Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ภพหน้า อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
นิรทุกข์
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 30 พ.ย. 2004
ตอบ: 54

ตอบตอบเมื่อ: 04 ก.พ.2005, 10:35 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ภพนี้ ภพหน้า เถียงกันได้ไม่รู้จบ คนที่เชื่อว่าไม่มีภพหน้ามักไม่สนใจเรื่องการก่อกรรมสร้างเวร มุ่งเน้นแสวงหาความสุขความร่ำรวยความพอใจถึงแม้ว่าจะได้มาอย่างทุจริตก็ตาม สำหรับผู้ที่เชื่อเรื่องภพหน้ามักจะเกรงกลัวในอกุศลกรรมทั้งปวง เลี่ยงได้เลี่ยง หลีกได้หลีก งดเว้นได้ก็งด เพราะฝ่ายที่เชื่อยังเชื่อต่อว่าอายุขัยของมนุษย์อย่างมากก็ไม่เกินร้อยปี แต่ในภพหน้าหากต้องรับเวรรับกรรมแล้วยังไม่รู้ว่าอายุขัยของการเป็นวิญญาณมันยาวนานสักเพียงใด สองฝ่ายใครคิดถูก
 

_________________
คนธรรมดา ไม่มีอะไรพิเศษหรือวิเศษกว่าปุถุชนทั่วไป ยังมี รัก โลภ โกรธ หลง เป็นปกติ แต่อาจจะเบาบางไปบ้างตามอายุขัยและประสบการณ์ น่าห่วงวัยรุ่นจนถึงคนรุ่นอายุไม่เกิน35ในปัจจุบันยังเข้าใจหลายๆสิ่งผิดไปจากความจริงมาก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
มาดู
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 04 ก.พ.2005, 11:33 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

... ....
 
ไอธรรมไอที
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 12 ธ.ค. 2004
ตอบ: 28

ตอบตอบเมื่อ: 04 ก.พ.2005, 12:33 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มีพระไตรปิฎกสูตรหนึ่งบอกว่า

ถ้าเชื่อว่าปรโลกมีความเชื่อนั้นจริง

ถ้าพูดว่าปรโลกมีคำพูดนั้นเท็จ

ถ้าเชื่อว่าปรโลกไม่มีความเชื่อนั้นเท็จ

ถ้าพูดว่าปรโลกไม่มีคำพูดนั้นเท็จ



ภพชาติเป็นสิ่งที่ยาวนานไม่รู้จบต้องเวียนว่ายตายเกิดไปตามกรรมที่กำหนดไว้ไม่รู้จักจบจักสิ้นด้วยอำนาจแห่งกิเลิศและตัณหาเป็นเหตุแห่ง ชาติ ชราและมรณะ โดยทั้งหมดนี้ก็เกิดขึ้นจากอวิชาคืความไม่รู้

ละอวิชา ตัณหา อุปทาน ได้ จะไปถึงพระนิพพาน ที่ตอนนี้มีกระถู้เรื่องพระนิพพามากมาย พระนิพพานทำให้เกิดการแตกดับทำลายขันธ์แล้วจะไม่เกิดอีก
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 04 ก.พ.2005, 5:58 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มีเรื่องราวของผู้ไม่เชื่อภพนี้ ภพหน้า ตั้งแต่ในอดีตกาล คือ พระเจ้าปายาสิ มาให้อ่านกันครับ



ย้อนหลังไปในสมัยพุทธกาล หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว 100 ปี มีพระราชาองค์หนึ่ง นามว่า พระเจ้าปายาสิ พระองค์เป็นผู้มีความคิดเห็นว่า นรกสวรรค์ นั้นไม่มีจริง โดยได้พิสูจน์ตามวิธีการของพระองค์เองมาหลายวิธี อยู่มาวันหนึ่ง พระองค์ได้พบพระกุมารกัสสปะ ซึ่งเป็นพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา พระองค์จึงเข้าไปสนทนาด้วย



พระราชา : ข้าพเจ้าเห็นว่านรกสวรรค์ โลกนี้โลกหน้า นั้นไม่มีจริง



พระกัสสปะ : พระอาทิตย์ กับพระจันทร์นั้น ท่านเห็นว่า อยู่ในโลกนี้หรืออยู่ในโลกหน้า



พระราชา : พระอาทิตย์ กับพระจันทร์ ไม่ได้อยู่ในโลกนี้



พระกัสสปะ : ถูกต้องแล้ว ท่าน ดังนั้น โลกหน้าจึงมีอยู่ กฏแห่งกรรมจึงมีจริง



พระราชา : ข้าพเจ้าเคยพิสูจน์ โดยไปบอกญาติที่กำลังป่วยใกล้ตาย ซึ่งญาติเหล่านั้นล้วนประพฤติผิดศีล ชั่วช้า บอกเขาว่า ถ้าตายแล้วไปเจอนรก ช่วยกลับมาบอกด้วย แต่ไม่เห็นมีใครกลับมาบอกเลย



พระกัสสปะ : หากนักโทษของพระราชา ที่ถูกผู้คุมควบคุมตัวไว้ ขออนุญาตผู้คุมว่า ขอกลับไปบอกที่บ้านก่อน แล้วค่อยกลับมาเป็นนักโทษใหม่ ท่านจะให้ผู้คุมปล่อยเขาไปหรือไม่



พระราชา : ย่อมไม่ปล่อยแน่นอน



พระกัสสปะ : อย่างนั้นแหละ ผู้ที่อยู่ในนรก ถูกรับโทษอยู่ ก็จึงกลับมาบอกท่านไม่ได้



พระราชา : ข้าพเจ้ายังพิสูจน์อีก โดยบอกให้ญาติที่ทำแต่คุณงามความดี ที่กำลังป่วยใกล้ตาย บอกว่า ถ้าตายแล้วช่วยกลับมาบอกด้วยว่า สวรรค์มีจริงหรือไม่ แต่ไม่เห็นมีใครมาบอกเลย



พระกัสสปะ : หากท่านตกลงไปในหลุมอุจจาระ แล้วมีใครมาช่วยท่านให้ขึ้นจากหลุมอุจจาระได้ ถ้าเขาขอให้ท่านลงไปในหลุมอุจจาระอีกครั้ง ท่านยินดีลงไปหรือไม่



พระราชา : ย่อมไม่ลงไปในหลุมอุจจาระแน่นอน



พระกัสสปะ : อย่างนั้นแหละท่าน เพราะบนสวรรค์นั้นสวยสดงดงามวิจิตร หากนำสภาพของโลกมนุษย์ ไปเปรียบเทียบกับสวรรค์ ก็เปรียบได้กับหลุมอุจจาระ จึงไม่มีใครในสวรรค์อยากกลับลงมาที่โลกมนุษย์



พระราชา : แล้วใครเล่าจะไปเห็นเทวดาเหล่านั้น ข้าพเจ้าไม่อาจเชื่อได้หรอก



พระกัสสปะ : คนที่ตาบอดแต่กำเนิด ไม่เห็นสีสรรต่างๆ ไม่เห็นพระอาทิตย์ พระจันทร์ จึงเที่ยวบอกคนตาดีว่า สิ่งเหล่านี้ ไม่มีอยู่ในโลก คำพูดเขาเชื่อได้หรือเปล่า



พระราชา : ย่อมเชื่อไม่ได้ เพราะคนตาดี ย่อมเห็นว่า สิ่งเหล่านี้มีอยู่



พระกัสสปะ : อย่างนั้นแหละท่าน ในการมองโลกนี้โลกหน้า คนธรรมดานั้นก็เปรียบเหมือนคนตาบอด แต่สมณะผู้มีตาทิพย์ ย่อมสามารถเห็นโลกนี้ โลกหน้า นรกสวรรค์และกฏแห่งกรรมได้



พระราชา : แต่ถ้าสมณะท่านเห็นโลกหน้า เห็นสวรรค์ที่สวยงามจริง ทำไมท่านไม่รีบตายเพื่อไปสวรรค์ล่ะ อยู่ต่อเป็นมนุษย์ทำไม



พระกัสสปะ : สมมุติมีหญิงนางหนึ่ง ท้องแก่ใกล้คลอด หากสามีบอกว่า จะยกสมบัติให้ ต่อเมื่อ ลูกเป็นชายเท่านั้น หญิงคนนี้อยากรู้เร็วๆ ว่าจะลูกเป็นชายหรือไม่ จึงตัดสินใจผ่าท้องดูว่าลูกเป็นหญิงหรือชาย ผลก็คือ นางและลูกต้องตายและไม่ได้สมบัติ เช่นเดียวกับ คนพาลที่ไม่รู้จักรอเวลาย่อมถึงความพินาศ ส่วนสมณะผู้มีศีล ท่านรู้จักจังหวะเวลาที่เหมาะสม ยิ่งท่านอยู่นานเท่าใด ท่านยิ่งได้บุญมากขึ้นเท่านั้น เป็นประโยชน์แก่โลกมากขึ้นเท่านั้น และขึ้นไปสวรรค์อย่างผู้สง่างามยิ่งขึ้นเท่านั้น



พระราชา : ข้าพเจ้า ยังเคยทดลอง ประหารโจรผู้หนึ่ง โดยชั่งน้ำหนักก่อนตาย และหลังตาย ปรากฏว่า หลังตายมีน้ำหนักมากกว่า ข้าพเจ้าจึงไม่เชื่อว่า มีวิญญาณออกจากร่างไป หลังจากตายแล้ว



พระกัสสปะ : เวลาที่นำก้อนเหล็กมาตีดาบ เมื่อนำก้อนเหล็กไปเผาไฟ เคยชั่งน้ำหนักหรือไม่ว่า เหล็กที่เผาไฟอยู่กับเหล็กเย็นสนิท อย่างไหนน้ำหนักมากกว่า



พระราชา : เหล็กที่เผาไฟ น้ำหนักน้อยกว่า เหล็กที่เย็นสนิท น้ำหนักมากกว่า



พระกัสสปะ : อย่างนั้นแหละท่าน ร่างกายที่ประกอบไปด้วยไออุ่นและวิญญาณ ย่อมเบากว่า ร่างกายที่ไร้วิญญาณแล้ว ดังนั้น นรกสวรรค์ กฎแห่งกรรม ย่อมมีจริง



พระเจ้าปายาสิ ได้เห็นคำเปรียบเทียบที่เป็นเหตุเป็นผล เช่นนี้ จึงทรงเชื่อว่า นรกสวรรค์ มีจริง และเริ่มสร้างบุญ



(จริงๆ แล้ว เรื่องนี้ยาวกว่านี้ แต่นำมาแบบย่อๆ นะครับ)
 
ลุงสุชาติ
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 10 มิ.ย. 2004
ตอบ: 65

ตอบตอบเมื่อ: 05 ก.พ.2005, 2:41 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตราบใดที่ยังมีการยึดติดกับกิเลสตัณหา ได้แก่กามคุณ โกรธ หลง มีทิฐิ มานะ ย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่สิ้นสุด หรือ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ยังมีการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฎตามหลักปฏิจจสมุปบาทเป็นเวลานานแสนนาน มนุษย์มีอายุ ๑๐๐ ปีกัปป์ ก็จริง แต่ถ้าตายแล้วไปเกิดในนรก อายุของสัตว์ในอบายภูมิ หรือ นรก นั้นนานแสนนาม
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
สุรพงษ์
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 07 ก.พ.2005, 6:31 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ไม่จำเป็นต้องเชื่อว่ามีภพหน้าหรือไม่ มีเนื้อหาบางส่วนผมจำมาจากพระไตรปิฏก ที่กล่าวต่อจากกาลมสูตร กล่าวไว้ว่า เมื่อเจริญพรหมวิหาร4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาแล้ว ก็จะเป็นผู้มีจิตไม่ผูกเวร ไม่พยาบาท ไม่เศร้าหมอง มีจิตบริสุทธิ ย่อมวางใจได้ 4 อย่างคือ 1 เมื่อทำดี ภพหน้ามี ก็จะเข้าถึงสุคติในภพหน้า 2.เมื่อทำดี ภพหน้าไม่มี ก็รักษาตัวมีความสุขได้ในปัจจุบัน 3. ถ้าตนไม่ทำบาป ภพหน้าไม่มี ก็จะไม่ประสบทุกข์จากการไม่ทำบาป 4. ถ้าตนไม่ทำบาปภพหน้ามีก็มองเห็นตัวเองบริสุทธิทั้งโลกนี้ และโลกหน้า
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง