muntana
บัวใต้น้ำ

เข้าร่วม: 10 ม.ค. 2008
ตอบ: 108
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok , Thailand
|
ตอบเมื่อ:
01 มี.ค.2008, 6:20 pm |
  |
ขอเชิญฟัง หัวข้อคือ
“พุทธศาสนากับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์”
มาขอประชาสัมพันธ์ล่วงหน้า
ขอเรียนเชิญผู้ที่สนใจ
หัวข้อคือ “พุทธศาสนากับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์”
วันศุกร์ที่ 14 มีนาคม 2551
เวลา 18:30-20:30 นาฬิกา
สถานที่ ณ หอประชุมพุทธคยา ชั้น 22 อาคารอัมรินทร์พลาซ่า
(รถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีชิดลม) หรือตามลิงก์
ชมรมคนรู้ใจ
บรรยายโดย ศ.นพ.คงศักดิ์ ตันไพจิตร, พบ.(เกียรตินิยม), ศาสตราจารย์ภาควิชาอายุรศาสตร์คลินิก มหาวิทยาลัยวอชิงตัน เซนต์หลุยส์ (Professor of Clinical Medicine, Washington University in St. Louis, USA)
ผู้แต่งหนังสือ
“สติ-กุญแจไขชีวิต”
“ภาวนา ภาษาธรรม”
“Buddhism Answers Life”
“Essence of Life: Mindfulness & Self-Awareness”
เมื่อปีพ.ศ. 2510 เคยบวชเป็นพระภิกษุในฉายาว่า “ปญฺญวโร” ณ วัดบวรนิเวศวิหาร โดยมีสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ และได้มีโอกาสศึกษาปฏิบัติธรรม ณ วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี ภายใต้การสอนจากพระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)
********************************************************************
พุทธศาสนากับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์
โดย ศ.นพ.คงศักดิ์ ตันไพจิตร
ปัจจุบันนี้วิทยาศาตร์และการแพทย์ได้เจริญก้าวหน้าไปมาก ได้มีการค้นพบว่ามนุษย์กับลิงชิมแปนซีมีพันธุกรรมที่ต่างกันไม่ถึง 2% แต่มนุษย์กลับสามารถพัฒนาเจริญก้าวหน้าไปห่างไกลจากลิงมาก จนอาจกล่าวได้ว่า มนุษย์ครองโลกได้สำเร็จ
การค้นพบ “Mirror neurons” (ประสาทเลียน) สามารถช่วยอธิบายให้เข้าใจถึงการเรียนรู้ภาษาและวิชาการต่างๆ ศิลปวัฒนธรรม ความเมตตาเห็นอกเห็นใจ ตลอดถึงอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน การตรวจสมองด้วย functional MRI scan และ PET/CT scan สามารถบ่งบอกได้ว่า สมองส่วนใดกำลังทำงานในกิจต่างๆ เช่น เวลาโกรธ เป็นสุขหรือทุกข์ การอ่าน การพูด เป็นต้น สมองสามารถปรับตัวเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ใช่คงที่ถาวรไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างที่เคยเข้าใจกัน เซลล์ประสาทสามารถสร้างใยเชื่อมโยงเพื่อประสานงาน ทำหน้าที่ต่างๆ ให้ได้ประสิทธิภาพที่เหมาะสมอย่างเต็มที่
การเจริญสติวิปัสสนากรรมฐานสามารถเปลี่ยนกระแสการทำงานของสมองจากด้านขวาเมื่ออารมณ์ขุ่นมัว มาอยู่ที่สมองด้านซ้ายส่วนหน้า ซึ่งบ่งบอกแสดงถึงอารมณ์สุข และยังมีผลในการเสริมสร้างเพิ่มพูนภูมิคุ้มกันต่อการฉีดแวคซีนต้านไข้หวัดได้ดีกว่าผู้ที่ไม่เคยเจริญสติมาก่อน
วิทยาศาสตร์ได้ค้นพบแล้วว่า การรับรู้ด้วยประสาทสัมผัส (Perceptual processing) ทำหน้าที่โดยสมองส่วนที่จำเพาะและต่างไปจากส่วนที่ทำงานเกี่ยวเนื่องกับสมมติบัญญัติและความคิดปรุงแต่ง (Conceptual Processing) ซึ่งตรงกับหลักอภิธรรมได้บรรยายถึง “วิถีจิต” และการทำงานของจิต ไว้กว่า 2,400 ปีมาแล้ว อย่างน่าอัศจรรย์ ปัจจุบันได้มีการนำ “สติ” มาประยุกต์ใช้ในจิตบำบัด และใช้ในการช่วยเสริมรักษาผู้ป่วยด้วยโรคต่างๆ ได้ผลดีมาก เช่นโรคปวดเรื้อรัง โรคสเก็ดเงิน โรคซึมเศร้า และมะเร็งบางประเภท เป็นต้น
พระพุทธองค์ยังทรงส่งเสริมเวชศาสตร์ป้องกัน โดยทรงห้ามพระสงฆ์ถ่ายอุจจาระและปัสสาวะลงในทางน้ำแม่น้ำลำคลอง ทรงสนับสนุนให้พระสงฆ์ใช้ไม้สีฟันตลอดถึงทรงบรรยายถึงประโยชน์ และโทษเมื่อไม่แปรงฟัน ซึ่งเป็นบันทึกแรกในโลกถึงแปรงสีฟัน พระศาสดาทรงดูแลภิกษุซึ่งป่วยหนักด้วยพระองค์เอง ทรงปฏิบัติเป็นแบบอย่างให้สงฆ์ดูแลกันเอง ประดุจดั่งดูแลปรนนิบัติพระพุทธองค์ ทำให้ชาวบ้านสร้างโรงเรือนสำหรับดูแลพระสงฆที่อาพาธ ซึ่งเป็นแนวให้พระเจ้าอโศกมหาราชสร้างโรงพยาบาลแห่งแรกของโลกสำหรับมนุษย์และสัตว์
พระพุทธองค์ยังได้แนะนำพระเจ้าปเสนทิโกศล กษัตริย์แคว้นโกศล ซึ่งเป็นคนอ้วน -ให้มีสติทุกเมื่อ และรู้ประมาณในการกิน ย่อมช่วยให้ไม่อึดอัด ทำให้แก่ช้าและอายุยืน - ซึ่งเมื่อทรงปฏิบัติตาม ได้ส่งผลดีที่ดีตามมา คือน้ำหนักลด ทำให้กระปรี่กระเปร่า และมีอายุยืนถึง 80 พรรษาเทียบเท่าพระพุทธองค์
นอกจากพระศาสดาจะทรงยอมรับว่า พระองค์ทรงชราภาพในปัจฉิมวัยแล้ว ยังทรงปรารภถึงความจริงอย่างยิ่งที่ยอมรับกันทั่วไปในหมู่นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน โดยทรงตรัสว่า “ในชีวิต ย่อมมีความตาย” “ในความหนุ่ม ย่อมมีความแก่” “ในความมีสุขภาพที่ดี ย่อมมีโรค” และไม่มีใครล่วงพ้นความตายไปได้ ซึ่งตรงกับหลักวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบว่า เซลล์แต่ละเซลล์ได้ถูกกำหนดเวลาไว้แล้วว่าจะมีชีวิตอยู่ได้นานเท่าไร แล้วจะฝ่อตายไปเอง แม้คนเราที่เกิดมา ร่างกายก็เริ่มเสื่อมโทรม และค่อยๆ แก่สุกงอมไปตามวัย ข้อชราก็เริ่มปรากฏตั้งแต่วัย 30 ปี มนุษย์เราแม้จะดูมีสุขภาพแข็งแรงดี แต่ต้องคอยกำจัดภัยที่คุกคามต่างๆ จากเชื้อโรคหรือแม้แต่มะเร็งที่อาจเล็ดลอดอยู่ในตน พระศาสดายังทรงเมตตาบรรยายลักษณะของแพทย์และพยาบาลที่ดีหรือเลว ตลอดถึง ลักษณะของคนไข้ที่ดีหรือเลว ไว้อย่างละเอียดลออ เพื่อให้ใช้เป็นแนวทางศึกษาและปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง
พระพุทธองค์ยังทรงเมตตาประธานหลักในการสร้างสติ-ความรู้สึกตัวไว้ ด้วยการเจริญสติปัฏฐานสี่ ระลึกรู้ในกาย เวทนา จิต และธรรม เพื่อนำให้เห็นสภาวธรรมที่แท้จริงตามธรรมชาติว่า ปราศจากอัตตาตัวตนที่เที่ยงแท้ถาวร ซึ่งปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ทางประสาทวิทยาได้ยอมรับว่า อัตตาเกิดขึ้นเป็นผลพลอยได้จากการทำงานของสมองเพื่อตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมต่างๆ และแม้จะพยายามค้นหาศูนย์หรือแหล่งของอัตตาตัวตนมานานกว่า 100 ปีแล้ว นักวิทยาศาสตร์ก็ยังค้นหาไม่พบ และยอมรับว่ามิได้มีอัตตาตัวตนอยู่จริง ซึ่งตรงกับหัวใจของพระพุทธศาสนาที่กล่าวว่า “ธรรมทั้งปวงล้วนเป็นอนัตตา” |
|
|
|