Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ธรรมโอสถ : ความสุขของชีวิต (ศจ.เกียรติคุณ แสง จันทร์งาม) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 17 พ.ย.2007, 3:48 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

ธรรมโอสถ : ความสุขของชีวิต

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แสง จันทร์งาม


ความสุขแท้จริงจากภายใน หาไม่ยาก
หาได้เมื่อถอนทุกข์ออกไป
ด้วยการอยู่ในโลกสมมุติ ด้วยใจที่เป็นวิมุตติ


เจ้าของนามปากกา ธรรมโฆษ
ผู้ใช้เวลาในชีวิตสร้างสรรค์จินตนิยายอิงหลักธรรม
เกื้อกูลสาธุชนให้เข้าใจถึงความสุขแท้ของชีวิต
ได้บรรยายธรรมที่สำนักปฏิบัติธรรมนิโรธาราม
ตำบลดอยแก้ว อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่
ซึ่งก่อตั้งขี้นโดย แม่ชีนันทญาณี (รุ้งเดือน สุวรรณ)
ผู้รับมรดกการเผยแผ่ธรรมให้แก่สตรี และเยาวชน
ตลอดจนสาธุชนทั่วไป ผู้ใฝ่ใจในการปฏิบัติธรรมจากเจ้าชื่น สิโรรส

ทีมงานหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้นำเทปการบรรยายธรรม
แก่นักศึกษาค่ายฝึกตน ชมรมพุทธศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ชุดนี้
ออกอากาศเผยแพร่ ในรายการคารวะแผ่นดินทางสถานีวิทยุ
INN FM 99.5 Mhz. เมื่อวันอังคารที่ 13 มีนาคม 2544
และได้ถอดเทปนำเสนอเนื้อความโดยสังเขป
เพื่อเป็นประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านโดยทั่วกัน


โดย ผู้จัดการออนไลน์

สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 17 พ.ย.2007, 3:52 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พุทธศาสนาคืออะไร

คือ ปรัชญาชีวิต คือ หลักการดำเนินชีวิตที่พระพุทธเจ้าค้นพบ
และสอนไว้เมื่อ กว่า2,500 ปี มาแล้ว

พุทธศาสนาเกิดขึ้นเพราะ พระพุทธองค์ทรงเห็นว่า
คนเราที่เกิดมา ยังดำรงชีวิต กันไม่ถูกต้อง

ยังไม่รู้ว่าชีวิตคืออะไร และไม่รู้ว่า เป้าหมายที่แท้จริงของชีวิตคืออะไร
จึงมีชีวิตอยู่อย่างมืดมัว ท่านจึงได้ค้นหาแนวทางการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง
และทรงเผยแผ่ธรรม ด้วยใจที่เปี่ยมล้น ด้วยพระมหากรุณาธิคุณยิ่งนัก

เป้าหมายอันแท้จริงของชีวิตคืออะไร
และเรากำลังเดินไปสู่สิ่งนั้นหรือไม่

เป้าหมายอันแท้จริงของชีวิต คือ ความสุข
ที่ว่าความสุขนั้น คืออะไร
ด้วยเพราะเราไม่รู้จักความสุขที่แท้จริง
เราจึงเห็นว่า สิ่งนั้นสิ่งนี้น่าจะเป็นความสุข
แล้วเพียรแสวงหา แต่ก็ไม่ได้พบ บางคนไม่พบความสุขเลยตลอดชีวิต


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 17 พ.ย.2007, 3:56 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ความสุขที่แท้จริง ที่พระพุทธเจ้าค้นพบและสอนไว้นั้น คืออะไร

ทุกวันนี้ เราคิดว่า ถ้ามีเงินมากเราจะมีความสุข
เราจึงหาเงินกันตัวเป็นเกลียว ตั้งแต่ตื่นจนหลับ เกิดจนตาย
ได้เงินมาแล้ว ก็ยังมีคนเป็นอันมากที่ยังไม่มีความสุข
เพราะฉะนั้น เงินจึงไม่ใช่สิ่งที่ทำให้คนมีความสุขอย่างแท้จริง
บางคนอยากมีอำนาจ มียศ มีศักดิ์ แต่นั่นก็ไม่ใช่สุข

ความสบายกับสุขนั้นไม่เหมือนกัน
อย่างเช่น เราอาจสบายอยู่บ้านหลังใหญ่
แต่บางวันเราก็ได้ยินเสียงด่า เสียงร้องไห้ จากบ้านหลังนั้น
ดังนั้นจะเห็นว่าบ้านหลังใหญ่นั่น ก็เป็นแค่ความสบาย ไม่ใช่สุขที่แท้จริง

เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้คนเรายังไม่ได้แสวงหาความสุขกัน
เพราะเข้าใจผิดคิดว่า ความสนุกนั้นเป็นความสุข
คนส่วนใหญ่แสวงหาความสนุกกันมากกว่าความสุข
แล้วติดอยู่กับความสนุก ตื่นเต้นอยู่กับความสนุก

ความสนุกนั้น เกิดจากรูปที่น่าพอใจ สิ่งสวยๆ งามๆ
มีเสียงเพื่อกระตุ้นให้เกิด ความสนุก มีกลิ่นหอม รสอร่อย
มีสัมผัสที่นุ่ม เหล่านี้คือ สิ่งที่คนเราแสวงหากันทุกวันนี้
แต่ทว่าความเงียบ ความสงบเย็น อันเป็นสุขที่แท้ กลับไม่สนใจกัน

เมื่อพิจารณา ความสนุกกับสุขแล้ว สนุกนี้หาได้ยากกว่า
หากอยากจะมีอำนาจ มียศ มีเกียรตินี้ ก็หายากเช่นกัน
ความสนุกหายากและแพงด้วย
แต่ความสุขที่แท้จริงนั้น หาได้ง่ายและไม่แพงเลย
เพราะไม่ต้องอาศัยรูป เสียง กลิ่น รส เพราะเป็นความสุขบริสุทธิ์
ที่เกิดจากภายใน เป็นสุขที่ยืนยาว สงบ เย็น สว่าง
เป็นสุขที่เรียกว่า นิรามิสสุข เป็นสุขบริสุทธิ์
สุขแท้จากภายใน เป็นวิมุติสุข สุขพ้นจากสมมติ
แต่ความสุขที่ คนเราทุกวันนี้แสวงหาคือ ความสุขจากภายนอก


การหาสุขที่แท้จริงจากภายในนั้นหาไม่ยาก หาได้ทุกเมื่อ
และเราจะพบได้เมื่อถอนทุกข์ออกไป เสมือนการปอกหอม
ในที่สุดเมื่อเราปอกออกหมด จะมีแต่ความว่างเหลืออยู่
ความไม่มีอะไรเลยนี้คือ สุขที่แท้นั่นเอง

แต่เป็นเพราะคนเรายังติดในสมมติ ติดในวัตถุ
เมื่อได้ยินคำว่า ว่าง เราก็เกิดความกลัว
ความว่างเป็นที่ไม่มีอะไรเลยนี้ เป็นอมตะ ไม่มีเกิด ไม่มีตาย
สุขแท้จึงเป็นอมตะ เพราะอยู่ที่ความว่าง
มีจิตใจที่ว่าง ทำใจให้ว่าง อย่าไปยึดไปติดมัน สมมติในตัวกู
สมมติในของกู จงฝึกให้อยู่กับสมมติ แต่ให้ใจเราเป็นวิมุติ


พระธรรมของพระพุทธเจ้าทรงให้เห็นเข้าสู่ภายใน
แต่คนเราทุกวันนี้ยังเห็นอยู่แต่ภายนอก
จึงทำให้มีเกิด มีตาย มีสุข มีทุกข์ มีพอใจ มีไม่พอใจ
ล้วนไม่แน่นอน ไม่ใช่สุขที่แท้จริง
จริงอยู่ แม้เราจะไม่ได้หมายความว่า เราจะไปสู่นิพพาน
แต่ก็ให้เราอยู่กับสมมติกับโลกใบนี้ โดยที่ใจเรานั้นเป็นวิมุติ
ขณะที่อยู่กับสมมติก็ว่าตามสมมติไป แต่อย่ายึดติด
ขอให้ใจเราเป็นวิมุติตลอดเวลา
ทำจิตให้ว่าง ให้เป็นวิมุติ ไม่ไปยึดติด
นี้คือ หลักสำคัญที่พระพุทธเจ้าค้นพบ

สุขที่แท้จริงต้องเป็นวิมุติ สุขอันเกิดจากอิสระทางจิตวิญญาณ
ไม่ไปยึดติดสมมติ แต่มีจิตเป็นวิมุติทางพุทธเท่านั้น
ดังนั้น เราต้องปลดปล่อยให้จิตเป็นอิสระเสรี
หากเรา รักษาจิตให้เป็นวิมุติ
เราจะสุขสงบในทุกสถานการณ์ จะปล่อยวาง ไม่ตามลมปากผู้อื่น

หลักทั้งหลายที่พระพุทธเจ้าค้นพบ ไม่ว่าจะเป็น ศีล สมาธิ ปัญญา
ทั้งนี้เพื่อให้ รู้วิมุติความเป็นจริง
อันนำไปสู่ความสว่าง สงบ ความสุข ในจิตใจของเรา
ความจริงพุทธศาสนาไม่ใช่เรื่องยากเย็นอันใด
หากอยู่ที่ตัวเรา เป็นเรื่องธรรมชาติที่เข้าใจง่าย
เป็นเรื่องของปัจจุบัน เป็นเรื่องของทุกข์
เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์และทางดับทุกข์ ทั้งหมดนี้อยู่ที่ตัวเรา


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 17 พ.ย.2007, 4:00 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผู้ที่จะเข้าใจในพระพุทธศาสนา
ต้องมีปัญญา แปลว่า ความรู้ มีหลายระดับ คือ

1. ระดับความจำ เป็นความรู้พื้นฐานเบื้องต้น ไม่มีผลเหนือจิตใจมากมาย

2. ระดับความเห็น เมื่อจำได้แล้ว นำมาทำใจ วิเคราะห์วิจารณ์
จะได้เห็น อย่างแจ่มแจ้ง มีผลมากต่อจิตใจ ทำให้เปลี่ยนแปลงมาก

3. ระดับญาณ เห็นชัดเจนแจ่มแจ้งยิ่งกว่า
การเห็นเกิดจากภายใน เกิดแสงสว่างภายใน
ซึ่งมีผลมากต่อการก้าวสู่ทางพ้นทุกข์


ความรู้นั้น มีอยู่ 2 ประเภท คือ ความรู้ที่เป็นโลกียวิสัย
คือ ความรู้ทางโลก เป็นสัจโลกที่สามารถทำให้ชีวิตเราสะดวก
สบาย สนุก แต่ยังไม่เพียงพอ กลับทำให้เครียดมากขึ้น
ทุกข์มากขึ้น มีคนคิดฆ่าตัวตายมากขึ้น แสดงว่าสัจโลกนั้น
ยังแก้ปัญหาไม่ได้ จึงต้องรู้สัจธรรมด้วย


สัจธรรมที่ควรรู้

1. อนิจจัง ความไม่เที่ยงแท้ถาวร ความเปลี่ยนแปลงไป ไม่มีสิ่งใดคงที่

2. ทุกขัง ความไม่สบาย ไม่สมบูรณ์ เห็นความเจ็บปวด ต่อสู้ ดิ้นรน
เมื่อเห็นสิ่งนี้จะทำให้เกิดความเมตตา ความไม่เบียดเบียนกัน

3. อนัตตา ความไม่มีตัวกู ไม่มีของกู เห็นเพียงสิ่งสมมติ

สัจธรรม 3 ประการนี้ คือ ความจริงแท้ เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ
ที่เห็นอยู่ทุกหนแห่ง เกิดขึ้นตั้งอยู่ ดับไป


กำแพงพูดได้ต้นไม้แสดงธรรม
เป็นคำกล่าวของ หลวงพ่อที่วัดป่าดาราภิรมย์
เนื่องจากที่วัดป่านี้มีสุภาษิตติดอยู่ที่กำแพงทุกช่อง
สุภาษิตที่เป็นธรรมอันได้แก่

สัจธรรม 3 คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี่คือปัญญาพุทธ
ทำให้เรารู้แจ้ง เห็นจริง เพื่อดับทุกข์ เพื่อความสุขอันแท้จริง...


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 17 พ.ย.2007, 4:02 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ดังนั้นสำหรับนักศึกษา ควรต้องรู้บทบาทของตัวเอง
บทบาทของนักศึกษา ในที่นี้ คือ การมาเตรียมชีวิต
เพื่อความเป็นคนที่ถึงพร้อมมีคุณค่า ประกอบด้วย


1. ความรู้ที่ครบวงจร คือ รู้ทั้งสัจโลก สัจธรรม
ความรู้ที่พร้อมครบถ้วนสมบูรณ์

ชีวิตจะได้สะดวก สบาย สนุก และสุข
คุณสมบัตินักศึกษาต้องรักในความรู้ ใฝ่รู้ ตั้งใจเรียน
อันจะนำความก้าวหน้าและความเจริญมาให้ในชีวิต
เพราะความรู้เป็นมิตรแท้ที่ไม่เคยทิ้งเรา
และจะ ติดตามไปช่วยเราทุกหนทุกแห่ง

2. ความสามารถ คือ ความเก่ง คิดเก่ง คิดเป็น
พระพุทธองค์สอนไว้ว่า คิดเหตุคิดผล ให้หนักแน่นในเหตุผล
ต้องแก้ให้ถูกเหตุ ถูกผล และพูดให้เป็น
พูดให้ถูกกาลเทศะ พูดถูกบุคคล ไม่ต้องพูดมาก พูดเมื่อจำเป็น

ภาษาสำคัญมาก เป็นสมบัติอันประเสริฐของมนุษย์
เพราะฉะนั้น ต้องคิดก่อนพูด เพื่อสิ่งที่พูดจะได้มีคุณค่า

นอกจากนี้ ก็ต้องทำให้เป็น สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นให้เป็น

3. เตรียมคุณธรรม ความดี ความขยันอดทน กตัญญูกตเวที


4. เตรียมอุดมคติ รู้ว่าอะไรคือสาระ อะไรไม่เป็นสาระ เป็นตัวของตัวเอง
คือ เลี้ยงชีพ ไม่ได้เลี้ยงกิเลส


5. เตรียมอุดมการณ์ คนที่ทำงานอย่างมีจิตวิญญาณ
ตระหนักในสิ่งที่กำลัง สร้าง ตระหนักในงานหน้าที่ว่า
มีคุณค่าเพื่อส่วนรวม เราต้องมีอุดมการณ์ในการดำรงชีวิต
ต้องสำนึกถึงส่วนรวม นึกถึงบ้านเมือง แล้วช่วยกันอุทิศเพื่อสังคม


ตัวอย่างเช่น “มีนักปราชญ์ผู้หนึ่ง เดินไปตามถนนในเมือง
ซึ่งมีคนงานกำลัง นั่งทำงานอยู่นับร้อย
นักปราชญ์เข้าไปถามชายคนแรก ซึ่งกำลังนั่งแกะสลักหินว่า
กำลัง ทำอะไร เขาตอบว่า กำลังแกะสลักหิน
ส่วนชายคนที่สองตอบว่า กำลัง ทำมาหาเลี้ยงชีพ
ส่วนชายคนที่สามตอบว่า กำลังสร้างมหาวิหาร”
เมื่อถามว่าชายผู้ใดที่ทำงานอย่างมีอุดมการณ์
คำตอบคือ ชายคนที่สาม เพราะเขาทำงานอย่างมีจิตวิญญาณ
เขากำลังสร้างสิ่งที่มีคุณค่าเพื่อมวลชน
คนที่สองแกะสลักไปก็คิดถึงเงินไป ซึ่งก็ย่อมไม่พอ
ย่อมจะไม่มีความสุข
ส่วนชายคนแรกทำงานไปเรื่อยๆ ไม่มีความสุข ไม่มีความก้าวหน้า


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 17 พ.ย.2007, 4:06 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คนเรามีกี่ประเภท

1. คนบางคนมืดมาสว่างไป
ชีวิตยากจน ต่อมาขยันขันแข็ง ประสบความสำเร็จ

2. คนบางคนมืดมา แล้วมืดไป เป็นชีวิตที่น่าสงสาร และต่ำต้อย

3. คนบางคนสว่างมา มืดไป เป็นชีวิตที่น่าตำหนิ
เพราะฐานนั้นดีมาก่อน แต่ไม่ขวนขวาย

4. สว่างมา สว่างไป เป็นชีวิตที่ดี มีพื้นฐานดีอยู่แล้ว

เพราะฉะนั้น หน้าที่นักศึกษา คือ เรียนรู้และทำความดีอย่าให้ขาด
เป็นผู้มีมนุษย์สัมพันธ์ดี รู้จักประหยัดการใช้เงิน
จงเลี้ยงชีพ อย่าเลี้ยงกิเลส


ธรรม คือ หน้าที่


หน้าที่ คือ สิ่งที่เราได้รับมอบหมายให้ทำและต้องทำ
ถ้าเราทำงานด้วยจิตที่รักงาน ทำงานด้วยความรัก มีฉันทะ
เราจะเพลิดเพลินกับงาน และขยันขันแข็งในงาน
คือ เมื่อเราเอาธรรมมาใช้ในการทำหน้าที่
เราจะประสบผลสำเร็จ ภูมิใจในหน้าที่
และการทำงานทุกอย่างควรมีสติกำกับ
มีความรู้ตัวพร้อมกำหนดทุกขณะเป็นการทำงานพร้อมกับปฏิบัติธรรม
เป็นธรรมในการปฏิบัติชีวิต ให้มีความเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกัน


สมองและจิตใจ

สมองเป็นรูป เปรียบเสมือนเครื่องยนต์
จิตใจ เสมือนผู้คุม ควบคุมเครื่องยนต์
สมองเป็นเพียงเครื่องมืออยู่ภายใต้อำนาจของจิตใจ
จิตสามารถทำงานได้เหนือกาลเวลา
เช่น สามารถรู้เหตุการณ์ในอนาคตได้ในเวลานี้
วิทยาศาสตร์เริ่มหันมาศึกษาเรื่องจิตวิญญาณกันมากขึ้น

ผลการศึกษานำไปสู่คำตอบที่ว่า จิตเป็นพลังงานลึกลับอย่างหนึ่ง
มีการทดลองเกี่ยวกับ โทรจิต โดยใช้จิตส่งถึงกัน
ซึ่งสามารถทำงานได้เหนือกาลเวลา


ทุกสิ่งทุกอย่างมีอะไรเป็นของเรา
ถ้าพูดตามอย่างนั้นไม่มีเลย เพราะเราเป็นธรรมชาติ
ที่ว่าเป็นของเรานั้น นั่นเป็นความรู้สึกนึกคิดที่เอาไปยึดถือ
แม้กระทั่ง จิตใจก็เป็นวิญญาณธาตุเป็นธาตุชนิด
หนึ่งเมื่อสลายก็เป็นเพียงกลุ่มพลังงานจิต
คือ ตัวต่อเชื่อมระหว่างชาติหนึ่งไปอีกชาติหนึ่ง
จะเกิดได้เมื่อเรายังมีภาวะตัณหา มีกรรม อยู่นั่นเอง


ศาสนาในโลกนี้มี 2 ประเภท


1. เทวนิยม พระเจ้าเป็นอำนาจอันยิ่งใหญ่ลึกลับ
สร้างมนุษย์ขึ้นมาและเราต้องเคารพเชื่อฟังพระเจ้า
ต้องยอมสยบต่อเจตจำนงของพระเจ้า
เทวนิยมเป็นศาสนาสนองด้านอารมณ์ของคนได้อย่างมาก

2. อเทวนิยม เน้นเหตุผลไม่เน้นอารมณ์ดังเช่นพุทธศาสนา
เพราะฉะนั้น จึงไม่มีการกราบไหว้วิงวอน บนบาน หรือบวงสรวง


หากจะดูภิกษุสงฆ์ที่ดีๆ ดูอย่างไร

พระพุทธองค์บอกว่า จะดูความกลัวของคน ต้องดูในยามมีภัย
ถ้าจะ ดูความรัก ต้องดูในยามยากจน
ถ้าจะ ดูสติปัญญา ให้ดูที่คำพูด การสนทนา
และถ้าจะ ดูศีลความดี ต้องดูอยู่ด้วยกันนานๆ
ดูอย่างละเอียดด้วยจิตใจเป็นธรรม
เฝ้าสังเกตพฤติกรรมนานาๆ
ดูแล้วว่าท่านไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง เป็นอยู่อย่างง่าย
นั่นคือ พระแท้ หากต้องใช้เวลาดูนานๆ


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 19 พ.ย.2007, 10:33 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สุขที่แท้จริงต้องเป็นวิมุติ สุขอันเกิดจากอิสระทางจิตวิญญาณ
ไม่ไปยึดติดสมมติ แต่มีจิตเป็นวิมุติทางพุทธเท่านั้น
ดังนั้น เราต้องปลดปล่อยให้จิตเป็นอิสระเสรี
หากเรา รักษาจิตให้เป็นวิมุติ
เราจะสุขสงบในทุกสถานการณ์


อนุโมทนาสาธุด้วยค่ะคุณลูกโป่ง สาธุ สู้ สู้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 19 พ.ย.2007, 11:07 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุครับ... สาธุ
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง