ผลดี ผลพลอยได้ ผลที่คาดฝัน และผลเสีย

ตอบเมื่อ: 06 ธ.ค.2007, 12:58 am

ผลดี ผลพลอยได้ ผลที่คาดฝัน และผลเสีย

ในทางพระพุทธศาสนาไม่มีคำว่า “บังเอิญ”
มีแต่ “เหตุ” และ “ผล”

ผลมาจากเหตุ
ทำเหตุดีผลก็ดี

เมื่อผลดีเกิด
มองย้อนไปจะเห็นว่า เป็นเพราะเราได้สร้างเหตุที่ดีไว้

ผู้ยึดมั่นในศีลอยู่ในจิตใจ
ก็เสมือนมีพระพุทธเจ้าคุ้มครองป้องกันทุกย่างก้าว

การสวดมนต์ก็เท่ากับว่าเราทบทวนคำสอนของพระพุทธเจ้าต่อหน้าพระองค์
เพื่อย้ำเตือนให้เข้มแข็งในการต่อสู้
กับสิ่งเย้ายวนต่างๆ ที่ถูกใจ แต่ก็ไม่ค่อยถูกต้องนัก

การใช้หลักความสงบสร้างความสงบ
เป็นวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด
ความอยากไม่มีที่สุด
เพราะฉะนั้นที่สุดของมันอยู่ที่การ “หยุด”

คนเรามักยึดติดในความรู้ของตนว่าตนรู้ดีกว่าคนอื่น
หรือคนอื่นเก่งและดีสู้เราไม่ได้
เราเท่านั้นที่รู้ดีกว่า คิดได้ดีกว่า
ด้วยเหตุนี้มักผิดหวังอยู่เสมอ

เพราะความจริงมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น
คนอื่นที่เขารู้ดีกว่า คิดได้ดีกว่าเรานั้นมีอยู่มากมาย

ดังนั้น เพื่อคุ้มครองใจของเราให้เป็นสุข
จะต้องฝึกตนให้คิดอยู่เสมอว่า

การทำความดีนั้น ต้องทำดีเพื่อความดี
เราไม่ควรหวังผลใดๆ ตอบแทนทั้งสิ้น
ไม่ว่าด้วยลาภ ด้วยสักการะ หรือด้วยศรัทธา
เหมือนนกที่บินจากไปแล้วไม่เหลือร่องรอยทิ้งไว้ในอากาศ ฉะนั้น

คนเราจะมีจิตที่งดงาม และสงบเยือกเย็นได้เท่านั้น
ต้องอาศัยคุณธรรมเหล่านั้น คือ
เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

เนื่องจากว่า

ไม่มีเมตตากรุณา ก็จะมีใจโหดเหี้ยม
ไม่มีมุทิตา ก็จะมีความริษยา
ไม่มีอุเบกขา ก็จะไม่รู้จักการวางเฉย

ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นล้วนสอนให้ดีทั้งกายและทางใจ
ไม่มีข้อใด หมวดใดเลยที่ไม่สอนให้ดี
และคุณของการศึกษาธรรมและปฏิบัติธรรม ก็กว้างขวางยิ่งนัก
ต้องพิจารณาให้รอบคอบและลึกซึ้ง ด้วยชีวิต และตลอดชีวิตของเรา

ดังนั้น ในการดำเนินชีวิตของเรา
เมื่อได้รับความไม่พอใจ หรือไม่ได้ดังใจครั้งใด
ควรทำใจให้ได้ว่า เล็กๆ น้อยๆ เราก็ยอมกันไป
เพราะว่า....ไม่มีใครเหมือนใคร

สาธุ

(ที่มา “คนเหนือคน” จัดทำโดย โครงการพบกันครึ่งทาง,
โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๕๐, หน้า ๒๓-๒๔)

ตอบเมื่อ: 07 ธ.ค.2007, 8:25 am

รถเวลา "วิ่ง" เรามองอะไรไม่เห็น ไม่ชัด
หากรถ "หยุด" ก็เห็นก็ชัด

จิตเมื่อ "วิ่ง" ก็ไม่เห็นไม่ชัด
จิตต้อง "หยุด" จึงจะเห็น จะชัด

สาธุจ้า...

ตอบเมื่อ: 08 ธ.ค.2007, 4:00 pm

สาธุ สาธุ สาธุจ้า...คุณกุหลาบสีชา คุณ I am

ธรรมะสวัสดีค่ะ

ดอกไม้