Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 มาดูผลร้ายที่เกิดขึ้นกับสุขภาพร่างกายของเราที่มาจากความโกรธ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
poivang
บัวตูม
บัวตูม


เข้าร่วม: 18 มิ.ย. 2005
ตอบ: 224

ตอบตอบเมื่อ: 04 ส.ค. 2007, 11:56 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คัดมาจากคำเทศนาของท่านภิกขุ ปัญญาวัฒน์

ความโกรธที่เกิดขึ้นแก่เรานั้น ตามปกติย่อมมาจากการกระทำของบุคคลอื่น คือ เนื่องจากบุคคลอื่นทำความไม่พอใจให้แก่เรา ทำให้เราโกรธ

แต่การกระทำของคนอื่นที่เป็นเหตุให้เราโกรธนั้น แยกลักษณะออกได้เป็นสองประการ คือ การกระทำโดยเจตนาอย่างหนึ่ง และกระทำโดยมิได้เจตนาอย่างหนึ่ง

ความโกรธนั้นมีผลร้ายต่อสุขภาพร่างกายหลายประการ

๑.ขณะที่รับประทานอาหาร เมื่อตนเองหรือคนอื่นที่ร่วมวงรับประทานอาหารอยู่ มีคนใดคนหนึ่งแสดงความไม่พอใจหรือความโกรธเกิดขึ้น จะทำให้หมดความอยากรับประทานอาหารขึ้นทันทีทันใด เรียกว่ารับประทานอาหารไม่ลง เพราะความโกรธนั้น

๒. เมื่อความโกรธเกิดขึ้น จะเป็นต้นเหตุทำให้เครื่องย่อยอาหาร เช่น กระเพาะ น้ำย่อย และกระบวนการเครื่องย่อยอาหารทำงานไม่ปกติ ทำให้ปวดท้อง ท้องอืด ท้องผูก ลมดัน กระเพาะมีกรด และเป็นแผลในกระเพาะอาหารในที่สุด

๓. ทำให้ประสาทเสีย เส้นประสาทเกิดพิการ และเกิดความตึงเครียด เส้นประสาททำงานหนักเกินปกติ อาจทำให้เป็นอัมพาตได้

๔. ทำให้จิตใจกระสับกระส่าย กระวนกระวาย และเจ็บปวดร่างกาย และจิตใจที่มีความโกรธ ทำให้อวัยวะทุกส่วนของร่างกายทำงานผิดปกติ เกิดอาการเกร็งตามเนื้อหนัง เกิดอาการไม่สบายได้

๕. ทำให้เกิดพิษในตัวเหมือนพิษงู และพิษอันนี้จะก่อให้เกิดเป็นพิษร้ายแก่ตัวเอง

๖. เด็กที่ถูกแกล้งหรือทำให้โกรธอยู่เสมอ จะทำให้การเจริญเติบโตช้า เช่น เด็กถูกเพื่อนหยอกล้อ ถูกชกตี หรือถูกพ่อแม่ตีโดยไม่มีเหตุผล เฆี่ยนตีสนองอารมณ์ตนเอง จะกลายเป็นเด็กปัญญาอ่อนและเป็นอันตรายแก่ชีวิตของเด็กตลอดไป

รวมความว่าความโกรธเป็นผลร้ายแก่ตนเอง และเป็นการทำลายสุขภาพ ทำลายจิตใจ บั่นทอนความคิดอ่าน เป็นศัตรูอันแรกของมนุษย์ยิ่งกว่าโรคร้ายใดๆ การประทุษร้ายด้วยวิธีทำความโกรธเป็นการประทุษร้ายที่ได้ผลแน่นอน

เพราะทำร้ายได้ไม่เฉพาะแต่ร่างกาย ยังทำร้ายไปได้ถึงความคิดสติปัญญา และจิตใจ ซึ่งเป็นการทำร้ายที่ไม่ผิดกฎหมาย มนุษย์ต้องป้องกันตนเองสำหรับการทำร้ายชนิดนี้ ทางออกที่ดีที่สุด คือ ฝึกหัดระงับจิตใจ ไม่ให้เป็นคนโกรธง่าย

พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งความเมตตาการุณย์ พระพุทธจ้ามีพระคุณข้อใหญ่ประการหนึ่ง คือ พระมหากรุณา ชาวพุทธได้รับการสั่งสอนให้มีเมตตากรุณา ให้ช่วยเหลือผู้อื่นด้วยกาย วาจา ใจและมีน้ำใจปารถนาดี แม้แต่เมื่อไม่ได้ทำอะไรอื่น ก็ให้แผ่เมตตาแก่เพื่อนมนุษย์ตลอดจนสัตว์ทั้งปวง ขอให้อยู่เป็นสุขปราศจากเวรภัยกันโดยทั่วหน้า

อย่างไรก็ตามเมตตามีคู่ปรับอย่างหนึ่งคือความโกรธ เป็นศัตรูที่คอยขัดขวางไม่ให้เมตตาเกิดขึ้นคนบางคนเป็นผู้มักโกรธ พอโกรธขึ้นมาแล้วต้องทำอะไรรุนแรงออกไป

หงุดหงิดงุ่นง่านทรมานใจในเวลานั้นเมตตาหลบหายไม่รู้ว่าไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ส่วนความโกรธทั้งที่ไม่ต้องการแต่ไม่ยอมหนีจากไป บางทีจนปัญญาไม่รู้จะขับไล่หรือกำจัดให้หมดไปได้อย่างไร

แล้วทีนี้จะทำอย่างไรให้หายโกรธ

ขั้นที่๑ นึกถึงผลเสียของความเป็นคนมักโกรธ

ขั้นที่๒ พิจารณาโทษของความโกรธ

ขั้นที่๓ นึกถึงความดีของคนที่เราโกรธ

ขั้นที่๔ พิจารณาว่าความโกรธคือการสร้างทุกข์ให้กับตัวเอง

ขั้นที่๕ พิจารณาว่าสัตว์มีกรรมเป็นของตน คือ เราโกรธแล้วไม่ว่าจะทำอะไร การกระทำของเรา นั้นเกิดจากโทสะ ซึ่งเป็นอกุศลมูล กรรมของเราย่อมเป็นกรรมชั่วและเราจะต้องรับผล ของกรรมนั้นต่อไป

ขั้นที๖ พิจารณาความเกี่ยวข้องกันในสังสารวัฏ หากมีเหตุโกรธเคืองจากใคร พึงพิจารณาว่าท่าน ผู้นี้อาจเคยเป็นบิดา มารดา ฯลฯ ที่ดีมีบุญคุณกับเรามาก่อนก็ได้

ขั้นที่๗ พิจารณาอานิสงส์ของเมตตา พระพุทธเจ้าตรัสแสดงอานิสงส์ของเมตตาไว้ ๑๑ ประการคือ หลับเป็นสุข ตื่นเป็นสุขไม่ฝันร้าย เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย เป็นที่รักของอมนุษย์ ทั้งหลาย เทวดารักษา ไฟ พิษ และศัสตราไม่กล้ำกราย จิตใจตั้งมั่นเป็นสมาธิได้เร็ว สีหน้าผ่องใส ตายก็มีสติไม่หลงฟั่นเฟือน เมื่อยังไม่บรรลุคุณธรรมที่สูงกว่าย่อมเข้าถึง พรหมโลก

ขั้นที่๘ พิจารณาโดยวิธีแยกธาตุ เป็นการปฏิบัติแนววิปัสสนา เช่น แยกผู้ที่เราโกรธว่าตัวเขาเป็น เพียงแค่ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาขันธ์ เป็นต้น แล้วจะโกรธดิน น้ำ ลม ไฟ ขน ผม หนัง เล็บ กระดูก ทำไม?

ขั้นที่๙ ปฏิบัติทาน คือการให้ หรือแบ่งปันสิ่งของแก่ผู้ที่เราโกรธ

ขั้นที่๑๐ ฝึกสติให้รู้ว่ากำลังโกรธ โกรธหนอ....โกรธหนอ.....โกรธหนอ.....

แนวทางเหล่านี้เป็นแนวทางที่จะช่วยให้คลายหายโกรธ ได้ทางหนึ่งๆ ซึ่งแต่ละคนก็คงจะมีวิธีและหนทางให้หายจากความโกรธที่ไม่เหมือนกัน

ส่วนความพยาบาทนั้น มีมูลเหตุมาจากเรื่องที่ทำให้โกรธ แต่ไม่จำเป็นต้องโกรธเสมอไป ความพยาบาทอาฆาตเป็นขั้นรุนแรงเหนือกว่าความโกรธ

ความโกรธมีความแตกต่างจากความพยาบาทดังนี้

๑.ความโกรธเป็นความอ่อนแอ ส่วนความพยาบาทเป็นความเข้มแข็ง

๒.ความโกรธเป็นความเลือดร้อน เอะอะตึงตัง ความพยาบาทเป็นความเลือดเย็น เงียบเชียบ สุขุม

๓.ความโกรธเป็นความขุ่นหมอง และข่มขื่นในใจ ส่วนความพยาบาทเป็นความแจ่มใส และชุ่มชื่นได้

๔.ความโกรธทำให้หน้าเราบูดบึ้ง แต่ความพยาบาท สามารถทำให้หน้าเรายิ้มแย้มแจ่มใสได้

๕.ความโกรธทำให้เราเสียมารยาท แต่ความพยาบาทสามารถให้รักษามารยาทได้ดี
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง