ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
ไอธรรมไอที
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 12 ธ.ค. 2004
ตอบ: 28
|
ตอบเมื่อ:
09 ก.พ.2005, 12:52 am |
  |
ขอให้อ่านให้จบนะครับ
ไม่ว่าจะเบื่อหรือเครียดก็ตามถ้าอ่านให้จบคำวอนขอหรืออธิษฐานของคุณจะสำเร็จและเป็นจริงทุกประการเลยนะครับ
ถ้าคุณสามารถนำไปทำตามนี้ได้ แล้วอย่าลืมอ่านตอนจบด้วยนะครับ
ถ้าอ่านแล้วไม่เข้าใจให้อ่านซ้ำอีกรอบนะครับ หรือเมล์ลกลับมาหาผมก็ได้
จะนอนคุดคู้ด้วยการอ้อนวอนปรารถนาหรือหรือจะเดินหน้าด้วยอธิษฐาน
มีแง่คิดคิดเข้ามาอย่างหนึ่งว่า บางทีการอ้อนวอนก็มิใช่ไร้ผล เอาละซิ เดี๋ยวคุณก็บอกว่า เอ... ชักจะมาหนุนให้อ้อนวอนแล้ว
อันนี้เป็นเรื่องของความจริงตามธรรมชาติ จึงลองมาวิเคราะห์กันดู ที่ว่าการอ้อนวอนนี้ไม่ใช่ไร้ผลทีเดียวนั้นมีอะไรแฝงอยู่
การอ้อนวอนนั้น โดยตัวมันเองไม่ใช่สิ่งที่ให้ผล แต่ในการอ้อนวอนนั้น มันได้ทำให้เกิดสภาพจิตอย่างหนึ่งขึ้น ซึ่งเป็นผลพวงมาโดยไม่รู้ตัวพวกที่อ้อนวอนนั้นทำไปโดยไม่รู้ แต่บางครั้งมันได้ผล
ทำไมจึงบอกว่า บางครั้งมันได้ผล สิ่งที่แฝงมาโดยไม่รู้ตัวก็คือ สภาพจิต เมื่อมีการอ้อนวอนนั้น จิตจะรวมในระดับหนึ่ง และทำให้เกิดแรงความมุ่งหวัง แรงความมุ่งหวังนั้นทำให้จิตแน่วมุ่งดิ่งไป และมีพลังขึ้นมาในแนวของสมาธินั้นเอง
จิตที่จะอ้อนวอนนั้น เมื่อตั้งใจปรารถนาแรงมาก มันก็พุ่งดิ่งไปทางเดียว จิตก็แน่วตั้งมั่นขึ้นมา จิตที่ตั้งหมั่นนี้แหละเป็นคุณประโยชน์คนอ่อนแอจึงอาศัยการอ้อนวอนมาช่วย
ส่วนคนที่ไม่อ้อนวอนเลย แต่พร้อมกันนั้น ก็ยังไม่รู้จักการรวมจิตด้วยวิธีอื่น บางทีบอกว่าตัวเองเป็นคนมีปัญญา แต่เป็นคนที่พล่า จับจดเมื่อจิตพล่าจับจดไม่เอาอะไรมุ่งลงไปแน่นอน จิตก็ไม่มั่น ทำอะไรก็ไม่ค่อยได้ผล เลยกลับไปแพ้คนที่ตัวเองว่าโง่เขลางมงาย
เรื่องความตั้งใจแน่วแน่ของจิตนี้สำคัญมาก คนอาจจะทำให้มันเกิดขึ้นมาโดยไม่รู้เข้าใจและไม่รู้ตัว แล้วจิตมันก็ทำงานให้อย่างที่เจ้าตัวไม่รู้เข้าใจและไม่รู้ตัวด้วย เลยพูดง่ายๆว่ามันลงไปในระดับจิตที่ไม่รู้ตัวเลยทีเดียว
ที่จริงคนที่อ้อนวอนนั้น เขาก็รู้ตัวในการอ้อนวอนของเขา แต่ไม่ใช่รู้ด้วยปัญญา คือแทนที่จะมองเห็นการกระทำเหตุอันจะนำไปให้ถึงผลที่ตัวอยากได้ เขามองไปตันแค่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ลัดข้ามไปยังผลที่อยากจะได้แต่เพราะความที่ใจอยากแรงกล้า ประสานกับความเชื่อต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น เป็นศรัทธาอันดิ่ง ก็จ่อแน่วเกิดเป็นแรงที่ทำให้จิตมั่นและมุ่ง
ถ้าพูดในแง่การทำงานของจิต ที่จริงเป็นการปรุงแต่ในจิตสำนึกนี่แหละปรุงแต่อย่างแรงทีเดียว แต่แรงด้วยความรู้สึก ไม่ใช่แรงด้วยความรู้ ก่อนที่จะตกภวังค์สะสมเป็นวิบากต่อไป
รวมแล้ว การกระทำหลายอย่างที่เป็นไปนี้ เหมือนว่าเราไม่รู้ตัวแต่ได้กระทำไปเอง โดยความเคยชินในการดำเนินชีวิตประจำวันบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องของมนุษย์ที่ตกอยู่ในอวิชชา(ความไม่รู้จริงไม่รู้แน่ชัดในสรรพสิ่งทั้งหลาย)
เมื่อทำการต่างๆ ได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง มีผลพลอยได้ขึ้นมาบ้างนั้น หลายอย่างเหมือนเป็นไปเอง คือ มันพอดีไปจำเพาะถูกจุดถูกจังหวะเข้า ปัจจัยที่ตรงเรื่องเกิดขึ้น ก็เลยได้ผลหรือตรงข้ามกับได้ผล
ทีนี้ พระพุทธศาสนาสอนให้คนพัฒนาตนเพื่ออะไร ก็เพื่อทำการต่างๆได้ผล โดยเป็นไปอย่างรู้ตัว มองเห็นชัดเจนด้วยปัญญา มีความรู้เข้าใจ ด้วยการเห็นจริง ทำตรงตัวเหตุปัจจัย ดุจบังคับบัญชามันได้ เมื่อทำโดยรู้เข้าใจมองเห็นความเป็นไป ก็ก้าวต่อไป ไม่ใช่ว่าจะไปจับพลัดจับผลูพอดีตรงเข้า ก็เลยได้ผลขึ้นมา แล้วเมื่อไม่รู้เหตุผลที่เป็นไปก็จมวนอยู่แค่นั้น
สำหรับการอ้อนวอนนั้น ก็เป็นเรื่องของมนุษย์ที่มีอวิชชา แต่สภาพจิตของเขาที่มีอาการมั่นแน่วและได้ผลขึ้นมาในการอ้อนวอนนั้น ก็เป็นเรื่องของกฎธรรมชาติ คือเป็นกรรม ได้แก่ การกระทำอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นไปตามกระบวนการของเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดผลขึ้นมา
(อย่าเพิ่งท้อใจนะครับอ่านจบอธิษฐานได้จริงผมรู้ว่าคุณเริ่มจะเข้าใจแล้ว)
อธิบายหน่อยนึงว่า จิตของเขา เอาสิ่งที่เป็นเป้าหมายของการอ้อนวอนนั้นเป็นสื่อ แล้วมีแรงความมุ่งหวังขับดับไป ได้ความเชื่อต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากำกับ ทำให้เกดความแน่วแน่และความพุ่งดิ่ง ก็ทำให้จิตในระดับของความไม่รู้ตัวนี้ จับมั่นมุ่งอยู่กับความปรารถนาอันนั้น ใจก็ครุ่นพัวพะนอยู่ที่จุดหมายนั้น แล้วเกิดแรงโน้มนำชักพาไปสู่ผลที่ต้องการ แม้แต่โดยตนเองไม่รู้ตัว การอ้อนวอนในบางกรณีจึงได้ผลเป็นการจับพลัดจับผลูแบบหนึ่ง
พวกไสยศาสตร์ทั่วๆไป ก็ใช้อะไรบางอย่างเป็นสื่อ สำหรับให้เป็นที่จับยึดของความเชื่อซึ่งเป็นแรงที่พาจิตให้มีพลังมั่นแน่วมุ่งดิ่งไป
ในทางพระพุทธศาสนา ท่านจับเอาสาระในเรื่องนี้ออกมาแล้วถือเอาส่วนที่ใช้ประโยชน์ ที่จะมาสัมพันธ์กันได้กับการพัฒนามนุษย์
พุทธศาสนิกชนที่ยังอยู่ในระดับนี้ เราก็ต้องยอมรับความเป็นปุถุชน(บุคคลธรรมดาที่มีกิเลสและอยู่อย่างธรรมดา)ของเขา อย่างน้อยก็ควรใช้หลักนี้ให้เป็นประโยชน์ในทางที่ดีและให้มีทางเชื่อมต่อเข้าสู่การพัฒนาในไตรสิกขา(คือสิ่งที่ไม่เที่ยงมีเกดขึ้นแล้วเสื่อมไป ความเป็นทุกข์คือความทนยากอยู่ในสภาพนั้นไม่ได้ และความไม่มีตัวตนไม่สามารถควบคุมมันได้) ได้
พระพุทธศาสนาได้แยกสาระในเรื่องนี้ออกมาให้เราแล้ว แต่บางทีเราก็จับไม่ได้ ก็เลยยังวุ่นกันอยู่
ในระบบการอ้อนวอนที่บางทีได้ผลนี่ มันมีแก่นแท้อยู่ นั้นก็คือ ตัวความมุ่งหวังและใฝ่ปรารถนาอย่างแรงกล้าต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ทำให้จิตรวมกำลังพุ่งดิ่งไปในทางนั้น สาระนี้ท่านเอาออกมา แล้วให้ชาวพุทธใช้ได้ เรียกว่า อธิษฐาน
แต่คนทั่วไปก็แยกไม่ออกอีกนั้นแหละ ทั้งที่หยิบยกแยกออกมาให้โดยเรียกว่า “อธิษฐาน” แล้ว ชาวพุทธในเมืองไทยเรากลับเอาอธิษฐานไปปนกับความหมายในเชิงการอ้อนวอนอีกตามเคย จะเห็นว่าคนไทยทั่วไป แยกไม่ออกว่า อธิษฐานต่างกับการอ้อนวอนอย่างไร
ตอนนี้ ต้องการจะเขียนให้แยกออกได้ก่อน ว่าในทางศาสนานั้นท่าเอาตัวแกนที่จะใช้ได้ออกมา คือ อธิษฐาน แล้วนำไปใช้ได้
อธิษฐาน นี้ แปลว่า ความตั้งใจเด็จเดี่ยว คนเราจะทำอะไรต้องมีจุดกหมาย หรือที่มุ่งเจาะเฉพาะลงไป
แม้แต่จะบำเพ็ญกุศลธรรม สิ่งที่ดีงามนั้น ไม่ใช่ว่าเราทำได้ทีเดียวทั้งหมด ทั้งชาติก็ทำไม่ไหว อย่าว่าแต่ปีสองปีหรือเดือนสองเดือนเลย ตลอดชาตินี้ เราจะทำกุศลหรือความดีทุกอย่างนี่ เราทำไม่ไหว
ไม่เฉพาะพวกเราหรอก แม้แต่พระโพธิสัตว์จะบำเพ็ญความดี บางทีทั้งชาติทำได้จริงจังข้อเดียว ไม่ใช่ว่าข้ออื่นไม่ทำ ทำดีทั่วๆไปแต่มีข้อเด่นที่มุ่งจริงจังอยู่ข้อสองข้อ
เพราะฉะนั้น ในการเป็นพระโพธิสัตว์ชาติหนึ่งๆ นี้ จะต้องมีจุดที่มุ่งมั่น การทำดีต้องมีเป้าหมายว่า จะทำความดีอันไหนให้เป็นพิเศษเราต้องใช้ปัญญาไตร่ตรองพิจารณาก่อนว่า อันนี้เราควรจะทำ อันนี้เราจะต้องทำให้ได้ เมื่อมันใจกับตัวเองแล้วก็ตั้งอธิษฐานจิต
การตั้งอธิษฐานจิต ก็คือ ตั้งใจเด็จเดี่ยว มุ่งมั่นลงไปว่าจะทำการนี้เรื่องนี้อันนี้ ให้สำเร็จให้จงได้ โดยตั้งใจเด็ดเดี่ยว
๑. ต่อคุณธรรมความดี หรือกุศลธรรมบางอย่างที่ต้องการจะทำ
๒. ต่อจุดมุ่งหมาย หมายความว่า เรามีจุดมุ่งหมายที่ดีงามว่าเราจะต้องไปให้ถึงสิ่งนั้นให้ได้ แล้วเราก็อธิษฐานจิต
การอธิษฐานจิตนี้ เป็นการทำให้จิตของเรา พุ่งตรงดิ่งไปสู่เป้าหมายอันนั้น พูดเชิงภาพพจน์ว่าเป็นการสะสมแรงอัดลงไปถึงในภวังค์จิตเลยทีเดียว แล้วภวังค์จิตอันเป็นวิบากคือเป็นผลของการปรุงแต่งนั้น ซึ่งเป็นแหล่งแห่งศักยภาพของเรา ก็เหมือนกับทำงานให้เราเอง ที่จะชักจูงเรา นำพาวิถีชีวิตของเรา แม้แต่โดยไม่รู้ตัวให้หันเหเข้าไปหาสิ่งนั้น เกิดความสนใจต่ออะไรๆ ที่เกี่ยวกับสิ่งนั้น
สิ่งแวดล้อมที่เราเกี่ยวข้อง เวลาเราเข้าไปสัมพันธ์ เราจะมีความโน้มเอียงที่จะเข้าไปหาสิ่งโน้นสิ่งนี้ โดยจะมีความรู้สึกต่อสิ่งเหล่านั้นไม่เหมือนกัน
จากจุดที่มีความรู้สึกหันเหโน้มเอียงต่อสิ่งเหล่านั้น ในเวลาที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์ เริ่มแต่รับรู้ด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ที่เราแต่ละคนจะมีปฏิกิริยาต่อสิ่งเหล่านั้นไม่เหมือนกันนี่แหละ วิถีชีวิตของเราจะเปลี่ยนไปตามแนวทางของตนๆ ทำให้ชีวิตของคนเราไม่เหมือนกันและนี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่าเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นไปตามกรรม
ฉะนั้น แรงความโน้มเอียงความสนใจเป็นต้นที่ว่ามานี้ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ แม้แต่ตัวเราเองบางทีก็ไม่รู้ตัว คนหนึ่งมองสิ่งหนึ่งก็มีความรู้สึกและเข้าใจอย่างหนึ่ง อีกคนหนึ่งก็เข้าใจและรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง
จากจุดเริ่มต้นที่มองและรู้สึกอย่างใด ก็ทำให้เขามีปฏิกิริยาต่อสิ่งนั้นไปตามแบบหรือลักษณะเฉพาะของตน รวมถึงการที่เขาจะหันเหไปหา จะมุ่งไปในทิศทางนั้น จะทำความเพียรพยายามให้ได้ให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้เป็นต้น
นี่เป็นการเขียนในระยะยาว
มีตอนสองต่อด้วย
คัดมาจากหนังสือ จาริกบุญจาริกธรรม โดยเจ้าพระคุณพระพรหมคุณาภรณ์ (พระธรรมปิฎก ป.อ.ปยุตฺโต)
ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาพุทธศาสนาและปรัชญา จาก ๘ สถาบันทั่วประเทศไทย
|
|
_________________ ดีใดไม่มีโทษดีนั้นชื่อว่าดีเลิศ
ทำตนให้เป็นที่พึ่งได้ |
|
    |
 |
ppj
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
09 ก.พ.2005, 1:10 am |
  |
|
|
 |
มาดู
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
09 ก.พ.2005, 2:50 am |
  |
....จะมาอ่านอีกนะคะ... .... .....  |
|
|
|
|
 |
เดี่ยว
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
09 ก.พ.2005, 9:09 pm |
  |
เคยได้สดับมาว่า มนต์ไม่ศักดิ์สิทธ์เพราะสาเหตุสามประการ
1.ไม่เชื่อมั่นในมนต์
2.กิเลสขวางกั้น
3.กรรมขวางกัน
ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยครับ |
|
|
|
|
 |
Angelina
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
09 ก.พ.2005, 10:47 pm |
  |
ขอบคุณมาก สำหรับข้อความดีๆอย่างนี้ |
|
|
|
|
 |
TU
บัวทอง


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 1589
|
ตอบเมื่อ:
11 ก.พ.2005, 4:42 pm |
  |
|
    |
 |
น้ำใส
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
11 ก.พ.2005, 9:35 pm |
  |
|
|
 |
|