ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
กุหลาบสีชา
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
11 พ.ย.2007, 4:01 pm |
  |
ตรากตรำในกิจภาวนา จนกว่าธาตุทรหดปรากฏขึ้นรองรับ
ท่านเขมานันทะ (อาจารย์โกวิท เอนกชัย)
หากเป็นไปได้มีโอกาสนอนนั่งในที่สงัด
เพื่อคุ้นเคยกับความไม่มีอะไรของตนเอง
แต่ถ้าเป็นคฤหัสถ์เบียดเสียดด้วยลูกเมียหรือสามี
ก็จะเรียกว่ายากหน่อย
แต่นอนนั่งในที่สงัดเช่นนั้นเป็นเรื่องที่ภายนอก
นอนนั่งด้วยความสงัดจิตสงัดใจนั้นเป็นเรื่องภายใน
ต่อให้นั่งในตลาดอาจสงบได้
ผมเคยอยู่ในที่จอแจคือเชิงสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า
รถวิ่งทั้งวันทั้งคืน
ตีสี่ผมลุกเดินขึ้นเดินจงกรมที่ตีนสะพานผมก็ทำได้
เพราะมันไม่เกี่ยวกับสถานที่ภายนอก
แต่เกี่ยวกับภายในสงัดจิตนั้นอย่างหนึ่ง
สงัดกายนั้นอย่างหนึ่ง
หากเราสงัดจิตแล้ว
กายถึงมันจะจอแจมันก็ไม่สู้เป็นปัญหาอะไรนัก
แต่ตัวสงัดที่แท้จริงคือตัวสงัดจากเชื้อที่จะลุกเป็นไฟขึ้นมา
ดังนั้นขณะที่เรารู้ตัวมันเหมือนฝนตกดับเชื้อเพลิง
ตอนเราปฏิบัติภาวนาเจริญพระกรรมฐานนั้น
เหมือนเราจุดไฟสุม
เราต้องผ่านช่วงตรากตรำ ต่อสู้
มันเร่าร้อนขึ้นมาที่ร้อนนั้นเพราะกิเลสมันถูกเผา อังกันไปอังกันมา
เมื่อเรารู้ตัวมากมันจะไม่เผาสุก
เหมือนกับเราเอาไฟสุม เหมือนเราเข้าตู้อบสมุนไพร
ทั้งร้อนทั้งอ้าว แต่ออกมาจะรู้สึกสบาย
เป็นธรรมดาของการภาวนาที่ต้องผ่านชีวิตที่ตากตรำ
จนกว่าธาตุทรหดจะเกิดขึ้นทนได้
ถ้าทนได้ในการเจริญภาวนาแล้ว ใครด่าก็ทนได้
ไฟข้างนอกเป็นเรื่องเล็กๆ เพราะข้างในมันอังอยู่
จนกระทั่งมันเหมือนกวีท่านหนึ่ง
ท่านเปรียบชีวิตเหมือนแจกันเครื่องปั้นดินเผาซึ่งกรอบเกรียมเมื่อยังไม่เผาสุก
เมื่อเอาเข้าเตาเผาไฟแรงสูงมากๆ จะแข็งแกร่ง
จะไม่มีวันละลายอีกแล้ว ไม่ว่าความร้อนระดับใด
ความร้อนที่เกิดจากการภาวนานั้นเป็นระดับสูง เรียกว่าไฟธาตุทรหด
ทุกข์โศกโรคภัยต่างๆ กลายเป็นเรื่องเล็กๆ
เพราะว่าได้ผ่านทุกข์แสนสาหัส ทุกข์แห่งทุกข์
เมื่อเราเจริญกรรมฐานนั้น
เรากำลังเข้าหาตัวทุกข์ เราจะรู้สึกทุกข์ขึ้นมา
ทุกข์ที่มันต้องทนตรากตรำ
แต่ถ้าเราไม่เลิก เราไม่แพ้ เรามีวิญญาณของนักรบ
นักปฏิบัติจริงๆ นั้น ไม่ช้าไม่นานเราจะพบว่าเราแข็งแกร่งขึ้น
ปัญหาใหญ่ก็กลายเป็นเรื่องเล็ก
ปัญหาที่เคยกลัวก็กลับไม่กลัว
เมื่อสัญชาตญาณถูกปลุกขึ้นให้ระวังตัว
แม้แต่ความคิดเล็กๆ ที่ผ่านเข้ามาในจิตใจ ซึ่งแต่ก่อนเราละเลย
เช่น ความคิดเปรียบเทียบริษยาคนอื่น คิดให้ร้ายคนนั้นคนนี้
เราเริ่มป้องกันตัวดีขึ้น เราเริ่มเอะใจว่า
เชื้อเพลิงเล็กๆ นี้มันเริ่มลุกลามจนบ้านเราไหม้ไปเป็นจุณ
เราไม่มีความสุขในชีวิตเมื่อริษยาคนอื่น
คิดให้ร้ายคนนั้นคนนี้ หรือแม้แต่คิดว่าคนอื่นได้ดีกว่า
เราเริ่มเห็นความผิดปกติแล้ว
ถ้าเราคุ้นเคยมากๆ กับความปกติ
พอเราจับได้มันจะสงบ
เพราะเชื้อมันนิดเดียว เหมือนไฟลามใบไม้
เราเหยียบทีเดียวมันก็ดับลง
แต่ถ้ามันลุกลามใหญ่โตแล้วลำบาก
จนกระทั่งก่อกรรมใหญ่หลวงขึ้น
เช่น ไปด่า ไปตี ไปตบ
นั่นไม่ต้องพูดแล้ว ลามปามไป บ้านเรือนถูกเผาวินาศ ไปเสียแล้ว
ดังนั้นการที่เราสะสมความรู้สึกตัวประหนึ่งสะสมน้ำทีละหยด
ต้องรู้จักทะนุถนอม
พระพุทธเจ้าทรงอุปมาการภาวนาว่า
บุรุษบุคคลถือหม้อที่มีน้ำมันเต็มเปี่ยมและต้องเดินทางไกล
ถ้าเดินไม่ดีสะดุดหกล้มเสียหายหมด
เวลาเดินเราต้องประคองปิดฝาให้ดี อย่าให้ระเหยไป
เรายังอบความรู้ตัวนี้ให้ดี อย่าให้มันพร่องลง
หากพร่องลงเราเติมให้เต็ม
ถ้าเราเป็นคนจริง เราเป็นผู้ภาวนามืออาชีพ
คือไม่ใช่สมัครเล่นชั่วครั้งชั่วยาม
ก็จะเติมเต็มได้ ถือโอกาสก่อนนอนครึ่งชั่วโมง หรือหนึ่งชั่วโมงแล้วแต่จังหวะ
เติมมันไว้เรื่อยๆ หล่อเลี้ยงเชื้อความรู้ตัวไว้เรื่อยๆ
ทำให้เหมือนเหตุการณ์หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
คือ การล่าไฟ ไม้ขีดไม่มี มีก็แพงมาก
แต่ละบ้านในชนบทเขาต้องเลี้ยงไฟไว้และนอนเฝ้าทั้งคืน
พอดับก็ต้องไปบ้านญาติเพื่อขอต่อเชื้อไฟ
เลี้ยงเชื้อไว้ให้ดี ทะนุถนอมความรู้สึกตัวนี้ไว้เรื่อย
เมื่อต้องคุยกับผู้อื่น เก็บไว้สักเจ็ดแปดส่วน
ใส่ใจที่จะสนทนาสองสามส่วน อย่างน้อยครึ่งต่อครึ่งก็ได้
หรือถ้ามีความจำเป็นที่จะต้องทุ่มเท เช่นในการขบคิดแก้ปัญหา
กลับมาอย่างรวดเร็วและเติมให้เต็ม
ไม่ช้าไม่นานเราจะพบว่า
เราค้นพบขุมทรัพย์ในตัวเราเอง
ขุมพลังของกำลังใจในการดำรงอยู่ และทุกข์น้อยลงๆ
แม้ว่าร่างกายทรุดโทรมแก่เฒ่า
หรือแม้ว่าเราต้องอยู่โดดเดี่ยวเดียวดายจนสิ้นลม
จะพบว่าความรู้ตัวนั้นเป็นยอดกัลยาณมิตรของเรา
มันจะอยู่กับเราจนลมหายใจสุดท้ายโดยไม่ทอดทิ้งเราเลย
ส่วนความสงบนั้นเป็นของชั่วคราว
หายไปตั้งแต่วันที่เราแก่เฒ่าหรือวันที่เรายุ่งใจเสียแล้ว
แต่ความรู้สึกตัวล้วนๆ นี้จะอยู่กับเรา
คุ้มครองเรา เป็นเพื่อนสนิทสนมกับเราตลอดไป
(ที่มา: “ตรากตรำในกิจภาวนา จนกว่าธาตุทรหดปรากฏขึ้นรองรับ”
ใน ดวงตาแห่งชีวิต โดย เขมานันทะ, ฉบับพิมพ์ครั้งแรก, พ.ศ. ๒๕๔๕,
หน้า ๑๓๕-๑๓๗)
หมายเหตุ : “ดวงตาแห่งชีวิต” เป็นผลงานอันรวบรวม
จากธรรมบรรยายของ ท่านอาจารย์เขมานันทะ ระหว่างวันที่ ๑๔-๑๘ กุมภาพันธ์
พ.ศ. ๒๕๔๓ ณ อาศรมศานติ-ไมตรี จ.สุราษฎร์ธานี
รวมคำสอน “ท่านเขมานันทะ (อาจารย์โกวิท เอนกชัย)”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=44291 |
|
|
|
    |
 |
I am
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972
|
ตอบเมื่อ:
12 พ.ย.2007, 9:13 am |
  |
สาธุ โมทนาด้วยครับ คุณกุหลาบสีชา
 |
|
_________________ ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก |
|
     |
 |
ลูกโป่ง
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
12 พ.ย.2007, 2:19 pm |
  |
สาธุ สาธุ สาธุค่ะ...คุณกุหลาบสีชา
ธรรมะสวัสดีค่ะ
 |
|
|
|
   |
 |
|