Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ภิกษุสันดานลา (เสฐียรพงษ์ วรรณปก) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
webmaster
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 04 มิ.ย. 2004
ตอบ: 769

ตอบตอบเมื่อ: 20 ม.ค. 2008, 10:42 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

ภิกษุสันดานลา
โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก



“ภิกษุทั้งหลาย ลาที่เดินตามฝูงโค แม้มันจะร้องว่า “ข้าเป็นโค ข้าเป็นโค” ก็ตาม แต่เสียงของมันหาเป็นเสียงของโคไม่ เท้าของมันหาเป็นเท้าของโคไม่ มันได้แต่เดินตามฝูงโคแล้วร้องว่า “ข้าเป็นโค ข้าเป็นโค” ฉันใด

ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุบางรูปก็ฉันนั้น แม้เดินตามหลังภิกษุทั้งหลายและร้องประกาศว่า “ฉันเป็นพระ ฉันเป็นพระ” ก็ตาม ศีลสิกขาบทของเธอไม่เหมือนของภิกษุทั้งหลาย จิตตสิกขาของเธอไม่เหมือนของภิกษุทั้งหลาย ปัญญาสิกขาของเธอไม่เหมือนของภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นได้แต่เดินตามหลังภิกษุทั้งหลาย ประกาศตนว่า “ฉันเป็นพระ ฉันเป็นพระ” เธอหาใช่พระไม่

ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพึงสำเหนียกศึกษาอย่างนี้ว่า การประพฤติในศีลสิกขาบท ในจิตตสิกขา ในปัญญาสิกขาของเรา ต้องเข้มงวดเสมอ พวกเธอพึงสำเหนียกศึกษาอย่างนี้”

ข้อความข้างต้นคัดจาก คัทรภสูตร (สูตรว่าด้วยลา) ให้ข้อคิดว่า ในพระพุทธศาสนาก็อาจมีผู้แอบแฝงเข้ามาในร่างของภิกษุ อาศัยศาสนาหากินเป็นจำนวนมาก คนพวกนี้บางทีก็บวชเข้ามาอย่างถูกต้อง มีอุปัชฌาย์อาจารย์ แต่อุปัชฌาย์อาจารย์ไม่สั่งสอนอบรม ถูกความอยากใหญ่ครอบงำ ตั้งตนเป็นอาจารย์จัดฉาก โฆษณาตัวเอง เพื่อสร้างความเด่นดัง ไม่สนใจศึกษาปฏิบัติ บ้างก็สอนธรรมะผิดๆ ถูกๆ บ้างก็ละเมิดวินัยอย่างร้ายแรง คนพวกนี้ถึงจะบอกใครต่อใครว่า “อาตมาเป็นพระ” ก็ใช่พระไม่ พระพุทธองค์ทรงเปรียบเห็นภาพดี คือเปรียบดุจลาในฝูงโค ถึงมันจะร้อง “มอๆ” ก็หาใช่โคไม่

พระปลอมอาศัยพระศาสนาหากินนับว่าบาปอยู่แล้ว ญาติโยมที่อุปถัมภ์บำรุงหรือสนับสนุนพระปลอมนั้น บาปกว่าหลายร้อยเท่า เพราะให้กำลังแก่อลัชชีทำลายพระพุทธศาสนา

อลัชชีส่วนมากมักจะเก่งในการโกหกหลอกลวงคน โดยการแกล้งวางตนให้สงบเสงี่ยม จะเดินจะเหิน จะพูดจะจา ดูเรียบร้อยน่าเลื่อมใสไปหมด แต่พอลับหลังคน จะกลายเป็นอีกคนหนึ่ง

สมัยพุทธกาล มีปริพาชกคนหนึ่งชื่อ “ชัมพุกะ” ประชาชนแห่แหนมากราบไหว้ เสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าชัมพุกะเป็นพระอรหันต์ มีตบะเคร่งครัด ไม่นั่งไม่นอน ยืนขาเดียว มีลมเป็นภักษา แต่เบื้องหลังอรหันต์ปลอมคนนี้น่าสะอิดสะเอียนยิ่ง ตั้งแต่เกิดมาแกไม่ยอมนุ่งผ้า เวลาพ่อแม่เผลอก็จะแอบกินอุจจาระของตนเอง ข้าวปลาไม่ยอมกิน จนกระทั่งพ่อแม่ต้องนำไปฝากไว้กับพวกอาชีวก (นักบวชชีเปลือย) เพราะกลัวใครรู้ความจริงเข้าจะขายหน้าเขาว่ามีลูกชายกินขี้เป็นอาหาร

มาอยู่กับพวกอาชีวก ชัมพุกะประพฤติตนเรียบร้อย เป็นที่รักของพวกอาชีวกรุ่นพี่ๆ เวลาเช้า เมื่อพวกอาชีวกออกไปบิณฑบาตยังหมู่บ้าน ชัมพุกะไม่ยอมไปกับพวกเขา ขอเฝ้าวัดอยู่คนเดียว เมื่อพวกอาชีวกบิณฑบาตกลับมา ชวนชัมพุกะรับประทานอาหาร แกก็บอกว่า แกกินเรียบร้อยแล้ว พวกอาชีวกสงสัยว่าชัมพุกะได้อาหารมาจากไหน เพราะในวัดไม่มีอะไรเลย

อยู่มาวันหนึ่งพวกเขาก็จับได้ว่า ขณะที่พวกเขาเข้าไปหมู่บ้าน ชัมพุกะแอบไปกินอุจจาระที่ส้วมหลุม (ถาน) จึงไล่แกไปอยู่ที่อื่น ด้วยเกรงว่านักบวชศาสนาอื่น โดยเฉพาะพระพุทธศาสนารู้เรื่องเข้า จะเข้าใจผิดว่าพวกอาชีวกกินขี้กันหมดทุกคน ทำให้หมู่คณะเสียชื่อเสียง

เมื่อถูกไล่แกก็ไปอยู่ที่เชิงผาแห่งหนึ่ง ใกล้ชิดผานั้นมีลานหินดาดอยู่ เช้ามืดประชาชนจะมา “ปล่อยทุกข์” ไว้ที่ลานหินดาดนั้น ชัมพุกะก็ย่องไปกินอุจจาระอิ่มแปล้ เสร็จแล้วก็มายืนขาเดียว อ้าปากอยู่ข้างทาง ประชาชนเดินผ่านไปผ่านมา เห็นชัมพุกะเคร่งตบะอย่างยิ่งยวด ก็หลั่งไหลมากราบไหว้บูชาด้วยเข้าใจว่าท่านผู้นี้เป็นพระอรหันต์

กว่าจะรู้ว่าถูกพระอรหันต์กินขี้หลอกต้ม ประชาชนก็ทุ่มเทให้หมดใจแล้ว ดีแต่ว่าแกเป็นนักบวชไม่นุ่งผ้าสมบัติพัสถานอะไร จะรับไว้มากๆ ก็ไม่ได้ กลัวคนจะหาว่าโลภมาก ไม่มักน้อยสันโดษสมกับราคาคุย แต่นักบวชปลอมสมัยนี้ ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งลาภสักการะ ได้เท่าไรก็ไม่พอ เข้าทำนอง “ถมไม่รู้จักเต็ม” แต่ละคนล้วนมีเทคนิควิธีหลอกให้คนเลื่อมใสแปลกๆ น่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง อาทิเช่น

1. วิธีที่หนึ่ง อ้างอิทธิปาฏิหาริย์ พวกนี้มักอ้างอิทธิปาฏิหาริย์ ถึงไม่พูดออกมาตรงๆ ก็พูดเป็นนัยๆ หรือไม่ก็ให้ “หน้าม้า” (ส่วนมากก็มักเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิด) คอยปล่อยข่าวว่า ท่านอาจารย์ของพวกเขามีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์อย่างนั้นอย่างนี้ บางรายหน้าด้านถึงขนาดสร้างฉากให้คนเห็นว่าตนมีอิทธิปาฏิหาริย์ เช่น ห่มจีวรแล้วให้ลูกศิษย์มุดเข้าไปฉายไฟออกมาจากจีวร แล้วถ่ายรูปไว้ รูปจะปรากฏมีรัศมีพุ่งออกจากกายของอลัชชีลวงโลกคนนั้น เมื่อแจกจ่ายรูปออกไป ประชาชนก็แห่กันมากราบไหว้ด้วยความเลื่อมใส บ้างก็มาจากไกลๆ เพียงเพื่อจะได้ชมบารมีพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา

อุบายตื้นๆ อย่างนี้ทำให้คนหลงเชื่อและเลื่อมใสมานักต่อนัก เมื่อเลื่อมใสแล้ว มีทรัพย์สินเงินทองเท่าไหร่ ก็ยินดีทุ่มให้สุดตัว ว่ากันว่าบรรดาคุณหญิงไฮโซๆ แย่งกันทำบุญกับพระอรหันต์ดิบพวกนี้กันล้นหลาม จนตัวคนทำบุญเองจะ “โซ” อยู่แล้ว แต่อลัชชีเจ้าก็รวยเอาๆ อยู่อย่างสบายบนความโง่เขลาของประชาชน

มีผู้กล่าวว่า ถ้าคุณไฉน แสงทองสุข นักเล่นมายากลมือฉกาจ ออกบวชแล้วเล่นกลให้คนดูโดยไม่บอกว่าเป็นกล อรหันต์เก๊ลวงโลกทั้งหลายคง “ชิดซ้าย” ไปตามๆ กัน เพราะมายากลของคุณไฉน น่าทึ่งมหัศจรรย์และไม่สามารถจับผิดได้ แต่คุณไฉน ท่านก็ซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพ ซื่อสัตย์ต่อประชาชน ท่านก็บอกทุกครั้งว่า “นี่กลนะครับ ไม่ใช่อิทธิปาฏิหาริย์อะไร”

2. วิธีสอง คล้ายวิธีแรกคือ พูดในสิ่งที่คนทั่วไปไม่รู้ไม่เห็น ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องมดเท็จทั้งนั้น ทางพระท่านเรียกว่า “อวดอุตริมนุสสธรรม” (อวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน, ตนทำไม่ได้) เช่น

บางรูปอ้างนรก สวรรค์ อ้างตนว่าสามารถเข้าสมาธิแล้วไปนรก ไปสวรรค์ได้ เพราะฉะนั้นถ้าใครอยากรู้ว่าพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ตายไปแล้วไปเกิดที่ไหน ตนสามารถเข้าฌานดูให้ได้

เมื่อญาติโยมขอร้องให้ดูพ่อแม่ของตนที่ตายไปแล้ว อลัชชีจอมบทบาทเหล่านี้ก็จะทำท่าผู้ทรงศีลหลับตาเข้าฌานแล้วก็บอกว่าโยมเอย พ่อแม่ของโยมกำลังตกนรกขุมที่ลึกที่สุด ทรมานที่สุด ถ้าโยมอยากจะช่วยดับไฟนรกให้พ่อแม่ของโยม ก็จงทำบุญเสียแสนบาท หรือสองแสนบาท ถ้าให้น้อยกว่าแสน ก็ดับไฟนรกได้ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ถ้าจะให้ไฟนรกดับถาวรก็ต้องบริจาคตั้งแต่แสนขึ้นไป แล้วใครมันจะอยากให้พ่อแม่ของตนทุกข์ละครับ มีทางใดที่ลูกๆ จะผ่อนคลายไฟนรกได้ก็ยินดีทำเพื่อตอบแทนคุณบิดามารดา

ครับยิ่งช่วยให้คนตกนรกพ้นขุมนรกได้มากเท่าใด เจ้ากูท่านก็ยิ่งถุงย่ามตุงขึ้นทุกวัน ยังมีอีกหลายวิธี มีเวลาค่อยนำมาเล่าให้ฟังภายหลัง สรุปตรงนี้ว่าพระปลอม (ไม่ว่าปลอมบวชหรือบวชมาถูกต้องแต่ทำผิดธรรมวินัย) ไม่ต่างอะไรกับลาเดินหลังโคร้อง “มอๆ” อย่างไรก็หาใช่โคไม่

ชาวพุทธจึงควรดูกันให้ถี่ถ้วนว่าตัวไหนโค ตัวไหนลา จะได้ไม่หลงเลี้ยงผิดประเภท

Image
ลา


หนังสือพิมพ์มติชน รายวัน หน้า 6
คอลัมน์ รื่นร่มรมเยศ โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก
วันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 10907
 

_________________
ธรรมจักรดอทเน็ต
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 21 ม.ค. 2008, 3:00 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ สาธุค่ะ...คุณ webmaster

ธรรมะสวัสดีค่ะ

ยิ้ม ยิ้มแก้มปริ สู้ สู้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
p.somchai
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 22 พ.ย. 2007
ตอบ: 48
ที่อยู่ (จังหวัด): ชลบุรี

ตอบตอบเมื่อ: 21 ม.ค. 2008, 4:57 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ สาธุ
 

_________________
หนทางหมื่นลี้ ย่อมมีก้าวแรก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง