุมชนที่มีความรู้สึกนึกคิดร่วมกับเรา 
 
มีมุมมองหรือวิถีชีวิตเหมือนกับเรา พูดภาษาเดียวกับเรา 
 
สามารถแบ่งปันความรู้สึกได้อย่างไม่ต้องปิดบัง 
 
ชุมชนดังกล่าวอาจเป็นชุมชนที่ดำรงอยู่อย่างต่อเนื่อง 
 
หรือมาร่วมกันเป็นครั้งคราว อาจเป็นชุมชนทางชาติพันธุ์ 
 
ชุมชนทางการเมือง ชุมชนทางศาสนา
 
ชุมชนทางอินเตอร์เน็ต หรือแม้แต่แก๊งมอเตอร์ไซค์
 
 
เพียงแค่มีความเห็นต่างกับคนรอบตัว 
 
ก็อาจทำให้บางคนรู้สึกเปล่าเปลี่ยวแปลกแยก 
 
ถึงกับต้องแสวงหากลุ่มคนที่คิดตรงกัน 
 
หลายคนที่รักทักษิณจึงรู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน เมื่อได้เข้าร่วมการชุมนุม
 
ของแนวร่วมประชาชนต่อต้านเผด็จการ (นปก.) ที่ท้องสนามหลวง 
 
เช่นเดียวกับชาวพุทธจำนวนมาก
 
รู้สึกเหมือนกลับบ้านเมื่อได้ไปสำนักสันติอโศกหรือวัดพระธรรมกาย
 
 
บางครั้งความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวแปลกแยกหรือเหงาลึก 
 
อาจเกิดขึ้นกับคนทั้งรุ่น จนเกิดความรู้สึกเหินห่างหมางเมิน 
 
หรือถึงกับเป็นปฏิปักษ์กับคนที่เหลือ
 
เกิดความรู้สึกเป็น เรา กับ เขา อย่างชัดเจน 
 
ดังคนหนุ่มสาวในอเมริกาและยุโรปช่วงคริสต์ทศวรรษ ๑๙๖๐ 
 
จนนำไปสู่เหตุการณ์จลาจลในปี ๑๙๖๘ 
 
และขยายมาสู่หลายประเทศในเอเชีย รวมทั้งไทย
 
ซึ่งประทุเป็นเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา และการแบ่งขั้วอย่างรุนแรงหลังจากนั้น
 
 
ความรู้สึกทำนองเดียวกันกำลังเกิดกับหนุ่มสาวชาวมุสลิมซึ่งเกิดในยุโรป 
 
คนเหล่านี้ไม่รู้สึกผูกพันกับสังคมยุโรป
 
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนผิวขาวนับถือ (หรือเคยนับถือ) ศาสนาคริสต์ 
 
ขณะเดียวกันก็ไม่รู้สึกแนบแน่นกับชุมชนชาวมุสลิมรุ่นพ่อแม่ 
 
ซึ่งแม้อพยพมาอยู่ยุโรปนับสิบปีแล้ว
 
แต่ยังมีรากเหง้าฝังลึกอยู่กับมาตุภูมิ (เช่น อินเดีย ปากีสถาน บังคลาเทศ) 
 
หนุ่มสาวชาวมุสลิมเหล่านี้ไม่รู้สึกว่าประเทศเหล่านั้นเป็น บ้าน ของตัว 
 
จึงรู้สึกอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวอยู่ลึกๆ ดังนั้นจึงง่ายที่เข้าร่วมกับกลุ่มหัวรุนแรง
 
ที่สามารถตอบสนองความต้องการ มีชุมชนที่ตนรู้สึกสนิทแนบแน่น
 
เป็นชุมชนที่มีความรู้สึกนึกคิดร่วมกันทั้งในด้านศาสนา 
 
อุดมการณ์การเมือง และความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์กับสภาพสังคมที่เป็นอยู่
 
 
ทั้งหมดนี้กล่าวได้ว่าเป็นความเหงา ว้าเหว่ เปล่าเปลี่ยว หรือแปลกแยก 
 
ด้วยเหตุผลทางสังคม คือการเหินห่างจากกลุ่มคนหรือชุมชนที่มีคุณลักษณะร่วมกัน
 
อันได้แก่ ชาติพันธุ์ อุดมการณ์ ศาสนา ภาษา วิถีการดำเนินชีวิต รสนิยม 
 
รวมไปถึงรูปลักษณ์และอาการทางกาย (คนขี้เหร่หรือผู้ป่วยเอดส์ 
 
อาจรู้สึกแปลกแยกเมื่ออยู่ท่ามกลางคนสวยหรือคนมีสุขภาพดี)
 
 
อย่างไรก็ตามแม้จะได้มาอยู่ท่ามกลางผู้คนหรือชุมชน 
 
ที่ให้ความรู้สึกเสมือน บ้าน แต่หลายคนกลับพบว่าความรู้สึกเหงา 
 
อ้างว้าง ว่างเปล่า ก็ยังมารบกวนอยู่ เหมือนกับว่ายังมีบางอย่างที่ขาดหายไป 
 
ความรู้สึกดังกล่าวอาจเรียกรวมๆ กันว่าความรู้สึกพร่อง
 
ความรู้สึกพร่องทำให้ชีวิตที่เคยมีรสชาติ กลายเป็นน่าเบื่อ จืดชืด 
 
ชวนเซื่องซึม แต่ละวันผ่านไปอย่างซักกะตาย
 
จำนวนไม่น้อยหาทางออกด้วยการเที่ยวเตร่ สนุกสนาน หรือแสวงหาสิ่งตื่นเต้น 
 
เร้าใจด้วยสิ่งเสพนานาชนิด ทั้งอาหาร เสียงเพลง และเพศรส 
 
แต่ก็บรรเทาความรู้สึกดังกล่าวไปได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว 
 
หลายคนคิดว่าทรัพย์สินเงินทองหรือความสำเร็จในอาชีพการงาน
 
จะช่วยกลบความรู้สึกพร่องและทำให้ชีวิตเติมเต็ม แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ
 
 
มีนักธุรกิจคนหนึ่งซึ่งประสบความสำเร็จอย่างหาคนเปรียบได้ยาก 
 
เขาสามารถกอบกู้ธุรกิจก่อสร้างของครอบครัว 
 
ให้พ้นจากหนี้สินซึ่งสูงถึง ๗,๐๐๐ ล้านบาทได้ในเวลา ๓ ปี 
 
และใช้เวลาอีก ๓ ปียกฐานะของบริษัทให้พุ่งทะยานจนติดอันดับ ๑ ใน ๕ 
 
ของธุรกิจประเภทเดียวกัน มีผลประกอบการปีละเกือบ ๒๐,๐๐๐ ล้าน
 
เขาได้รับการยกย่องนับถืออย่างสูงจากผู้คนในแวดวงธุรกิจ 
 
แต่แล้ววันหนึ่ง เขาก็เกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ 
 
ขาดความกระตือรือร้นในการทำงาน แต่ละวันผ่านไปเหมือนว่างเปล่า
 
เขารู้สึกว่าตัวเองไม่มีความหมาย เขาเคยพูดว่า 
 
ผมจะมีความหมายอะไร ก็เป็นแค่...มหาเศรษฐีหมื่นล้านคนหนึ่ง
 
 
เงินทองและความสำเร็จทางอาชีพเป็นยอดปรารถนาของผู้คน 
 
ใครๆ ก็คิดว่าเมื่อได้สิ่งเหล่านี้มาครอบครองแล้วชีวิตจะเปี่ยมสุข 
 
แต่ประสบการณ์ของนักธุรกิจผู้นี้บ่งชี้ว่า หาเป็นเช่นนั้นไม่ 
 
แล้วอะไรล่ะที่จะทำให้เรารู้สึกเต็มอิ่มกับชีวิต
 
คำตอบของนักธุรกิจผู้นี้ก็คือ ตำแหน่งทางการเมือง 
 
แล้วเขาก็ได้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการสมใจ
 
 
ตำแหน่งรัฐมนตรีเพียงแค่ ๓ ปี (และถูกเว้นวรรคเพราะการรัฐประหาร) 
 
อาจน้อยเกินไปที่เขาจะบอกได้ว่า 
 
อำนาจทางการเมืองเป็นคำตอบสุดท้ายของชีวิตหรือไม่
 
แต่ถ้าถามคนซึ่งเคยเรืองอำนาจถึงขีดสุดต่อเนื่องนานนับสิบปี
 
ในฐานะเผด็จการอย่างประธานาธิบดีมาร์คอสแห่งฟิลิปปินส์
 
คำตอบคือไม่ใช่แน่นอน
 
 
เมื่อครั้งยังครองอำนาจสูงสุด 
 
มาร์คอสเคยถ่ายทอดความรู้สึกลงในบันทึกประจำวันว่า 
 
ผมเป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุดในฟิลิปปินส์ ผมมีทุกอย่างที่เคยใฝ่ฝัน 
 
พูดให้ถูกต้องก็คือ ผมมีทรัพย์สมบัติทุกอย่างเท่าที่ชีวิตต้องการ 
 
มีภรรยาซึ่งเป็นที่รัก และมีส่วนร่วมในทุกอย่างที่ผมทำ 
 
มีลูกๆ ที่ฉลาดหลักแหลมซึ่งจะสืบทอดวงศ์ตระกูล 
 
มีชีวิตที่สุขสบาย ผมมีทุกอย่าง แต่กระนั้นผมก็ยังรู้สึกไม่พึงพอใจในชีวิต
 
 
มาร์คอสมีทุกอย่างที่ใครๆ อยากจะมีกัน 
 
ทั้งเงินทอง อำนาจ ครอบครัว แต่เขาก็ยังไม่มีความสุข 
 
ทั้งนี้ก็เพราะมีบางอย่างที่ขาดหายไปจากชีวิตของเขา 
 
ใช่หรือไม่ว่าสิ่งนั้นได้แก่ ความสงบเย็นในจิตใจ
 
ทั้งหมดที่เขากล่าวถึงล้วนเป็นสิ่งนอกตัวทั้งสิ้น 
 
ซึ่งไม่สามารถนำความสงบเย็นมาสู่จิตใจได้อย่างแท้จริง
 
บางอย่างกลับนำความร้อนใจมาให้ด้วยซ้ำ 
 
โดยเฉพาะทรัพย์และอำนาจซึ่งได้เท่าไรก็ไม่รู้จักพอ 
 
ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่รู้สึกเต็มอิ่มกับชีวิตเสียที
 
 
ความสงบใจนั้นมีหลายระดับ 
 
ระดับพื้นฐานก็คือ การมีสิ่งยึดเหนี่ยวในจิตใจ 
 
สิ่งยึดเหนี่ยวที่สามารถทำให้เราอุ่นใจ 
 
หายว้าวุ่น และไม่โดดเดี่ยวอ้างว้าง 
 
ได้แก่สิ่งที่ทรงพลานุภาพและยิ่งใหญ่กว่าตัวเรา 
 
อาทิ พระเจ้า เทพยดา หรือท้าวจตุคามรามเทพ 
 
สำหรับชาวพุทธก็ได้แก่พระรัตนตรัย เป็นต้น 
 
ไม่ว่าใครก็ตามหากยังเป็นปุถุชนอยู่ย่อมต้องการที่พึ่งทางใจ 
 
ดังพระพุทธองค์ตรัสว่า 
 
บุคคลผู้ไร้สิ่งเคารพ ไม่มีสิ่งนับถือ ย่อมอยู่เป็นทุกข์
 
 
แต่สิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจนั้นมักให้ความสงบใจได้ชั่วคราว 
 
โดยเฉพาะในยามประสบทุกข์หรือประสบกับความผันผวนปรวนแปรในชีวิต 
 
แต่ในยามปกติแม้มีที่ยึดเหนี่ยวแล้วก็ยังรู้สึกอ้างว้างว่างเปล่า 
 
สาเหตุสำคัญก็เพราะลึกๆ ก็รู้สึกว่าชีวิตของตนนั้นไร้คุณค่า 
 
ไม่มีความหมาย ไม่ว่าความสุขสบายจะมีมากมายเพียงใด 
 
ก็ไม่สามารถกลบความรู้สึกว่างเปล่า หรือทำให้รู้สึกเติมเต็มขึ้นมาในจิตใจได้
 
 
หลายคนได้พบว่าชีวิตมีคุณค่าและเกิดความรู้สึกเต็มเปี่ยมกับชีวิต 
 
เมื่อได้ลงมือทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมหรือช่วยเหลือผู้อื่น
 
อาสาสมัครที่ไปนวดเด็กกำพร้า 
 
บางคนสารภาพว่าเธอเริ่มต้นด้วยความรู้สึกว่าไป ให้ แก่เด็ก 
 
แต่เมื่อทำไปสักพัก ก็พบว่าเด็กต่างหากที่ ให้ แก่ตน 
 
คือให้ความสุข และทำให้ชีวิตของตนมีคุณค่าและความหมาย
 
 
เราทุกคนล้วนมีจิตใจที่ใฝ่ดีด้วยกันทั้งนั้น การทำความดี เช่น 
 
ช่วยเหลือผู้อื่น ย่อมยังให้เกิดปีติและความอิ่มเอมใจ 
 
เป็นความสุขที่เกิดจากการเห็นผู้อื่นมีความสุข 
 
และภาคภูมิใจที่ตนได้ทำสิ่งที่มีความหมาย 
 
ทุกคนย่อมต้องการมีชีวิตที่ทรงคุณค่า 
 
หากลังเลสงสัยในคุณค่าของชีวิตตนเมื่อใด 
 
ย่อมหาความสงบได้ยาก นอกจากจะว้าวุ่นใจแล้ว 
 
ยังถูกรบกวนด้วยความรู้สึกว่างเปล่าเบาหวิวอย่างยากที่จะทนได้
 
 
ความสงบใจยังเกิดได้จากการฝึกฝนอบรมจิตอย่างสม่ำเสมอ 
 
จนความเร่าร้อนทะยานอยากหรือความโกรธมิอาจครอบงำได้
 
มีความสันโดษ พอใจในสิ่งที่มี และเปี่ยมด้วยเมตตาจิต รู้จักให้อภัย
 
ไม่ว่าโดยการทำสมาธิภาวนาหรือโดยการมองอย่างเป็นกุศลก็ตาม 
 
ความสงบดังกล่าวเกิดจากหันมามองด้านใน หรือทำกับใจของตนเอง 
 
ยิ่งกว่าที่จะไปทำกับคนอื่นหรือจัดการกับสิ่งรอบตัว 
 
จึงมีความยั่งยืนกว่าความสงบจากภายนอก 
 
เพราะสิ่งภายนอกนั้นยากที่จะควบคุมได้ 
 
ขณะที่จิตใจนั้นยังอยู่ในวิสัยที่เราสามารถดูแลได้มากกว่า 
 
หากเข้าใจธรรมชาติของมัน
 
 
ชีวิตที่ขาดความสงบใจ เพราะไร้ที่ยึดเหนี่ยว อยู่อย่างไร้คุณค่า 
 
และไม่รู้จักทำใจให้เป็นกุศล เป็นชีวิตที่ย่อมรู้สึกถึงความพร่องอยู่ลึกๆ ตลอดเวลา 
 
แม้รอบตัวจะเต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติ บริษัทบริวาร และมีอำนาจล้นฟ้าก็ตาม 
 
เป็นความพร่องทางจิตวิญญาณ ซึ่งต่างจากความพร่องเพราะไร้ซึ่งวัตถุ 
 
หรือความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวเพราะไร้ชุมชนที่ตนรู้สึกแนบแน่นด้วย
 
 
อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตว่า 
 
แม้จะทำสิ่งที่มีคุณค่าเป็นอาจิณและหมั่นอบรมจิตอยู่เสมอ 
 
ก็หาได้เป็นหลักประกันไม่ว่า เราจะปลอดพ้นจากความรู้สึกพร่องอย่างสิ้นเชิง 
 
หรือรู้สึกว่าชีวิตเติมเต็มอย่างสมบูรณ์ 
 
ไม่น่าเชื่อว่าคนที่เผชิญกับภาวะดังกล่าวอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง 
 
จนถึงขั้น วิกฤตศรัทธา คือ แม่ชีเทเรซา 
 
ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นนักบุญที่โดดเด่นที่สุดของศตวรรษที่ ๒๐
 
 
เมื่อเร็วๆ นี้ได้มีการตีพิมพ์หนังสือรวมจดหมายของท่าน
 
ที่เขียนถึงบาทหลวงผู้รับสารภาพบาปตลอดเวลา ๖๖ ปีที่ทำงานรับใช้พระเจ้า 
 
(Mother Teresa : Come Be My Light) เป็นครั้งแรก
 
ก็ว่าได้ที่มีการเปิดเผยต่อสาธารณชนว่า 
 
ท่านต้องเผชิญกับความรู้สึก มืดมน ว่างเปล่า และหนาวเหน็บ 
 
ครั้งแล้วครั้งเล่าตลอด ๕๐ ปีสุดท้ายของท่าน 
 
มีตอนหนึ่งท่านเขียนว่า ศรัทธาของดิฉันอยู่ที่ไหน ลึกลงไปภายในไม่มีอะไร 
 
นอกจากความว่างเปล่าและความมืดมน พระผู้เป็นเจ้า 
 
ความเจ็บปวดที่มิอาจหยั่งรู้ได้นี้ช่างเจ็บปวดเสียเหลือเกิน 
 
ดิฉันไม่มีศรัทธา ไม่กล้าเอ่ยถ้อยคำและความคิดที่เนืองแน่นในใจฉัน 
 
และทำให้ดิฉันเป็นทุกข์อย่างเหลือล้น.....มีคนบอกดิฉันว่าพระเจ้ารักดิฉัน
 
 แต่ความมืดมน หนาวเหน็บ และว่างเปล่านั้นมากมาย 
 
เสียจนกระทั่งไม่มีอะไรสัมผัสวิญญาณของดิฉันเลย
 
 
ความรู้สึกว่าพระเจ้าได้หายไปจากชีวิตของท่านได้เกิดขึ้นช่วงใกล้ๆ 
 
กับที่ท่านเริ่มดูแลรักษาคนยากจนที่กัลกัตตา 
 
และไม่เคยหายไปเลยจวบจนวาระสุดท้ายของท่าน ดังท่านเล่าว่า 
 
ความมืดมนที่ร้ายกาจเกิดขึ้นภายในใจดิฉัน ราวกับว่าทุกอย่างตายสิ้น
 
 มันเป็นเช่นนี้ตั้งแต่ดิฉันเริ่มทำงาน (สงเคราะห์คนยากจน) 
 
ภาวะดังกล่าวทำให้ท่านรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างยิ่ง 
 
ความโดดเดี่ยวอ้างว้างช่างทรมานยิ่งนัก 
 
อีกนานเท่าใดที่หัวใจของดิฉันจะต้องทุกข์ทรมานแบบนี้ 
 
จวบจน ๒ ปีสุดท้ายของชีวิตท่าน แม่ชีเทเรซาก็ยังเขียนถึง 
 
ความแห้งผากทางจิตวิญญาณ ที่เกิดกับท่าน
 
 
น่าพิศวงมากที่ผู้ซึ่งศรัทธาพระเจ้าอย่างเหลือล้น
 
จนสละตนเพื่อพระองค์ได้ กลับรู้สึกอ้างว้างว่างเปล่าอยู่ในห้วงลึกของจิต 
 
แต่ขณะเดียวกันก็น่าอัศจรรย์ ที่แม้ความทุกข์จะกัดกร่อนใจไม่เว้นแต่ละวัน
 
แต่ท่านก็สามารถทำสิ่งยิ่งใหญ่ ให้แก่เพื่อนมนุษย์ได้อย่างต่อเนื่องถึงครึ่งศตวรรษ 
 
แสดงให้เห็นถึงศรัทธาอันกล้าแกร่งอย่างยากจะหาผู้ใดเทียมเท่าได้
 
 
กรณีแม่ชีเทเรซาทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่า 
 
ความรู้สึกพร่องหรือความอ้างว้างว่างเปล่าทางจิตวิญญาณนั้น 
 
เกิดขึ้นได้อย่างไร เป็นเพราะยิ่งดิฉันต้องการพระองค์มากเท่าไร 
 
ดิฉันก็เป็นที่ต้องการน้อยลงเท่านั้น ดังที่ท่านเคยบันทึกไว้ใช่หรือไม่ 
 
หรือว่านี้เป็นปัญหาพื้นฐานของปุถุชนทั้งหลาย 
 
ไม่ว่าจะเป็นใครก็หนีความรู้สึกพร่องทางจิตวิญญาณไปไม่ได้ 
 
ต่างกันที่มากหรือน้อย และรู้ตัวหรือไม่รู้เท่านั้น
 
 
ถ้าเป็นปัญหาพื้นฐานของปุถุชน 
 
ความรู้สึกพร่องทางจิตวิญญาณเกิดขึ้นจากอะไร 
 
มีรากเหง้าจากไหน เดวิด ลอย (David Loy)
 
นักปรัชญาชาวอเมริกันได้ให้อรรถาธิบายที่น่าสนใจ 
 
โดยอาศัยแนวคิดแบบพุทธเรื่องอนัตตา กล่าวคือในความเป็นจริงแล้ว 
 
อัตตาหรือตัวตนนั้นหามีไม่ แต่เป็นเพียงสิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้นมาเอง 
 
แล้วก็ยึดติดถือมั่นในอัตตานั้น โดยหลงคิดว่ามันมีอยู่จริงๆ 
 
แต่ในส่วนลึกจิตก็รู้อยู่ลางๆ (หรือสงสัย) ว่ามันไม่มีอยู่จริง 
 
ส่วนหนึ่งก็จากการสังเกตว่าตัวตนนั้นแปรเปลี่ยนอยู่เรื่อย 
 
เดี๋ยวเป็นนั่น เดี๋ยวเป็นนี่ (เพียงแค่ดื่มเหล้าเสพยา ก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน 
 
ยิ่งเกิดอุบัติเหตุทางสมอง ก็อาจกลายเป็นคนใหม่ไปอย่างสิ้นเชิง)
 
แต่จิตไม่สามารถยอมรับความจริงว่าตัวตนนั้นเป็นมายาภาพ 
 
ดังนั้นมันจึงพยายามปฏิเสธความจริงข้อนี้ 
 
เพราะเท่ากับว่ามันเองก็หามีตัวตนหรือแก่นแท้ที่ยั่งยืนไม่
 
 
สิ่งที่จิตทำก็คือ กดข่มความรู้หรือความสงสัยดังกล่าวไว้ 
 
ทำนองเดียวกับที่หลายคนชอบกดความรู้สึกไม่ดีเอาไว้ 
 
(เช่น เกลียดแม่อยากทำร้ายพ่อ) แต่สิ่งที่ถูกกดนั้นมันไม่หายไปไหน 
 
แต่ถูกเก็บไว้ในจิตไร้สำนึก และคอยผุดโผล่ในรูปลักษณ์อาการที่ผิดเพี้ยน 
 
(เช่น เกลียดพ่อแม่ แต่ไม่ยอมรับ เลยไปโกรธเกลียดศาลพระภูมิแทนโดยไม่รู้สาเหตุ) 
 
ในกรณีความสงสัยว่าตัวตนไม่มีอยู่จริงนั้น 
 
อาการที่ปรากฏสู่การรับรู้ของจิตสำนึกคือความรู้สึกพร่อง 
 
ว่างเปล่า โหวงเหวง ไม่มั่นคง เหมือนขาดอะไรบางอย่าง 
 
แต่ไม่รู้ว่าคืออะไร ความรู้สึกดังกล่าวผลักดันให้ผู้คนพยายามครอบครองสิ่งต่างๆ
 
ด้วยเชื่อว่าจะทำให้จิตใจรู้สึกเต็ม หรือมีที่ยึดเหนี่ยวเพื่อให้เกิดความมั่นคง 
 
แต่ไม่ว่าจะมีเท่าไร ใจก็ยังรู้สึกพร่อง และไม่มั่นคงอยู่นั่นเอง
 
 เพราะสาเหตุที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การมีน้อยเกินไป 
 
แต่อยู่ที่การไม่ยอมรับความจริงว่าตัวตนนั้นไม่มีอยู่จริงต่างหาก
 
 
ทางออกจึงได้แก่การยอมรับว่าตัวตนนั้นไม่มีอยู่จริง
 
เลิกปฏิเสธหรือเบือนหน้าหนีความจริงดังกล่าว 
 
แต่การทำเช่นนั้นมิได้เกิดจากการคิด เพราะถึงคิดได้ 
 
จิตก็จะยึดเอาความคิดนั้นมาเป็นตัวตนอีกแบบหนึ่ง 
 
คือถือเอาเป็น ตัวกูของกู การยอมรับความจริงดังกล่าว 
 
จะเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริงก็จากการประจักษ์แจ้งด้วยปัญญาว่า 
 
ไม่มีอะไรที่เป็นตัวกูของกูเลย และไม่มีอะไรที่ยึดติดถือมั่นเป็นตัวตนได้ 
 
เมื่อเห็นความจริงอย่างชัดแจ้งจนไร้ข้อสงสัย 
 
การกดข่มความจริงจนไปสร้างความปั่นป่วนจากจิตไร้สำนึก 
 
ก็ไม่มีอีกต่อไป ความรู้สึกพร่องก็เป็นอันหมดไปอย่างสิ้นเชิง
 
 
แม้ศาสนาต่างๆ จะช่วยลดความรู้สึกพร่องลงได้บ้าง 
 
เช่น มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ 
 
แนะนำวิธีทำใจให้สงบ มีสวรรค์และโลกหน้าที่ให้ความหวังว่า 
 
จะบรรเทาความรู้สึกพร่องที่รบกวนจิตใจในโลกนี้ให้หมดไปได้ 
 
แต่ก็ยังไม่สามารถขจัดความรู้สึกพร่องไปได้อย่างแท้จริง 
 
จนกว่าจิตใจจะประจักษ์แจ้งและยอมรับความจริงดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง
 
 
มองในแง่นี้ความรู้สึกพร่อง 
 
จึงเป็นปัญหาสากลของคนทุกคนที่ยังเป็นปุถุชนอยู่ 
 
แต่ถึงจะยังไม่บรรลุธรรมอย่างถึงที่สุด 
 
เราก็ยังมีหวังว่าจะบรรเทาความรู้สึกพร่องได้เป็นลำดับไป 
 
หากใช้ชีวิตและรู้จักทำใจอย่างถูกต้อง 
 
แต่ในระหว่างที่ยังไม่สามารถขจัดความรู้สึกดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง 
 
เราก็เห็นจะต้องยอมรับว่าความเหงา อ้างว้าง ว่างเปล่า และเปล่าเปลี่ยว
 
 เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่เราต้องอยู่กับมันไปอีกนาน 
 
 
 
คัดลอกจาก...สารคดี มกราคม ๒๕๕๑
 
http://www.budnet.info/webb0ard/view.php?category=textc&wb_id=61
 
 
         | 
 
        
          |   | 
         
 | 
 
 
 | 
 
    | 
 
  | 
 
กุหลาบสีชา 
บัวเงิน 
 
  
  
เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007 
ตอบ: 1466 
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม. 
 
 | 
 ตอบเมื่อ:
06 มี.ค.2008, 4:28 pm | 
   | 
 
 
 
ทางเลือกมี....ขอให้ชีวิตนี้มีธรรมเป็นสรณะ  ...ไงคะ 
 
 
อนุโมทนาสาธุด้วยนะคะคุณลูกโป่ง
 
ธรรมสวัสดีวันพระด้วยค่ะ :          | 
 
        
          |   | 
         
 | 
 
 
 | 
 
     | 
 
  | 
 
I am 
บัวบานเต็มที่ 
 
 
  
เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006 
ตอบ: 972 
 
 
 | 
 ตอบเมื่อ:
07 มี.ค.2008, 7:57 am | 
   | 
 
 
 
"อยู่คนเดียว ให้ระวังความคิด 
 
อยู่กับมิตร ให้ระวังคำพูด"
 
 
โมทนาสาธุจ้า...      | 
 
        
          |   | 
         
 _________________ ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก | 
 
 
 | 
 
      | 
 
  | 
 
พิทรายา 
บัวใต้น้ำ 
 
 
  
เข้าร่วม: 12 ส.ค.  2007 
ตอบ: 103 
ที่อยู่ (จังหวัด): ชลบุรี 
 
 | 
 ตอบเมื่อ:
07 มี.ค.2008, 1:50 pm | 
   | 
 
 
 
        | 
 
        
          |   | 
         
 _________________ ความยึดมั่นถือมั่นทำให้เป็นทุกข์ | 
 
 
 | 
 
   | 
 
  | 
 
บัวหิมะ 
บัวเงิน 
 
  
  
เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008 
ตอบ: 1273 
 
 
 | 
 ตอบเมื่อ:
21 ส.ค. 2008, 10:09 pm | 
   | 
 
 
 
แต่ขณะเดียวกันก็น่าอัศจรรย์ ที่แม้ความทุกข์จะกัดกร่อนใจไม่เว้นแต่ละวัน 
 
น่าพิศวงมากที่ผู้ซึ่งศรัทธาพระเจ้าอย่างเหลือล้น 
 
จนสละตนเพื่อพระองค์ได้ กลับรู้สึกอ้างว้างว่างเปล่าอยู่ในห้วงลึกของจิต 
 
แต่ท่านก็สามารถทำสิ่งยิ่งใหญ่ ให้แก่เพื่อนมนุษย์ได้อย่างต่อเนื่องถึงครึ่งศตวรรษ 
 
แสดงให้เห็นถึงศรัทธาอันกล้าแกร่งอย่างยากจะหาผู้ใดเทียมเท่าได้ 
 
 
กรณีแม่ชีเทเรซาทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่า 
 
ความรู้สึกพร่องหรือความอ้างว้างว่างเปล่าทางจิตวิญญาณนั้น 
 
เกิดขึ้นได้อย่างไร เป็นเพราะยิ่งดิฉันต้องการพระองค์มากเท่าไร 
 
ดิฉันก็เป็นที่ต้องการน้อยลงเท่านั้น ดังที่ท่านเคยบันทึกไว้ใช่หรือไม่ 
 
หรือว่านี้เป็นปัญหาพื้นฐานของปุถุชนทั้งหลาย 
 
ไม่ว่าจะเป็นใครก็หนีความรู้สึกพร่องทางจิตวิญญาณไปไม่ได้ 
 
ต่างกันที่มากหรือน้อย และรู้ตัวหรือไม่รู้เท่านั้น 
 
 
เป็นเรื่องที่ไม่เคยทราบมาก่อน  แปลกแท้ ๆ จิตมนุษย์  
 
 
อนุโมทนาบุญ พระไพศาล วิสาโล  และ ท่านเจ้าของกระทู้ | 
 
        
          |   | 
         
 _________________ ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ | 
 
 
 | 
 
   | 
 
  | 
 
chill 
บัวพ้นดิน 
 
  
  
เข้าร่วม: 22 ก.พ. 2008 
ตอบ: 85 
 
 
 | 
 ตอบเมื่อ:
23 ส.ค. 2008, 9:12 pm | 
   | 
 
 
 
อนุโมทนานะคะ    | 
 
        
          |   | 
         
 _________________ มีชีวิตอยู่เพื่อทำความดี.. | 
 
 
 | 
 
   | 
 
  | 
 
ชาญวิทย์ 
บัวเริ่มพ้นน้ำ 
 
  
  
เข้าร่วม: 04 พ.ค. 2008 
ตอบ: 152 
 
 
 | 
 ตอบเมื่อ:
24 ส.ค. 2008, 7:59 pm | 
   | 
 
 
 
สาธุจ้า 
 
               | 
 
        
          |   | 
         
 _________________ ธรรมะคือธรรมชาติ | 
 
 
 | 
 
    | 
 
  | 
 
นิชาภัทร 
บัวใต้ดิน 
 
 
  
เข้าร่วม: 23 ส.ค.  2008 
ตอบ: 31 
ที่อยู่ (จังหวัด): ชลบุรี 
 
 | 
 ตอบเมื่อ:
01 ก.ย. 2008, 6:32 pm | 
   | 
 
 
 
  | 
 
        
          |   | 
         
 _________________ จบให้ลง  ปลงให้เป็น | 
 
 
 | 
 
   | 
 
  | 
 
| 
 | 
 
 
|   | 
 
 
 
 
 
อ่านหัวข้อถัดไป 
อ่านหัวข้อก่อนหน้า 
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่ คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ คุณไม่สามารถลงคะแนน คุณ  สามารถ  แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้  คุณ  สามารถ  ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
  | 
 
 
  
  |    |  |