Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
ฉลาดทำใจในยามรับรู้ข่าวสาร (พระไพศาล วิสาโล)
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
ตอบเมื่อ: 26 ต.ค.2007, 10:49 am
ทุกวันนี้ข่าวสารจากสื่อต่างๆ
ได้กลายเป็นสิ่งแวดล้อมที่มีอิทธิพล
ต่อความรู้สึกนึกคิดของเรามาก
เราจะสุขหรือทุกข์ แจ่มใสหรือหดหู่
ขึ้นอยู่กับข่าวสารที่ได้รับมิใช่น้อย
โดยเฉพาะข่าวสารที่ถูกต่อเติมเสริมแต่ง
ให้คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
ในการรับรู้ข่าวสาร การรู้จักกลั่นกรอง
แยกแยะความจริงกับความเท็จ จึงเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก
คำสอนของพระพุทธเจ้าในกาลามสูตร
เป็นข้อเตือนใจได้เป็นอย่างดี
โดยเฉพาะข้อที่ว่า อย่าปลงใจเชื่อด้วยการฟังตามกันมา
หรือเพราะการอนุมาน หรือเพราะเข้าได้กับความคิดของเรา
อย่างไรก็ตาม แม้แน่ใจว่าข้อมูลข่าวสารที่ได้รับเป็นความจริง
เราก็ควรวางใจให้ถูกต้อง
โดยเฉพาะเมื่อรับรู้ข่าวคราวที่ไม่สู้ดี
นอกจากเพื่อป้องกันมิให้สร้างอกุศลจิตหรือความทุกข์แก่เราแล้ว
ยังเพื่อน้อมใจให้เป็นกุศล อีกทั้งเพื่อเสริมสร้างสติปัญญา
ในการดำเนินชีวิตและการเกื้อกูลส่วนรวม
๑. อุบัติเหตุร้ายแรง
อุบัติเหตุมิใช่เรื่องน่ายินดีหรือน่ามุงดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น
แม้จะเกิดกับคนที่เราไม่รู้จัก
ก็ควรที่จะเห็นอกเห็นใจเขาและครอบครัวของเขา
ลองเอาใจเขามาใส่ใจเราว่า
หากเกิดกับคนที่เรารักหรือญาติพี่น้องของเรา เราจะรู้สึกอย่างไร
หากเขาประสบเหตุถึงแก่ชีวิต ควรแผ่เมตตาให้เขาได้ไปสู่สุคติ
ในฐานะเพื่อนมนุษย์อย่างน้อย นี้คือ สิ่งหนึ่งที่เราสามารถทำได้
ขณะเดียวกันควรเอาเหตุการณ์ดังกล่าว
มาเป็นเครื่องเตือนใจมิให้ประมาท
รวมทั้งเป็นกรณีศึกษาว่า
มีความผิดพลาดหรือข้อบกพร่องอะไรบ้าง
ที่เราสามารถเรียนรู้จากเหตุดังกล่าว
เพื่อป้องกันมิให้เกิดขึ้นกับตัวเองและครอบครัวของเรา
ลองโยงให้ใกล้ตัวอีกนิดว่า
หากเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นกับญาติพี่น้องของเราในวันข้างหน้า
เราจะทำอย่างไร เตรียมตัวเตรียมใจรับมือ
เหตุการณ์ดังกล่าวบ้างหรือยัง
และหากเขาต้องจากไปอย่างกะทันหันเช่นนั้น
เราคิดว่า เราได้ทำดีที่สุดกับเขาในขณะที่เขายังมีชีวิตแล้วหรือไม่
คนเป็นจำนวนไม่น้อยปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์
จนเมื่อคนรักจากไปอย่างกะทันหันเพราะอุบัติเหตุ
ถึงมาได้คิดและนึกเสียใจที่ไม่ได้ทำสิ่งที่ดีๆ ให้กับเขา
เมื่อเขายังมีชีวิตอยู่
ทีนี้ลองพิจารณาต่อไปว่า
หากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นกับเราเอง เราจะทำอย่างไร
เตรียมตัวเตรียมใจแค่ไหนแล้ว
หากมีอันถึงกับชีวิต เราพร้อมจะไปหรือไม่
หรือยังเป็นห่วงอะไรอีกมากมายที่ยังคั่งค้างอยู่
ควรใช้ข่าวคราวเหล่านี้เป็นเครื่องเตือนใจ
ให้เร่งทำสิ่งสำคัญสำหรับตัวเองและผู้อื่นขณะที่ยังมีเวลา
จนไม่มีอะไรค้างคาอีก จะได้พร้อมจากไปทุกเมื่อ
อย่านึกว่าอุบัติเหตุเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นกับเรา
การคิดเช่นนั้นนับว่า เป็นความประมาทอย่างหนึ่ง
๒. ฆาตกรรม
เช่นเดียวกับกรณีอุบัติเหตุ เมื่อมีคนถูกฆาตกรรม
ควรนึกถึงความทุกข์ของเขาและครอบครัวของเขา
ไม่ควรเอาความตายของเขา
มาเป็นเครื่องตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นของเรา
การตายในลักษณะนั้นเป็นความทุกข์อย่างยิ่ง
ควรที่เราจะแผ่เมตตาให้เขาได้ไปสู่สุคติ
อย่าให้ข่าวคราวดังกล่าวเพิ่มความโกรธแค้นให้เรา
โดยเฉพาะเมื่อผู้ตายเป็นคนบริสุทธิ์
การด่วนตัดสินผู้ที่เป็นฆาตกร
มีแต่จะทำให้เราเกิดความโกรธแค้นชิงชัง
ควรถามก่อนว่า ทำไม เขาจึงทำเช่นนั้น
เขามีภูมิหลังหรือถูกบีบคั้นอย่างไร
จึงทำกรรมอันร้ายแรงเช่นนั้น
บางทีเราอาจจะพบว่า เขาเองก็เป็นเหยื่อของความรุนแรงมาก่อน
คำถามเช่นนี้จะช่วยให้เราเห็นความจริงในมุมมองที่กว้างขึ้น
หากผู้ตายได้ชื่อว่า เป็นโจร หรือผู้ก่อการร้าย
ควรตั้งคำถามก่อนว่า เขาเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่
หรือเป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหา
หากไม่แน่ใจหรือมีข้อมูลไม่พอ ก็ไม่ควรด่วนสรุป
เพราะบางครั้งคนบริสุทธิ์ก็ถูกป้ายสี
เพื่อทำให้การฆาตกรรมมีความชอบธรรมมากขึ้น
หาไม่ก็เป็นการปรุงแต่งของสื่อเพื่อให้มีสีสันน่าสนใจมากขึ้น
แต่ถึงแม้ผู้ตายเป็นโจรหรือผู้ก่อการร้าย ก็มิใช่เป็นเรื่องน่ายินดี
เพราะทุกชีวิตมีคุณค่า
และสามารถหวนกลับสู่หนทางแห่งความดีได้เสมอ
การที่เขาต้องจบชีวิตลงอย่างกะทันหัน
ทำให้หมดโอกาสที่จะทำคุณงามความดี เพื่อทดแทนความผิดพลาด
แต่หากทำใจสงสารเขาได้ยาก
อย่างน้อยก็ควรนึกถึงหัวอกของญาติพี่น้องหรือครอบครัวของเขา
ความทุกข์ยากเดือดร้อนของคนเหล่านั้น
เป็นสิ่งที่เราสมควรให้ความเห็นใจ
เพราะบางคนอาจยังมีลูกน้อย หรือมีพ่อแม่ที่กำลังเจ็บป่วย
ซึ่งต้องการการดูแล
หากยังเห็นใจได้ยาก ก็อย่าถึงกับยินดีปรีดาที่เขาตาย
เพราะจะทำให้จิตใจเราแข็งกระด้างมากขึ้น
ถ้าวันนี้เรายินดีที่ผู้ร้ายตาย
วันหน้าอาจรู้สึกเฉยชาที่คนธรรมดาถูกฆ่า
เมตตากรุณานั้นเป็นเครื่องชี้วัดความเป็นมนุษย์
หากเมตตากรุณาลดน้อยถอยลง
ความเป็นมนุษย์ของเราก็เสื่อมถอยตามไปด้วย
อย่าบั่นทอนความเป็นมนุษย์ของเรา
ด้วยการยินดีในความตายของใคร
หรือด้วยการเคียดแค้นพยาบาทใครเลย
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
ตอบเมื่อ: 26 ต.ค.2007, 10:51 am
๓. ภัยพิบัติ
ชีวิตทุกชีวิตเป็นสิ่งมีค่า เพราะสามารถทำความดี
และสร้างสรรค์ประโยชน์ได้มากมาย
เมื่อมีใครต้องตายก่อนวัยอันควร
จึงเป็นสิ่งที่น่าเสียดายและน่าเสียใจแทนเขาและครอบครัวของเขา
ควรแผ่เมตตาให้เขาได้ไปสู่สุคติ โดยไม่เลือกว่าเป็นใคร
แม้จะต่างเชื้อชาติ ภาษา ศาสนา กับเราก็ตาม
โลกาภิวัตน์ทางด้านข่าวสาร ทำให้เรารับรู้ภัยพิบัติ
ที่เกิดขึ้นทั่วทั้งโลกได้อย่างรวดเร็วและถี่กว่าแต่ก่อน
เรียกได้ว่ารับรู้แทบทุกวัน ไม่ว่าน้ำท่วม ดินถล่ม ลมพายุ แผ่นดินไหว
ตลอดจนความอดอยากแห้งแล้ง และภัยก่อการร้าย
ซึ่งแต่ละครั้งคร่าชีวิตผู้คนนับร้อย
ขณะเดียวกันภัยบางอย่างที่ดูเหมือนไกล
ก็กลับกลายเป็นเรื่องใกล้ตัว เช่น สึนามิ
ข่าวสารดังกล่าวทำให้ผู้คนจำนวนมากเกิดความตื่นตระหนก
เต็มไปด้วยความวิตกกังวล จนอยู่ไม่เป็นสุข
โดยเฉพาะเมื่อมีหลักฐานยืนยันหนักแน่นขึ้นเรื่อยๆ ว่า
ปรากฏการณ์เรือนกระจกเป็นเรื่องจริง
และกำลังก่อผลทั่วโลกอยู่ในขณะนี้ หาใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไปไม่
อย่างไรก็ตาม ถ้าพิจารณาให้ดีจะพบว่า
ผู้คนส่วนใหญ่ทุกข์ เพราะไปกังวลกับอนาคตมากเกินไป
มัววิตกกับเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น
จะเป็นการดีกว่าหากเราหันมาใส่ใจอยู่กับปัจจุบัน
และทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
ด้วยการเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมรับมือ
กับเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างดีที่สุด
ขณะเดียวกันก็ควรร่วมกันหาทางป้องกัน
มิให้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น หากอยู่ในวิสัยที่จะทำได้
หรือช่วยกันบรรเทาผลกระทบที่จะเกิดกับส่วนรวมให้มากที่สุด
อ่านข่าวแล้วอย่าลืมกลับมาเทียบเคียงกับตัวเอง
ใช่หรือไม่ว่าความทุกข์ยากของผู้ประสบภัยเหล่านั้น
กำลังบอกเราว่า เรายังโชคดีกว่าเขามาก
ถึงแม้คุณจะประสบปัญหาหลายอย่างในชีวิต
เช่น อกหัก ถูกต่อว่า รูปร่างไม่สวย เงินเดือนน้อย ฯลฯ
แต่คุณก็ยังกินอิ่ม นอนอุ่น ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า
ไม่ต้องพลัดที่นาคาที่อยู่ มิใช่หรือ
จึงน่าจะพอใจและเห็นคุณค่าของชีวิตที่เป็นอยู่
อย่างน้อยคุณก็ยังสบายกว่าคนอีกมากมายในเวลานี้
เมื่อตระหนักแล้วว่าคุณสบายกว่าผู้ประสบภัยเพียงใด
ควรคิดหาหนทางที่จะช่วยบรรเทาทุกข์ของเขาเหล่านั้น
เช่น บริจาคเงินส่งไปให้แก่เขาผ่านหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
หรือรณรงค์ให้ผู้คนร่วมกันช่วยเหลือเขา
๔. เศรษฐกิจถดถอย
เศรษฐกิจถดถอย เป็นธรรมดาของวัฏจักรที่มีขึ้นมีลง
บางครั้งเศรษฐกิจไม่ได้เลวร้ายมาก
แต่เป็นเพราะเราไปคาดหวังให้มันเพิ่มขึ้นๆ ตลอดเวลา
จึงเป็นทุกข์เมื่อมันไม่เป็นไปตามความคิดนึกของเรา
การยอมรับว่า เศรษฐกิจย่อมมีขึ้นมีลง จะช่วยให้เราเป็นทุกข์น้อยลง
เศรษฐกิจถดถอยก็เหมือนกับความเจ็บป่วย
คือ เป็นสัญญาณเตือนให้เราตระหนักถึงความผิดพลาดบางอย่าง
ที่กำลังเกิดขึ้น แทนที่จะทุกข์ไปกับมัน
ควรตรวจสอบว่า มีความผิดพลาดขึ้นที่ตรงไหน และจะแก้ไขอย่างไร
การแก้ไขนั้นบางครั้งอาจต้องเจ็บปวดบ้าง
ต้องสละบางอย่าง เพื่อรักษาส่วนรวมไว้
หรือต้องมีการปรับตัวเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่คุ้นเคย
เราควรยอมรับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
มิพึงติดยึดกับความเคยชินเดิมๆ
ในระดับบุคคล เราควรรับมือกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ
ด้วยการมีชีวิตอย่างพอเพียง
กล่าวคือ รู้จักประมาณในการหาทรัพย์และการบริโภค
ไม่หวังรวยทางลัดหรือหาเงินให้ได้ไวๆ ครั้งละมากๆ
ยิ่งโลภในการหาทรัพย์มากเท่าไร
ก็ยิ่งเป็นทุกข์กับความผันผวนของเศรษฐกิจมากเท่านั้น
การรู้จักพอเพียงในการดำเนินชีวิตหรือเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย
เป็นภูมิคุ้มกันเศรษฐกิจถดถอยที่ดีที่สุด
พร้อมกันนั้นก็ควรหันมาชื่นชมกับสิ่งดีๆ ที่ยังมีอยู่กับคุณในขณะนี้
ถึงแม้รายได้จะลดน้อยถอยลง
แต่หากคุณยังมีกินมีใช้ไม่ขัดสน
มีเวลาพักผ่อนและแสวงหาความรื่นรมย์ในชีวิต
อีกทั้งยังมีสุขภาพดีและครอบครัวที่ผาสุก
ก็แสดงว่า ความสุขอยู่ใกล้ตัวคุณนี้เอง
ควรเปิดใจรับความสุขที่มีอยู่กับตัวหรืออยู่รอบตัวบ้าง
อย่าไปจดจ่อกับเรื่องร้ายๆ ทั้งวันทั้งคืนจนจิตใจหดหู่
เพราะสิ่งดีๆ ที่น่าชื่นชมก็ยังมีอยู่มากมาย
เพียงแต่ว่าจะรู้จักมองหรือไม่
มองในแง่ดีอีกอย่างก็คือ แม้สถานการณ์จะแย่เพียงใด
ก็ยังดีที่ไม่เลวร้ายไปกว่านี้
อย่างน้อยเศรษฐกิจวันนี้ก็ไม่ถึงขั้นวิกฤตอย่างครั้งปี ๒๕๔๐
คุณเคยผ่านเหตุการณ์ครั้งนั้นมาได้แล้ว
ครั้งนี้หรือครั้งหน้าคุณก็จะผ่านไปได้เช่นกัน
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
ตอบเมื่อ: 26 ต.ค.2007, 10:52 am
๕. การเมืองขัดแย้ง แบ่งเป็นฝักฝ่าย
เมื่อมีความขัดแย้งทางการเมืองโดยเฉพาะในระดับประเทศ
ประชาชนทั่วไปรวมทั้งเราด้วย มักถูกดึงเข้าไปเป็นฝักฝ่าย
ทำให้ความขัดแย้งขยายตัว และลุกลามไปถึงที่ทำงานและในบ้าน
ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆ มาเกี่ยวข้อง
หากเป็นเพราะความคิดเห็นต่างกัน
หรือสนับสนุนคนละฝ่ายกันเท่านั้น
ในสภาพเช่นนี้พึงระลึกไว้ว่า คนเรานั้นเห็นต่างกันได้
อาจเป็นเพราะได้ข้อมูลต่างกัน
หรือ มีเกณฑ์วัดความดีและความสำเร็จต่างกันก็ได้
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม
ข้อสำคัญก็คือ คนที่เห็นต่างจากเราไม่ใช่คนเลว
คนดีก็มีสิทธิเห็นต่างจากเราได้ ดังนั้นจึงไม่ควรเห็นเขาเป็นศัตรู
ควรมองคนให้กว้างขึ้น แล้วเราจะพบว่า
แม้เขาจะคิดต่างจากเราในเรื่องนี้
แต่ก็มีหลายเรื่องที่คิดเหมือนกับเรา
จึงไม่ควรมองเห็นเขาเป็นศัตรู
เพียงเพราะว่าคิดต่างจากเราในเรื่องนี้หรือเรื่องนั้น
จะว่าไปแล้วคนเราทุกคนมีความเหมือนมากกว่าความต่าง
ถ้าเราไปติดอยู่กับความต่าง เราจะมองกันเป็นศัตรูได้ง่าย
แล้วความโกรธเกลียดจะเผาลนจิตใจเรา
แต่ถ้าเรามองไปที่ความเหมือนให้มากๆ
จะพบว่า เราเป็นเพื่อนกัน รักชาติบ้านเมืองเหมือนกัน
นอกจากมองกว้างแล้ว ควรมองให้ไกลด้วย
วันนี้เรากับเขาอาจอยู่คนละมุม
แต่พรุ่งนี้เรากับเขาอาจร่วมมือร่วมใจกันในเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็ได้
ดังคนไทยทั้งประเทศได้แสดงให้เห็น
เมื่อครั้งร่วมใจกู้ภัยสึนามิมาแล้ว
เพราะฉะนั้นแม้จะขัดแย้งกัน แต่อย่าทะเลาะกันจนมองหน้าไม่ติด
เพราะวันพรุ่งนี้เราอาจจำเป็นต้องมาจับมือกันก็ได้
ประการสุดท้ายคือ แผ่เมตตาให้คู่กรณีที่อยู่คนละฝ่ายกับเราบ้าง
พึงตระหนักว่า ความโกรธเกลียดไม่เป็นผลดีแก่จิตใจของเรา
ทุกครั้งที่เรารู้สึกโกรธเกลียด มีจิตปรารถนาร้ายต่อใคร
คนแรกที่ถูกทำร้ายคือเรา ความโกรธเกลียดนั้นทำร้ายเรา
ก่อนที่จะไปทำร้ายคนอื่นเสียอีก
เพียงแค่คิดถึงเขาก่อนนอน ก็อาจทำให้เรานอนไม่หลับ
เกิดความเครียด ความดันโลหิตขึ้น
อย่าปล่อยให้ความโกรธเกลียดบั่นทอนจิตใจของเรา
ขับไล่ความโกรธเกลียดไปด้วยการแผ่เมตตา
คอลัมน์ มองอย่างพุทธ
[ เป็นคอลัมน์ประจำรายเดือน ลงตีพิมพ์ใน มติชนรายวัน ]
[ มติชน 16-09-50 ]
http://www.budnet.info/webb0ard/view.php?category=textb&wb_id=146
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
ตอบเมื่อ: 26 ต.ค.2007, 7:45 pm
ยุค Information Age อย่างนี้ ต้อง
ตั้ง
"สติ"
เมื่อเสพข้อมูลด้วย
"หู"
และ
"ตา"
และใช้
"ปัญญา"
ใคร่ครวญดูว่า ควร
"รับรู้"
และ
"เชื่อถือ"
หรือไม่ เพียงใด
ธรรมะสวัสดีวันออกพรรษาค่ะคุณลูกโป่ง
อนุโมทนาสาธุด้วยนะคะ
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th