Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ชีวิตโปร่งเบา (ปรีดา เรืองวิชาธร) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 27 ส.ค. 2007, 6:27 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบซื้อและเก็บสะสมของโปรดไว้ในบ้าน
ซึ่งมีอยู่เพียง ๓ อย่างที่ผมชอบซื้อชอบสะสม
ก็คือ หนังสือ แผ่นซีดีเพลงกับหนัง และเครื่องดนตรี
สะสมของเพียง ๓ อย่างดูไม่น่าจะยุ่งยากหนักหนาอะไรกับชีวิตเลย
ผมลองคำนวณเวลาที่ใช้ไปกับการค้นหาติดตามหนังสือกับซีดีใหม่ๆ
และแวะชมเครื่องดนตรีซึ่งบางครั้งบางคราวอยู่ไกลแค่ไหนก็ไป
เวลาที่ใช้ไปกับการจัดเก็บหนังสือกับแผ่นซีดีที่มีอยู่มากมายก่ายกอง
ให้เป็นระบบ เพื่อค้นหาง่ายรวมถึงใช้เวลาไปกับการดูแลรักษา
ผมรู้สึกว่าเสียเวลาไปมากกับสิ่งเหล่านี้
วัดเฉลี่ยเป็นชั่วโมงต่อวันคงลำบาก
แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ผมใช้เวลาไปกับการแสวงหา จัดเก็บ และดูแลรักษา
มากกว่าการหยิบจับใช้มัน เพื่อความบันเทิงและความรู้
และที่น่าตกใจก็คือ ต่อให้ผมมีอายุยืนถึงร้อยปี
และใช้เวลาอ่าน ดู ฟัง ของโปรดเฉลี่ยวันละ ๓ ชั่วโมงทุกวัน
ผมจะตายเสียก่อนที่จะใช้ประโยชน์จากมันหมด

ในระยะหลังเมื่อได้ทำอบรมเผชิญความตายอย่างสงบ
ได้พิจารณาใคร่ครวญถึงเวลาที่เหลืออยู่น้อยนิดของผู้ป่วยระยะสุดท้าย
ทำให้ผมรู้สึกว่า การใช้เวลาไปกับการซื้อหาและสะสมของโปรด
มันทั้งเสียเวลาและเป็นภาระหนักของชีวิต
เดิมผมคิดเสมอว่า การสะสมสิ่งเหล่านี้เป็นคุณมากกว่าเป็นโทษ
เพราะมันช่วยทำให้ผมเพลิดเพลินบันเทิงใจจากเพลงกับหนัง
ได้เติมเต็มความรู้จากหนังสือดีๆ
แต่ที่ลึกไปกว่านี้ก็คือ ความสุขเพลิดเพลินจากการได้ไปอัพเดท
และช้อปปิ้งของโปรดที่ออกมาใหม่ต่างหาก
ที่เป็นเหตุผลซ่อนแฝงในการซื้อและสะสม
เหตุผลสารพัดที่ชอบอ้างในใจว่า
หนังสือชั้นเยี่ยมเล่มนี้ต้องซื้อเก็บไว้อ่านในวันใดวันหนึ่ง
เพลงกับหนังที่รอมานานแสนนาน ต้องรีบฉวยเพื่อรอวันเสพอรรถรส
แต่แท้ที่จริงความสุขจากเหตุผลดังกล่าวนี้
กลับมีอิทธิพลน้อยกว่าความปิติสุขจากการเที่ยวแสวงหา
การซื้อ และได้เป็นเจ้าของมัน

วันหนึ่งขณะที่ผมกำลังง่วนอยู่กับการจัดเก็บของโปรด
ด้วยความเหนื่อยอ่อน ลองนั่งมองภายในตัวเองอย่างนิ่งๆ
ได้เห็นภาพตัวเองกำลังเสพติดกับการซื้อและสะสม
เหน็ดเหนื่อยหนักอึ้งกับสิ่งเหล่านี้อย่างไม่รู้สึกตัว
ทำให้เริ่มรู้สึกว่า มันเป็นโทษมากกว่าเป็นคุณ

ประการแรกก็คือ เสียเวลาไปมากกับการแสวงหาและการดูแลจัดเก็บ
แทนที่จะใช้เวลาไปกับสิ่งที่ควรทำในชีวิต
ไม่ว่าจะเป็นการสนทนากับแม่ที่อยู่ด้วยกัน
แต่กลับปฏิบัติต่อแกอย่างเหินห่าง
ไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ที่กำลังเจ็บป่วย
ใช้เวลามากขึ้นกับการทำสมาธิภาวนา
เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตด้านในให้สุขเย็นและปล่อยวางได้มากขึ้น
หรือแม้แต่หยิบหนังสือมาอ่านด้วยใจที่โปร่งเบา เป็นต้น

ประการที่สองก็คือ การซื้อและสะสมของโปรดที่มากมายขนาดนี้
ทำให้จิตใจของผมง่ายที่จะหมกมุ่น
เที่ยวนึกคิดปรุงแต่งอยู่แต่กับสิ่งเหล่านี้
จิตใจที่ข้องแวะขึ้นลงอยู่กับสิ่งเหล่านี้ย่อมหนักอึ้ง และไม่ว่างมากพอ
ที่จะมองเห็นรายละเอียดรอบด้านของชีวิตที่น่าใส่ใจรับรู้
ยากที่จะมองเห็นความเจ็บปวดของผู้คนที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก
ยากที่จะมองเห็นสภาพสังคมที่กำลังเสื่อมทรุด
รอวันเวลาที่เราจะยื่นมือโอบอุ้มเยียวยาตามกำลังที่มี

ประการสุดท้าย หากของสิ่งใดเป็นของชอบสุดโปรดแล้ว
ก็ย่อมกังวลใจได้ง่าย ถ้ามันจะต้องชำรุดสูญหาย
จะให้ใครยืมหรือให้ใครไปเลยก็คิดแล้วคิดอีกทำให้จิตใจคับแคบได้ง่าย

จริงๆ แล้วผมกับท่านผู้อ่านคงไม่ได้มีเพียงเรื่องซื้อ
และสะสมของโปรดไว้มากมาย
จนกลายเป็นเรื่องหนักอึ้งของชีวิตเท่านั้น
เรายังทำชีวิตให้หนักอึ้งด้วยการทุ่มเทแสวงหา
และสะสมทรัพย์สินเงินทองที่มากเกินไป
แสวงหาอย่างไร้ทิศทางไม่รู้ว่าเมื่อไรจะพอ
จะ ได้เอาชีวิตและเวลาไปทำอย่างอื่นเพื่อคนอื่นบ้าง
จริงอยู่การมีทรัพย์สินเงินทองและข้าวของเครื่องใช้ในระดับที่พอดี
ย่อมช่วยให้เรามีความสุขจากการมีการใช้
แต่หากแสวงหาและสะสมมากเกินไป
ย่อมทำให้ชีวิตมีความสุขน้อยลง กลายเป็นความหนักอึ้งเข้ามาแทนที่

บางท่านชีวิตหนักอึ้งขึ้นไปอีกจากการทำงาน
ด้วยความยึดติดในความสำเร็จ
ทำงานท่ามกลางกระแสแห่งการแข่งขันไต่เต้าเอาดี
ต้องเป็นที่หนึ่งให้ได้ หรือต้องชนะเสมอแพ้ไม่ได้
ทั้งที่จริงๆ แล้วความก้าวหน้าสำเร็จของงาน
ไม่จำเป็นต้องมาจากวัฒนธรรมการแข่งขันอย่างเอาเป็นเอาตาย
แต่สามารถสร้างสรรค์ได้จากแรงจูงใจภายในบุคคลก็ได้ (ฉันทะ)
และมาจากการช่วยเหลือเกื้อกูลผลักดันส่งเสริมซึ่งกันและกัน
ให้ใช้ศักยภาพภายในของบุคคลออกมาเต็มที่
เพื่อสร้างสรรค์คุณภาพของงาน
ดังนั้นการเปลี่ยนแรงจูงใจจากการแข่งขันเป็นที่หนึ่ง
มาเป็นส่งเสริมช่วยเหลือกัน
ย่อมทำให้ชีวิตการทำงานโปร่งเบาสบาย

นอกจากเรื่องทรัพย์สินเงินทองและกิจการงานแล้ว
หลายคนยังทำชีวิตให้หนักอึ้งจากการกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูลูกหลาน
ด้วยความคาดหวังและห่วงกังวลมากเกินไป
จนชีวิตมีแต่เรื่องลูกหลานเข้ามารบกวนจิตใจให้วุ่นวายกังวลอยู่เสมอ
จะดีขึ้นไหมหากเราจะดูแลเขาด้วยความรักที่เปิดกว้าง
เชื่อมั่นวางใจในความสามารถภายในของเขาว่า
เขาจะดูแลตัวเองได้สามารถที่จะคิดแก้ปัญหาเองได้
ดังนั้นหากคิดอย่างนี้แล้วเราจะเปลี่ยนท่าที
จากการดูแลแบบกำกับบททุกฉากทุกตอนของชีวิตเขา
มาเป็นดูแลแบบโค้ชที่ใส่ใจรับผิดชอบ
แต่ในขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสเต็มที่
เพื่อฝึกฝนให้เขาคิดและตัดสินใจด้วยตัวเอง
ซึ่งจะทำให้เขาสามารถคิดแก้ปัญหา
และกล้าที่จะเผชิญความจริงของชีวิตเองได้ในที่สุด

เรื่องสุดท้ายในที่นี้ที่มักจะทำให้ชีวิตหนักอึ้งและเหน็ดเหนื่อย
ก็คือ การทำความดีอย่างยึดติดความดี
รวมถึงติดยึดภาพลักษณ์ของความเป็นคนดี
จริงๆ แล้วการทำดีที่เป็นกุศล ควรจะทำแล้วจิตใจแช่มชื่นเบิกบาน
แต่หากทำด้วยความรู้สึกที่มีตัวกูที่สูงกว่าดีกว่า
สำคัญมั่นหมายกับผลของความดีที่จะเกิดขึ้น
หรือยิ่งทำยิ่งตอกย้ำตัวกูที่เหนือกว่าสะอาดกว่าคนอื่น
ย่อมทำให้ความดีกลายเป็นความหนักอึ้งเข้ามาแทนที่

ด้วยเหตุนี้ชีวิตจะแปรเปลี่ยนจากความหนักอึ้งมาเป็นชีวิตโปร่งเบา
นอกจากจะมีวัตถุสิ่งของที่พอดีแล้ว
เรายังจำเป็นต้องวางท่าทีใหม่กับสิ่งที่เราเกี่ยวข้องทั้งเรื่องงาน
ความสัมพันธ์ในครอบครัว ความดี เป็นต้น
และหากชีวิตจะโปร่งเบาได้อย่างแท้จริงแล้ว
สิ่งสำคัญที่สุดย่อมอยู่ที่การมีการเป็น
ด้วยความรู้สึกมีตัวกูของกูให้น้อยที่สุด
ดังคำเตือนของท่านอาจารย์พุทธทาส


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้


คัดลอกจาก...
ชีวิตโปร่งเบา [ Posttoday 29-07-50 ]
คอลัมน์ มองย้อนศร
[ เป็นคอลัมน์รายสัปดาห์ ลงตีพิมพ์ใน โพสต์ทูเดย์
ฉบับวันเสาร์ เขียนโดย..ทีมงานพุทธิกา ]


http://budnet.info/webb0ard/view.php?category=texta&wb_id=133

สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 28 ส.ค. 2007, 8:32 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ่านแล้วก็ได้คติ

เตรียมตัวเราไว้แต่เน้นๆ เถอะครับ..



สาธุ สู้ สู้ ยิ้มเห็นฟัน สาธุ...
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง