Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ปัญญาของตน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 03 มี.ค.2008, 8:36 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

การเรียน การท่อง การจำ เป็นเพียงระดับหนึ่งของความสำคัญในการศึกษาพระพุทธศาสนา ปัญญายังไม่เกิดจากการเรียนและจำได้ท่องได้ สอนเขาต่อไปได้เท่านั้น

อันความรู้ที่ได้จากการเรียนการท่องจำ รวมทั้งการพูดได้สอนได้เช่นนั้น
ยังไม่ใช่ปัญญาของผู้เรียนรู้ท่องจำได้นั้น
ยังเป็นเพียงการยกปัญญาของท่านผู้อื่นมาพูดมาสอนเท่านั้น


แน่ๆ คือเป็นพระปัญญาของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
และอาจเป็นปัญญาของพระอริยบุคคลที่ได้ยินได้ฟังมาจากท่าน และจดจำไว้แสดงต่อเท่านั้น

จะเป็นปัญญาของเราแต่ละคนก็ต้องหมายความว่า เราเรียนรู้จากการฟังการอ่านข้อเขียนของท่านผู้นั้นผู้นี้ จนเข้าถึงใจแม้พอสมควร นั่นจึงจะเป็นปัญญาของเราผู้เรียนรู้และปฏิบัติ จนเกิดความเข้าใจหรือความรู้ด้วยตนเอง

เมื่อใดเป็นปัญญาของเรา เมื่อนั้นเราจึงจะได้ประโยชน์จากการเรียนธัมมะ
จะพูดถึงส่วนที่เป็นปัญญาคือความรู้ของเราได้อย่างไม่ผิด
ขอฝากให้เข้าใจเรื่องความรู้และปัญญาไว้ให้ดี
ทำความเข้าใจให้ชัดเจนตั้งแต่บัดนี้
จะได้ไม่รู้ธัมมะเพียงการท่องจำ ซึ่งเป็นประโยชน์น้อย
เหมือนทำตัวเป็นหนังสือที่มีข้อเขียนสำหรับให้มีผู้เปิดอ่าน
ให้ผู้อื่นฟังบ้างให้ตัวเองรู้เรื่องบ้างเท่านั้น
เป็นประโยชน์สำหรับผู้ทำตัวเป็นเพียงหนังสือเท่านั้น


จงทำปัญญาให้เกิดจะดีกว่า ปัญญานั้นเกิดแต่การเรียนรู้แล้วคิดทำความเข้าใจให้เป็นปัญญาของตน ไม่เป็นปัญญาของท่านผู้รู้จริงทั้งหลายเท่านั้นท่องจำให้เป็นหนังสือนั้นอาจเป็นประโยชน์แก่ผู้มาอ่าน แต่เป็นประโยชน์แก่ตนเองน้อยมากและอาจเป็นโทษด้วยซ้ำไป

แม้เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจว่า
ตนเป็นผู้รู้ธัมมะที่สำคัญที่มีรู้น้อยคน
แล้วความทะนงใจ ยกตนข่มท่าน ข่มใครต่อใคร ก็จะตามมา
ไม่มีคุณแก่ตนเอง ทั้งยังมีโทษอย่างมาก


เรื่องนี้จึงสำคัญมาก ขอจงพยายามทำความเข้าใจในเรื่องนี้ให้ถูกต้อง
เตือนตนเองไว้ให้สม่ำเสมอว่า
ปัญญาเกิดแต่ต้องเรียนเป็นอันดับแรก
แล้วจึงนำที่เรียนไว้นั้นไปคิดไตร่ตรองให้เกิดความเข้าใจชัดเจน
ที่เรียกว่าเกิดเป็นปัญญานั่นเอง


อย่างไรก็ตามขอให้พยายามคิดพูดทำอย่างมีสติ ทุกขณะจิตคิดพูดทำแต่ที่ดีงาม
และจำไว้ให้มั่นด้วย ว่าสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทางภาษิตไว้ว่าดังนี้

“ความรู้เกิดแก่คนพาล ก็เพียงเพื่อความฉิบหาย
มันทำสมองของเขาให้เขว ย่อมฆ่าส่วนที่ขาวของคนพวกนั้นเสีย”


พูดง่ายๆ ก็คืออย่าเป็นคนพาล เพราะมีความรู้แล้วจะได้ไม่เป็นโทษร้ายแรง

: แสงส่องใจ มาฆบูชา ๒๕๔๕
: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก


สาธุ ยิ้มเห็นฟัน
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
พิทรายา
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 12 ส.ค. 2007
ตอบ: 103
ที่อยู่ (จังหวัด): ชลบุรี

ตอบตอบเมื่อ: 07 มี.ค.2008, 1:54 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ สาธุ
 

_________________
ความยึดมั่นถือมั่นทำให้เป็นทุกข์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง