Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 โอวาทพระอาจารย์ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 13 มิ.ย.2007, 4:19 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต
วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพฯ


คนเราเมื่อมีลาภก็เสื่อมลาภ
เมื่อมียศก็เสื่อมยศ
เมื่อมีสุขก็มีทุกข์
เมื่อมีสรรเสริญก็มีนินทา
เป็นของคู่กันมาเช่นนี้ จะไปถืออะไรกับปากมนุษย์
ถึงจะดีแสนดีก็มีที่ติ ถึงจะชั่วแสนชั่วมันก็ชม
นับประสาอะไร พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐเลิศดีกว่ามนุษย์และเทวดา
ยังมีมารผจญ ยังมีคนนินทาติเตียน
ปุถุชนอย่างเราจะหลุดพ้นจากโลกะธรรมดังกล่าวแล้วไม่ได้
ต้องคิดเสียว่าเขาจะติก็ช่าง จะชมก็ช่าง
เราไม่ได้ทำอะไรให้เขาเดือดเนื้อร้อนใจ
ก่อนที่เราจะทำอะไรเราคิดแล้วว่า
ไม่เดือดร้อนแก่ตัวเราแลคนอื่น เราจึงทำ
เขาจะนินทาว่าร้ายอย่างไรก็ช่างเขา
บุญเราทำกรรมเราไม่สร้าง
พยายามสงบกาย สงบวาจา สงบใจ
จะต้องไปกังวลกลัวใครติเตียนทำไม
ไม่เห็นมีประโยชน์ เปลืองความคิดเปล่าๆ




หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล
วัดเลียบ จังหวัดอุบลราชธานี


ธรรมะมีอยู่ในกาย เพราะกายมีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย
พระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลาย ท่านได้เสียสละ
เช่น ความสุขอันเป็นไปด้วยราชสมบัตินั้น
พระองค์ท่านผู้มีคนยกย่องสรรเสริญ คอยปฎิบัติวัฎฐาก
แล้วได้เสียสละมานอนกับดินกินกับหญ้า ใต้โคนต้นไม้
ถึงกับอดอาหาร เป็นต้น
การเสียสละเหล่านี้เพื่อประโยชน์อะไร
ก็เพื่อให้ได้ถึงซึ่งวิโมกขธรรม
คือ ธรรมะ เป็นเครื่องพ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย
และเมื่อพระพุทธองค์ตรัสรู้ ก็ทรงนั่งสมาธิใต้ร่มไม้
อันเป็นสถานที่เงียบสงัด
และได้ทรงพิจารณาถึงความจริง
คือ อริยะสัจ 4 นี้ เป็นมูลเหตุอันเป็นเบื้องต้นของพระพุทธเจ้า




หลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ
วัดป่าสุทธาวาส จังหวัดสกลนคร


สิ่งที่ล่วงไปแล้ว ไม่ควรไปทำความผูกพัน
เพราะเป็นสิ่งที่ล่วงไปแล้วอย่างแท้จริง
แม้ทำความผูกพันและมั่นใจในสิ่งนั้น
กลับมาปัจจุบัน ก็เป็นไปไม่ได้
ผู้ทำความสำคัญมั่นหมายนั้นเป็นทุกข์แต่ผู้เดียว
โดยไม่มีความสมหวังตลอดไป
อนาคตที่ยังไม่มาถึง ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรยึดเหนี่ยวเช่นกัน
อดีตควรปล่อยไว้ตามอดีต
อนาคตควรปล่อยไว้ตามกาลของมัน
ปัจจุบันเท่านั้นที่สำเร็จเป็นประโยชน์ได้
เพราะอยู่ในฐานะที่ทำได้ไม่สุดวิสัย




หลวงปู่ดุลย์ อตุโล
วัดบูรพาราม จังหวัดสุรินทร์


แม้จะจบพระไตรปิฎกหมดแล้ว
จำพระธรรมได้มากมาย มีคนเคารพมาก
ทำการก่อสร้างวัตถุได้มากมาย
หรือสามารถอธิบายได้ถึง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ได้อย่างละเอียดแค่ไหนก็ตาม
ถ้ายังประมาทอยู่
ก็ยังว่าไม่ได้รสชาดของพระพุทธศาสนาแต่อย่างใด
เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นของภายนอกเท่านั้น
เมื่อพูดถึงประโยชน์ก็ประโยชน์ภายนอก
คือ เป็นไปเพื่อสงเคราะห์สังคม เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่น
เพื่ออนุชนรุ่นหลัง หรือเพื่อสัญญลักษณ์ของพระศาสนวัตถุ
ส่วนประโยชน์ของตนที่แท้นั้นก็คือ ความพ้นทุกข์
จะพ้นทุกข์ได้ก็ต่อเมื่อรู้จิตหนึ่ง
- จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย
- ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์
- จิตเห็นจิต เป็นมรรค
- ผลอันเกิดจากจิตที่เห็น เป็นนิโรธ




หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
วัดหินหมากเป้ง จังหวัดหนองคาย


ใจ คือ ผู้ที่อยู่เฉยๆ และรู้ตัวว่าเฉย
ไม่คิด ไม่นึก อันนั้นแหละเรียกว่าใจ
จิต คือ ผู้ที่คิดนึก มันคิด มันนึก มันปรุง มันแต่ง
สัญญา อารมณ์ทั้งปวงหมด อันนั้นเรียกว่า จิต

เรื่องเรียนพระพุทธศาสนา ไม่ต้องเรียนอื่นไกล
เรียนเข้ามาหาใจเสียก่อนแล้วหมดเรื่อง
พระพุทธเจ้าทรงสอนสาวกทั้งหลาย ก็สอนถึงใจทั้งนั้น
ถึงที่สุดก็คือ ใจ เรียกว่า พระศาสดาสอนถึงที่สุดก็คือ ใจ เท่านั้น
แต่เรายังทำไม่ถึง เราจะต้องพยายามฝึกหัดอบรมใจของตนนี้
ให้มันถึงที่สุด มันจึงจะเข้าถึงที่สุดของพระพุทธศาสนา
หมดพุทธศาสนาได้ ผู้ใดทำใจให้เป็นกลาง
ผู้นั้นจะพ้นจากทุกข์ทั้งปวง


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 13 มิ.ย.2007, 4:23 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

หลวงปู่ชอบ ฐานสโม
วัดป่าสัมมานุสรณ์ จังหวัดเลย


ให้พิจารณาความตาย
นั่งก็ตาย นอนก็ตาย ยืนก็ตาย เดินก็ตาย




พระอุบาลีคุณูปมาจารย์
วัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ


ในพวกเราชาวสยามนี้ ควรได้เห็นว่า เป็นคนมีบุญมาก
เกิดมาได้พบพระพุทธศาสนาเลยทีเดียว
ด้วยบุรพบรรพรุษพาถือกันมานานแล้วกว่า 2000 ปี
อย่าพากันมีความประมาท
พึงตั้งใจปฎิบัติกันให้เห็นผลจนรู้สึกตัวว่า เรามีที่พึ่งอันใดแล้ว
จึงจะเป็นคนที่ไม่เสียทีที่ได้พบพระพุทธศาสนา

อะไรเป็นปัจจัยของอวิชชา
เรานั่นแหละเป็นปัจจัยของอวิชชา
อะไรเป็นปัจจัยของเรา อวิชชานั่นแหละเป็นปัจจัยของเรา
ถ้ามีอวิชชาก็มีเรา ถ้ามีเราก็มีอวิชชา
ตำราแบบแผนมิใช่ยา ยามิใช่ตำราแบบแผน
ความไข้ไม่ได้หายด้วยยาอย่างเดียว
ต้องอาศัยกินยานั้นด้วยไข้จึงหาย




หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
วัดป่าอุดมสมพร จังหวัดสกลนคร


ไม่มีตัวตน สัตว์บุคคลเราเขาอะไรสักอย่าง
เพ่งดูสิมันไม่เป็นแก่นสารอะไรเลย
ถ้าเป็นแก่นสาร ทำไมคนเราต้องล้มหายตายจาก
ถ้าเป็นแก่นสารตัวเรา ทำไม่ต้องเป็นหวัด เป็นไอ เป็นไข้
ทำไมต้องหนาวร้อน เพราะเหตุนี้จึงเห็นได้ว่า ไม่ใช่ตัวตน

ตาสำหรับเห็น รูป
ใจ เป็นผู้รู้ว่า รูปดี รูปชั่ว รูปไม่ดี รูปไม่ชั่ว
แท้ที่จริง รูปทั้งหลายเขาไม่ได้ว่า รูปเขาดีเขาไม่ได้ว่าเขาชั่ว
เราเป็นผู้ไปว่าเอา สมมุติเอา
- พระสติ หมายถึง ลมเข้า
- พระวินัย หมายถึง ลมออก
- พระปรมัตถ์ หมายถึง ผู้รู้ลมเข้าลมออก
เป็นอันจบพระไตรปิฎก นอกนั้นเป็นสิ่งกิ่งก้านสาขา เท่านั้น




หลวงปู่แหวน สุจิณโณ
วัดดอยแม่ปั๋ง จังหวัดเชียงใหม่


อันว่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งมนุษย์ และเทวดา
ได้ถูกไฟ 11 กอง เผาอยู่เสมอ
เป็นเหตุให้ได้รับความทุกข์นานาประการ 11 กอง คือ
1.) ราคะ ความกำหนัดชอบใจ อยากได้กามคุณ 5 มีรูปเป็นต้น
2.) ไฟโทสะ คือ ความโกรธ มีความไม่พอใจเป็นลักษณะ
3.) ไฟโมหะ ได้แก่ ความลุ่มหลงในรูป รส กลิ่น เสียง
โผฎฐัพพะ ลังเล ใจฟุ้งซ่าน ไปตามอารมณ์
4.) ชาติ คือ ไฟแห่งความเกิดอันเป็นทุกข์
5.) ชรา คือ ไฟแห่งความแก่อันเป็นทุกข์
6.) มรณธ คือ ไฟแห่งความตายอันเป็นทุกข์
7.) โสกะ คือ ไฟแห่งความเศร้าโศก
8.) ปริเทวะ คือ ไฟบ่นเพ้อร่ำไร รำพัน
9.) ทุกขัง คือ ไฟแห่งความทุกข์ลำบากกายใจ
10.) โทมนัส คือ ไฟแห่งความเสียใจ
11.) อุปายโส คือ ไฟแห่งความคับแค้นใจ
ไฟทั้ง 11 กองนี้แหละเผาลนสรรพสัตว์ทั้งหลาย
ให้ต้องพากันงมงาย เวียนว่ายตายเกิด ได้รับทุกข์ต่างๆ




หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
วัดถ้ำผาปล่อง จังหวัดเชียงใหม่


พระพุทธเจ้าท่านจึงให้ปล่อยวาง
อย่าไปยึดถือ ตัวกูของกู ตัวเราของเรา มันเป็นเพียงสมมุติ
ให้เป็นตัวเราของเราเท่านั้นแหละ
ธาตุแท้มันไม่ได้เป็นของใคร
เมื่อมีเหตุปัจจัยเกิดขึ้น มันก็เกิดขึ้นอย่างนี้
เมื่อหมดเหตุปัจจัย มันหายไปไหน
ก็ละลายลงสู่พื้นดิน ธาตุดินก็ไปสู่ธาตุดิน
ธาตุน้ำก็ไหลไปสู่ธาตุน้ำ ไหลไปในอากาศ
ธาตุลมก็ไปกับลม ธาตุไฟความร้อนความอบอุ่น มันก็ไปกับธาตุไฟ
ธาตุเหล่านี้เมื่อไหลไปสู่สภาพของเขา
เขาก็ไม่มีความทุกข์ความเดือดร้อนอย่างไร
เพราะธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นธรรมชาติประจำโลก
ประจำวัฎฎสงสาร อันนี้มานับไม่ถ้วนแล้ว
มาถึงพวกเราภาวนา จะต้องให้รู้ให้เข้าใจ
จิตมายึดมาถือความทุกข์ความเวทนานี้ เป็นความหลง


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 13 มิ.ย.2007, 4:26 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ท่านพ่อลี ธัมมธโร
วัดอโศการาม จังหวัดสมุทรปราการ

คนบางคนที่มีปัญญาฉลาดหลักแหลม
สามารถจะอธิบายข้ออรรถข้อธรรมได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
แต่กิเลสเพียงหยาบๆ อันเป็นคู่ปรับแห่งศีล
แค่นี้ยังละกันไม่ค่อยจะออก
เป็นเพราะขาดความสมบูรณ์ แห่งศีล สมาธิ ปัญญากระมัง
จึงได้เป็นอย่างนี้ ศีลก็คงเป็นศีลอย่างเปลือกๆ
ปัญญาก็คงเป็นปัญญาอย่างเลอะเลือน
เคลือบเอาเสมอเหมือนดวงกระจกทาด้วยปรอท
ฉะนั้นจึงไม่สามรถเป็นเหตุให้สำเร็จด้วยความมุ่งหวังของพุทธบริษัทได้
ตกอยู่ในลักษณะมีดที่คมอยู่นอกฝัก
คือฉลาดในเชิงพูด เชิงคิด
แต่ดวงจิตไม่มีสมาธิ นี้เรียกว่า คมนอกฝัก




หลวงปู่ขาว อนาลโย
วัดถ้ำกลองเพล จังหวัดอุดรธานี


การปฎิบัติธรรมนั้นไม่มีโทษมีแต่คุณ
คือ จิตไม่ขุ่นมัว จิตผ่องใส จิตเบิกบาน
จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน ก็มีความสุข ไม่มีทุกข์
จะเข้าสู่สังคมใดๆ ก็องอาจหาญกล้า
การทำความเพียร เมื่อสมาธิมีขึ้นแล้วจะไม่มีความหวั่นไหว
ไม่มีความเกียจคร้านต่อการงาน ทั้งทางโลกและทางธรรม
จากนั้นก็จะเป็นปัญญาที่จะมาเป็นกำลัง
เมื่อปัญญาเกิดขึ้นแล้วรู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์
จะเรียนทางโลกก็สำเร็จ จะเรียนทางธรรมก็สำเร็จ
พระพุทธเจ้าท่านสั่งสอนอบรมให้เกิด
ให้มีขึ้นมาเบื้องต้นตั้งแต่ศีล ศีลเป็นที่ตั้งของสมาธิ
สมาธิเป็นที่ตั้งของปัญญา ไม่ว่าศีล สมาธิ ปัญญา
เป็นทางมาแห่งวิมุตติ คือ ความหลุดพ้นด้วยกัน




หลวงปู่หลุย จันทสาโร
วัดถ้าผาบิ้ง จังหวัดเลย


นี้แหละ...จิตของปุถุชนมันดื้อมันด้าน ดื้อด้าน มันไม่ลงรอย
จิตชนิดนี้ต้องทรมานด้วยกำลังศีลหนึ่ง กำลังทานหนึ่ง
ทานของอวัยวะ นะ ไม่ใช่ทานอามิสนี่
ทาน...ขี้เกียจมาเอาทานมันให้ขยันนั่น
คิดอดีตมาเอ้า ! ทานมันนะบริจาคนั้น
ง่วงเหงาหาวนอน ทานมันนะ...ไม่ต้องนอนนั่น
หัดมันนะนั่น ทานละ ไอ้ความชั่วนะนั่น
นี้แหละฉันใดก็ดีให้ตั้งอกตั้งใจ




หลวงปู่คำดี ปภาโส
วัดถ้ำผาปู่นิมิต จังหวัดเลย


การปฎิบัติศีล ธรรม ต้องมีเหตุมีผล เหตุดีผลก็ดี
ถ้าเหตุร้ายผลก็ร้าย เปรียบเหมือนของภายนอก
อย่างผลไม้ต่างๆ มันก็เกิดจากต้นของมัน
ถ้าไม่มีต้นก็ไม่มีผล
จะเป็นต้นกล้าผลไม้ในไร่สวนก็เช่นกัน
ดอกหรือผลของมัน พวกชาวไร่ชาวสวนทั้งหลาย
เขาก็ปฎิบัติตกแต่งแต่ลำต้นของมันเท่านั้น
คือ เขาต้องใส่ปุ๋ยดายหญ้า รดน้ำ
และรักษาสิ่งที่เป็นข้าศึกแก่ต้นไม้ของเขาเท่านั้น
เมื่อเขาปฎิบัติลำต้นของมันดังกล่าว
เรื่องของดอกและผล มันก็เป็นของมันเอง

ทีนี้การปฎิบัติทางพุทธศาสนาก็คล้ายคลึงกัน
ถ้าเราอยากเป็นคนมีเงินมีทอง อยากร่ำรวยเหมือนเขา
อยากมีร่างกายสวยเหมือนเขา อยากมีลาภมียศอย่างเขา
เราจะไปปฎิบัติตรงไหน
พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ปฎิบัติ กาย วาจา ใจ
ถ้ากายของเราดี วาจาของเราดี จิตใจของเราดี
ได้ลาภมาก็มากและใหญ่ได้ ยศก็ใหญ่ได้ อะไรมาก็มีแต่ดีทั้งนั้น
ถ้ากาย วาจา ใจ ดีแล้ว
เมื่อกาย วาจา ใจ ของเราเป็นบาปแล้ว
ได้อะไรมาก็เหมือนก็เหมือนของที่ไม่ดีทั้งนั้น




หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต จังหวัดหนองคาย


เรือที่นายช่างต่อดีแล้วอย่างเข้มแข็ง
เมื่อถูกคลื่นกระทบ ไม่เสียหายฉันใด
จิตของบุคคลใดเมื่อฝึกฝนให้ดีแล้ว
คลื่นของกิเลสกระทบเข้า ย่อมไม่หวั่นไหว ก็ฉันนั้น

อธิบายว่า เมื่อบุคคลใดฝึกจิตนี้ให้มั่นอยู่ในศีลในสมาธิ
อยู่ในปัญญาเต็มที่แล้ว
ย่อมไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรม 8 ประการ ฉันนั้น
คือ เมื่อมีลาภ มียศ มีสรรเสริญ
และมีความสุขกาย สบายใจ
ก็ไม่เพลิดเพลินเมามัวในลาภ เป็นต้น
เมื่อลาภเสื่อมยศเสื่อม ถูกนินทา
ถูกทุกข์ครอบงำกายและจิต ก็ไม่หวั่นไหว
คือ ไม่เศร้าโศกเสียใจ
ทั้งนี้เพราะปัญญาเห็นแจ้งในความจริงว่า
สิ่งเหล่านี้เป็นของไม่เที่ยงแท้แน่นอนอะไรเลย
มีเกิดขึ้นแล้วแปรปรวน แตกดับไปเป็นธรรมดา
เหมือนกับเรือที่นายช่างต่อดีแล้ว
ย่อมไม่หวั่นไหวต่อคลื่นฉันนั้น


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 13 มิ.ย.2007, 4:31 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี


พระพุทธเจ้าองค์เอก สอนธรรมชั้นเอกทั้งนั้นๆ
ให้เราประพฤติปฎิบัติ นำเข้าไปต่อกรกับกิเลส
เมื่อถึงขั้นเอกจิตแห่งการปฎิบัติแล้ว
ทำไมจะไม่เป็นเอกธรรม
สำหรับจิตดวงที่พ้นจากสมมุติโดยประการทั้งปวงแล้ง
ต้องเป็นเอกจิต เอกธรรม
นั่นละความเลิศความประเสริฐอยู่ตรงนั้น
พระพุทธเจ้าพ้นจากทุกข์ก็พ้นจากตรงนั้น
เลิศก็เลิศจากตรงนั้น ไม่มีใครบอกว่าเลิศก็เลิศที่ตรงนั้น
เป็นของมหัศจรรย์ที่ตรงนั้น
นอกนั้นไม่ปรากฎว่าสิ่งใดเป็นสิ่งมหัศจรรย์
และเป็นคู่แข่งแห่งธรรมอันเอกของพระพุทธเจ้าที่หลุดพ้นแล้ว
หรือบริสุทธิ์แล้วนั้นเลย




พระอาจารย์วัน อุตตโม
วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม จังหวัดสกลนคร


เพราะฉะนั้นตัณหานี้เราต้องเพียรพยายามละ
คือ ตั้งความเพียรของเราไว้
ปหานปธาน เพียรละความชั่วของเรา
สังวรปธาน เพียรระวังไม่ให้ความชั่วเกิดขึ้น
ภาวนาปธาน เพียรให้ความดีเกิดขึ้น
อนุรักขนาปธาน เพียรรักษาความดีของเราไว้
นี้เรียกว่า หลักของความเพียร จะต้องเพียรพยายาม
ที่เราจะละความชั่วของเราได้
การบำเพ็ญปหาปธานนี้ เราจะต้องทบทวนเข้ามา
คือ ทบทวนเข้ามาภายใน มาดูที่จิตใจของเรา
ดูที่กายของเรา ดูที่วาจาของเรา
ต้องให้ดูกิริยามารยาทของเราที่แสดงออก
ที่เราปฎิบัตินั้นดีหรือชั่ว
แม้เรามาตรวจค้นดู ทบทวนดู หรือส่องดู เงาของเจ้าของ
การภาวนา นี้แหละเท่ากับว่าเป็นการส่องดู
เป็นแว่นธรรมเป็นกระจกสำหรับส่องดูตัวของเรา
ให้รู้ให้เห็นว่าเป็นอย่างไรดีชั่ว สะอาดหรือเศร้าหมอง
เราจะได้รู้จะได้เห็นด้วยอาศัยการภาวนานี้แหละ




พระอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ
วัดเจติยาคีรีวิหาร จังหวัดหนองคาย


อย่าพากันไว้ใจในชีวิตตน
ชีวิตเป็นของไม่เที่ยงไม่แน่นอน
วันนี้เรามีชีวิตอยู่ ยังหายใจอยู่
วันหลังมาชีวิตจะเป็นอย่างไร ดีหรือไม่
ชีวิตของเรานั้นวันหลังจะเป็นอย่างไร
ในพรรษานี้พวกเราทั้งหลายเชื่อหรือว่า ชีวิตจะตลอดพรรษา
เพราะความตายเป็นของไม่มีกาลเวลา
จิตมันจะตายเวลาไหนก็ไม่รู้
เพราะชีวิตเป็นของไม่เที่ยง สุดแท้แต่จะเป็นไป
เมื่อเรามีชีวิตอยู่ อย่าพากันประมาท
จงพากันบำเพ็ญความดี ให้เกิดให้มีขึ้นในดวงจิต ความคิดของเรา
รู้อื่นหมื่นแสน ยังไม่แม้เท่ารู้ตน
รู้อื่นหมื่นล้าน ยังไม่พ้นพาลเหมือนดีตน
ชนะอื่นหมื่นโกฎิ ยังไม่พ้นโทษเหมือนชนะตน
รู้ตนดี ตนชนะตน นั้นย่อมคนผู้ชนะดี




พระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร
วัดป่าแก้ว จังหวัดสกลนคร


สุขได้สบายได้ แต่สุขสบายเพราะความหลงของใจ
ถ้าเกิดโรคภัยเจ็บป่วยขึ้น
เขาจะมาเต้นรำขนาดไหนให้มันดู ก็ไม่เพลิน
จะเอาเงินจะเอาทองมาวางกองเทินไว้ใหญ่โตขนาดไหน
มันก็ไม่มีความสุข
เพราะใจมันเป็นทุกข์มันห่วง มันหวงในชีวิต
คนที่ไม่มีความสุขของใจ โดยส่วนใหญ่ไปสถานที่ใด
ใครเข้ามาหาก็บ่นทุกข์อย่างนั้น บ่นทุกข์อย่างนี้
ทั้งๆที่มีสมบูรณ์ทุกอย่าง
บ้านช่องห้องหออะไรก็ใหญ่โต
เงินทองข้าวของอะไรก็เยอะแยะ
แต่ก็บ่นว่าทุกข์ ทุกข์ มันทุกข์อะไร มันทุกข์ใจ




หลวงปู่ผาง จิตตคุตโต
วัดอุดมคงาคีรีเขต จังหวัดขอนแก่น


เป็นครูสอนคนอื่นก็ดีอยู่ หากสอนตัวเองด้วยก็จะดีมากขึ้น
เราตรวจคะแนนให้คนอื่น ข้อนี้ถูก ข้อนั้นผิด
เราเคยตรวจดูตัวเองบ้างหรือเปล่า
วันเวลาผ่านไปตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
คะแนนฝ่ายดีกับฝ่ายชั่วนั้น ข้างไหนมากน้อยกว่ากัน
กับไปตรวจดูตัวเองบ้างก็ดี

ศีลมีหลายข้อ ไม่ต้องรักษาหมดทุกข้อหรอก
รักษาแต่ใจให้ดีอย่างเดียว ให้ดี
กาย วาจา ก็จะดีไปด้วยกันนั่นแหละ




หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
วัดบรรพตคีรี จังหวัดมกดาหาร


การได้พิจารณาไตรลักษณ์ ให้เห็นชัดประจักษ์แจ้งนี้
ไม่หวังว่าจะหอบใส่รถไปพระนิพพานด้วยหรอก
อนิจจาเอ๋ย พิจารณาเพื่อถอนความหลงของเจ้า
ตัวที่เข้าใจผิดว่าเป็นของเที่ยง เป็นของสุข
เป็นตัวเรา เขา สัตว์ บุคคลต่างหาก
เพื่อให้หน่ายความหลงของเจ้า
ตัวที่เคยหลงมา อวิชชาก็ว่า ปัญญา
เป็นหัวหน้าของสมาธิ และศีลตอนนี้มีพละกำลังมาก




หลวงปู่สี มหาวีโร
วัดประชาคมวนาราม จังหวัดร้อยเอ็ด


ในเรื่องของจิตคล้ายๆกับว่า นิวรณ์
มันเคลื่อนหรือไหลหนีทำนองนั้นแหละ
เพราะสติเราตั้งจดจ่ออยู่
แต่ยังเข้าไม่ถึงจิต พออย่างนี้เคลื่อนไป
ก็รู้เรื่องจิตแล้วไปกำหนดเกี่ยวกับธรรมชาติรู้
อันนี้พวกนิวรณ์ทั้ง 5 มาแสดงท่าทางขึ้นอยู่อย่างนั้น
เราก็พยายามทดสอบลองดู
คือ มันถอยๆ ออกพอถอยออกไปหน่อย ก็หุบ
... พอสติเข้าไปถึงก็ถอนออกทันที
รู้เรื่องของกันและกันอยู่อย่างนี้
...แต่ว่า จำพวกนิวรณ์ทั้ง 4 อย่างมาแรงๆอย่าง
(งผาง เรารู้จักดี ไอ้...ตัว " ถีนมิทธะ "
คือ ความง่วงเหงาหาวนอน มันมาอย่างละเอียดอ่อนที่สุด)




หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา


การปฎิบัติ สำคัญที่การรวมจิตเป็นใหญ่
เพราะพื้นฐานแห่งความดี ความชั่วย่อมเกิดที่จิต
ถ้าจิตตัวนี้ ปราศจากสติ
เป็นเครื่องคุ้มครองหรือประคับประคองเมื่อใด
เมื่อนั้นดวงจิตดวงนี้ ก็จะต้องมีความเผลอไป
นึกสร้างบาปกรรมใส่ตัวเลย
เพราะฉะนั้นการอบรมจิตให้มีสติ จึงเป็นสิ่งจำเป็น
ความทุกข์ทั้งหลายเกิดจากกิเลส โลภะ ราคะ โทสะ โมหะ
ถ้าต้องการมีความสุข ต้องกำจัดกิเลสของตน
กิเลสในใจตนเอง ไม่ใช่ไปตั้งหน้ากำจัดคนอื่น



คัดลอกจาก...บ้านจอมยุทธ.คอม

http://www.baanjomyut.com

สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 14 มิ.ย.2007, 10:13 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

โมทนาจ้า สาธุ.. สาธุ
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 14 มิ.ย.2007, 4:44 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อนุโมทนาสาธุด้วยค่ะ คุณลูกโป่ง สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
พิทรายา
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 12 ส.ค. 2007
ตอบ: 103
ที่อยู่ (จังหวัด): ชลบุรี

ตอบตอบเมื่อ: 11 ต.ค.2007, 1:58 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ
 

_________________
ความยึดมั่นถือมั่นทำให้เป็นทุกข์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง