Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 รักแท้สวรรค์สร้าง (พ. พันธวัฒน์) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
amai
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 24 พ.ค. 2004
ตอบ: 435

ตอบตอบเมื่อ: 05 ก.พ.2005, 3:29 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

รักแท้สวรรค์สร้าง

เขียนจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นโดย พ. พันธวัฒน์
ชุดกฎแห่งกรรม กรรมสนองกรรม



ดวงหน้านั้นหวานซึ้งนัก ริมฝีปากบางเบา คิ้วโก่งเรียวงาม ดวงตากลมโตสดใสเป็นประกาย ทรวดทรงองค์เอวของเด็กสาวผู้นี้อรชรอ้อนแอ้น เมื่ออยู่ในซิ่นไหมพื้นเมืองเหนือด้วย นั่นก็หมายความว่าหล่อนฉายแสงแห่งสาวถิ่นไทยงามเต็มที่ผิวพรรณผ่องนวลเนียนละเอียด หาสาวใดเทียบได้ยากมาก

“ฟ้ามุ่ย” คือดอกไม้เมืองเหนือชนิดหนึ่งประเภท “กล้วยไม้” ดอกไม้ไม้พื้นเมืองที่มีสีม่วงงดงามประหลาดหาพันธุ์ไม้ชนิดนี้ได้ยากในท้องถิ่นอื่น นอกจากเมืองเหนือ เช่นในดงดิบแห่งเชียงใหม่ ลำปาง เชียงราย แพร่ น่าน

“ฟ้ามุ่ย” สดสวยจริงๆ จึงเป็นชื่อของเด็กสาวผู้ที่ว่านี้ไปแล้ว ฟ้ามุ่ยเกิดที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งที่อำเภอเชียงดาวห่างไกลความเจริญมาก ในสมัยนั้น พ.ศ. 2495 ถนนหนทางแทบจะไม่ใช่ถนน เพราะเป็นพื้นดินที่เอากรวดมาโรยเอาไว้ ไม่มีการราดยางหรือเทคอนกรีตเช่นทุกวันนี้เลยการเดินทางด้วยรถยนต์จึงยากลำบากมาก

บางทีต้องเผชิญกับต้นไม้ที่ล้มลงมาขวางทางสัญจรไปมา ต้องมีการเลื่อยตัดต้นไม้ใหญ่ๆ ที่ขวางทางออกไปเป็นท่อนๆ เพื่อให้รถแล่นผ่านไปมาได้ บางครั้งในหน้าฝนถนนก็เป็นหลุมเป็นบ่อ บางทีรถยนต์ติดหล่มก็มี กว่าจะเอาขึ้นมาได้ก็ยากแสนยาก

การเดินทางไปไหนมาไหนจึงต้องมีความจำเป็นจริงๆ เท่านั้น ไม่มีใครเดินทางท่องเที่ยวไปตามเส้นทางเหล่านี้กันนัก เพราะเสี่ยงต่ออันตรายที่จะเกิดขึ้นมา

พินันทน์ เป็นบุคคลหนึ่งที่จะต้องเดินทางไปเชียงดาว และเลยลึกเข้าไปในดงดิบเพื่อตัดถนนเส้นใหม่ เป็นหน้าที่ของเขาซึ่งเป็นนายช่างผู้ควบคุมงานนั่นเอง ร่ำเรียนและศึกษามาสูงส่งจากสหรัฐอเมริกา มาถึงเมืองไทยก็ได้งานทำที่ดีในบริษัทก่อสร้างแห่งหนึ่ง ซึ่งปรากฏว่าแย่งตัวกันหลายแห่งเพื่อเอาตัวเขาไปอยู่ด้วยต่างก็เสนอเงินเดือนแพงๆ ให้เขาทั้งสิ้น

ตกลงเขาก็ได้อยู่บริษัทใหญ่สมใจ และได้ค่าตัวสูงทีเดียว งานเริ่มต้นแล้วมีเพื่อนร่วมงานมากมาย แต่ในระดับนายช่างก็เขานั่นเอง ที่ควบคุมเจ้าหน้าที่ทั้งหมด มีผู้ช่วยชื่อสาโรจน์คนหนึ่งกับยิ่งยงอีกคน

พินันทน์และพรรคพวกชอบดื่มกันทุกคน จึงคบกันได้ดีมาก ไปไหนไปกัน เฮไหนก็เฮกัน บางทีก็เข้าเมืองมาที่ตัวอำเภอก๊งกันจนดึกดื่นก็เคย บางทีก็ล้อมวงดื่มกันที่แค้มป์ กลางดงนั่นเองเพราะสะดวกสบาย มีสิ่งอำนวยความสะดวกสารพัดอย่าง เพียงแต่ออกไปซื้ออาหารสดมาทำกินกันเอง เอาเหล้า เบียร์มาเปิดก็แฮปปี้แล้ว

“ความจริงก็เหงานะ มาอยู่เป็นอาทิตย์ จะต้องอยู่กันเป็นปีจึงจะมีการเปลี่ยนคนมาใหม่ เหงาว่ะ นายเหงามั้ยยิ่งยง สาโรจน์ ?” พินันทน์ เอ่ยถามเพื่อนทั้งสองคนในวงเหล้าตอนหนึ่ง

“เคยชินซะแล้ว เฮีย” ยิ่งยงตอบ

“ผมก็เหมือนๆ กัน ชีวิตมีความเป็นอยู่ยังงี้มาตั้งหลายปีแล้ว ตั้งแต่ก่อสร้างทางที่ฮอด ที่ดอยสะเก็ด แล้วก็ที่หางดง เชียงใหม่ทั้งนั้น” สาโรจน์ดื่มไปเรื่อยๆ

พินันทน์หัวเราะหึๆ

“ดีนะที่พวกเรายังไม่มีเมีย โสดทั้งหมด ไม่ยังงั้นก็คงจะลำบากหน่อย จะต้องเทียวไปเทียวมา เสียค่าเครื่องบินจมหู”

“เมื่อไหร่เฮียนันทน์จะมีเมีย ?” ยิ่งยงเอ่ยถามลูกพี่ของเขา เขาเรียกเฮียจนติดปากเสียแล้ว

พินันทน์สั่นหน้าช้าๆ เคี้ยวแหนมป้าย่นที่หาซื้อมาตุนเอาไว้พอสมควร

“ยังว่ะ ยังหาเหมาะๆ ไม่ได้ เที่ยวเร่ร่อนไปก่อนดีที่สุด ไม่มีพันธะกับใคร แต่ว่ายิ่งยงล่ะไม่เอารึ หาสักคนซี่แล้วก็โรจน์อีกคนจะอยู่ไปทำไมกันจนป่านนี้แล้ว”

“คงเหมือนเฮีย” สาโรจน์พูด “คึกก็ไปหาที่หย่อนอารมณ์คลายเครียดกันเป็นครั้งคราวไป”

“ระวังหนองในนาโว้ย เพื่อนฝูง กามโรคประเภทนี้ ผู้ชายเราเป็นกันมาก ทั้งยังฝีมะม่วงอีก ซิฟิลิส โอ๊ยมากมาย ระวังจะต้องสวมปลอกป้องกันเอาไว้ก่อน อย่าลืม”

“แหมเฮีย ผมพกเอาไว้กับตัวเสมอ เรื่องนี้ระวังมาก” ยิ่งยงยิ้ม

“ผมก็เหมือนกัน เฮีย นักรบจะต้องใส่เกราะ ห่อหุ้มอย่างดีก่อนออกศึก ซำบายบรื๋อย์ทุกครั้ง” สาโรจน์หัวเราะพลางพูดพลาง

“ดีมากที่ทำยังงั้น เออ พรุ่งนี้ว่าจะเข้าไปในเมืองตอนเย็น ไปด้วยกันมั้ย ?”

“ตลาดเชียงดาวเหรอเฮีย ?”

“เออ เปลี่ยนบรรยากาศกันหน่อยน่าจะดี”

“ ตกลงครับผม ” ยิ่งยงพูดแล้วดื่มเหล้าในแก้วรวดเดียว

รุ่งเช้าหลังจากกินข้าวกินปลากันแล้วก็เริ่มงานพินันทน์สั่งงานแล้วก็ขับจิ๊ปเล็กออกไปจากที่นั่นทันที

“เฮียไปไหนวะนั่น ไม่ยักบอก ?” สาโรจน์เอ่ยถามยิ่งยง

“อ้าวไม่ได้บอกนายเหรอ แต่บอกฉันว่าจะไปบ้านผู้ใหญ่บุญทัน ที่อยู่ทางลำห้วยโน้น เห็นว่ามีเรื่องจะพูดกับผู้ใหญ่เล็กน้อย”

“เหรอ”

พินันทน์มาหาผู้ใหญ่บุญทันจริงๆ พอมาถึงก็เลี้ยวจิ๊ปเล็กประจำตัวของเขาเข้าไปจอดเอาไว้หน้าบ้านผู้ใหญ่คนดังของหมู่บ้านแห่งนี้

ผู้ใหญ่บุญทันรูปร่างอ้วนพี พุงพลุ้ยยื่นออกมาไม่น้อย เดินอุ้ยอ้าย ท่าทางเลยภูมิฐาน เหมาะสมที่จะเป็นนายของชาวบ้านในหมู่บ้านแห่งนี้มาก พอเห็นพินันทน์เข้าผู้ใหญ่บุญทันก็รีบตรงเข้ามาหาโดยเร็ว

“โอ คุณพินันทน์ มาเลยๆ แหม ไม่นึกว่าตจะพบกันอีก มาวันนั้นแล้วก็หายเงียบ เป็นยังไงครับการงาน ?”

“ก้าวหน้าไปตามโครงการเรื่อยๆ ครับ ผมต้องขอขอบคุณผู้ใหญ่มากที่ช่วยเหลือเรื่องอาหารสด อาหารแห้งต่างๆ แล้วก็เรื่องอื่นๆ อีก มีความเป็นอยู่อย่างสะดวกสบาย ไม่มีผู้ใหญ่ก็คงจะลำบาก อยู่กลางป่ากลางดงด้วย”

“ไม่เป็นไรคุณพินันทน์ เรื่องเล็กน้อย เออ แต่ว่ามาก็ดีแล้ว เดี๋ยวกินข้าวกลางวันกันเลยนะครับ ผมมีอะไรอร่อยๆ เอาไว้ต้อนรับอยู่”

“เอาอีกแล้ว รบกวนผู้ใหญ่อีกจะไม่ดีกระมัง ?”

“ไม่ดีอะไร พูดยังงั้นไม่ได้ เจ้านายมาถึงผมก็จะต้องต้อนรับเสมอ นี่ผมมีน้ำตาลหมักเอาไว้ด้วย กำลังได้ที่ทีเดียว ทำสะอาดครับ ยอดเยี่ยม ดื่มแล้วดีแกล้มก็มีพร้อม ดื่มได้มั้ยครับน้ำตาลเมา ?”

“ของชอบ”

“งั้นก็วิเศษ”

คุยกันไปคุยกันมา พูดจาเรื่องงาน เรื่องป่าดงพงไพร เรื่องโน้นเรื่องนี้ ไม่ช้าก็ตั้งวงสำรับกับข้าวพรักพร้อม


(มีต่อ 1)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
amai
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 24 พ.ค. 2004
ตอบ: 435

ตอบตอบเมื่อ: 05 ก.พ.2005, 3:56 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผู้ใหญ่บุญทันสั่งให้ลูกน้องจัดการ สักพักเดียวก็เรียบร้อยไปหมด ไก่ต้มข่า เครื่องในไก่ย่าง เนื้อแห้งทำเองเป็นเส้นๆ ปลาช่อนตัวเบ้อเร่อเผากับดินที่พอกเอาไว้ แกะออกเห็นเนื้อข้างในขาวผ่องชวนน้ำลายไหล เท่านี้ก็อร่อยรสลิ้นไปแล้ว แถมมีน้ำตาลเมาอีกด้วยอะไรจะปานนั้น เด็ดขาดจริงๆ ลูกทุ่งที่ออกรสบ้านป่าเมืองดอยแท้ๆ พินันทน์ดวดน้ำตาลเมา แกล้มด้วยเนื้อปลาช่อนตัวใหญ่จิ้มน้ำปลาผสมพริกขี้หนูแห้งคั่วโขลก ความอร่อยด้วยของสดเกิดขึ้นมากมาย

ดื่มกินไปพักเดียวสายตาของชายหนุ่มก็เหลือบไปเห็นเด็กสาวผู้หนึ่งช่างเป็นสาวที่น่าสนใจยิ่งนัก เลยจ้องมองไม่วางตา ผู้ใหญ่บุญทันเห็นอากัปกิริยาของเขาก็รู้เชิงกันดี

“คุณพินันทน์ อยากรู้จักอีหนูฟ้ามุ่ยเหรอครับ ?”

“อะไรนะ ?”

“อ้าว เด็กผู้หญิงนั่นชื่อฟ้ามุ่ยนะ เป็นหลานสาวผมเอง หลานห่างๆ ก็แบบคนรักใคร่นับถือกันน่ะ พ่อของมันมานับถือผมๆ ก็เลยเหมือนญาติสนิท”

ว่าแล้วผู้ใหญ่บ้านก็เรียกลูกบ้านที่นับถือกันเป็นหลานมาหาทันที

“ฟ้ามุ่ยโว้ย มานี่หน่อย”

“ลุง เรียกข้าเจ้าเหรอเจ้า ?”

“เออ มานี่หน่อย มารู้จักเจ้านายหน่อยเว้ย มาเร็วๆ”

ฟ้ามุ่ยเดินเข้ามาหา นั่งพับเพียบเรียบร้อยตรงหน้าผู้ใหญ่บุญทัน มองดูหน้านายช่างใหญ่ที่กำลังจ้องมองไม่วางตาทีเดียว

“นี่คุณพินันทน์ เพิ่นอยากรู้จักฟ้ามุ่ย ไหว้ท่านซะ ?”

เด็กสาวยกมือไหว้ พินันทน์ก็ไหว้ตอบ

“ทานข้าวกันมั้ย ฟ้ามุ่ย ?” ชายหนุ่มเอ่ยถาม

“เออ มากินข้าวซะด้วยกัน จะได้พูดจากันไปด้วยเอาเถอะน่า เฮ้ยใครอยู่ทางนั้นเอาจานข้าวมานี่ใบก่อน เอาข้าวเหนียวมาเลย”

“ลุง ฟ้ามุ่ย เอ้อ...”

เด็กสาวไม่อยากกินข้าวด้วยนั่นเอง เพราะพบคนแปลกหน้า พินันทน์เองก็เพ่งมองอยู่ตลอดเวลาจนทำให้เกิดความกระดากอายอีก

“ไม่ต้องไปไหน กินข้าวนี่แหละ เจ้านายเอ๊ย เด็กอยู่ในดงป่าก็ยังงี้เอง ตื่นกลัวผู้คนไปหมด ”

“ฟ้ามุ่ย เอ้อ ยังไม่หิว แล้วก็”

“เออน่า ไม่หิวที่ไหนกัน เที่ยงวันแล้วเห็นรึเปล่า เอ้า กินเลย นี่ของอร่อยๆ ทั้งนั้น อ้อ...เอ็งเอาปลาช่อนนี่มาให้ลุงใช่มั้ยวะ ?”

“จ้ะ พ่อไปตกมาได้สามตัว ตัวโตๆ ทั้งนั้นเลยเอามาฝากลุงด้วย”

“เออ ชอบใจมาก เอา กินข้าว”

เด็กสาวหรือฟ้ามุ่ยเลยจำใจต้องกินข้าวไปตามที่ผู้ใหญ่บุญทันบังคับ ทำให้พินันทน์มีความพึงพอใจมากเห็นความเรียบร้อยของฟ้ามุ่ย เห็นฟ้ามุ่งกำลังกินข้าวมองดูแล้วช่างน่าสนใจไปหมด

“ฟ้ามุ่ย เรียนหนังสืออยู่หรือเปล่าตอนนี้ ?”

“จ้ะ เอ้อ ค่ะ เรียนจบแล้วค่ะนาย”

“อย่าเรียกฉันว่านายเลย เรียกชื่อดีกว่า”

“คุณพินันทน์ ?”

“ใช่ ถูกต้อง”

ชายหนุ่มมองหน้าของเด็กสายด้วยความรู้สึกพิกล นั่นก็เนื่องจากฟ้ามุ่ยหน้าตาดี สดใส ผิวผุดผ่อง รูปร่างก็เต่งตึงไปด้วยความสาววัยกำดัด น่าเหลือเกิน

พินันทน์เป็นคนหนุ่มที่เจ้าชู้อยู่ไม่น้อยเหมือนกันเห็นสาวๆ สวยๆ ก็สนใจทั้งนั้น แต่เขาก็ยังไม่อยากมีเมีย อยากเที่ยว และไปไหนมาไหนแบบไม่มีห่วงอย่างนี้เสมอ จะรักชอบใครก็ได้ ไม่ต้องคอยคิดมากเรื่องการมีเมียน้อยเมียหลวงอย่างผู้ชายบางคน

“ผู้ใหญ่มีลูกหลานงามเหลือเกิน น่าอิจฉานัก”

ตอนหนึ่งชายหนุ่มพูดขึ้นอย่างกล้าหาญ เพราะฤทธิ์น้ำตาลเมานั่นเอง

“ฟ้ามุ่ยเป็นสาวงามแต๊ๆ”

เสียงผู้ใหญ่บุญทันหัวเราะก๊ากๆ ลงลูกคอ ชอบอกชอบใจจริงๆ แกเป็นคนที่ชอบสนุกอยู่แล้วด้วย

“เอาละซี เจ้านายเอ๊ย...มาสร้างถนนหนทางที่นี่เห็นจะมาติดบ่วงรักบ่วงสวาทซะที่เชียงดาวแล้ว เออแน่ะเห็นมั้ยอีหนูฟ้ามุ่ย เจ้านายเพิ่นคงจะนึกชอบเอ็งเข้าแล้ว”

ใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาทันที เด็กสาวเอียงอาย เขานั่นเอง

“ผู้ใหญ่พูดแบบนี้ ฟ้ามุ่ยก็เหนียมแย่ละซีครับ”

“เหนียมอายเหรอ อายก็อายไป เรื่องธรรมดาของมนุษย์ก็มีรักใคร่ชอบพอมีผัวมีเมียกันทั้งโลกนะแหละจริงมั้ยครับ ?”

พินันทน์มองหน้าเด็กสาวรอยยิ้มของเขาเกิดขึ้นเล็กน้อย

“ฉันจะมาที่นี่อีก ฟ้ามุ่ยยินดีต้อนรับอีกมั้ย ?”

“ยินดีค่ะ”

“เออ ถ้าจะพาไปในตัวเมืองล่ะ จะไปด้วยได้มั้ย ในเชียงดาวที่ตลอดใหญ่ๆ มีของขายมากๆ”

“ปกติแล้วฟ้ามุ่ยไม่ค่อยได้ไปหรอกนายเอ๊ย คุณพินันทน์ เพราะเดินทางลำบาก ถนนไม่ดี”

“ตอนนี้เดี๋ยวก็ดีหรอก เพราะฉันมาสร้างทางให้ดีมากๆ ตกลงที่ว่านะ จะไปด้วยได้มั้ย ?”

“ได้ค่ะ แต่จะต้องบอกพ่อกับแม่ก่อน”

“เออน่า บอกลุงก็ได้แล้ว พ่อกับแม่เอ็งก็รู้ดีว่าลุงเป็นยังไง นี่คุณพินันทน์ครับลูกหลานของผมเอง จะพาไปเที่ยวก็ได้เสมอ ไม่รังเกียจคนอย่างคุณพินันทน์หรอกเพิ่นมาจากกรุงเทพฯ นะเอ็งจะต้องรู้เอาไว้เป็นคนดี อยู่ในที่เจริญมาก เราคนดอยคนดง จะต้องมองดูท่านเป็นเยี่ยงอย่างจำเอาไว้เน้อ ฟ้ามุ่ย ?”

“ค่ะ ลุง”

มองดูแล้วผู้ใหญ่บุญทันเหมือนไม่มีความรังเกียจพินันทน์เลย เพราะเออออห่อหมกไปหมด ไม่ว่าอะไรเนื่องจากแกนิยมและเลื่อมใสพินันทน์อยู่แล้ว ทำเอาชายหนุ่มที่กำลังเมาต่อน้ำตาลที่หมักจนได้ที่แล้วนึกเกรงใจมาก ฟ้ามุ่ยสาวงามผู้โสภากินข้าวเหนียวอยู่พอเป็นพิธีก็ขอตัว

“อ้าว อิ่มแล้วเหรอ ทำไมกินน้อยนัก ฟ้ามุ่ย ?”

“อิ่มจริงๆ ลุง กินมากเดี๋ยวอ้วน”

“เอ็งยังเล็กนัก เรื่องอ้วนไม่น่ามีปัญหา รูปทรงแบบนี้อ้วนยากโว้ย กินเพื่อให้ความงามของเอ็งคงอยู่ละมั้ง ?”

ฟ้ามุ่ยหัวเราะเบาๆ ลุกขึ้นเดินจากไปเพื่อไปล้างมือ พินันทน์กลับที่พักบ่ายสองโมงเศษ พอขึ้นรถจิ๊ปเล็กสายตาก็เหลือบไป มองเห็นฟ้ามุ่งกำลังเดินออกมาจากด้านหลังบ้าน ชายหนุ่มลงมาจากรถเดินเข้าไปหาเด็กสาวพร้อมกับรอยยิ้ม

“กลับละ วันหน้าจะมาเที่ยวอีก”

“โชคดีค่ะ คุณพินันทน์” หล่อนยิ้มให้ ชักมีความคุ้นเคยพอสมควร

“วันไหนดีนะที่จะไปเที่ยวกันในเมือง ?”

“เอาไว้ก่อนเถอะเจ้า เอ้อ...ค่ะ เวลายังอีกนานคุณพินันทน์ยังคงคุมงานอยู่ที่นี่อีกเป็นปีไม่ใช่หรือคะ ?”

“ทำไมรู้ดีล่ะ ?”

“ลุงผู้ใหญ่บอก แล้วก็พูด้วยว่า ให้คบกับคุณพินันทน์เอาไว้อีก”

“ฟ้ามุ่ยไม่รังเกียจฉันหรือ ?”

“ไม่นี่ จะรังเกียจเพิ่นไปทำไมกัน เพิ่น เอ๊ย คุณพินันทน์ก็เป็นคนดี ไม่เห็นมองดูไม่น่าคบตรงไหนเลย นี่ฟ้ามุ่ยพูดความจริง”


(มีต่อ 2)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
amai
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 24 พ.ค. 2004
ตอบ: 435

ตอบตอบเมื่อ: 05 ก.พ.2005, 4:05 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

“โล่งอก ฉันอาจจะโชคดีที่ได้พบและรู้จักกับฟ้ามุ่ยที่นี่ ไม่นึกเลย”

“ฟ้ามุ่ยก็ ไม่นึกเหมือนกัน ว่าจะมีคนกรุงเทพฯ มาที่หมู่บ้านของเรา ที่ห่างไกลและกันดาร เดินทางไปมาลำบาก ดีใจที่ถนนสายใหม่กำลังจะเกิดขึ้นด้วย ”

“ฉันเองก็ดีใจที่พบฟ้ามุ่ยที่นี่ วันนี้แล้วก็เดี๋ยวนี้ เวลานี้มาก ดีใจจริงๆ นะ” ชายหนุ่มย้ำแล้วพูดต่อไป

“พรุ่งนี้จะมาอีก รังเกียจมั้ยจ๊ะ ?”

“ดีซีคะ ไม่รังเกียจคุณพินันทน์”

มองหน้าเด็กสาวคนสวยที่น่ารักมองดูแล้วดวงตานั้นสดใสแจ่มกระจ่างประกายตาของฟ้ามุ่ยมีความหมายยิ่ง ผมดำขลับยาวสลวย ผิวพรรณนั้นไม่ต้องพูดถึงผ่องผุดสดใสเป็นพิเศษ ไม่น่าเชื่อว่าช้างเผือกจะมาอยู่ในสถานที่แห่งนี้

ได้ยิ้มให้เด็กสาวอีกก่อนจากมา ชายหนุ่มขับจิ๊ปเล็กมาทันที ยังหันกลับมามองดูอีก เมื่อเห็นฟ้ามุ่ยยืนมองดูอยู่ก็โบกมือให้หล่อน ซึ่งก็ได้รับการโบกมือตอบเช่นเดียวกันกลับมาที่แค้มป์ดูความเรียบร้อยของงานต่อ ยิ่งยงกับสาโรจน์ยังคงควบคุมงานอยู่ พินันทน์จึงเข้ามาหา

“มีอะไรหรือเปล่า พวกเรา ?”

“นิดหน่อยครับ เฮีย แทร็กเตอร์ชำรุดบางส่วนต้องหยุดพักผ่อน แล้วก็ต้องไปหาอะไหล่ในตัวเมืองด้วย”

“เข้าเชียงใหม่เหรอ ?”

“ที่เชียงดาวไม่มีอะไหล่ ต้องไปที่ช้างเผือกโน่นแน่ะ”

“ช้างเผือก ? ก็เชียงใหม่ซี่ ?” พินันทน์ขมวดคิ้ว

“ครับเฮีย เอาจิ๊ปเล็กไป จะไปวันนี้หรือพรุ่งนี้ ?” สาโรจน์เอ่ยถาม

“เดี๋ยวนี้เลย เอาช่างไปด้วย ถ้ายังไงก็อาจจะเอาช่างทางโน้นมาจัดการซ่อมให้เร็วที่สุด ช้าไม่ได้ เสียหาย”

“แล้วเฮียจะเข้าเมืองด้วยรึเปล่าครับ ?”

ยิ่งยงถามลูกพี่ของเขาต่อ พินันทน์สั่นศีรษะ ส่งใจไปที่ฟ้ามุ่ย ความจริงเขาอยากไปที่บ้านผู้ใหญ่บุญทันอีกในเย็นวันนี้ เพราะเสน่ห์ของฟ้ามุ่ยนั่นเอง ทำไมหนอ เด็กสาวคนนี้จึงอยู่ในความทรงจำของเขานักก็ไม่รู้

“เฮียมีอะไรเหรอเปล่า ?” ตอนหนึ่งยิ่งยงเอ่ยถามเขา

“ไม่ ทำไม ?”

“เห็นเฮียเงียบขรึมไปชอบกล ทางผู้ใหญ่บุญทันมีอะไรเป็นปัญหารึเปล่าครับ ?”

สาโรจน์เองก็สังเกตว่าพินันทน์ซึมๆ ไปชอบกล

“ไม่มี เออ พวกนายอย่าเป็นห่วงเลย ฉันไปทางโน้นผู้ใหญ่เลยเลี้ยงแล้วก็ให้ฉันดื่มน้ำตาลเมาที่แกทำเองอีก เลยทำให้เกิดมึนหัวไปหน่อย”

“มิน่า เฮียถึงไม่เหมือนเดิม”

บรรยากาศโดยรอบ ณ ที่นั้นงดงามเหลือเกิน ธรรมชาติของป่าดง ขุนเขา แมกไม้ปุยเมฆที่ปกคลุมอยู่บนดอยอินทนนท์ที่สูงเสียดฟ้าในทางหนึ่งมองเห็นอย่างถนัดชัดเจน ปุยเมฆลอยฟูฟ่อง เคลื่อนที่ไปช้าๆ ตัดท้องฟ้าสีคราม

ฟ้ามุ่ยเหม่อมองดูสิ่งเหล่านี้อย่างสงบ มองดูแล้วก็คิดว่าธรรมชาติในยามนี้ช่างน่าทัศนาจริงๆ ป็นสิ่งที่เด็กสาวได้เห็นอยู่เสมอ เพราะเกิดและเติบใหญ่จากท้องถิ่นแห่งนี้ ในใจคิดอะไรเรื่อยเปื่อย คิดไปหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเอง

อีกด้านหนึ่งก็เป็นหมู่บ้านที่ตนเองถือกำเนิดมาวิ่งเล่น ลงอาบน้ำในธารน้ำที่ไหลผ่านทางด้านโน้น เคยมาปีนป่ายต้นไม้แถวนี้ก็บ่อยครั้งมาก

ฟ้ามุ่ย เด็กสาวผู้งดงามและบริสุทธิ์ผุดผ่องยิ่งกว่าหยาดน้ำค้าง กำลังคิดอะไรเพลินๆ ก็ต้องสะดุ้งเล็กน้อย เสียงกรอบแกรบของใบไม้แห้งนั่นเองที่ทำลายห้วงภวังค์ของเด็กสาวที่ปล่อยใจอยู่กับธรรมชาติ

“พี่กล้ามาเงียบๆ ตกใจแน่ะ”

กล้า คือชายหนุ่มผู้หนึ่งที่เติบโตมาด้วยกันกับฟ้ามุ่ย หนุ่มฉกรรจ์ที่มีเรือนร่างแข็งแกร่งสมวัย อายุอานามมากกว่าฟ้ามุ่ยเกือบสองปีเท่านั้น เขามองดูเด็กสาวแล้วถอนหายใจออกมายาว

“มายืนทำไมตรงนี้คนเดียว ?”

“ดูฟ้า ดูยอดดอยอินทนนท์ ดูต้นไม้ ดูอะไรรอบๆ ตัวเอง สวยดีทุกอย่าง”

“แล้วคิดอะไรอยู่ ?” เด็กหนุ่มเอ่ยถามต่อไปอีก

“ส่งใจไปไหนต่อไหน บางทีมองดูแล้วฟ้ามุ่ยยืนนิ่งเกือบเป็นหุ่นหรือรูปปั้นเชียว รู้ตัวรึเปล่า ?”

สั่นศีรษะแสดงว่าไม่รู้

“หมู่นี้พี่กล้ามองฟ้ามุ่ยแล้วผิดสังเกตไปมาก”

“ผิดยังไง ฟ้ามุ่ยก็เป็นฟ้ามุ่ย กล้วยไม้พื้นเมืองของเมืองเหนืออยู่นั่นเอง ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเป็นดอกไม้ชนิดอื่น” พูดแล้วยืดอก สูดลมหายใจเข้าปอดอย่างสดชื่น

“หรือว่าไม่จริง ?”

“เรื่องนั้นก็ ไม่เถียง”

“วันนี้พี่กล้าพูดแปลก ฟ้ามุ่ยมีอะไรผิดสังเกต ?”

“เงียบ ขรึม มองดูเป็นคนช่างคิด มีความในใจอะไรบางอย่าง ยิ่งเมื่ออยู่คนเดียวแล้วเห็นได้ชัดเจนมากโดยเฉพาะพี่กล้าคนนี้เห็นเสมอ”

“ฮึ มาสังเกตอะไรกันนัก พี่กล้านั่นแหละคิดมาก แล้วก็ผิดสังเกตมากกว่า”

“พี่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง พี่มั่นคงยืนยาวเสมอแล้วก็เสมอต้นเสมอปลายอีกด้วยซี เห็นหรือเปล่าว่าพี่ไม่เคยมีอะไรผิดสังเกต ไม่มีความลึกลับ”

“อ๋อ พูดอย่างนี้ก็หมายความว่า ฟ้ามุ่ยมีความลึกลับใช่มั้ย ?”

เด็กสาวตอบโต้คนบ้านเดียวกัน “พี่กล้าพูดออกมาตรงๆ ดีกว่า ว่าฟ้ามุ่ยทำอะไรไม่ดี ผิด เปลี่ยนแปลงไปแบบไหน ยังไง ?”

“หลายวันมานี้ ฟ้ามุ่ยไม่เหมือนเดิม เวลาพูดกับพี่มักมีอารมณ์เสมอ”

“อ้าว ก็พี่กล้าชอบถามอะไรแปลกๆ นี่นา”

ชายหนุ่มเดินมาอีกทางหนึ่ง มองออกไปที่ยอดดอยสูงเสียดฟ้า ปุยเมฆกำลังล่องลอยผ่านต่ำกว่าเสียด้วยซ้ำ เป็นภาพที่หาดูได้ยากนัก แต่ที่เมืองเหนือนั้นเป็นสิ่งธรรมดาทั่วไปโดยเฉพาะที่นี่

“เราเคยพูดกันอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส สนุกสนานอารมณ์สดชื่อ แต่มาบัดนี้ทำไมไม่เหมือนเดิมเลย ?”

“นั่นแหละ พี่กล้าคิดมาก”

“คิดเพราะพี่มีเหตุผลของพี่เอง เพราะฟ้ามุ่ยไม่เหมือนเมื่อก่อน” เขาย้ำอีก

“เอ๊ ก็บอกแล้วว่าฟ้ามุ่ยก็คนเดิมนั่นแหละ พี่กล้ายังเวียนพูดอยู่ยังงี้ เอา...พูดกันให้ชัดเลยว่าพี่กล้าหมายถึงอะไร คิดยังไงกับฟ้ามุ่ยคนนี้ ?”

เด็กสาวหันมามองดู คนบ้านเดียวกันด้วยสายตากระด้าง รู้สึกไม่พอใจ กล้ามองสาวบ้านเดียวกับเขาด้วยความรู้สึกที่สับสน เมินไปอีกทางหนึ่ง

“ตั้งแต่ไอ้หนุ่มกรุงเทพฯ คนนั้นมาป้วนเปี้ยนอยู่ที่นี่ พี่มองเห็นได้เลยว่าฟ้ามุ่ยเปลี่ยนแปลงไปจริงๆ ไม่ได้แกล้งพูดเลย ฟ้ามุ่ยมองเห็นนายช่างทำทางคนนั้นดีกว่าพี่กล้าแล้วใช่หรือเปล่า ?”

เด็กสาวไม่ตอบ แต่ในใจไม่รู้เกิดอะไรขึ้น หัวใจเต้นแรงผิดปกติธรรมดาทันทีที่เด็กหนุ่มคนบ้านเดียวกันพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมา

“คุณพินันทน์ นายช่างใหญ่ที่เรียนจบมาจากอเมริกา”

“นั่นแหละ ใช่หรือเปล่าเล่า ?”

“คุณพินันทน์ก็คือคุณพินันทน์ พี่กล้าก็คือพี่กล้าแล้วทำไม ?”

“เขามาที่นี่หลายครั้งหลายหนแล้ว พี่เห็นแล้วฟ้ามุ่ยก็ต้อนรับเขา ดีอกดีใจกับเขาเสมอ”

“ลุง ผู้ใหญ่บอกให้ต้อนรับเขา เพราะเขาเป็นคนดีจะต้องเอาเยี่ยงเอาอย่างเขา ลุงบุญทันพูดยังงี้ทุกครั้งที่สอนฟ้ามุ่ย ฟ้ามุ่ยผิดตรงไหนเล่า พี่กล้า ?”

”ไม่ผิด แต่ก็แปลกไป มองเห็นเขาวิเศษไปหมดแล้วตอนนี้ คนอื่นไม่เอาไหนเป็นคนไม่ดีหรือ ?”

ชายหนุ่มพูดอย่างน้อยอกน้อยใจ

“พี่กล้า ทำไมพูดยังงั้น ฟ้ามุ่ยไม่ได้พูดเลยนะว่าใครวิเศษ หรือว่าใครไม่ดีไม่เอาไหน”

“คนต่างถิ่น คนต่างแดนห่างไกล อย่าลืมนะเขาอาจจะทำให้คนบ้านป่าบ้านดอยอย่างเราชอกช้ำได้ รู้หรือว่าเขามาดีมาร้าย รู้หรือว่าเขาเป็นยังไงทางกรุงเทพฯ เขาอาจจะ...”

“อาจจะอะไร ?”

“ใครจะรู้ว่าเขาอาจจะมีเมียอยู่ทางกรุงเทพฯ !”

ฟ้ามุ่ยหน้าแดงขึ้นทันทีเมื่อได้ฟังคำพูดประโยคนี้จากกล้า

“มันเกี่ยวอะไรกับฟ้ามุ่ยด้วยเล่า ?”

“เกี่ยวซี่ พี่รู้นะว่าฟ้ามุ่ยมีจิตใจยังไงกับผู้ชายคนนี้ มองดูก็เข้าใจ ระวังให้ดีจะเสียใจภายหลัง จะชอกช้ำน้ำตาเช็ดหัวเข่าทีหลังก็ได้ !”

“หยุดเถอะ อย่ามาพูดยังงี้อีก ไม่ต้องการฟัง”

เสียงสายลมพัดมาหวีดหวิว เส้นผมของเด็กสาวที่ยาวสลวยปลิวไปมาเล็กน้อย เงียบกันไปชั่วขณะ


(มีต่อ 3)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
amai
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 24 พ.ค. 2004
ตอบ: 435

ตอบตอบเมื่อ: 05 ก.พ.2005, 4:12 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สายตาของฟ้ามุ่ยจับจ้องอยู่ที่เมฆขาวสะอาดล่องลอยตัดสีน้ำเงินของท้องฟ้าที่กระจ่างสดใส

“พี่หวังดีกับฟ้ามุ่ย พี่จึงพูดตรงๆ แบบนี้”

“ทำไมไม่มองดูคนอื่นเขาในแง่ดีบ้างเล่า ทำไมไปมองแต่ความชั่วความเลวร้ายของเขาฝ่ายเดียว ทั้งๆ ที่เขาเองก็ยังไม่ได้ทำอะไรไม่ดีไม่งามเลย ทำไมมองคนในแง่ร้าย มองคนในแง่ดีบ้างไม่ได้หรือ ?”

“ก็ใช่เหมือนกัน แต่เรื่องอย่างนี้จะต้องรอบคอบและคิดมาก ไม่ใช่ยินดีไปกับเขาทันทีทันใด อย่าลืมนะเราอยู่กันคนละสารทิศ รู้หรือว่าเขามีความตื้นลึกหนาบางขนาดไหน ?”

”ลุงบุญทันพูดว่าเขาเป็นคนดีมากคนหนึ่ง คบได้เพราะรู้จักเขาดีพอ”

“ฟ้ามุ่ยก็มองเห็นคุณงามความดีของเขาด้วย โดยไม่มีอะไรแน่นอน มองเห็นคนอื่นดีกว่าคนบ้านเดียวกันไปแล้ว พี่กล้าถามหน่อยเถอะ”

“ไม่เคยพูดอย่างนี้ ใครจะเห็นคนอื่นดีกว่าคนบ้านเดียวกัน ไม่เคยพูดนี่”

“พี่กล้าเป็นห่วงฟ้ามุ่ย ยิ่งเห็นเขามาเที่ยวรับส่งไปไหนมาไหนกับฟ้ามุ่ย บอกตรงๆ พี่กล้าไม่ชอบและคิดมาก”

“จะไปไหนมาไหนทำไมจะต้องมาห่วง ทำไมจะต้องมาคิด เพราะลุงผู้ใหญ่และพ่อแม่ฟ้ามุ่ยก็รู้เห็นอยู่” กล้า หนุ่มบ้านเดียวกับฟ้ามุ่ยอึดอัดหัวอกจริงๆ

“พี่กล้าต้องห่วงแล้วก็ต้องคิด”

“ทำไม พี่กล้าเป็นอะไรกับฟ้ามุ่ยเหรอ ?” เสียงเด็กสาวกระด้างมากยิ่งขึ้นอีก

“พี่ไม่ได้เป็นอะไร เป็นคนบ้านเดียวกันที่หวังดีต่อกัน ไม่ต้องการให้ใครมาทำอะไรที่ไม่เหมาะสมที่หมู่บ้านของเรา !”

“ขอบใจต่อความหวังดีของพี่กล้ามากๆ ขอบใจจริงๆ” ฟ้ามุ่ยเชิดหน้าอย่างทระนง

“ฟ้ามุ่ยกำลังมีความหวังอะไรบางอย่าง คิดว่าชีวิตนี้จะต้องรุ่งโรจน์ยิ่งขึ้นอีกในไม่ช้าไม่นานนี้ หากมีอะไรไม่เหมาะสม ฟ้ามุ่ยก็จะไม่ยอมแน่”

เด็กสาวเดินจากไปแล้ว ไม่เหลียวหลังมามองดูกล้าเด็กหนุ่มในหมู่บ้านเดียวกันอีกแม้แต่น้อย เขามองตามร่างของฟ้ามุ่ยไปด้วยความผิดหวังประดังกันเข้ามามากมาย

“พี่สงสาร หากฟ้ามุ่ยผิดหวังในสิ่งที่หวังเอาไว้”กล้าพึมพำเบาๆ

เด็กสาวเดินมาทางบ้านของตนเอง ซึ่งไม่ห่างไกลจากบ้านผู้ใหญ่บุญทันกี่มากน้อย

เดือน ซึ่งเป็นสาวรุ่นราวคราวเดียวกันก็สวนทางมาพอดี ทั้งสองคนมีความสนิทสนมกันมากเป็นพิเศษ มีอะไรก็จะรู้ถึงกันหมด

“เจอกันหรือยัง ฟ้ามุ่ย ?” เดือนเอ่ยถามขึ้นก่อน

“ใคร เจอใคร ?” ฟ้ามุ่ยถามงงๆ

“มาปรับทุกข์กับฉันหลายครั้งแล้ว เมื่อตะกี้นี้ก็ถามถึงเธอด้วย พี่กล้ายังไง ?”

“โน่น...ยังอยู่ทางโน้น” เด็กสาวผู้กำลังจะเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ชี้ไปทางหนึ่งที่กล้ายืนอยู่

“ฉันเพิ่งจากมาเมื่อตะกี้นี้”

“ว่าไงบ้าง ?”

“พูดแปลก เรื่องเดียวเท่านั้นเอง”

“เรื่องนายช่างพินันทน์ที่มาชอบเธอใช่มั้ย ?”

“ใช่ เพ้อเจ้อใหญ่ ยังกะว่าจะเป็นเจ้าเข้าเจ้าของในตัวฉันเอง น่าเบื่อหน่าย พูดจาสั่งสอน แล้วก็ว่าคุณพินันทน์อีกมาก”

“พี่กล้าเขาชอบเธอนะ ฟ้ามุ่ย” เดือนเกาะแขนเพื่อนพาเดินมาอีกทางหนึ่ง

“เขามีสิทธิ์ชอบฉันได้เสมอ แต่เรื่องที่ฉันจะชอบตอบหรือเปล่าก็เป็นสิทธิ์ของฉัน ใช่มั้ยเดือน ?”

เดือนพยักหน้าช้าๆ มองดูหน้าฟ้ามุ่ย

“เรื่องเกิดจนได้ เรื่องของความรักแท้ๆ”

“นั่นซี ทำไมเป็นแบบนี้ก็ไม่รู้ เราอยู่ของเราดีๆ ทำไมเรื่องยังงี้มาถึงเรา ?”

“พรหมลิขิตมั้ง หรือว่าสวรรค์สร้าง เทวดาสั่งให้เกิด ?”

“ฉันเองก็ไม่รู้ ก็แล้วแต่ดวงชะตาเราก็แล้วกันนะ”

มีอีกสาวหนึ่งเดินเข้ามาหา พอเดือนเห็นเข้าก็รีบทักทายทันทีเพราะเป็นเพื่อนสนิทกันอยู่

“ดาว จะไปไหนน่ะ ?”

ดาว ซึ่งเป็นสาวเหนือหน้าตาคมคายเช่นเดียวกับเดือนส่งยิ้มมาก่อน มองดูฟ้ามุ่ยแล้วก็หันมาทางเดือนอีก

“ไม่รู้จะไปไหน ก็มาเรื่อยเปื่อยนี่แหละ พี่กล้าเขาบอกว่าเราสองคนอยู่ทางนี้ก็เลยมาหา คุยแก้เหงาปาก”

“ไปทำอะไรกินกันดีมั้ย ที่บ้านฉันก็ได้นะ ?” ฟ้ามุ่ยชวนเพื่อน

”คงจะไปไม่ได้แล้วละเธอเอ๋ย เห็นอะไรมั้ย โน่นมาแล้ว ?”

จิ๊ปเล็กคันหนึ่งแล่นเข้ามาในบริเวณหมู่บ้าน ฝุ่นฟุ้งตามหลังเล็กน้อย ยิ่งยงเป็นคนขับ พินันทน์นั่งคู่ ส่วนด้านหลังก็เป็นสาโรจน์ จิ๊ปเล็กแล่นเข้าไปที่หน้าบ้านของผู้ใหญ่บุญทันแล้ว เจ้าของบ้านมองเห็นแต่ไกลก็ชะเง้อชะแง้ พอมาถึงยังไม่ทันรถจอดเสียงผู้ใหญ่บ้านชื่อบุญทันก็เอะอะทันที

“เชิญ เชิญครับ คุณพินันทน์ เชิญทุกคนเลย”

ทั้งหมดไปนั่งที่แคร่ไม้หน้าบ้าน นายช่างใหญ่ของเรามองไปรอบๆ คล้ายจะมองหาอะไรสักอย่าง ผู้ใหญ่บุญทันรู้ใจก็ร้องเรียกหลานสาวทันที

“ฟ้า นังฟ้ามุ่ย มานี่เร็วเข้า เออ ยืนสุมกันอยู่โน่นเอง ฟ้ามุ่ย เดือน ดาว มานี่ก่อนเร็วเข้า”

เดือนมองเห็นภาพเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่แล้ว พอได้ยินเสียงผู้ใหญ่บุญทันก็เอ่ยกับเพื่อนทันที

“ลุงผู้ใหญ่ให้พวกเราไปหา ทำยังไงดี ?”

“ก็ต้องไปหา ไม่เห็นมีอะไร ไปเถอะ ฟ้ามุ่ย”

ดาวพูดและเดินนำ สามสาวจึงดาหน้ามาราวกับประชันขันแข่งความงามของเรือนร่าง ฟ้ามุ่ยอยู่ตรงกลาง ขนาบซ้ายขวาด้วยเดือนกับดาว หญิงสาวชาวเหนือต่างก็งดงามไปคนละแบบหากแต่ว่าฟ้ามุ่ยน่าจะมีอะไรเด่นมากกว่าเล็กน้อยที่ใบหน้าอ่อนหวาน สะดุดตายิ่งนัก เมื่อรวมกับทรวดทรงด้วยก็งดงามยิ่งขึ้น

ทุกคนรู้จักกันดีอยู่แล้ว เพราะพินันทน์พาพรรคพวกของตนมาที่นี่หลายครั้งหลายหน เลยทำให้สาโรจน์รู้จักกับเดือนและดาวไปด้วย ยิ่งยงเองก็คุยสนุก สร้างความครึกครื้นให้แก่สามสาวเสมอ แน่ละ พินันทน์มักจะแอบมาคุยกับฟ้ามุ่ยบ่อยๆ จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ความสนิทสนมนั้นมีมากพอทีเดียว

“มารบกวนผู้ใหญ่อีกแล้วครับ” พินันทน์พูดกับผู้ใหญ่บ้านบุญทัน

“ได้เลยคุณ จะเอาอะไรก็บอกมา ผมช่วยเต็มที่อยู่ให้เย็นค่ำเลยนะ ตั้งวงดวดกันอีก บอกไม่เชื่อ วันนี้ก็กับแกล้มเพียบเช่นทุกๆ วัน อ๊ะ อย่า อย่าบอกว่าไม่เชียวผมโกรธตายชัก เออนี่ ฟ้ามุ่ยหลานเอ๊ย เดือน ดาว อยู่ก่อน ช่วยกันทำข้าวปลาอาหารกินกันนะ ช่วยกันทำ ช่วยกันกิน”

“ผมว่าจะชวนลุงผู้ใหญ่เข้าไปในเมือง”

“อ้าว ไปไหนคุณพินันทน์ ?”

“ในตลาดเชียงดาวนี่เองครับ เห็นลุงผู้ใหญ่บอกว่าจะไปหาใครที่นั่นก็เลยจะอาสาขับรถไปส่ง”

“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนดีกว่า คุณพินันทน์ แต่เรื่องนี้จะต้องเดี๋ยวนี้เลย นี่ฟ้ามุ่ยเข้าครัวจัดการเรื่องกับแกล้มกับเดือนแล้วก็ดาวสามคน รวมกับเจ้าเบี้ยวพ่อครัวคนสำคัญอีก ก็พอเสร็จแล้วก็ออกมากินร่วมกัน”

พอดีคนชื่อเบี้ยวเดินกรายออกมาจากหลังบ้านผู้ใหญ่บุญทันเห็นเข้าก็รีบสั่งการให้ไปหุงหาอาหารมาโดยด่วน พินันทน์ ยิ่งยง สาโรจน์ สนทนากับผู้ใหญ่บุญทันส่งเสียงเฮฮาเป็นพักๆ มีความสนุกสนานมากเป็นพิเศษวันนี้เป็นวันเสาร์นั่นเอง

หยุดงานสร้างทาง พนักงานต่างหยุดหมด เจ้านายก็เลยพากันมาที่หมู่บ้านแห่งนี้ก็ไม่มีอะไรหรอก นายช่างใหญ่ของเรา พินันทน์ ต้องการมาเห็นหน้าค่าตาสาวงามที่ตัวเองหมายปองเอาไว้มากกว่าอื่น ไม่เห็นหน้าเพียงวันเดียวก็หงุดหงิดไปหมดทำอะไรก็เครียดและไม่รู้เรื่องเอาจริงๆ ในระหว่างนั้นเองชายหนุ่มก็ขอตัว

“อ้าว จะไปไหน คุณพินันทน์ ?”

“เดี๋ยวมาครับผู้ใหญ่ ธุระนิดเดียว” ชายหนุ่มพูดเบาๆ

“เหรอครับ เอาเลย เชิญ เชิญ...ห้องเล็กด้านหลังด้านหลัง”

เดินอ้อมมาทางด้านหลัง แต่พินันทน์นายช่างใหญ่ของเราก็มองเห็นฟ้ามุ่ยกำลังทำอะไรอยู่อย่างหนึ่งที่โอ่งน้ำฝนใบใหญ่ เขาเดินมาราวกับย่องแล้วตรงเข้าไปทางเบื้องหลังของสาวงามช้าๆ มายืนอยู่ด้านหลังเด็กสาวห่างเพียงหนึ่งศอกเท่านั้น

ฟ้ามุ่ยกำลังล้างผักสดๆ ที่เก็บเอามาจากหนองน้ำและลำธารใกล้ๆ บ้านนั่นเอง เด็กสาวถือสายบัวอยู่พลางหันกลับมาทันที พอเห็นว่าพินันทน์ยืนอยู่ทางด้านหลังใกล้ๆ ก็ตกใจ ร่างของหล่อนปะทะกับทรวงอกชายหนุ่ม

“อุ๊ย”

เขาจับไหล่ของเด็กสาวทั้งข้างไม่ให้เซไปทางใดทางหนึ่ง

“ฟ้ามุ่ยขอโทษนะที่...เอ้อ...”

“คุณพินันทน์มาเมื่อไหร่คะ ไม่เห็นเลย”


(มีต่อ 4)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
amai
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 24 พ.ค. 2004
ตอบ: 435

ตอบตอบเมื่อ: 05 ก.พ.2005, 4:21 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

“ไม่เป็นไรหรอก ขวัญหายรึเปล่า ขวัญมานะขวัญมาอยู่กับเนื้อกับตัว” เขาปลอบขวัญให้ทันที ส่วนมือยังเกาะกุมไหล่ของฟ้ามุ่ยอยู่ เจ้าตัวค่อยๆ เลี่ยงออกไปเล็กน้อย ชายหนุ่มจึงปล่อย

“ฟ้ามุ่ย ฉันมาที่นี่ความจริงไม่ได้หวังมากินอาหารพวกนี้หรอก รู้มั้ย ?”

“แล้วมาทำไมล่ะ ?”

“อยากมาพบเธอมากกว่า เพราะฉันคิดถึงฟ้ามุ่ย”

ไม่ตอบอะไรเขา เพราะไม่รู้จะพูดว่ายังไงดี ขืนพูดไปอาจจะเสียหายหรือเสียเปรียบเขาก็ได้ จึงเงียบอยู่

“ฟ้ามุ่ย ?”

ช้อนสายตามองดูใบหน้าชายหนุ่ม ดวงตาของเด็กสาวส่งประกายวาวแววสดใสน่ารักเหลือเกิน พินันทน์มองดูแล้วก็มีอารมณ์หวิววาบไปทั่วสรรพางค์

“ฉัน เอ้อ ฉันจะกลับกรุงเทพฯ อาทิตย์หน้านี้”

“นาย เอ๊ย คุณพินันทน์กลับบางกอกหรือ ?”

“ใช่กลับไปก่อนแล้วก็มาอีกไม่ได้กลับเลยหรอก”

“ไปกี่วันคะ นานมั้ย ?” เด็กสาวถามอยากรู้

“ไปสามวันก็กลับ บินกลับมาแล้วก็มาหาฟ้ามุ่ย แม้ว่าจะไปสามวันก็คิดถึงเธอมากฟ้ามุ่ยล่ะ คิดถึงฉันรึเปล่าจ๊ะ ?”

ไม่ตอบเขาเลย แต่มองไปอีกทางหนึ่ง ในมือเด็กสาวยังถือสายบัวยาวเป็นวาที่ลอกเยื่อไม่หมด

“ฟ้ามุ่ย คิดถึงฉันมั้ย ?”

“เดี๋ยวคุณพินันทน์ก็กลับแล้ว คิดถึงไปทำไมกัน”

“แต่ว่าทำไมหนอ ฉันคิดถึงเธอมาก ไม่อยากไปแต่ก็ต้องไป เพราะงานสำคัญทางกรุงเทพฯ เรียกกลับไปรายงานอะไรบางอย่าง”

“ขอให้เดินทางโดยปลอดภัยและโชคดีค่ะ”

แล้วสาวงามก็ขอตัวเข้าไปในครัวข้างบนเรือนพินันทน์กลับมาที่แคร่ไม้ด้านหน้าบ้านผู้ใหญ่บุญทันอีกครั้งหนึ่ง เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง อาหารก็ถูกยกมาเรื่อยๆ ที่ขาดไม่ได้เลยก็เห็นจะเป็นน้ำตาลเมาของผู้ใหญ่บุญทันนั่นเอง น้ำตาลเมาที่ได้ที่แล้ว น้ำใสแจ๋ว รสออกหวานพอสมควร แต่ดื่มแล้วได้รสชาติและความมึนเมากำลังเหมาะ

สามสาวมาร่วมรับประทานด้วย ฟ้ามุ่ยมานั่งเคียงคู่กับพินันทน์นายช่างใหญ่ มีความสนิทสนมมากยิ่งขึ้นส่วนยิ่งยงก็เคียงข้างกับเดือน และสาโรจน์นั้นนั่งใกล้กับดาวสาวงามอีกนางหนึ่ง เป็นสามสาวที่เด่นและมีความงดงามน่ารักตามแบบฉบับของสาวเหนือ

“ฟ้ามุ่ยเอ๊ย ปรนนิบัติคุณพินันทน์นายช่างใหญ่ให้ดีนะ อย่าให้ขาดตกบกพร่อง จะเสียชื่อผู้ใหญ่บุญทัน”

เสียงลุงผู้ใหญ่คอยบอกหลานสาวคนงามของแก เด็กสาวยิ้ม นั่งพับเพียบเรียบร้อยเติมน้ำตาลเมาให้ชายหนุ่มอีก

“เออ ดาว เอ็งก็ดูแลคุณสาโรจน์เอาไว้นะ แล้วก็เดือนเอ็งต้องมองดูบ้างที่แก้วของคุณยิ่งยง น้ำตาลเมาอย่าให้พร่องนัก เออๆ ยังงั้นๆ”

แกชอบอกชอบใจที่สามสาวปฏิบัติอย่างที่แกต้องการ แล้วหัวเราะเสียงดังลั่นทีเดียว ดื่มน้ำตาลเมาและอร่อยไปกับไก่ย่างที่อยู่ตรงหน้า พินันทน์กับพรรคพวกขับรถจิ๊ปเล็กกลับแค้มป์เมื่อการดื่มกินอิ่มหนำสำราญดีแล้ว

พอกลับมาถึงระหว่างทางแยกเข้าหมู่บ้านเลยมาเล็กน้อยก็เกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดจนได้ รถจิ๊ปเล็กแล่นมาด้วยความเร็วพอประมาณ ก็มีเสียงปืนดังขึ้นนัดหนึ่ง

“ ปัง !”

ทุกคนใจหายวาบ มองหน้ากันลอกแลก ยิ่งยงเป็นคนขับรถอยู่จึงเหยียบน้ำมันเร่งความเร็วออกไปทันที

“ปัง !” อีกนัดหนึ่งดังขึ้นมา

ยิ่งยงเร่งน้ำมันไม่คิดชีวิตแล้วคราวนี้ เพราะไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ใครยิงใครหรือมายิงรถจิ๊ปคันนี้

“ปัง !” อีกนัดหนึ่งดังขึ้นอย่างกึกก้อง

ยิ่งยงขับรถจิ๊ปได้อย่างรวดเร็วที่สุดในชีวิตวันนี้เอง เขาเร่งน้ำมันไม่คิดชีวิตเพื่อหนีกระสุนปืน เพียงสามนัดที่ระเบิดขึ้นแล้วก็ไม่มีอีกเลยเมื่อจอดรถที่แค้มป์ซึ่งมีแสงไฟสว่างไสวอยู่ด้วยเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่ปั่นใช้งานของทุกคนก็พากันมองหน้ากันด้วยความไม่เข้าใจ

“เกิดอะไรขึ้น ?” พินันทน์ส่งเสียงออกมาก่อน

“ไม่เข้าใจ ยิงใคร ยิงทำไม ?” สาโรจน์เองก็งุนงง

“หรือว่ายิงเรา พวกเรา ?” ยิ่งยงเอ่ยขึ้นบ้าง ยังใจเต้นแรงอยู่เพราะเร่งเครื่องมาอย่างหนัก

“มันคงจะยิงขู่มากกว่าอย่างอื่น” พินันทน์ออกความเห็น พยายามคิดถึงสาเหตุที่เกิดการยิงขู่อีกด้วย

“แต่ว่าขู่ทำไมกัน มีเหตุผลอะไร ?”

“ยังคิดไม่ออก เฮีย มันแปลกมาก เพราะเราไม่มีศัตรูเลยนี่นา ทำงานมาเป็นเดือนๆ แล้วไม่มีศัตรูสักคน อีกอย่างหนึ่งก็กำชับพวกเราทุกคนในที่นี้ว่าอย่าไปมีเรื่องกับใครเด็ดขาด เรามาอยู่กลางดงกลางป่าแบบนี้ก็ไม่น่าไว้ใจอยู่แล้วด้วย” สาโรจน์ทบทวนหาเหตุผล

“พวกคนงานไปมีเรื่องกับใครรึเปล่า ?” พินันทน์ถาม

“ไม่มีแน่ พวกนี้ไม่ได้ไปไหน กินแล้วก็นอน อย่างดีก็กินเหล้าเฮฮาอยู่กับที่เท่านั้น ไม่มีเด็ดขาด”

เป็นคำยืนยันจากสาโรจน์อีกครั้ง

“พรุ่งนี้น่าจะไปพูดเรื่องนี้กับผู้ใหญ่บุญทัน”

“ใช่ เฮีย น่าจะเอาเรื่องนี้ไปบอกลุงผู้ใหญ่เอาไว้เผื่อยังไงแกจะได้จัดการให้ เพราะรู้ว่าใครเป็นใครในถิ่นนี้มากกว่าเรา”

พอรุ่งเช้า พินันทน์ก็บึ่งรถจิ๊ปเล็กเข้าหมู่บ้านอีก ไปพบผู้ใหญ่บุญทันโดยด่วน ด้วยเรื่องสำคัญที่เกิดขึ้นมาสดๆ ร้อนๆ พอผู้ใหญ่บ้านรู้เรื่องทั้งหมดก็เอะอะโวยวาย

“อะไรกันวะ เกิดเรื่องยังงี้ขึ้นได้ยังไง แบบนี้มันกำแหงมาก เหยียบหนวดผู้ใหญ่บุญทันไม่ใช่น้อยนะนี่”

“สามนัด แต่ไม่ถูกใครเลย อาจจะเป็นการยิงขู่”

“ขู่เหรอ คุณพินันทน์ เอาละ ผมจะต้องเอาตัวมันมาให้ได้ถ้าเป็นคนบ้านนี้ เดี๋ยวก็รู้”

“เดือดร้อนลุงผู้ใหญ่จนได้ ผมเกรงใจนัก ผู้ใหญ่ดีกับพวกผมเสมอ แต่เรื่องนี้ก็จำเป็นจะต้องมาบอกเล่าเก้าสิบกัน เพราะผู้ใหญ่ก็คือผู้ใหญ่บ้านของที่นี่”

“ถูกต้อง คุณพินันทน์ ผมรับผิดชอบหมู่บ้านแห่งนี้อยู่แล้ว ไอ้มือปืนไร้ร่องรอยทำแบบหมาลอบกัดมันแย่มาก แต่ว่า...มันจะเอาอะไรกันแน่ ?” ตอนท้ายผู้ใหญ่บุญทันสงสัย

“เงิน ปล้น หรือเอาอะไร ?”

“เออ อาจจะเห็นว่ามาอยู่นานๆ คงพกเงินมามาก แต่ก็น่าจะรู้ใครเขาจะเอาเงินเอาทองมาพกใส่กระเป๋าตัวเอง เงินก็ต้องอยู่ที่ธนาคารเท่านั้น” ผู้ใหญ่บุญทันรู้ดี

ชายหนุ่มพยักหน้าช้าๆ “ถูกแล้ว ผู้ใหญ่คิดถูก”

“พรุ่งนี้ผมจะประชุมลูกบ้านทุกคน บอกให้พวกมันรู้ว่าเกิดเรื่องงามหน้าขึ้นมาแล้ว ใครก่อเรื่องขึ้นมาใครมีปืนผาหน้าไม้บ้าง เอาไปยิงอะไรกันค่ำคืนที่ผ่านมาเดี๋ยวก็น่าจะรู้”

“ผมจะกลับกรุงเทพฯ ตอนนี้ก็มีแต่พวกนั้น ต้องขอฝากผู้ใหญ่ด้วย”

“แล้วเมื่อไหร่จะกลับ ?”

“ไปสองสามวันครับ”

ผู้ใหญ่บุญทันพยักหน้ารับทราบ

“ไม่เป็นไร แต่จะต้องระมัดระวังให้มากตอนนี้ ปืนที่มีอยู่ก็จะต้องเอาไว้ป้องกันที่แค้มป์เอาไว้ให้ดี เวรยามน่าจะต้องมีด้วย เผื่อเกิดอะไรขึ้นมาก็จัดการได้เลย”

พินันทน์กลับไปแล้ว พอดีฟ้ามุ่ยมาที่บ้านผู้ใหญ่บุญทัน

“ลุง เมื่อตะกี้นี้ใครมา ?”

“อ้าว เอ็งไม่เห็นหรอกรึว่าใคร รถจิ๊ปเล็กมีคันเดียวที่แถวนี้เท่านั้น”

“นายช่างใหญ่ ?”

“เออ นายช่างใหญ่คนนั้น คุณพินันทน์ เอ็งสนใจเขารึ ?”

ฟ้ามุ่ยมองหน้าลุงบุญทันแต่ไม่พูดตอบ กลับถาม “มีเรื่องอะไรหรือลุง ทำไมเขามาแป๊บเดียวก็กลับผิดสังเกตมาก”

พอผู้ใหญ่บุญทันเล่าเรื่องที่พินันทน์กับพวกถูกคนร้ายลอบยิงฟ้ามุ่ยก็ตกใจมาก

“ถูกยิง ใครยิงเล่าลุง ?”

“มันมืด ไม่เห็นว่าเป็นใครหรอก นายช่างมาพูดกับลุงรู้เรื่องเอาไว้ก่อนเท่านั้นเอง ไอ้พวกไหนกันนะเสือกมาทำเป็นวางกล้ามที่ตรงนี้ ไม่รู้จักผู้ใหญ่บุญทันซะแล้ว ?”

“แล้วจะทำยังไงดีล่ะ เกิดเขาเป็นอะไรไปจะทำยังไงกัน ต้องคุ้มครองเขานะ ใช่มั้ยลุง ?”

ฟ้ามุ่ยรีบพูด ในใจไม่สบายในเรื่องที่เกิดขึ้น

“ใครมั่งที่มีปืน เอ็งรู้รึเปล่าฟ้ามุ่ย ?”

“ก็เห็นมีกันหลายคนอยู่ ถามทำไม ?” เด็กสาวคิดในใจว่าใครมีปืนเอาไว้ในครอบครองบ้างทันที

“ลุงก็มีไม่ใช่เหรอ ?”

“เออ มีก็ไม่แปลก ลุงถามก็เพื่อจะได้สอบเอาความจริง มีปืนเอาไปยิงกันอย่างนี้มันไม่สวย จะต้องเอาไว้ป้องกันตัว ป้องกันไอ้เสือไอ้โจร ไม่ใช่เอาไปเป็นโจรซะเอง ”

“นายช่าง ไม่น่าเลยใครกันมาแอบยิงเขา ?”

“มันจะต้องคนแถวนี้ เพราะนายช่างของเราก็ไม่ไปที่ไหน”

“คนแถวนี้ก็พวกเรานี่เอง” ฟ้ามุ่ยพูด

“นั่นน่ะซีวะ แล้วมันคือใคร ใครคือมัน ?”

“มันจะต้องการเล่นงานนายช่างใหญ่คนเดียว”

“เอ็งรู้เหรอ ?” ผู้ใหญ่บุญทันถาม

“อยากจะเดา แต่พูดไม่ได้ตอนนี้”

“เอ็งลองเดามา ?”

“ไม่ได้ อาจจะหมิ่นประมาทเขา ฟ้ามุ่ยก็ผิด”

“เอ็งหัวหมอรึ พูดแบบนี้ ?”

“ไม่ พูดความจริงนะลุง รอเอาไว้อีกหน่อยอาจจะรู้ตัวคนแอบยิงนายช่างก็ได้”

“มีเบาะแสเอ็งก็บอกมาก่อนเถอะน่า บอกลุงเป็นยังไงไปเล่า ?”

“ไม่ดีจ้ะลุง”

“อ้าว แล้วเอ็งจะไปไหนวะนั่น ฟ้ามุ่ย เฮ้ย เดี๋ยวก่อน...”

เด็กสาววิ่งออกไปจากที่ตรงนั้นทันที

กล้า...เด็กหนุ่มผู้หมายปองฟ้ามุ่ยอยู่เดินผิวปาก มาอีกทางหนึ่ง เห็นฟ้ามุ่ยวิ่งออกไปทางหมู่บ้านทางใต้ก็มองดูด้วยความสนใจ

“อ้อ เจ้ากล้าเหรอ ไปไหนวะ หมู่นี้ไม่ค่อยเห็นหน้าค่าตาเลย ได้ข่าวว่าไปทำงานอะไรที่ไหนรึ ?”

“เดือนหน้าลุงผู้ใหญ่ เข้าเมือง งานโรงสีข้าว”

“ก็ดี อยู่เปล่าๆ เดินเตะฝุ่นไม่ได้เงินได้อะไร เกิดเป็นคนก็ต้องทำงานหาเงิน สร้างฐานะตัวเองเอาไว้” ผู้ใหญ่บุญทันสอนเด็กคราวลูกหลาน

“เมื่อตะกี้นี้ฟ้ามุ่ยมาหาลุงผู้ใหญ่ ?”

“เออ ผ่านมามันก็แวะเท่านั้นเอง”

“แล้วก่อนหน้านั้น ฉันเห็นรถจิ๊ปคันนั้นก็มาหาลุงผู้ใหญ่เหมือนกัน ?”

“นายช่างเขามาหา มีเรื่องไม่ดีไม่งามเล็กน้อย”


(มีต่อ 5)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
amai
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 24 พ.ค. 2004
ตอบ: 435

ตอบตอบเมื่อ: 05 ก.พ.2005, 4:32 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กล้าสนใจทันที “อ้าว เรื่องอะไรเล่าครับลุง ?”

“ไอ้เวรที่ไหนก็ไม่รู้ ดันไปลอบยิงนายช่างใหญ่เข้า ส่องออกไปสามนัดซ้อนๆ เวรคนจริงๆ”

“แล้วนายช่างเป็นยังไง ?”

“จะเป็นยังไง มันอาจจะยิงขู่ขวัญเท่านั้นเอง ไม่รู้ไอ้บ้าที่ไหน ทำเสียชื่อผู้ใหญ่บุญทันหมด เขามาทำงานให้ความเจริญ ดันจะไปเก็บเขาได้ ถ้ารู้ตัวละก็ เอ๊ย...คุกรออยู่แล้ว”

“อาจจะยิงขู่อย่างว่าก็ได้”

“แต่นายช่างของเราแกไม่มีเรื่องกับใครนะเว้ย มาที่นี่ก็มาหาข้า มากินมาดื่มมาคุยสนุกสนาน ที่อื่นก็ไม่เคยไป”

“ไม่แน่หรอกลุงผู้ใหญ่”

“เอ็งว่าไงนะ ?”

“ฉันก็พอรู้มาเหมือนกัน เพราะมีคนพูดเข้าหู”

ผู้ใหญ่บุญทันขมวดคิ้วนิ่วหน้าทันที “เอ็งรู้ยังไง ?”

“เขาพูดกันว่า นายช่างใหญ่ที่ชื่อพินันทน์คนนี้ก็ไม่ใช่เล่น”

“อ้าว เอ็งพูดให้ดีนะโว้ย เขานายช่างใหญ่ เงินเดือนมาก มาจากกรุงเทพฯ ความรู้ก็สูงส่ง เป็นคนไม่ดีได้รึ ?” ผู้ใหญ่บุญทันแก้ตัวให้พินันทน์ทันที เพราะแกชอบของแก

กล้ามองดูผู้ใหญ่บ้านรูปร่างอ้วนพุงพลุ้ยแล้วก็พูดออกมาอีก

“เขาว่าเป็นคนคบยาก โดยเฉพาะเรื่องความเจ้าชู้มีผู้หญิงหลายคนที่กรุงเทพฯ เสียหายเพราะนายช่างคนนี้มาแล้ว แกไปที่ไหนแกก็ไปทำเรื่องที่นั่น แล้วมาที่นี่ก็อาจจะทำเรื่องที่นี่อีกก็ได้ เลยมีคนเล่นงานเอา ลุงว่าจริงมั้ย ?”

“เรื่องสาวๆ เหรอ ?”

“ใช่แล้ว ลุงผู้ใหญ่ดูซิว่านายช่างมาทำเจ้าชู้อยู่ที่นี่หรือเปล่า ?”

“นายช่างมาหาข้า ไม่เห็นมีอะไรแล้วก็กลับแค้มป์ ข้าเห็นก็เท่านั้นเอง”

“ฉันว่าน่าจะมีเหมือนกันนะ นายช่างคนนี้ไม่ใช่ธรรมดา ลุงไม่สังเกตมั่งรึไง ที่นายช่างมาตีสนิทกับสาวๆ ที่หมู่บ้านของเรา ?”

“ใครวะ ?”

“หลายคน” กล้าย้ำกับผู้ใหญ่บุญทันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“เออ พอเข้าใจบ้าง แต่เท่าที่เห็นเต็มตาอยู่ ก็นังฟ้ามุ่ยหลานสาวข้าเอง”

“นั่นแหละ”

“เอ็งรู้รึ เจ้ากล้า ?”

“ฉันเห็นแล้วก็เข้าใจดี นายช่างพินันทน์มีทีท่าชอบฟ้ามุ่ยมาก แล้วลุงไม่รู้หรือว่าอาจจะมีไอ้หนุ่มในบ้านเราคนไหนก็ไม่รู้ที่แอบชอบฟ้ามุ่ยก็อาจจะมีหลายคน”

“ใครที่ไหน ข้าไม่เห็นมีสักคน นังฟ้ามุ่ยมันไม่เอาไอ้พวกหนุ่มๆ หมู่บ้านนี้ทำน้ำพริกน้ำยาอะไรหรอก บ้าแล้ว” กล้าเงียบเสียงไปทันที ถอนหายใจออกมาแรงๆ

“ลุงผู้ใหญ่อาจจะไม่รู้”

“ข้ารู้แน่ เพราะข้าเลี้ยงฟ้ามุ่ยมานาน เอ็นดูมันมาก มันเองก็ไม่มีการปกปิดข้าด้วย จะบอกให้ มีอะไรก็บอกตามความจริงทุกอย่าง นายช่างมาฟ้ามุ่ยก็อยู่ด้วยกับข้า ใครๆ ก็เห็น จริงมั้ยล่ะ ?”

“แต่มีคนบอกว่านายช่างพินันทน์สนิทกับฟ้ามุ่ยมากขึ้นทุกวัน”

“ก็ไม่แปลกนี่หว่า คุณพินันทน์แกเป็นคนดี ฟ้ามุ่ยสนิทกับแกก็ไม่แปลกตรงไหน ข้าผู้ใหญ่บุญทันยินดีด้วยซะอีก”

“ลุงผู้ใหญ่พูดจริงหรือ ?”

“เออซีวะ นังฟ้ามุ่ยหลานสาวของข้ามีอะไรกับคุณพินันทน์ก็ถือว่ามีโชคลาภ ได้คนดีมาใส่ตัว คนกรุงเทพฯดีๆ อย่างนี้ ความรู้สูงๆ อย่างนี้ เงินเดือนก็มากมายอย่างนายช่างใหญ่ ข้าดีใจว่ะ พูดตรงๆ เกรงอย่างเดียวเท่านั้น กลัวนายช่างจะไม่เอาจริง”

“ทำไมลุงผู้ใหญ่พูดยังงั้น ?”

“อ้าว เรื่องจริงข้าก็พูดความจริง สำหรับการไปเอาไอ้หนุ่มหัวใสแถวนี้ที่เดินเตะฝุ่นจนตีนด้านน่ะ ข้าไม่สนับสนุนดอก รู้เอาไว้ซะด้วย ขืนอยู่กินกันไปก็แดกเกลือกับผักบุ้งทุกมื้อ”

กล้ากลืนน้ำลายดังเอื๊อก พูดอะไรไม่ออก ผู้ใหญ่บุญทันนิยมคนกรุงเทพฯ เสียแล้วชื่นชมนายช่างอย่าง ออกหน้าออกตาไปแล้ว เขาจึงสงบปากคำลงทันที

ฟ้ามุ่ย...คงจะไม่ได้พบเจอกันแล้วในชาตินี้

“นี่ กล้า เอ็งรู้มั้ยว่าใครที่มันส่องนายช่างสามนัดเมื่อคืน ?”

กล้าสั่นศีรษะ

“เอ็งพูดแบบนี้เอ็งก็จะต้องรู้ซีว่า ไอ้คนไหนที่แอบชอบนังหนูฟ้ามุ่ยหลานสาวข้า แล้วก็เล่นงานนายช่างนิสัยดีชื่อพินันทน์ เพราะแรงหึงหวง ?”

“ฉันก็ไม่รู้” น้ำเสียงนั้นอ่อยๆ ไป

“หรือว่าเป็นเอ็ง ตัวการ ?” ผู้ใหญ่บุญทันคาดคั้นเด็กหนุ่มทันที เพราะสังเกตสีหน้าว่าแปลกๆ อยู่มาก

“ฉันไม่นะ เปล่า ไม่รู้เรื่อง”

“น่าจะรู้เรื่องดีนี่ พี่กล้า พูดความจริงออกมาเถอะ” เสียงของฟ้ามุ่ยดังขึ้นอีกทางหนึ่ง

“เอ็งว่าไง นังหนูฟ้ามุ่ย ?”

“ฟ้ามุ่ยก็พูดอย่างเมื่อตะกี้นี้แหละค่ะลุง พี่กล้าพูดถูกที่ว่าคนที่ลอบยิงนายช่างพินันทน์น่าจะไม่ชอบใจที่นายช่างคนนี้มาสนิทสนมกับฟ้ามุ่ย”

“แล้วไง ?”

“พูดตรงๆ พี่กล้าใช่มั้ย ที่เป็นคนเอาปืนไปส่องนายช่าง ตอนที่นายช่างกับพรรคพวกเดินทางกลับแค้มป์ของเขา ?”

“เออ เอ็งพูดออกมาซะดีๆ เจ้ากล้า ที่บ้านเอ็งก็มีปืนไม่ใช่เหรอ จะต้องไปดูปืนกันหน่อยแหละวะ เพื่อหลักฐานว่ายิงมาใหม่ๆ รึเปล่า”

กล้าสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไรตอนนี้ “ปืนบ้านฉันไม่มีหรอก”

“ไม่มี อาจจะหามาจากที่อื่นก็ได้” ฟ้ามุ่ยพูดสวน

“อ้าว ใช่ฟ้ามุ่ยพูดถูก เออ เอ็งจะแก้ตัวยังไง เจ้ากล้า อ้าว นั่นจะไปไหน เฮ้ย...”

กล้าเดินจากไปดื้อๆ เพราะไม่อยากตอแยอะไรอีก ซึ่งตัวเองจะเข้าเนื้อมากไปเรื่อยๆ ฟ้ามุ่ยมองตามไปอย่างเชื่อมั่นว่าการกระทำนั้นน่าจะเป็นบุคคลๆ นี้แน่

“ที่ปักใจเป็นพี่กล้าเพราะอะไรรู้รึเปล่าลุง ?”

“เออว่าไปอีกเลย ถ้ามีหลักฐานผู้มัดจะได้หาทางสั่งสอนมันซะบ้าง ว่าไป”

“พี่กล้ามาต่อว่าหนู หาว่าฟ้ามุ่ยไปสนิทสนมกับนายช่าง พี่กล้าไม่พอใจ เพราะไม่อยากให้ไปสนิทด้วยแล้วก็ว่าฟ้ามุ่ยไม่เห็นใจ ไม่เห็นแก่คนบ้านเดียวกัน ไปเห็นคนนอก คนมาไกลดีกว่ามากมายจ้ะลุง หนูจึงคิดว่าพี่กล้าคนนี้น่าจะจับตามองเอาไว้ด้วย”

“เอ็งพูดจามีเหตุผลพอใช้ ฟ้ามุ่ย เอาละ จะต้องไปที่บ้านมัน สอบถามเรื่องปืนผาหน้าไม้ แต่มันว่าไม่มีก็ให้รู้กันไปว่ามีหรือไม่มี”

“ใครจะมาทำร้ายนายช่างไม่ได้ เพราะนายช่างไม่ใช่คนผิดเลย”

“เออจริง ลุงก็ว่ายังงั้น”

ในที่สุด นายช่างใหญ่พินันทน์ก็พาสามสาวมาเที่ยวที่แค้มป์จนได้ ฟ้ามุ่ย เดือน และดาว สามสาวที่เป็นคนงานดวงเด่นของหมู่บ้าน ซึ่งทีแรกก็ชักชวนให้ผู้ใหญ่บุญทันไปด้วยแต่ผู้ใหญ่ก็บอกว่าติดธุระ จึงอนุญาตให้สาวๆ ไปกันเอง

“ไปเถอะ นายช่าง นังพวกนี้อยู่ทางนี้ก็อยู่ไปวันๆ เท่านั้น ไปเปิดหูเปิดตาซะบ้างจะได้ฉลาดมากขึ้นหน่อย”

ตกลงสามสาว จึงนั่งจิ๊ปเล็กของพินันทน์มาที่ แค้มป์ทันที ยิ่งยงกับสาโรจน์เองก็ดีใจมาก เพราะทำแต่งานหาสิ่งที่เจริญหูเจริญตาก็ยากนัก มีสาวสวยมาพูดคุยกันบ้างก็ดูจะมีชีวิตชีวายิ่งขึ้น ยิ่งยงนั้นดูทีท่าจะชอบเดือนอยู่มาก และสาโรจน์ก็จะต้องเป็นดาวเพื่อนสาวของฟ้ามุ่ย

แรกๆ สามสาวก็รวมกลุ่มกันดีอยู่ แต่พอพูดคุยกันไปเรื่อยๆ พินันทน์ก็พาฟ้ามุ่ยเดินออกไปอีกทางหนึ่งที่เป็นต้นไม้ใหญ่น้อยใกล้ๆ แค้มป์ที่พัก ปล่อยให้ยิ่งยงและสาโรจน์พูดจากับสาวสวยที่เขามองดูอยู่อย่างมีความหมายต่อไป แยกออกมาเพื่อเปิดโอกาสในการสนทนา เรื่องที่อาจจะไม่อยากให้ใครรู้เห็น

“ฟ้ามุ่ย วันนี้เธอสวยมากรู้รึเปล่าจ๊ะ ?” พินันทน์เอ่ยปากเบาๆ เมื่ออยู่เพียงสองต่อสองกับหล่อน

“ชุดคนเมืองของฟ้ามุ่ยขับผิวขาวมองดูสวยเหลือเกิน”

“เครื่องแต่งตัวพื้นบ้านของเมืองเหนือก็ยังงี้แหละค่ะ”

“เหมาะสมกับฟ้ามุ่ยจริงๆ แล้วก็งามบอกไม่ถูกเอาไปแต่งกับผู้หญิงอื่นอาจจะไม่งามเท่ากับฟ้ามุ่ย”

“ไม่จริงหรอก ผู้หญิงชาวกรุงก็งามถมเถไป เอาไปแต่งก็งามเหมือนกัน หรืออาจจะยิ่งงามกว่าอีก”

เด็กสาวมองดูหน้าชายหนุ่มและเปิดรอยยิ้ม “ไม่ใช่ฟ้ามุ่ยจะงามอยู่คนเดียวเมื่อไหร่”

ชายหนุ่มเอื้อมมือมาจับข้อมือของหล่อน ฟ้ามุ่ยดึงมือของตัวเองกลับช้าๆ แต่ไม่สำเร็จ ชายหนุ่มไม่ยอมปล่อยแถมจับมืออีกข้างหนึ่งเอาไว้ เลยเผชิญหน้ากันอยู่

“ฟ้ามุ่ย ฉันอยากจะบอกอะไรเธอสักคำ ได้หรือเปล่า ?”

“นายช่างมีอะไรหรือ ?”

“ความในใจ อยากพูดด้วย จะให้พูดหรือ ?” พินันทน์กระซิบ

“ก็พูดไปซีคะ ใครจะห้ามคุณพินันทน์ได้”

“พูดได้เลยนะ ที่ตรงนี้เหมาะสมที่จะพูด เพราะไม่ต้องการให้ใครได้ยินหรือรู้เห็น”

“ค่ะ มีอะไรก็พูด”

“รัก ฟ้ามุ่ย”

สีเลือดบนใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาอย่างรวดเร็วเป็นเลือดฝากที่เป็นสีชมพูอ่อน มองดูแล้วน่ารักยิ่งนัก นี่แหละเลือดสาวโดยแท้ไม่ตอบอะไรเขา ดวงตาของชายหนุ่มเพ่งมองเข้าไปในดวงตากลมดำขลับ สดใสของเด็กสาวผู้เกิดมา เป็นคนงาม พินันทน์เอ่ยออกมาอีกแผ่วเบา

“ฟ้ามุ่ย ฉันรักเธอมาก รัก รัก ”

ไม่มีเสียงตอบมาจากริมฝีปากบางเบา สายตาของเด็กสาวมองต่ำลง ไม่ยอมมองหน้าชายหนุ่มอีก

“ถ้าฟ้ามุ่ยไม่ตอบว่ารักฉัน ฉันก็จะเข้าใจว่าฟ้ามุ่ยก็รักฉันเหมือนกัน”

ไม่ตอบเขาอีก พินันทน์นายช่างใหญ่จึงออดอ้อนต่อ

“ขอให้รู้มั่งซีว่า ฟ้ามุ่ยคิดยังไง คนดี พูดออกมาบ้าง พูดให้ดีใจไม่ได้หรือ ?”

ไม่ตอบเขาเช่นเคย แต่ในใจของหล่อนนั้นกำลังสับสนหัวใจเต้นแรงผิดปกติ เพราะเกิดมายังไม่เคยมีใครมาบอกว่ารักใคร่เช่นนี้มาก่อนนั่นเอง

พินันทน์ดึงข้อมือของเด็กสาวเข้ามาหาตัวเองทั้งสองข้างทันที ร่างของฟ้ามุ่ยเข้ามาปะทะร่างของเขา ชายหนุ่มโอบ กอดรัดเอาไว้แนบแน่น

“คุณพินันทน์ อุ๊ย”

“ฟ้ามุ่ยของฉัน”

ผละออกเล็กน้อย ชายหนุ่มไม่ยอมปล่อย ยิ่งกอดรัดแน่นมากขึ้นอีก ร่างของสาวงามแนบสนิทกับเขาด้วยความอบอุ่น เด็กสาวซบหน้ากับทรวงอกของชายหนุ่มช้าๆ หัวใจของหล่อนเต้นระทึกจนชายหนุ่มสังเกตได้ทันที

มองดูหน้านายช่างที่หล่อนเองก็มีใจกับเขา ดวงตานั้นหวานซึ้ง ชายหนุ่มไม่รอช้าอะไรอีกต่อไป ก้มลงจูบริมฝีปากจิ้มลิ้มพริ้มเพราของเด็กสาวอย่างดูดดื่ม

ตอนนี้เอง ฟ้ามุ่ยก็สั่นสะท้านไปทั่วสรรพางค์กายเสียแล้ว มือไม้อ่อนปวกเปียกไปหมด เพราะแรงจูบของเขา เกิดมาก็เพิ่งสัมผัสรสจุมพิตที่แสนหวานคราวนี้ เป็นรอยจารึกที่หล่อนตื่นเต้นอย่างยิ่ง

นานเท่านานที่สองร่างสองเพศต่างกอดรัดกันอยู่แนบแน่นราวกับจะเป็นเนื้อเดียวกัน นานเท่านานที่การประทับรอยจุมพิตมีอยู่อย่างไม่ยอมจากกันง่ายๆ รสรักหวานชื่นเต็มไปด้วยความสุขที่เหลือล้นยากจะพรรณนา

“คุณพินันทน์” เสียงของเด็กสาวเครือครางเกือบไม่ได้ยิน เมื่อเขาถอนริมฝีปากออกมาเล็กน้อย

“ฟ้ามุ่ย”

ชายหนุ่มฝังรอยประทับลงไปอีกที่ริมฝีปากของเด็กสาว มิรู้เบื่อความรักเกิดขึ้นมาเนิ่นนานพอสมควรแล้ว เพิ่งแสดงออกถึงแก่นแท้ของความพิศวาสในเวลานี้เอง เป็นความรักที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อพินันทน์มาพบกับฟ้ามุ่ย สวรรค์ดลบันดาลหรือไฉน ? ฟ้าดินต้องการให้เกิดขึ้นในเวลานี้ พฤติกรรมเช่นนี้จึงหลีกเลี่ยงไปไหนไม่พ้น

หลังจากนั้นเอง พินันทน์ก็ไปมาหาสู่ระหว่างผู้ใหญ่บุญทันไม่เว้นแต่ละวัน ซึ่งนั่นก็หมายความว่า เขาต้องการไปพบฟ้ามุ่ยนั่นเอง ซึ่งเรื่องนี้ผู้ใหญ่บุญทันก็ไม่ได้ขัดข้องอันใด

ยิ่งยงเองก็ขลุกอยู่กับสาวเดือน สาโรจน์ก็กุ๊กกิ๊กอยู่กับสาวที่ชื่อดาว มองดูแล้วสามหนุ่มกับสามสาวจับคู่กันได้อย่างเหมาะสม เป็นความสัมพันธ์กันในเชิงชู้สาวที่เต็มไปด้วยความสุข

“อะไรกัน ยังไม่ได้พูดซักกะหน่อยเดียว เอาอะไรมาตู่ดาว ?”

“อ้าว ก็ดาวมีท่าทาง พี่ก็รู้แล้วว่าดาวเองก็รักพี่มาก”

“พูดเองเออเองน่ะซี” เด็กสาวค้อนให้อีกปะหลับปะเหลือก

“แต่ถามจริงๆ นะดาวจ๋า ดาวรักพี่ใช่หรือเปล่า ?”

“ตอนนี้ก็ยังงั้นๆ ต้องรอดูกันไปก่อน สร้างทางนี้เสร็จอาจจะให้คำตอบก็ได้”


(มีต่อ 6)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
amai
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 24 พ.ค. 2004
ตอบ: 435

ตอบตอบเมื่อ: 05 ก.พ.2005, 4:41 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

“ทางเสร็จอีกหลายปีนะ สองปีได้”

“สองปีก็ต้องสอง วันนั้นจะต้องให้รู้”

“นานตายโหง รอคอยจนเหงือกแห้งน่ะซี่ โธ่ ไม่สงสารมั่งเหรอจ๊ะ ?”

“ไม่หรอก ต้องลองใจกันก่อน หากจริงใจก็ต้องรอได้ หากไม่จริงใจก็จบกันไป เท่านั้นเองชีวิตนี้” ดาวพูดอย่างคนใจถึง ตรงไปตรงมา

“แต่จำเอาไว้นะ พี่รักดาวมาก รักเสมอ พี่ก็จะบอกรักทุกวันที่เจอหน้าดาว บอกอย่างไม่เบื่อด้วย คอยรับฟังเอาเถอะ จนกว่าดาวจะพูดว่าดาวเองก็รักสาโรจน์”

“คงขำดี”

“ขำยังไง ?”

“ก็เพ้อเจ้อไปทุกวันน่ะซีคะ ใครเขาได้ยินคงจะหาว่าเป็นโรคเอ๋อ”

“โรคเอ๋อ หมายความว่าอะไรกัน ?” นายช่างสาโรจน์งง

“โรคเอ๋อเกิดขึ้นทางเมืองเหนือนี่แหละ ปัญญาอ่อนไปหมด เพราะ ถูกสารพิษจากสายแร่ทำเอา เช่นไปดื่มน้ำที่มีแร่แมงกานีสผสมอยู่ เกิดเป็นโรคแพ้สารแมงกานีสขึ้น ป้ำๆ เป๋อๆ ปัญญาอ่อน นายช่างระวังเอาไว้ด้วย”

“ไม่เลย พี่ดื่มน้ำบริสุทธิ์เอามาจากในเมืองเท่านั้น น้ำห้วยลำธารไม่เอาไปดื่มส่งเดช จึงไม่เป็นโรคเอ๋อไปได้หากจะเป็นคงจะเป็นโรค เอ้อ”

“โรคอะไรคะ ?”

“โรครักดาวคนนี้ยังไงจ๊ะ”

“ดาวไม่ใช่โรคนะ ดาวก็คือดาวดาวหนึ่งของเชียงดาวเท่านั้นเอง”

“จะเป็นอะไรก็ช่าง พี่รักดาวก็แล้วกัน ห้ามดาวไปรักผู้ชายอื่น จะต้องรักพี่สาโรจน์คนเดียวในชาตินี้”

มาเที่ยวที่แค้มป์นายช่างสร้างทางได้สักพักใหญ่ สามสาวก็กลับบ้านโดยมีพินันทน์ขับรถจิ๊ปเล็กมาส่งพร้อมด้วยอีกสองหนุ่มผู้ช่วยของเขาคือสาโรจน์และยิ่งยงผู้ใหญ่บุญทันรีบต้อนรับสามหนุ่มอีกอย่างเคย

“อ้าว แผล็บเดียวกลับมาแล้วหรือ คุณพินันทน์ อ้อ นายช่างอีกสองคนก็มา ครับครับสวัสดี เชิญนั่งก่อน”

สามสาวเลี่ยงจะออกไปอีกทาง แต่ผู้ใหญ่บุญทันรีบห้ามเอาไว้ “เฮ้ย สาวๆ จะไปไหนล่ะ ?”

“กลับบ้านจ้ะลุงผู้ใหญ่” เสียงเดือนบอกมาพร้อมกับทุกคนหันมามองดูเป็นตาเดียว

“จะกลับยังไงกันเล่า อยู่ก่อน ช่วยลุงอีกซี่ จะด่วนไปไหน ?”

“ฟ้ามุ่ยจะไปอาบน้ำอาบท่าก่อน”

“เอายังงั้นก็ได้ รีบอาบน้ำแล้วรีบมาหาลุงนาโว้ย” แกตะโกนออกไป

“รู้แล้วว่าลุงจะให้พวกหนูทำอะไรอีก” ฟ้ามุ่ยนึกออกก็พูดกับแก

“เอ็งนี่ช่างสอดรู้ดีนัก เออ ลุงจะให้พวกเอ็งทำอะไรเล่า ว่าไปซี ?”

“ทำอาหารเลี้ยงนายช่าง แล้วก็คอยดูแลความสะดวก แล้วก็กินข้าวด้วยในมื้อเย็นที่จะถึง”

เสียงหัวเราะของผู้ใหญ่บุญทันดังลั่น พุงของแกกระเพื่อมทีเดียว

“ช่างรู้ใจลุงดีนัก ฟ้ามุ่ย เออ ยังงั้นไปอาบน้ำอาบท่าเสียก่อน เปลี่ยนเครื่องแต่ตัวชุดใหม่แล้วมาที่นี่ ด่วนนะเดี๋ยวยืดยาดไม่ทันเวลา”

สามสาวเดินจากไปแล้ว ผู้ใหญ่บุญทันก็หันมาสนทนาปราศรัยกับพินันทน์ ยิ่งยง และสาโรจน์ สามนายช่างสร้างทางสายใหม่ต่อด้วยความครึกครื้นเพราะแกเองชอบสนุกสนานเป็นนิสัย

“นี่เรื่องไอ้หมาลอบกัดแอบยิงปืนใส่นายช่างนะ ผมสืบดูหมดแล้ว สงสัยอยู่คนหนึ่งนะ ไปตรวจดูปืนของมันพบว่ามันเอาน้ำมันชโลมซะใหม่เอี่ยม เลยไม่รู้ว่ายิงมาหรือเปล่า ไม่ยังงั้นละก็จะเล่นงานมันให้หนัก”

“คนในหมู่บ้านนี้หรือครับ ผู้ใหญ่ ?” พินันทน์ถาม

“ก็ไอ้พวกหัวใสแถวนี้แหละ คุณพินันทน์อย่าไปรู้ตัวเลย จริงหรือไม่ ก็ยังไม่รู้ ผมไม่แน่ใจ จะปรักปรำก็ไม่เหมาะ แต่ได้ประชุมลูกบ้านไปแล้วกำชับว่าอย่าได้ สำแดงความป่าเถื่อนออกมาอีกเด็ดขาด อย่าไปทำเป็นไอ้เสือไอ้โจรอีก ใครที่ทำก็จงเลิกซะ อย่าให้เสียหายหมู่บ้านแล้วก็อย่าทำให้ผู้ใหญ่บุญทันบุญหมดซะก่อนด้วย”

“คนที่ทำอาจจะเข้าใจผิดอะไรสักอย่าง”

“โอ๊ย ไอ้พวกนี้อย่าพูดเลยครับคุณพินันทน์ ไม่เอาไหนทั้งนั้น มีแต่หมาเห่าใบตองแห้ง จับได้จะต้องตบกระโหลกซักฉาดแล้วเอาเข้าคุกไป”

มื้อเย็นมื้อนี้ปรากฏว่าพินันทน์นำเอาเหล้าฝรั่งมาจากแค้มป์ด้วย เป็นวิสกี้จากสก๊อตที่มีชื่อเสียงของโลกยี่ห้อหนึ่ง เอามาถึงสองขวดเพื่อเลี้ยงผู้ใหญ่บุญทันแทนน้ำตาลเมาที่มีอยู่ เป็นการเปลี่ยนรสชาติ ฟ้ามุ่ย เดือน และดาว ก็มาช่วยพ่อครัวมือดีชื่อเบี้ยวของผู้ใหญ่บุญทันตามเคย

อาหารการกินมีมากมายตามที่เคยทำกันมาหลายครั้งหลายหน อย่างไรก็ตาม ก็ไม่พ้นไก่บ้านสดๆ ที่เอามาย่างกับเกลือ พริกไทยกระเทียมอย่างหนึ่ง ไก่ต้มข่าอ่อนใส่กะทิอีกอย่างหนึ่งซดคล่องคอดีมาก ปลาไหลผัดเผ็ดใส่พริกขี้หนู ใบกะเพรารสจัดแกล้มได้อย่างวิเศษ หอยขมยำรส จัดจ้านเพราะต้มแกะแล้วเอามาปรุงด้วยน้ำยา ผักสดๆ จากลำห้วยและลำธารขึ้นเอง บางทีก็เรียกชื่อไม่ถูกมาก่อน เมื่อเอ่ยปากถามก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

“เรียกผักติ้วหรือฟ้ามุ่ย ?” พินันทน์ถามเด็กสาวที่นั่งเคียงข้าง หล่อนก็รับประทานอาหารมื้อนี้ด้วย เพียงแต่ไม่ดื่มเท่านั้น

“ไม่เคยทานหรือคะ นายช่าง ?”

“ไม่เคย เพิ่งรู้นี่แหละ แต่ก็อร่อยเหมือนกันนะ กินกับยำหอยขมแล้วก็ผัดเผ็ดปลาไหล อร่อย”

ค่ำลงไม่มากนัก สามหนุ่มก็ลากลับ พินันทน์ขับรถจิ๊ปเล็กมา ยิ่งยง กับสาโรจน์นั่งมาตอนหน้ากันทั้งหมดคราวนี้ไม่มีเสียงปืนเกิดขึ้นอีกเลย พินันทน์นั้นก่อนจะเลี้ยวเข้าแค้มป์ยิ่งยงก็พูดออกมาว่า

“เฮีย เดี๋ยวก่อนครับ”

นายช่างพินันทน์ เบรกจิ๊ปเล็กทันที หันมาถาม “ว่าไง ?”

“เอายังงี้มั้ยเฮีย ผมอยากเข้าไปในเมืองสักหน่อย แฮ่ะ แฮ่ะ ว่าจะไปกับสาโรจน์ เฮียพักผ่อนก่อนก็ได้ หรือว่าเฮียจะไปด้วยกันก็ดี เอายังไง ?”

“ไปทำไม เหล้าก็ดื่มแล้ว อาหารก็เพียบแล้ว จะไปดื่มต่อเหรอ พวกเรา ?”

“หลายวันชีวิตนี้เซ็งมาก อยู่แต่ในดงในดอน แฮ่ะ แฮ่ะ มันกลุ้มใจอยู่เสมอครับ ใช่มั้ยยิ่งยง ?”

สาโรจน์เอ่ยออกมา “ฉันพอรู้โว้ย พวกนายนี้คงจะกลัดมันใช่มั้ย ?”

ไม่ตอบลูกพี่ ยิ่งยงกับสาโรจน์ยิ้มๆ “เฮียอยากพักผ่อนนอนฝันถึงฟ้ามุ่ยก็เอาเถอะ”

“ไม่ใช่ เรามาทำงานด้วยกัน เอายังไงก็เอากัน แต่ว่าจะต้องระมัดระวังตัวกันหน่อยนะ เรื่องแบบนี้ เอาไป”

ที่เชียงดาว...ในตัวเมืองก็พลุกพล่านไปด้วยผู้คนพอสมควร แต่ในยามนี้ผู้คนก็หลับนอนกันหมดแล้ว จึงมองดูเป็นความเงียบสงัด พินันทน์เลี้ยวรถจิ๊ปเล็กเข้ามายังบ้านหลังหนึ่งที่เคยรู้จัก เพราะเคยมากันแล้วในตอนแรกๆ ที่มาสำรวจทางสร้างถนนเส้นนี้ มีผู้ที่อยู่เชียงใหม่เป็นผู้นำพามาเที่ยวไม่เปิดเผยอะไร ถ้าไม่รู้ก็ยากที่จะเข้าใจว่าสถานที่แห่งนี้คือบ้านเช่าหลังใหญ่โตหลังหนึ่ง เป็นเรือนโบราณสร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง

ด้านหน้ามีร้านขายอาหารอยู่ร้านหนึ่ง ปิดดึกพอสมควร แต่ถ้ามีคนกินก็จะเปิดอยู่ได้ตามใจคนกินเสมอ พินันทน์ขอตัวอยู่ที่ร้านอาหารแห่งนี้ เอาเหล้าที่เหลือลงมาดวดต่อบางๆ ปล่อยให้ยิ่งยงกับสาโรจน์ไปที่เรือนไม้หลังใหญ่ที่พวกเขาเคยมาเที่ยวกันเสมอ

พอนั่งคนเดียวเงียบๆ ชายหนุ่มก็คิดถึงฟ้ามุ่ยขึ้นมา เด็กสาวผู้มีความน่ารักที่ตนเองกอดจูบและทำความเข้ากันดีแล้วว่าอะไรคืออะไร ความรักที่มีอยู่ เด็กสาวมิได้รังเกียจเขาเลยแม้แต่น้อย น่ารัก น่าสงสารมากสำหรับฟ้ามุ่ย พินันทน์คิดไปไกลทีเดียว เขาไม่เคยมีคนรักมาก่อน

ดังนั้นจึงต้องคิดความสวยของฟ้ามุ่ยนั้นมีมากมายนัก ทั้งใบหน้าผิวพรรณ รูปร่างและทุกๆ สิ่งที่มีอยู่ของเด็กสาวผู้นี้ ไม่มีอะไรที่น่าตำหนิตรงไหน ซื่อ บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไร้รอยราคีคาวทั้งปวง ไม่มีแมลงภู่ผึ้งตัวไหนมาไต่ตอมแม้แต่ตัวเดียว มีก็เพียงนายช่างใหญ่พินันทน์คนนี้กระมังที่กำลังคืบคลานเข้าไปทำให้หล่อนแปดเปื้อนริ้วรอยแห่งความชอกช้ำ ทำลายความสดสาวอันแสนสวยลง ดื่มวิสกี้ผสมโซดาและน้ำแข็งก้อนที่เจือจาง และมีความเยือกเย็นไปเรื่อยๆ ร้านอาหารทั้งร้านมีคนดื่มกินอยู่สี่โต๊ะเท่านั้น จึงเงียบสงบพอประมาณ

ฟ้ามุ่ยอยู่ในสายตา อยู่ในห้วงแห่งความคิดของเขาเสมอ พินันทน์ไปมาหาสู่ผู้ใหญ่บุญทันแล้วก็แวะเวียนอยู่กับฟ้ามุ่ยอีกนานเป็นเดือนๆ ยิ่งยงกับสาโรจน์ก็เช่นเดียวกัน ความใกล้ชิดสนิทสนมนั้นพอกพูนยิ่งขึ้น ความรักสุกงอมและเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง มากมายเหลือที่จะพรรณนาออกมาได้เป็นตัวอักษร

นายช่างใหญ่ของเราเคยพอเด็กสาวมาที่แค้มป์ของเขาอีกหลายต่อหลายครั้ง จนกระทั่งมีอยู่ครั้งหนึ่ง บ่ายของวันอาทิตย์วันนั้นเอง คนงานหยุดงาน ยิ่งยงกับสาโรจน์เข้าไปในจังหวัดเชียงใหม่ แต่พินันทน์เองอยู่ที่แค้มป์กับฟ้ามุ่ย รอคอยที่จะเอารถจิ๊ปเล็กมารับ กลับบ้านตอนเย็น

เด็กสาวเอาอกเอาใจเขามาก จัดหาเครื่องดื่มมาให้เขาดื่มแล้วก็เอาของว่างมาให้พินันทน์รับประทาน และตัวเองก็มานั่งอยู่ด้วยกัน

“ฟ้ามุ่ย ไปกรุงเทพฯ กับฉันมั้ย ?”

“คุณพินันทน์จะไปเมื่อไหร่คะ ?”

“วันพฤหัสที่จะถึงนี้เอง ไปธุระสองสามวันก็กลับมาอีก”

“ไปไม่ได้หรอก พ่อแม่คงจะไม่ให้ไป” เด็กสาวพูดออกมาตามความจริง

“เหรอ ใช่...ถ้าไปก็คงเป็นห่วง แต่ว่าฉันไปแล้วคงจะต้องรีบกลับมา บางทีก็อาจจะไม่ถึงสามวัน”

“ทำงานให้เสร็จก่อนซีคะ รีบมาทำไม ?”


(มีต่อ 7)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
amai
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 24 พ.ค. 2004
ตอบ: 435

ตอบตอบเมื่อ: 05 ก.พ.2005, 4:50 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

“ฉันเป็นห่วง เอ้อ ฟ้ามุ่ย พี่เป็นห่วงฟ้ามุ่ย คิดถึงฟ้ามุ่ย” เขาเปลี่ยนสรรพนามจากฉันมาเป็นพี่เอาดื้อๆ “คิดถึงมาก”

เด็กสาวดูเขาแล้วยิ้มอ่อนหวานน่ารักจริงๆ “ฟ้ามุ่ยใจคอไม่ดีนักหมู่นี้ ไม่รู้เป็นยังไง บางทีก็คิดว่าตนเองกำลังทำอะไรที่ผิด ที่มารู้จักกับนายช่าง เอ้อ คุณพินันทน์”

“ผิดตรงไหน ไม่มีอะไรผิดเลย เรารักกันนะฟ้ามุ่ย พี่รักฟ้ามุ่ยจริงๆ”

“น้ำส้มหมดแล้ว เดี๋ยวนะคะ จะเอามาเพิ่มอีก”

เด็กสาวเดินไปที่แค้มป์ซึ่งกางอยู่ มีช่องทางเข้าออก ขวดน้ำส้มในลังอยู่ข้างใน กะว่าจะเอาออกมาพร้อมทั้งกระติดน้ำแข็งอีกด้วย พอดีน้ำส้มหมดลัง แต่อีกลังหนึ่งยังไม่ได้เปิด ฟ้ามุ่ยจึงง่วนอยู่กับการเปิดลังออก เพื่อจะเอาขวดน้ำส้มออกมาเปิดฝา

หล่อนหยิบขวดน้ำส้ม แต่ต้องชะงักกับที่ มือของผู้ชายข้างหนึ่งมาจับขวดน้ำส้มนั้นเอาไว้เด็กสาวปล่อยออกทันทีพินันทน์นั่นเอง เขามาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ คงจะ เดินตามหลังหล่อนเข้ามาแน่ๆ

“คุณพินันทน์”

“ฟ้ามุ่ยของพี่ ฟ้า”

นายช่างพินันทน์สวมกอดเด็กสาวเอาไว้ ฟ้ามุ่ยไม่ทันคิดว่าเขาจะรวบรัดหล่อนอย่างรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ติด กระอักกระอ่วน อยู่ ผลักไสเขาออกแต่ก็ไม่ยอม

“ฟ้าจ๋า ฟ้าของพี่ ฟ้ามุ่ย ที่รัก”

แรงกอดของชายหนุ่มนั้นกำยำด้วยวงแขนที่โอบด้านหลัง ร่างของเด็กสาวแนบแน่นมาปะทะกับร่างของชายหนุ่มราวกับจะเป็นเนื้อเดียวกันอีกแล้ว เด็กสาวสะท้านในหัวใจ

พินันทน์เชยคางฟ้ามุ่ยขึ้นมาช้าๆ ดวงตาของเด็กสาวมองเขาอย่างซาบซึ้งแววตานั้นแสนซื่อ ดำขลับและสดใสเป็นประกายฉายแสงออก ชายหนุ่มก้มลงไปช้าๆ แล้วรีบประกบริมฝีปากของเขาลงไปที่ริมฝีปากบางเบานั้นอย่างรวดเร็ว ดื่มด่ำประทับรอยแห่งความรักความพิศวาสลงไป

ณ ที่แห่งนี้ เนิ่นนานและแสนนาน เด็กสาวอ่อนระทวยไปแล้ว ความรู้สึกของหล่อนลอยละล่องไปแสนไกล เคลิบเคลิ้มเหมือนคนที่ไร้วิญญาณ

“คุณพินันทน์ คุณ”

พละกำลังของผู้ชายคนนี้มีมากเพียงพอ เขาช้อนท่อนขาพับและต้นคอของฟ้ามุ่ยเอาไว้ ยกร่างเด็กสาวขึ้นมาในอ้อมแขนแล้ว ระดมจูบลงไปที่ซอกคอ พวงแก้มแล้วริมฝีปากอีก จนฟ้ามุ่ยใจเต้นระทึก สะท้านไปทั้งหัวอกหัวใจ หล่อนเผลอตัวโอบกอดเขาด้วย

พาร่างของสาวงามที่แสนน่าพิศวาสไปที่เตียงนอนของตนเอง ซึ่งเป็นเตียงเหล็กผ้าใบพับได้อีกด้านหนึ่ง ที่นอนของเขาอยู่ที่ตรงนี้ วางร่างของหล่อนลงไปช้าๆ ใบหน้าของเขาซบลงไปแล้วที่ทรวงอก เด็กสาวบนร่องอกและผิวพรรณผุดผ่อง ฟ้ามุ่ยระริกไปทั้งเนื้อตัว หล่อนตื่นเต้นที่สุดในชีวิต

พินันทน์สวมกอดร่างของเด็กสาวแน่น ทำทุกอย่างที่เขาต้องการจะทำตามหัวใจตัวเอง ยิ่งรักมากชายหนุ่มก็ยิ่งปฏิบัติตามที่เขาประสงค์ ร่างเด็กสาวอยู่ในสายตาของเขาและได้รับกลิ่นกายของสาวเจ้าที่มีอยู่โดยธรรมชาติกรุ่นโชยตลอดเวลา

ไม่ใช่กลิ่นน้ำหอมราคาแพงจากฝรั่งเศส ไม่ใช่กลิ่นหอมของน้ำปรุงทุกชนิดจากสารทิศใดของโลกนี้ทั้งนั้น แต่กลิ่นนี้คือกลิ่นกายสาวเจ้าอันเป็นธรรมชาติจริงๆ

ไม่มีอะไรเสมอเหมือน ไม่มีอะไรจะดื่มด่ำประทับใจเท่าอีกแล้ว ฟ้ามุ่ยเพิ่งพบเห็นและมีความรู้สึกพิเศษที่ยากจะเข้าใจเป็นครั้งแรก นี่หรือความรัก นี่หรือสิ่งที่ผู้คนเขาต้องการเสาะแสวงหากันนักหนา สดชื่นระรื่นหัวใจยิ่งนัก

“ฟ้ามุ่ยของพี่ พี่ ของพี่”

เสียงเด็กสาวเอ่ยอะไรออกมาอย่างหนึ่งฟังไม่ถนัดนัก ยากที่จะเข้าใจ หล่อน เป็นความสุขที่เกิดขึ้นอย่างแนบแน่นผะผ่าวของไออุ่นที่ผสมผสานต่อกันสั่นสะท้านในห้วงอารมณ์ถวิล สวรรค์โปรดเถิด สวรรค์ช่างบันดาลสิ่งที่ประทับใจมาให้มากมายเหลือเกินแล้ว ขอบคุณสวรรค์

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ เสียงนกร้องกระจู๋กระจี๋กันบนต้นไม้ข้างนอก บ่งบอกถึงความสุขของสองเพศที่คลอคู่มาด้วยกัน หลังจากนั้นต่อมา เวลาผ่านไปอีกเรื่อยๆ ฟ้ามุ่ยก็มาหาพินันทน์นายช่างหนุ่มโสดเสมอที่แค้มป์ แน่นอนที่สุด ทั้งสองครองรักและได้รับรสแห่งรักซึ่งกันและกันเสมอ รักกันอย่างแนบแน่น รักนั้นมากมายสุดที่จะพูดออกมาได้นอกจากพฤติกรรมที่บุคคลทั้งสองมีต่อกัน พินันทน์เองก็จะต้องขับรถจิ๊ปเล็กมารับมาส่ง

จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่ง นายช่างใหญ่พินันทน์ก็อยู่ด้วยกันอีกสองต่อสองในวันหนึ่ง

“พี่จะต้องเข้ากรุงเทพฯ อีกแล้ว”

“นายช่าง เอ้อ นายช่างจะไปกี่วันคะ ?” ดูเหมือนเด็กสาวไม่อยากให้เขาจากไปเท่าไรนัก

“ไปวันไหนแล้วก็จะกลับเมื่อไหร่?”

“อาจจะครึ่งเดือนก็ได้”

“อะไรกัน ตั้งครึ่งเดือนเชียว ?” ฟ้ามุ่ยแสดงอาการตกใจ

“มันจำเป็น แล้วก็เอ้อ พี่อาจจะต้องปฏิบัติหน้าที่ด้านอื่นอีกด้วย”

“หมายถึงอะไรกันคะ ?”

“ทางผู้ใหญ่ต้องการให้ไปคุมงานใหม่อีกทางหนึ่ง พี่เบื่อ ไม่อยากไปเลย พี่คิดถึงฟ้ามุ่ยมาก บางทีอาจจะลาออก”

“อะไรกัน ลาออก ?” เด็กสาวสงสัย

“ลาออกแล้วจะได้เงินเดือนยังไง ?”

“เฮ้อ กลุ้มมาก พี่กลุ้ม ฟ้ามุ่ย” กอดเด็กสาวเอาไว้อีกในอ้อมแขน หอมแก้มหล่อนเบาๆ

“แต่พี่จะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด”

ฟ้ามุ่ยเงียบเสียงไป หล่อนกำลังคิดมากไม่น้อยไปกว่าพินันทน์เช่นกัน จากไปครึ่งเดือน แล้วไปทำงานที่อื่นอีก เมื่อเป็นเช่นนี้จะมาหาหล่อนได้อย่างไร คงจะยากลำบาก คงจะไม่สะดวก ทำไมจึงเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น ?

โอบร่างเด็กสาวเอาไว้แน่นเข้ามาอีก ปลอบขวัญปลอบใจเอาไว้ด้วยการจูบที่พวงแก้มอีกสองครั้ง โน้มคอมาซบที่ทรวงอกของตัวเอง


(มีต่อ 8)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
amai
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 24 พ.ค. 2004
ตอบ: 435

ตอบตอบเมื่อ: 05 ก.พ.2005, 4:57 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

“ฟ้ามุ่ยของพี่”

เสียงสะอื้นของเด็กสาวเกิดขึ้น เป็นความเศร้าที่มีอยู่ และมองเห็นว่าเรื่องราวที่มีปัญหาอุปสรรคกำลังจะปรากฏขึ้นมาแล้วในชีวิตของตัวเอง ผู้ชายที่มอบกายถวายชีวิตให้เขาจำเป็นจะต้องจากไปแล้ว จากไปแบบไม่มีหลักประกันเลยอีกด้วย

“อย่าร้องไห้ ที่รัก พี่รับรองว่าจะกลับมาหาฟ้ามุ่ยโดยเร็ว ไม่มีทางที่อะไรจะมาพรากเราสองคนไปได้หรอก”

“พี่” เสียงสะอื้นจากเมียรัก และเป็นเมียลับของพินันทน์นายช่างใหญ่พร่ำรำพันออกมาอีกเบาๆ

ในที่สุด เขาก็จากไปแล้ว กลับกรุงเทพฯ ไปด้วยสายการบินเดินอากาศไทยเพราะภารกิจที่มีอยู่นั่นเอง เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ครึ่งเดือนแล้ว พินันทน์ก็ยังไม่กลับมาจากกรุงเทพฯ อย่างที่เขาพูดเอาไว้

เวลาผ่านไปอีกเป็นหนึ่งเดือนกว่า นายช่างใหญ่พินันทน์ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะกรายร่างมาให้เห็น ฟ้ามุ่ยอดรนทนไม่ได้ ก็รีบเดินทางมาที่แค้มป์การก่อสร้างทางสายใหม่ ณ ที่นั้น เด็กสาวถึงกับนิ่งงั้นไปเพราะมีนายช่างคนใหม่มาแทนนายช่างใหญ่พินันทน์อีกคนหนึ่ง

“ชื่อพิศาล เป็นนายช่างใหญ่คนใหม่ที่มาแทนเฮียพินันทน์” ยิ่งยงผู้ช่วยนายช่างบอก

“ทำไม ทำไมนายช่างใหญ่ถึงไม่มาที่นี่เลยล่ะคะ ?” เสียงนั้นสั่นสะท้านบอกไม่ถูก

“ทำไมไม่มาตามที่บอกฟ้ามุ่ย ?”

“เอ้อ คือยังงี้ ฟ้ามุ่ย เฮียพินันทน์ตอนนี้ก็ไม่อยู่ที่กรุงเทพฯ” สาโรจน์พูดบอกให้ฟ้ามุ่ยรับรู้อีกคนหนึ่ง

“เขาไปไหนคะ นายช่าง ?”

“ข่าวว่าเดินทางไปต่างประเทศ ไปดูงานหรือไปทำอะไรก็ไม่รู้ กลับมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้เหมือนกัน”

ฟ้ามุ่ยสะอื้นเบาๆ หล่อนกลับไปด้วยความเศร้าสร้อย

“น่าสงสารว่ะ” เสียงยิ่งยงเอ่ยขึ้น

“แต่ไม่รู้จะพูดยังไงดี เพราะเฮียมาไม่ได้จริงๆ”

“กว่าจะกลับมาก็หลายปีละมั้ง ?”

“ไม่รู้ ขาดการติดต่อ เฮียเขาไปอยู่ทางอื่น ทำยังไงได้เล่า”

“ความจริงเฮียแกน่าจะติดต่อมาที่ฟ้ามุ่ยบ้าง” ยิ่งยงออกความเห็น

“ใช่ แต่เงียบหายเลย เฮ้อ เรื่องเศร้าว่ะ เรื่องยังงี้”

ยิ่งยงกับสาโรจน์มาที่หมู่บ้านอีก ผู้ใหญ่บุญทันเองก็เศร้าสร้อย ไปด้วย เดี๋ยวนี้แกเองก็ไม่เอะอะเฮฮาเหมือน เมื่อก่อนแล้ว คิดมากและก็คิดแต่เรื่องที่เกิดขึ้นเรื่องนี้เสมอ

“ได้ข่าวนายช่างใหญ่บ้างมั้ย คุณสาโรจน์ ?”

สาโรจน์ส่ายหน้า ยิ่งยงจึงตอบแก

“ขนาดพวกเราสองคนสนิทกันแท้ๆ เฮียแกยังไม่ติดต่อมาเลยครับ มืดแปดด้านไปหมดแล้ว ตั้งแต่เฮียจากพวกเราไป พวกเราก็ ไม่สนุกเหมือนเมื่อก่อนใครมาแทนก็ไม่เหมือนเฮียพินันทน์”

“ทำไมเล่า ?”

“คนเราไม่เหมือนกันน่ะซีลุงผู้ใหญ่ บางคนก็เคร่งเครียดเอาแต่งานลูกเดียว กระดิกไปไหนก็ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้ ไม่ชอบ แต่บางคนก็ดี เหมือนพี่เหมือนน้อง คิดดูเถอะลุงผู้ใหญ่”

“จริงนะ ของพรรค์นี้ คนเราแตกต่างกันอยู่แล้ว”

“เห็นจะต้องลาลุงผู้ใหญ่ก่อน เดี๋ยวทางโน้นเล่นงานเอาอีก ไปล่ะครับ”

ลุงผู้ใหญ่ของพวกเขายกมือรับไหว้ด้วยความเงื่องหงอย สีหน้าไม่เสบย สายตาของเหม่อมองไปที่ยอดไม้สูงที่ตัดกับ ยอดดอยอินทนนท์ สงสารฟ้ามุ่ยหลานสุดที่รักของแกมาก สงสารความอาภัพของผู้หญิงคนนี้ จนทำให้น้ำตาแกไหลออกมาอีกเมื่อคิดและอยู่คนเดียว ทำไมนายช่างใหญ่จึงใจดำ ใจร้ายเช่นนี้ก็ไม่รู้ แกครุ่นคิดอยู่ในใจ

ห้าปีผ่านไปแล้ว เวลาช่างรวดเร็วเหลือเกิน เมื่อกาลเวลาล่วงเลยไปเช่นนี้ อะไรๆ ก็เปลี่ยนแปลงไปหาน้อยไม่ โดยเฉพาะที่เชียงดาว ถนนสายใหม่เสร็จเรียบร้อยดี สามารถเดินทางติดต่อไปไหนมาไหนได้สะดวก ป่าดงที่รกชัฏก็มีถนนตัดผ่านแล้ว เส้นทางใหม่ราบเรียบ

หมู่บ้านริมถนนเจริญขึ้นอย่างผิดหูผิดตา เพราะการคมนาคมสะดวกสบายกว่าแต่ก่อนนั่นเอง มีรถตู้คันหนึ่งแล่นมาตามถนนสายใหม่ด้วยความเร็วพอประมาณ แล้วมาหยุดอยู่ที่ทางแยกแล้วรีรอๆ อยู่เหมือนกับจะมองดูว่ามาที่ตรงนี้แล้วใช่หรือไม่อย่างไร

คนขับรถเปิดประตูรถตู้ลงมาสอบถามชายกลางคนผู้หนึ่งที่เดินแบกไม้ฟืนอยู่ริมทาง พอชายผู้นั้นชี้เข้าไปตรงทางแยกก็พยักหน้า รถตู้คันนั้นแล่นเข้าไปตามถนนลูกรังเข้าหมู่บ้านมองดูแล้วน่าจะไม่คุ้นบรรยากาศแถวนี้เท่าไรนัก เพราะเลี้ยวผิดเลี้ยวถูกต้องถอยหลังกันอีก

รถตู้แล่นเข้าในหมู่บ้าน จอดลงในที่หนึ่งตรงหน้าบ้านที่ปลูกสร้างด้วยไม้สักทั้งหลังมีหลายคนพากันมองดูด้วยความแปลกใจ เพราะไม่เคยมีรถตู้แบบนี้แล่นเข้ามานั่นเอง

“เฮ้ย ใครมาวะ ออกไปดูซิ ?” เสียงบุรุษหนึ่งเอะอะขึ้นในบ้าน

“มีคนมาหาลุงผู้ใหญ่จ้ะ ออกมาข้างนอกหน่อยซิลุงผู้ใหญ่”

“ใครกันวะ ร้อยวันพันปีไม่เคยมีใครมารถแบบนี้” เสียงบ่นดังแล้วเจ้าของเสียงก็ออกมายืนพุงพลุ้ยอยู่ที่ชานเรือน มองออกมาด้วยการยอกมือป้องหน้าผาก

“ลุงผู้ใหญ่บุญทันใช่มั้ยครับ ?” เสียงโชเฟอร์รถตู้ร้องถามออกไปก่อน

“ฉันเอง ผู้ใหญ่บุญทัน มีธุระอะไร ?”

“ท่านอยากพบผู้ใหญ่”

“ใครเล่าพ่อคุณ ?” ผู้ใหญ่สงสัยเพราะไม่เห็นผู้คนในรถตู้ลงมาจากรถเลย

“มาจากไหน ?”

“ท่านเคยอยู่ที่นี่ ขอโทษนะเดี๋ยว” โชเฟอร์หันกลับไปที่รถตู้อีกครั้ง เปิดประตูข้างออก แล้วช่วยเหลือประคองใครคนหนึ่งลงมาด้วยความยากลำบาก

ผู้ใหญ่บุญทันมองมาด้วยความแปลกใจ แกเดินลงมาจากบ้านทันที บุรุษหนึ่งค่อยๆ ย่างก้าวลงมาจากรถตู้แล้ว เขาสวมกางเกงขายาว เสื้อซาฟารีสีขาวสีเดียวกับกางเกง มีไม้ค้ำยันด้วย สวมแว่นตาดำ เขาลงมายืนบนพื้นดินมองมาที่ผู้ใหญ่บุญทันเขม็ง

ผู้ใหญ่บ้านคนดังนามบุญทัน เพ่งมองบุรุษผู้นี้ด้วยความสนใจยิ่ง ขยี้ตาตัวเองก็จำไม่ได้ เพราะไม่รู้จักร่างของบุรุษแปลกหน้าเด่นชัด ขยับไม้ค้ำยันให้ถนัดกระชับที่ซอกแขนตรงรักแร้ แล้วค่อยๆ ถอดแว่นสีดำออก ส่งรอยยิ้มมาที่ผู้ใหญ่บุญทันเล็กน้อย

“สวัสดีครับ ลุงผู้ใหญ่”

“หา นั่นคุณ คุณพินันทน์ นายช่างพินันทน์นี่ ?” แกตะโกนออกมาดังๆ รีบเดินเข้ามาหา จับไม้จับมือ

“โอ คุณจริงๆ ไปยังไงมายังไงกันนี่ เฮ้ย ไอ้พวกนั้น เอ็งไปบอกฟ้ามุ่ยเร็วเข้า เร็วซีเว้ย”

ไม่นานนัก ฟ้ามุ่ยก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าชายผู้เป็นสามีของหล่อน ความสดสวยนั้นร่วงโรยไปเล็กน้อย เพ่งมองดูพินันทน์อย่างไม่แน่ใจนัก

“พี่เอง พี่เป็นคนไม่ดีเลย ฟ้ามุ่ย” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นแผ่วเบา

“พี่ไปเมืองนอก แต่เกิดอุบัติเหตุอย่างช่วยไม่ได้ พี่ต้องนอนบนเตียงที่ต่างประเทศไปนานนับปีๆ กว่าจะพักฟื้นขนาดนี้ก็ห้าปีเศษ ต้องทำกายภาพบำบัดมากมาย พี่ไม่เคยติดต่อกับฟ้ามุ่ยสักครั้งเดียว พี่”

“โธ่เอ๊ย นายช่างใหญ่ คุณไม่ผิดหรอก ไม่ผิด”

ผู้ใหญ่บุญทันฟังแล้วน้ำตาคลอเช่นเดียวกับฟ้ามุ่ย

“คุณไม่ได้ผิดเลย เรื่องยังงั้นมันเป็นเคราะห์กรรมแท้ๆ”

“ดาว เดือน ไปไหน ?”

“แต่งงานไปแล้วกับนายช่างยิ่งยง นายช่างสาโรจน์ไปอยู่กรุงเทพฯ”

“ขอให้เจริญมีความสุข”

พินันทน์พูดเสียงแผ่วเบาขยับร่างมาที่ฟ้ามุ่ย เขาเดินได้แต่ไม่คล่องนัก จับมือของหล่อน

“พี่จะอยู่เชียงดาว พี่จะอยู่ที่นี่กับฟ้ามุ่ย พี่จะไม่ไปไหนอีกแล้ว พี่จะตายอยู่กับฟ้ามุ่ยที่นี่”

“ลูกของเราเกิดแล้ว เป็นผู้ชาย”

“ลูกเหรอ อยู่ไหน ?”

“ลูกนอนหลับ อยู่ที่บ้าน พี่พินันทน์อย่าเพิ่งพูดอะไรมากนัก แต่พี่คงลำบาก ลำบากกับฟ้ามุ่ยที่นี่”

“เปล่า พี่ทำงานได้ที่บ้าน ออกแบบก่อสร้าง ส่งงานไปไหนก็ได้ อีกอย่างหนึ่งพี่ได้เงินมาก้อนใหญ่จากเหตุที่เกิดขึ้น มากพอที่จะไม่ต้องทำงานอะไรเลยก็ได้ เรามีเงินเลี้ยงชีพได้ ทั้งเลี้ยงลูกของเราด้วย พี่จะส่งเสียแกให้มีความรู้มากกว่าพี่เสียอีก”

เด็กสาวยังไม่ร่วงโรยอะไรเลยก็ว่าได้ในขณะนี้ความสดใสเพิ่มพูนขึ้นมาทัน หล่อนสวมกอดร่างของสามีเอาไว้ต่อหน้าคนทุกคนในที่นั้น รอยยิ้มด้วยความสุขเกิดขึ้นทั้งคู่



----------- จบ -----------
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 05 ก.พ.2005, 10:06 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



132.gif


ขอขอบพระคุณ... คุณสมเกียรติ สกุลมนูชัย
creative_station@yahoo.com
สมาชิกลำดับที่ : 90 เป็นพิเศษ

สำหรับการเป็นผู้พิมพ์เนื้อหาทั้งหมดของเรื่อง "รักแท้สวรรค์สร้าง"
โดย พ. พันธวัฒน์..... ลงในเว็บธรรมจักร นะค่ะ

ขอให้การเสียสละตนเองเพื่อส่วนรวมและพระพุทธศาสนา นำมาซึ่งความ
เจริญรุ่งเรืองร่มเย็นในพระธรรมของพระพุทธองค์นะค่ะ คุณสมเกียรติ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
Angelina
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 05 ก.พ.2005, 11:53 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



7001.gif


Khun Amai คะ ขอบคุณค่ะ ยังอ่านไม่จบ แล้วจะเข้ามาต่อให้จบค่ะ ชอบจังเลย มีภาพประกอบด้วย ทำให้เพลินเลยค่ะ ไม่เบื่อง่ายในการอ่าน แล้วจะเข้ามาอ่านต่อค่ะ เพราะยาวมากๆ

ดีใจที่ได้พบเว็ปนี้ค่ะ ได้อ่านได้ความรู้เยอะเลยค่ะ
ข้าพเจ้าอยู่แคนาดาค่ะ ทำให้หายเหงาเลยค่ะ

ขอให้เพื่อนญาติธรรมหาอะไรที่มีประโยชน์มาให้อ่านอีกนะค๊ะ ชีวิตจะได้ไม่เหงาค่ะ ตอนนี้อยู่บ้านเพื่อนค่ะ เธอยังไม่รู้ว่า ข้าพเจ้าเข้ามาเว็ปนี้ค่ะ แล้วจะบอกเจ้าของบ้านอีกทีค่ะ
 
natti
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 27 ม.ค. 2006, 9:59 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สนุกดีค่ะ เปลี่ยนบรรยากาศ
 
^^o^^
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 08 พ.ค.2007, 10:45 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง