Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ข้อคิดเรื่องมังสวิรัติ : ท่านพุทธทาสภิกขุ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 09 ต.ค.2007, 10:10 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



ท่านพุทธทาสภิกขุ.jpg


ข้อคิดเรื่องมังสวิรัติ
ท่านพุทธทาสภิกขุ

เอ้า ! ที่นี้จะพูดเรื่องเฉพาะตัวบ้าง อย่าเห็นว่าอวดนะ

แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องส่วนตัว
เรื่องส่วนตัวนี้มันก็ต้องทำแหละ
ทำแล้วมันมีผลอะไรก็เอามาพูดให้เพื่อนฟัง
นี้ออกจะเป็นเรื่องส่วน ขออภัยให้พูดตามสบายนะ

เมื่อมีสวนโมกข์ใหม่ๆ มีอะไรบ้างจะเล่าให้ฟัง
เรื่องใช้ จีวรดำ
เมื่ออยู่สวนโมกข์ใหม่ๆ ใช้ จีวรดำ ย้อมกรักจนดำ

ต่อมารู้สึกว่ามันบ้า เพราะมันต้องแกล้งย้อม
มันต้องแกล้งทำให้ดำ จีวรดำ นี้มันต้องแกล้งทำให้ดำ

วันหนึ่งมันนึกขึ้นมาได้ว่า
นี้ทำให้ดำขึ้นมาทำไม นี้ทำให้ดำทำไม?
เพื่อให้มันแปลกเพื่อน แปลกเพื่อนทำไม
มันจะดีกว่าเพื่อน มันก็เล่นละครสิ


ฉะนั้นแล้วทำจีวรให้ดำแล้วอวดคนอื่นนี้
เลิกๆ เลิกที่ ไม่เอา
ทำอยู่ได้ไม่กี่ปีก็เลิก จีวรดำ
ปล่อยจีวรให้เป็นไปตามยถากรรม
มันจะเป็นสีอะไรก็ตามใจมันเถิด

นี่เรื่องที่มีมาแล้วแต่หนหลัง

รู้สึกว่าเจตนานี้ไม่บริสุทธิ์เสียแล้ว
การแกล้งทำจีวรให้ดำ ให้แปลก ให้เขาสนใจ
ให้เขาหลงใหลใน จีวรดำ เจตนาไม่บริสุทธิ์ เลิกๆ


เมื่อก่อนก็เคยกินผัก ที่สวนโมกข์นั้นกินผัก
อาตมานั้นนำที่สุดแหละในเรื่องกินผัก


บางคราวกินผลไม้ล้วนๆ ไม่กินข้าวก็มี
กินหัวเผือกหัวมันไม่กินข้าวก็มี
กินแต่ของหวานไม่กินของคาวก็มี
เกือบตายแหละ ถ้ากินแต่ของหวานล้วนๆ มันถึงกับหน้ามืดล้มเลย

กินข้าวกับธรรมดา แล้วก็กินแต่ผัก
แล้วก็กินแต่ผลไม้ แล้วก็กินแต่เผือกมัน
แล้วก็กินแต่ของหวานธรรมดา เกือบตาย

แต่ก็ได้ความรู้หลายอย่าง

ถ้าเรากินแต่ผัก ไม่กินข้าวตัวก็เบา อุจจาระก็ไม่เหม็น
คิดว่าเป็นผู้วิเศษแล้ว แล้วประสาทไวมาก


ถ้ากินแต่ผักล้วนๆไม่กินข้าว หมายความว่าไม่กินข้าวเลย กินแต่ผักล้วนๆ
ประสาทไว ประสาทจมูกไว ประสาทหูไว
ได้ยินเสียงเพิ่มมากขึ้นทีเดียว

แล้วจมูกไว เดินเฉียดเข้าไป ห่างต้นแมงลัก ใบโหระพาตั้ง ๓-๔ วา
ได้กลิ่นแล้ว ได้กลิ่นฉุนแล้ว นี่จมูกไวขนาดนี้

นี่ก็กินแต่ผัก เคยลองแล้วขนาดนี้นี่คือกินแต่ผัก

ต่อมารู้ว่านี้จะกินไปทำไม
มันก็ต้องแกล้งทำ มันก็กินแต่ต้องฝืนทำ
มันก็ต้องเป็นการทำโดยไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม

ก็มองเห็นว่า ไม่ต้องกินดอก

กินแต่ผัก...จนรู้ว่าไม่ควรจะกินแต่ผัก
กินเนื้อ...จนรู้ว่าไม่ควรจะกินเนื้อ
กินข้าว...จนรู้ว่าไม่ควรจะกินข้าว


นี่คงงงกันแล้วฟังไม่ถูกแล้วเห็นมั้ย

ถ้าสำคัญว่ากินเนื้อ มันก็เป็นยักษ์
สำคัญว่ากินผัก มันก็เป็นค่าง
สำคัญว่ากินข้าวมันก็เป็นหนูนา หรือเป็นหมูก็ตาม

ถ้าเรากินเนื้อเขาก็ต้องฆ่าเนื้อมากขึ้น ดูไม่เข้าท่า
ถ้าเรากินผักเขาก็ต้องฉีดยาฆ่าแมลงมากขึ้น
เอาผักไปขายคนกินผัก

ถ้าเรากินข้าว เขาก็ไถนามากขึ้น
ในรอยไถนี้ สัตว์ตายกันเลือดแดงฉานไปเลย
ไปดูเถอะไม่ว่าไถนาที่ไหน
ฉะนั้นกินข้าวมันก็ฆ่าสัตว์ในรอยไถ

กินผักมันก็ฆ่าสัตว์ด้วยยาฆ่าแมลง
กินเนื้อมันก็ทำให้สัตว์ถูกฆ่า


(มีต่อ)
 


แก้ไขล่าสุดโดย กุหลาบสีชา เมื่อ 10 ต.ค.2007, 11:34 am, ทั้งหมด 2 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 09 ต.ค.2007, 10:24 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เอาอย่างพระพุทธเจ้าดีกว่า

คือไม่กินอะไรหมดเลย
ไม่กินมันหมดเลย


ไม่ทำความสำคัญในจิตใจว่ากูกินอะไร
ผักก็ไม่กิน เนื้อก็ไม่กิน ข้าวก็ไม่กิน
กินแต่อาหารที่บริสุทธิ์ที่สมณะควรจะกินที่ไม่มีโทษ

อย่าไปทำความสำคัญมั่นหมายว่า

นี้ข้าว นี้ปลา นี้เนื้อ นี้ขนม ฯลฯ อย่าไปทำ
ถ้าไปทำความสำคัญมั่นหมายว่าอะไรเป็นอะไร

ผิดหลักธรรมะ เพราะยึดมั่นในสิ่งนั้น

พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ไม่สำคัญมั่นหมาย
ว่าอะไรเป็นอะไร
ให้ถือว่าเป็นธาตุ เป็นธาตุตามธรรมชาติ
เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ตามธรรมดา


บท ปัจจเวขณ์ ยถาปัจจยัง
วันแรกบวชที่เขาให้บวชให้เรียนนั้นแหละวิเศษที่สุด


ของที่กินก็สักว่าเป็นธาตุตามธรรมชาติ
ตัวคนที่กินก็ไม่มี ไม่มีคนผู้กิน
เพราะเป็นธาตุตามธรรมชาติ


เพราะฉะนั้น ถ้ามันเป็นธาตุตามธรรมชาติ
ที่กินธาตุตามธรรมชาติก็ไม่มีความหมายว่า
กินผัก กินเนื้อ กินข้าว กินอะไร ไม่กินทั้งนั้นเลย


ทำจิตใจอย่างนั้นสิ จะตรงตามพระพุทธประสงค์

กินผักจนรู้ว่า ไม่ต้องกินผักโว้ย
กินข้าวจนรู้ว่า ไม่ต้องกินข้าวเว้ย
กินเนื้อจนรู้ว่า ไม่ต้องกินเนื้อแล้วเว้ย

อย่าทำในใจว่ากินเนื้อ กินข้าว กินผักเลย

ถ้าถามว่ากินอะไร?

ก็กินอาหารที่บริสุทธิ์
ที่เห็นได้ด้วยสติปัญญาว่าสิ่งนี้เป็นธาตุตามธรรมชาติ
เป็นประโยชน์ เป็นปัจจัยที่เกื้อกูลต่อชีวิต


กินเท่าที่จำเป็น
อย่ากินให้อร่อย อย่ากินให้มาก กินให้จำเป็น
เหมือนกินเนื้อลูกที่ตายกลางทะเลอย่างนั้น


บางคนฟังไม่ถูก ก็ต้องเล่าตามบาลี

พ่อแม่คู่หนึ่ง พาลูกเล็กๆ ข้ามทะเลทราย
หลงทางอยู่นั่น ออกไปไม่ได้จนลูกตาย
ตัวเองก็จะตายอยู่แล้วก็จำใจกินเนื้อลูก

มันจะกินได้กี่มากน้อย
กินเพียงเพื่อรอดชีวิตอยู่ได้
เพื่อจะออกมาจากทะเลทราย

พระพุทธองค์ทรงมุ่งหมายไว้อย่างนั้
ได้ตรัสไว้ในสูตรในมัชฌิมนิกายนั่นมี


แม้ว่าจะกินธาตุตามธรรมชาติเป็นอาหารควรแก่สมณบริโภค
ก็กินอย่างกินเนื้อลูกกลางทะเลทรายเถิด
ไม่ต้องมีข้าว มีผัก มีเนื้อกันแล้ว


อาตมาจึงบอกเพื่อนฝูงที่อยู่ด้วยกันว่า อย่าเลย
อย่าอธิษฐานกินผัก อย่าอธิษฐานกินข้าว อย่าอธิษฐานกินเนื้อเลย
ไม่กินอะไรเลย นอกจากสิ่งที่บริสุทธิ์ สมควรแก่สมณก็แล้วกัน

มันก็เป็นธาตุตามธรรมชาติ
เป็นการกินอย่างไม่มีตัวผู้กินและถูกกิน
นี่คือไม่กินทั้งหมด
คือไม่หมายมั่นว่าอะไรเป็นอะไร


เป็นพระพุทธประสงค์ให้ปฏิบัติกันทั้งทางธรรมะ และทางวินัย

ชาวบ้านที่ไปนิมนต์พระว่าไปฉันขนมจีน ไปฉันแกงไก่
นี่ถ้าถือตามพระวินัยแล้วรับไม่ได้
ชาวบ้านก็อย่าชอบนิมนต์อย่างนั้น

ถ้าไปถูกพระที่ท่านถือพระวินัย
ท่านไม่รับมันผิดวินัย
ไปนิมนต์ออกชื่อของฉัน
มั่นหมายเป็นนั่น เป็นนี่ มันผิดวินัย

นี่เรื่องส่วนตัว เคยลองมาแล้วเรื่องกินผัก
เป็นภิกษุไม่ฉันอาหารหลังจากเที่ยงวันไปแล้ว
กินแต่ผักล้วนๆอยู่ไม่ได้ต้องกินข้าวบ้าง
กินแต่ของหวานล้วนแล้วยิ่งอยู่ไม่ได้ใหญ่ เหมือนกับเจ็บไข้เลยทีเดียว

ถ้าว่าเป็นฤาษีชีไพร ไม่มีวินัยเรื่องเวลากิน นี้อยู่ได้
กินผักก็ได้ กินผลไม้ก็ได้
แต่ถ้าเป็นพระแล้วอยู่ไม่ได้
กลางคืนหิวเกือบตาย ควรจะทำให้มันถูกเรื่องกัน

สาธุ สาธุ สาธุ

(ที่มา : ๕๐ ปีสวนโมกข์ , หน้า ๑๑๔-๑๑๗)
 


แก้ไขล่าสุดโดย กุหลาบสีชา เมื่อ 10 ต.ค.2007, 11:38 am, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 10 ต.ค.2007, 7:23 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถ้าชีวิตเราเกี่ยวเนื่องกับคนอื่น อย่าทำให้คนอื่นอึดอัดใจ
ถ้าชีวิตเราไม่เกี่ยวข้องกับใคร ไม่กินเลยก็ไมมีใครว่า

สาธุ ยิ้มเห็นฟัน สาธุครับ คุณกุหลาบสีชา
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
chill
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 22 ก.พ. 2008
ตอบ: 85

ตอบตอบเมื่อ: 03 ก.ค.2008, 3:36 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อนุโมทนานะคะ สาธุ
 

_________________
มีชีวิตอยู่เพื่อทำความดี..
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
บัวหิมะ
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 1273

ตอบตอบเมื่อ: 21 ส.ค. 2008, 5:13 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มันก็เป็นธาตุตามธรรมชาติ
เป็นการกินอย่างไม่มีตัวผู้กินและถูกกิน
นี่คือไม่กินทั้งหมด
คือไม่หมายมั่นว่าอะไรเป็นอะไร



อนุโมทนาสาธุ เจ้าค่ะ สาธุ
 

_________________
ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง