Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 พระกาลกินคน อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
p.somchai
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 22 พ.ย. 2007
ตอบ: 48
ที่อยู่ (จังหวัด): ชลบุรี

ตอบตอบเมื่อ: 23 ม.ค. 2008, 2:33 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

หนึ่งในคอลัมน์ของธรรมจักษุ

เรื่อง
พระกาลกินคน




โดย...นาวาเอก(พิเศษ) วุฒิ อ่อนสมกิจ


พิมพ์ลงในนิตยสาร “ธรรมจักษุ”

ปีที่ 89 ฉบับที่ 3 ธันวาคม 2547

พระกาลกินคน




พระกาลตามคติโบราณเป็นเทวรูปองค์หนึ่ง ลักษณะมี 4 กร ทรงนกแสกเป็นพาหนะ ชาวบ้านถือกันว่า ถ้านกแสกร้องแซ้ก บินถาข้ามหลังคาเรือนของใครในเวลาดึก เป็นสัญญาณบอกให้รู้ล่วงหน้าว่า คนที่นอนป่วยอยู่ในเรือนนั้น จะต้องตายในไม่ช้า แสดงว่า เวลานกแสกบินผ่านมาก็เป็นรางว่าพระกาลท่านเสด็จมาเพื่อจะคร่าเอาชีวิตคนเจ็บไป คนทั้งหลายจึงกลัวนกแสกร้องในเวลากลางคืน



คติทางพระพุทธศาสนา กล่าวถึงพระกาลองค์นี้ลักษณะเป็นปริศนาธรรมว่า "มียักษ์อยู่ตนหนึ่ง มีตาอยู่ 2 ข้าง ข้างหนึ่งสว่าง อีกข้างหนึ่งริบหรี่ มีปากอยู่ 12 ปาก มีฟันไม่มาก แต่ละปากมี 30 ซี่ กินสัตว์ทั่วทั่งปฐพี ยักษ์ตนนี้คือใคร?" ท่านถอดใจความไว้ว่า ยักษ์ตนนี้ก็คือพระกาล ซึ่งหมายถึงกาลเวลานั่นเอง ที่ว่ามีตา 2 ตา ท่านหมายถึงเวลากลางวันและกลางคืน ที่ว่ามีปากอยู่ 12 ปาก หมายถึงในรอบ 1 ปี มี 12 เดือน และที่ว่ามีฟัน 30 ซี่ หมายถึงแต่ละเดือนมี 30 วัน เมื่อกาลเวลาล่วงเลยไป มันกลืนกินชีวิตมนุษย์ และสัตว์พร้อมทั้งตัวมันเองด้วย

พระพุทธองค์ทรงแนะให้พุทธบริษัทพิจารณาทุกวันๆ ว่า เรามีความแก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ เจ็บ ตายไปได้ และเมื่อถึงวาระนั้น ต้องละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นทรัพย์ศฤงคาร ยศ ศักดิ์ และฐานะ มีแต่ผลของกรรมเท่านั้นที่ติดตัวไปได้ จึงควรทำความดีให้มาก

ขณะมีชีวิตอยู่ ควรสำรวจตนเองอยู่เสมอว่า วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่ และสิ่งที่ทำนั้นคุ้มค่ากับชีวิต และเป็นประโยชน์ต่อสังคมหรือไม่เพียรไร ถ้าคุ้มค่าและเป็นประโยชน์นั่นหมายถึงว่า เราไม่ยอมปล่อยให้กาลเวลากลืนกินเราฝ่ายเดียว แต่เรากลับกินกาล คือใช้มันไปอย่างคุ้มค่าและเป็นประโยชน์ที่สุด.


__________________

"...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ถ้าภิกษุหรือใครๆก็ตาม พึงอยู่โดยชอบ ปฏิบัติตามมรรคอันประเสริฐประกอบด้วยองค์แปดนี้อยู่ โลกก็จะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์..."
โอวาทก่อนเสด็จปรินิพพานขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธบพิตรพิชิตมารองค์ที่๔แห่งภัทรกัปป์นี้
 

_________________
หนทางหมื่นลี้ ย่อมมีก้าวแรก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 23 ม.ค. 2008, 4:29 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กาลเวลากลืนกินทุกสรรพสิ่ง
กาลเวลาคือคือเงื่อนไขสำคัญของ "กฏไตรลักษณ์"


อนุโมทนาสาธุด้วยนะคะคุณ p.somchai สาธุ สู้ สู้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 23 ม.ค. 2008, 6:02 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ สาธุค่ะ

พระพุทธองค์ทรงแนะให้พุทธบริษัทพิจารณาทุกวันๆ ว่า
เรามีความแก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา
ไม่ล่วงพ้นความแก่ เจ็บ ตายไปได
และเมื่อถึงวาระนั้น ต้องละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์ศฤงคาร ยศ ศักดิ์ และฐานะ
มีแต่ผลของกรรมเท่านั้นที่ติดตัวไปได้ จึงควรทำความดีให้มาก

ขณะมีชีวิตอยู่ ควรสำรวจตนเองอยู่เสมอว่า
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่ และสิ่งที่ทำนั้นคุ้มค่ากับชีวิต
และเป็นประโยชน์ต่อสังคมหรือไม่เพียงไร
ถ้าคุ้มค่าและเป็นประโยชน์นั่นหมายถึงว่า
เราไม่ยอมปล่อยให้กาลเวลากลืนกินเราฝ่ายเดียว แต่เรากลับกินกาล
คือใช้มันไปอย่างคุ้มค่าและเป็นประโยชน์ที่สุด


ธรรมะสวัสดีค่ะ

ยิ้ม ยิ้มแก้มปริ สู้ สู้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
p.somchai
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 22 พ.ย. 2007
ตอบ: 48
ที่อยู่ (จังหวัด): ชลบุรี

ตอบตอบเมื่อ: 24 ม.ค. 2008, 1:13 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กาลเวลากลืนกินทุกสรรพสิ่ง
กาลเวลาคือคือเงื่อนไขสำคัญของ "กฏไตรลักษณ์"


พระพุทธองค์ทรงแนะให้พุทธบริษัทพิจารณาทุกวันๆ ว่า
เรามีความแก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา
ไม่ล่วงพ้นความแก่ เจ็บ ตายไปได
และเมื่อถึงวาระนั้น ต้องละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์ศฤงคาร ยศ ศักดิ์ และฐานะ
มีแต่ผลของกรรมเท่านั้นที่ติดตัวไปได้ จึงควรทำความดีให้มาก

ขณะมีชีวิตอยู่ ควรสำรวจตนเองอยู่เสมอว่า
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่ และสิ่งที่ทำนั้นคุ้มค่ากับชีวิต
และเป็นประโยชน์ต่อสังคมหรือไม่เพียงไร
ถ้าคุ้มค่าและเป็นประโยชน์นั่นหมายถึงว่า
เราไม่ยอมปล่อยให้กาลเวลากลืนกินเราฝ่ายเดียว แต่เรากลับกินกาล
คือใช้มันไปอย่างคุ้มค่าและเป็นประโยชน์ที่สุด


สาธุ สาธุ สาธุ
 

_________________
หนทางหมื่นลี้ ย่อมมีก้าวแรก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง