Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 พระพุทธศาสนากับวัฒนธรรมสมัยใหม่ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
วันชัย
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 07 ก.ค. 2007
ตอบ: 1
ที่อยู่ (จังหวัด): ร้อยเอ็ด

ตอบตอบเมื่อ: 07 ก.ค.2007, 9:49 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อยากได้เป็นขอมูลนะครับ ผมได้ทำรายงานในเรื่องนี้แต่ไม่รู้จะไปหาที่ใหนครับ ขอบพระคุญมากครับที่ช่วยเหลือในข้อมูล
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ผู้เยี่ยมชม.
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 22 พ.ค. 2007
ตอบ: 95

ตอบตอบเมื่อ: 07 ก.ค.2007, 1:55 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พุทธศาสนากล่าวถึงเรื่องกิเลส ทุกคนมีกิเลส คนมีกิเลส ดังนั้น ไม่ว่าจะสมัยไหน ดึกดำบรรพ ยุคกลาง ปัจจุบัน อนาคต มนุษย์ทุกสมัยย่อมไม่อาจพ้นเรื่องกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ โลภะ และอื่นๆอีกมากมาย เป็นเรื่องปกติของมนุษย์โลก

( ไม่อาจพ้นเรื่องของกิเลส แต่สามารถพ้นจากกิเลสได้ด้วย มรรคปฏิบัติ )
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ปุ๋ย
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275

ตอบตอบเมื่อ: 07 ก.ค.2007, 1:58 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สนทนาวิสาสะว่าด้วยเรื่องการศึกษาและการเรียนรู้
นานาทัศนะกับความเหมือนและความต่างทางวัฒนธรรม
ดร.พีรยา หาญพงศ์พันธุ์
หัวหน้าภาควิชาการประชาสัมพันธ์ คณะนิเทศศาสตร์



คำว่า “สนทนาวิสาสะ” ที่ดิฉันขออนุญาตนำมาใช้ในที่นี้ ได้มาจากหนังสือเรื่อง “ศาสนาไร้พรมแดน: ทัศนะสากลของพุทธทาสภิกขุเกี่ยวกับศาสนาต่างๆ และการสนทนาวิสาสะกับชาวคริสต์” โดย ศาสตราจารย์โดนัลด์ เค สแวเรอร์ (2548) คำว่า “สนทนาวิสาสะ”
หรือ “Dialogue” ในทรรศนะของท่านพุทธทาสและอาจารย์สแวเรอร์ หมายถึง กระบวนการเรียนรู้ที่เกิดจากความพยายามที่จะเข้าใจโลกทัศน์และวิถีชีวิตของคนอื่นให้ลุ่มลึกอย่างปราศจากอคติ วัตถุประสงค์ของการเรียนรู้แบบสนทนาวิสาสะ คือ การทำความเข้าใจและเรียนรู้ซึ่งกันและกันให้มากขึ้น แม้ว่าจะเป็นการเรียนรู้จากคนที่มาจากต่างชาติ ต่างภาษา ต่างศาสนา หรือต่างวัฒนธรรมก็ตาม ทัศนะของการสนทนาวิสาสะอันเป็นสากลนั้น คือ การเรียนรู้เพื่อตระหนักถึงคุณค่าอันเป็นแก่นของความรักและความห่วงใยต่อผู้อื่น ความสำคัญของการเรียนรู้ที่แท้จริงอยู่ที่การตระหนักรู้ถึงความเหมือนและความต่าง และการหาแนวทางที่จะทำให้เราดำรงชีวิตอยู่กับความต่างได้โดยรู้ว่าในความต่างนั้นยังคงมีความเหมือนอยู่ด้วยเช่นกัน เปรียบเสมือนกับการสร้างสะพานซึ่งเชื่อมพื้นที่ทางสังคม และวัฒนธรรมที่มีความแตกต่างและหลากหลาย แต่ก็สามารถเดินกลับไปกลับมาแวะไปมาหาสู่กันได้ตลอดเวลา โดยปราศจากการขีดเส้นแบ่งความแตกต่าง ความเป็นเขาและความเป็นเรา ในความหมายทำนองเดียวกันนี้เอง ดิฉันจึงเห็นว่าการใช้คำว่า “สนทนาวิสาสะ” จึงน่าจะเป็นคำอธิบายที่ใกล้เคียงกับประสบการณ์ที่ดิฉันต้องการจะถ่ายทอดได้มากที่สุด

ในช่วงระยะเวลากว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาได้มีการเติบโตในเชิงปริมาณอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตามนักวิชาการส่วนหนึ่งเริ่มเล็งเห็นว่าการเติบโตดังกล่าวเป็นการเติบโตภายใต้สถานการณ์ในยุคโลกาภิวัตน์ ซึ่งเป็นยุคที่ประสบการณ์และวัฒนธรรมจากทั่วทุกมุมโลกได้เข้ามาพัวพันเชื่อมโยงเป็นปฏิสัมพันธ์ต่อบริบทท้องถิ่นอย่างเห็นได้ชัด จนเกิดเป็นกระแสพลังแห่งความพยายามที่จะผนวกประเด็นทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยี และการศึกษาทั้งมวลให้มาอยู่ในระบบความรู้ และวัฒนธรรมการเรียนรู้แบบเดียวกันทั่วโลก กลไกการศึกษาในระบบสากลนี้ มุ่งเน้นการนำเข้าจากต่างประเทศมากกว่าที่จะสร้างและแสวงหาจากรากฐานที่มีอยู่แล้วในสังคมไทย นั่นหมายความว่า สถาบันการศึกษาอาจมีแนวโน้มที่จะผลิต “บัณฑิต” “คุณค่า” และ “องค์ความรู้” ที่ไม่สามารถสนองตอบต่อสังคมไทยโดยส่วนรวมได้อย่างแต่ก่อน

การที่ดิฉันได้มีโอกาส “สนทนาวิสาสะ” กับนักวิชาการ นักปฏิบัติการ นักศึกษา และผู้คนหลากหลายอาชีพจากหลากหลายประเทศในช่วงสองปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการเข้าร่วมโครงการ Global Youth Conference ที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 2004 การนำเสนอผลงานวิชาการในงาน The International Public Relations Conference ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2005 และ 2006 หรือแม้แต่การได้มีโอกาสต้อนรับคณาจารย์และนักศึกษาระดับปริญญาตรีและปริญญาโทจาก Radford University ในวันที่ 2 มิถุนายน ที่นิเทศศาสตร์คอมเพล็กซ์ ปองทิพย์ โอสถานุเคราะห์ ที่ผ่านมา ทำให้ดิฉันได้เรียนรู้ว่า ปรัชญา ทฤษฎี ความรู้ และวัฒนธรรมที่ปรากฏขึ้นในโลกนี้ มีทั้งความหลากหลายและความเหมือนที่สามารถผสมผสานกันได้อย่างลงตัว แม้ว่าจะมีอีกหลายๆ คนที่พยายามจะสร้างความหมายเชิงทวิลักษณ์ที่แบ่งแยกความแตกต่างอย่างสุดขั้วระหว่างความเป็น “วัฒนธรรมตะวันตก” และ “วัฒนธรรมตะวันออก” ก็ตามที

ประสบการณ์หนึ่งที่ดิฉันได้เรียนรู้จากการ “สนทนาวิสาสะ” ที่ผ่านมา คือ ในขณะที่คนตะวันตกเริ่มตระหนักรู้ถึง “คุณค่าแห่งภูมิปัญญาตะวันออก” และสนใจที่จะเรียนรู้ “ความเป็นมาของวัฒนธรรมตะวันออก” มากขึ้น เยาวชนไทยและคนไทยบางกลุ่มกลับพยายามวิ่งตามและยึดเอาวัฒนธรรมสมัยใหม่ที่เน้นการต่อสู้ การแข่งขัน การเอาชนะธรรมชาติ การยึดมั่นถือมั่นในตัวตน รวมทั้งการแบ่งความเป็นเขาและความเป็นเรามาสร้างเป็นบรรทัดฐานใหม่ อ.เสน่ห์ จามริก ได้เคยกล่าวไว้ว่าแนวคิดแบบวัฒนธรรมสมัยใหม่นั้นมีพื้นฐานมาจากวิทยาศาสตร์ดั้งเดิมที่ไม่เน้นการสร้างความสัมพันธ์ และการมีประสบการณ์ร่วมกับผู้อื่นนอกจากแวดวงของตน ไม่รับรู้ในเรื่องความทุกข์ ความสุขของมนุษย์ โดยเฉพาะในเรื่องของจิตวิญญาณ ในเรื่องของความงาม ความดี และความยุติธรรม ซึ่งแนวคิดดังกล่าวอาจทำให้เราเข้าใจชีวิตของเราน้อยลงไปเรื่อยๆ

โดยนัยนี้ ดิฉันเห็นด้วยกับแนวคิดที่ว่า กระบวนการเรียนรู้และการศึกษาที่ยั่งยืน คือกระบวนการทางสังคมที่ต้องอาศัย “การสนทนาวิสาสะ” อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างจิตสำนึกรับรู้ที่ถูกที่ควร ผ่านการมีประสบการณ์ร่วมกับผู้อื่นอย่างจริงใจ เป็นการรู้จักโยงหัวสมองกับหัวใจของเราให้เข้าถึงกัน ทำให้เราเข้าถึงความสัตย์จริงภายในตัวตนของเรา และทำให้หลุดพ้นการยึดติดในตัวตน โดยเราอาจโยงถึงคนอื่นๆ ที่มีความแตกต่างอย่างเป็นอิทัปปัจจยตาซึ่งกันและกัน ซึ่งหมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องอาศัยเหตุและปัจจัยที่สัมพันธ์กันจึงเกิดขึ้นมาได้ วิถีการเรียนรู้ดังกล่าวจะทำให้เราเกิดความอ่อนน้อมถ่อมตน ลดความอหังการทางวิชาการ ปรับเปลี่ยนความรู้ให้กลายเป็นความเข้าใจ หรือสร้างปัญญาที่ “รู้เขา” เพื่อเข้าใจคุณค่าของวิชาความรู้จักจากโลกภายนอก “รู้เรา” เพื่อสร้างสรรค์พัฒนาฐานความรู้และการศึกษาจากรากฐานสังคมไทยที่พร้อมจะรับมือกับความรุนแรงและความไร้ระเบียบของโลกปัจจุบัน

กระบวนการศึกษาและการเรียนรู้แบบ “สนทนาวิสาสะ” จึงน่าจะเป็นอีกหนึ่งวิถีที่ทำให้นักวิชาการ นักวิจัย นักพัฒนา นักสอน นักเรียน และนักศึกษาเรียนรู้จักตนเอง รู้จักการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับความเป็นไปตามธรรมชาติ รู้จักวางท่าทีที่ถูกต้องกับวิธีวิทยาของสาขาวิชาของตน กระบวนการเรียนรู้และการศึกษาที่ยั่งยืนนั้น ต้องอาศัยการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ผู้รู้ต้องรู้จักเตือนสติตัวเองเสมอว่า “เรามาจากไหน” และเฝ้าถามตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า “เรากำลังจะไปไหน” หากเมื่อเรานำสิ่งที่ได้เรียนรู้มาประพฤติปฏิบัติแล้ว “การปฏิบัติของเรามีผลกระทบต่อการเมือง เศรษฐกิจ สังคม คุณธรรม และจริยธรรมหรือไม่ อย่างไร” กระบวนการศึกษาและการเรียนรู้ที่สำคัญที่สุด คือ การที่เราควรเรียนรู้ที่จะแสวงหา “สาระและความหมายของสิ่งที่ต้องการเรียนรู้” อย่างอ่อนน้อมถ่อมตน โดยต้องคำนึงถึงภูมิปัญญาและวัฒนธรรมท้องถิ่นเป็นสำคัญ


http://www.bu.ac.th/NewsandInform/bunews/2549/Jul49/buknow.html
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 07 ก.ค.2007, 2:44 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

หัวข้อกว้างจัง ประเด็นที่พูดได้คงมีหลากหลายมิติ

หนังสือต่อไปนี้ recommended
ลองค้นดูในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยนะคะ

๑. พุทธศาสนาในความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย
โดย อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ : สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมล คีมทอง จัดพิมพ์

๒. สังคมไทย ในกระแสความเปลี่ยนแปลง
โดย อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ : คณะกรรมการเผยแพร่และส่งเสริมงานพัฒนา : จัดพิมพ์

๓. อันเนื่องกับทางไท : ว่าด้วยอารยธรรมตะวันออกตะวันตก ศาสนศิลป์วรรณา
ข้อพินิจในศิลปวิทรรศนา
: โดย เขมานันทะ

๔. ส.ศิวรักษ์ ลอกคราบ วัฒนธรรมไทย โดย ส. ศิวรักษ์

ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง