Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 พุทธนิวัตน์ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 17 มิ.ย.2007, 10:55 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พุทธนิวัตน์

หมายถึง การกลับมาของพระพุทธเจ้า

และความคิดเรื่องพระพุทธเจ้ากลับมานั้น เป็นความเชื่ออันมีอยู่ในคันถรจนาจารย์บางท่าน
จนมาปรากฏอยู่ในปฐมสมโพธิกถา ฉบับของกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรสว่า
เมื่อถึงกาลที่สุดแห่งพระพุทธศาสนา พระบรมธาตุของพระพุทธเจ้าที่เรี่ยรายอยู่ในที่นี้
ทั้งหลายจะเข้ามาประชุมกัน เป็นองค์พระพุทธเจ้าอีกครั้งหนึ่ง
แสดงพระธรรมเทศนาโปรดฝูงอมรเทวดาทั่วไปในหมื่นจักรวาล
ครั้นแล้วจะเกิดเพลิงเผาผลาญสังหารพระบรมธาตุให้ย่อยยับเป็นธาตุปรินิพพาน
และเมื่อนั้นพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า
ก็นับว่าอันตรธานหมดไปจากโลกไม่มีเหลือ

เหตุผลที่ทำให้เกิดความเชื่อเช่นนี้ มีดังต่อไปนี้

ปรินิพพานของพระพุทธเจ้ามีนัยที่จำแนกไว้เป็น ๓ ประการ หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า
พระพุทธเจ้าต้องปรินิพานถึง ๓ ครั้ง คือ

-กิเลสปรินิพพาน ได้แก่การที่พระองค์ทรงตรัสรู้ ดับกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย
ของพระองค์ประการหนึ่ง

- ขันธปรินิพพาน คือเมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ชีพ เมื่อพระชนมายุได้ ๘๐ พระวรรษา
อีกประการหนึ่ง และ

-ประการที่ ๓ คือ ธาตุปรินิพพาน ได้แก่พระบรมธาตุอันตรธานหาย ดังกล่าวมาข้างต้นแล้ว การที่จำแนกนิพพานออกเป็น ๓ ดังนี้ มีอยู่ในคัมภีร์ปฐมสมโพธิกถา ของกรมสมเด็จพระ-
ปรมานุชิตชิโนรส

คำว่า “นิพพาน” แปลว่ากระไร หรือการที่พระพุทธเจ้าและพระสาวกดับขันธปรินิพพาน
หมายความว่ากระไร จะเกิดอีกหรือไม่ ดับไปอย่างไร และไปอยู่ที่ไหนดังนี้
เป็นปัญหาอันสูงสุดของพุทธศาสนา ถึงกับเป็นหลักสูตรของนักธรรมชั้นเอก
เรื่องขันธปรินิพพานนั้น กล่าวแต่เพียงให้เข้าใจง่ายๆ ว่า พระพุทธเจ้าสิ้นพระชนมชีพลง
เมื่อพระชนมายุครบ ๘๐ พระวรรษาที่ สาลวโนทยาน กรุงกุสินารา เท่านั้น

(มีต่อ)
 


แก้ไขล่าสุดโดย กุหลาบสีชา เมื่อ 18 มิ.ย.2007, 12:01 am, ทั้งหมด 3 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 17 มิ.ย.2007, 10:59 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระปฐมสมโพธิ ฉบับของกรมพระปรมานุชิตชิโนรสก็ดี
ฉบับของสมเด็จพระสังฆราช (ปุสสเทว)
ที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสทรงรับรองให้ใช้เป็นหลักสูตร
การเรียนพุทธประวัติก็ดี มีความสอดคล้องต้องกันว่า

ถ้าหากพระอานนท์ได้กราบทูลอาราธนาให้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ในโลกถึงกัปหนึ่งแล้ว
พระพุทธเจ้าก็จะทรงมีพระชนมายุอยู่ได้ถึงกัปหนึ่งจริงๆ ด้วยอำนาจของอิทธิบาทภาวนา
แต่พระอานนท์นึกไม่ถึง จึงไม่ได้ทูลอาราธนาดังนั้น เพิ่งมาทูลเมื่อพระพุทธเจ้าตกลงปลง
พระทัยที่จะปรินิพพานเสียแล้ว พระพุทธเจ้าจึงเสด็จดับขันธปรินิพพานเมื่อพระชนมายุเพียง
๘๐ พระวรรษาเท่านั้น

ปรากฏตามคำของพระอานนท์ว่า ท่านได้เคยฟังมาเฉพาะพระพักตร์พระพุทธเจ้าว่า
ผู้ใดเจริญอิทธิบาททั้ง ๔ ประการให้ชำนาญแล้ว ผู้นั้นจำนงใจจะมีรูปกายดำรงอยู่นานถึง
กัปหนึ่งก็อาจอยู่ได้ และพระพุทธเจ้าได้ทรงทำนิมิตโอภาสแย้มพรายหลายครั้งที่จะให้
พระอานนท์ทูลอาราธนาให้ทรงพระชนม์อยู่ตลอดกัป แต่พระอานนท์นึกไม่ถึง
ด้วยมารดลใจ หรือด้วยอะไรก็ตาม
เพิ่งมานึกขึ้นได้เมื่อพระพุทธองค์ทรงปลงพระทัยที่จะปรินิพพาน
ซึ่งเป็นการสายเกินไปเสียแล้ว

ปัญหาที่เราจะต้องคิด มีอยู่ ๒ ประการ คือ

๑. อิทธิบาททั้ง ๔ จะทำให้คนมีอายุยืนได้ตั้งกัปหนึ่งอย่างไร
๒. เมื่อพระพุทธเจ้าสามารถจะอยู่ได้ตั้งกัปหนึ่งจริงแล้ว ทำไมจึงไม่ประทับอยู่
เหตุไฉนจึงต้องคอยให้พระอานนท์อาราธนา

ในข้อที่ ๑ นั้น เราจำต้องพิจารณาให้กว้างสักหน่อย

เมื่อพระพุทธเจ้ามีพระชนมายุครบ ๘๐ พระวรรษา ทรงรู้สึกพระองค์ว่าแก่เฒ่าล่วงกาลเวลา
ผ่านวัยเสียแล้ว ร่างกายของพระองค์เป็นหนึ่งเกวียนชำรุดที่ซ่อมแซมด้วยไผ่ ซึ่งมิใช่สัมภาระเกวียน ในปีนั้นทรงประทับจำพรรษาอยู่ในเวฬุวคาม เขตเมืองไพศาลี รับสั่งให้ภิกษุทั้งหลาย
ไปจำพรรษาในเมืองใดๆ ได้ตามความพอใจ การที่ทรงทำดังนี้ก็เพราะมีพระประสงค์จะพักผ่อนพระกาย ที่ได้ตรากตรำมาตลอด ๔๕ ปีแล้ว ในภายในพรรษากาลนั้นเอง
ทรงประชวรหนักเกือบจะปรินิพพานเสียแต่ครั้งนั้น แต่ทรงเห็นว่ายังไม่ควรปรินิพพาน
จึงทรงดำรงพระสติสัมปชัญญะขับไล่อาพาธพยาธิทุกข์นั้นให้ระงับไป

การประชวรในครั้งนั้น ไม่ปรากฏว่ามีใครมาบำบัดรักษา ภิกษุทั้งหลายที่เหลือจำพรรษาอยู่กับพระองค์ ก็ไม่ปรากฏว่าตื่นเต้นเห็นอาการรุนแรงอะไร ในครั้งนั้นมีแต่พระอานนท์องค์เดียว
ที่เห็นอาการประชวรของพระพุทธเจ้า และได้เห็นอาการที่พระองค์ทรงอดกลั้นขับประณามโรคาพาธให้หมดสิ้นไป พระอานนท์ ก็ได้ทูลว่า เมื่อได้เห็นอาการทรงประชวรดังนั้น
กระทำให้เธอมืดมนด้วยความทุกข์ใจ แต่ยังไว้ใจอยู่ว่า ตราบใดที่ยังมิได้ทรงตรัสแก่พระสงฆ์
ว่าจะปรินิพพานแล้ว ก็ยังคงไม่ปรินิพพาน

เช้าวันหนึ่ง พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในเมืองไพศาลี
ในขณะที่ได้เสด็จออกจากเมือง ได้เยื้องพระกายหันกลับทอดพระเนตรเมืองไพศาลี
ซึ่งธรรมดาเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปทางไหน ไม่เคยหันหลังกลับมาทอดพระเนตรอะไรเลย
อาการที่ทรงทำดังนั้น จึงเป็นอาการที่แปลกประหลาดมาก จนถึงมีชื่อเรียกกันว่า
“นาควโลก” มีรับสั่งแก่พระอานนท์ว่า
พระองค์ทรงเห็นเมืองไพศาลีครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย
หนังสือของศาสตราจารย์โอลตารมาร์ กล่าวความในตอนนี้ว่า

พุทธอาการตอนนี้แสดงให้เห็นว่า พระพุทธเจ้าตอนนี้ก็ทรงเสียดายอยุ่เหมือนกันในการที่จะปรินิพพาน และพระองค์ไม่ใช่จะไม่ใยดีต่อความงามของธรรมชาติ

(มีต่อ)
 


แก้ไขล่าสุดโดย กุหลาบสีชา เมื่อ 18 มิ.ย.2007, 12:03 am, ทั้งหมด 3 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 17 มิ.ย.2007, 11:03 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ต่อนั้นมา ก็เสด็จออกจากเมืองไพศาลี ทรงพุทธดำเนินไปเมือง
ปาวาก่อนหน้าวันนิพพานวันเดียว คฤหบดีคนหนึ่งชื่อนายจุนทะได้นิมนต์เสวยภัตตาหาร
นายจุนทะได้เนื้อสุกรอ่อนถวายพระองค์ แท้ที่จริงก็ทรงทราบว่าเนื้อสุกรอ่อนเป็นสิ่งที่ไม่
ถูกโรคกับพระองค์ และจะทำให้ทรงประชวรหนักขึ้น แต่พระพุทธเจ้าทรงกระทำพระองค์
เหมือนแผ่นดินที่รองรับทั้งสิ่งที่ดีและชั่ว สุดแต่ว่าใครจะทิ้งลงมาให้ เพื่อมิให้เสียเจตนาของ
นายจุนทะ จึงได้เสวยเนื้อสุกรอ่อนนั้น แต่ทรงห้ามมิให้นายจุนทะถวายแก่พระภิกษุอื่น
และรับสั่งให้นายจุนทะเอาเนื้อสุกรอ่อนที่เหลือจากพุทธบริโภคนั้นไปฝังดินเสียหมด
และเพื่อจะมิให้คนทั้งหลายกล่าวโทษนายจุนทะในภายหลัง จึงประทานพุทธโอวาทว่า
อาหารที่นายจุนทะถวายแด่พระองค์นั้นเป็นอาหารครั้งสุดท้าย ที่มนุษย์จะสามารถจะถวายพระองค์ได้ ฉะนั้นต้องนับว่าเป็นอานิสงส์อย่างเลิศ

เมื่อเสด็จออกจากบ้านนายจุนทะนั้น อาการพระประชวรก็หนักขึ้นทันที แต่หาได้ทรงพักผ่อนพระองค์ไม่ ทรงพุทธดำเนินต่อไปในวันนั้นอีกตลอดวัน เพื่อให้ถึงเมืองกุสินารา
อันเป็นที่ที่ทรงกำหนดไว้ว่าจะทรงปรินิพพาน การที่ทรงกำหนดเมืองกุสินาราเป็นที่ปรินิพพานนั้น เพราะเหตุ ๒ ประการ คือ

๑.ทรงทราบว่ามีคนอีกคนหนึ่งที่จะทรงโปรด ให้สำเร็จอรหันต์ได้ในเมืองนั้น คือ
สุภัททปริพาชก และ

๒.ทรงทราบอยู่ว่าเมื่อปรินิพพานแล้ว พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย คงจะต้องการพระบรมธาตุไป
บูชาเป็นอนุสาวรีย์ต่างๆที่นับถือของพระองค์ ถ้าหากทรงนิพพานในเมืองใหญ่ๆ เช่นราชคฤห์ หรือสาวัตถี พระเจ้าแผ่นดินในเมืองนั้นๆ จะมีอำนาจมาก จะรวบเอาพระธาตุไว้เสียแต่ผู้เดียว
ไม่ยอมให้ใคร อาจจะเกิดสงครามแย่งพระธาตุกันขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้ จึงทรงเลือกเมืองกุสินารา
ซึ่งเป็นเมืองเล็ก หากจะมีใครมาขอกไม่ไม่กล้าหวงห้าม คงจะแบ่งสันปันส่วนออกไปทั่วๆ กัน

เราทราบแล้วว่าประเทศอินเดียร้อนจัดเพียงใด ในระหว่างเสด็จพุทธดำเนินมานั้น
ทรงรู้สึกลำบากพระกายมากขึ้น จึงเสด็จแวะเข้าพักผ่อน
รับสั่งให้พระอานนท์ไปตักน้ำมาเสวย แล้วก็เสด็จต่อไปจนถึงเมืองกุสินาราในเวลาค่ำ
ถึงป่ารังในสวนวนอุทยานของมัลลกษัตริย์
รับสั่งให้พระอานนท์ปูลาดที่บรรทมในระหว่างต้นรังทั้งคู่
ประทับไสยาผันศีรษะไปทางทิศเหนือ ตั้งพระทัยว่าจะไม่ลุกขึ้นอีก
แล้วรับสั่งให้พระอานนท์ เข้าไปแจ้งแก่มัลลกษัตริย์ที่ครองนครกุสินาราว่าจะปรินิพพาน
แล้วก็เสด็จดับขันธปรินิพพานในคืนนั้น

ตามพฤติการณ์ที่กล่าวมานี้จะเห็นได้ว่า

๑.พระพุทธเจ้าทรงสามารถกำจัดโรคาพาธออกจากพระองค์ได้
ในขณะที่ยังไม่มีพระประสงค์จะปรินิพพาน ถึงกับในวันปรินิพานนั้นเอง
ก็ยังทรงพุทธดำเนินมาได้ตลอดทั้งวัน ซึ่งพ้นวิสัยมนุษย์ธรรมดาจึงทำได้ และ

๒.ทรงทราบแน่ว่าจะปรินิพพานเมื่อใด ถึงกับกล่าวรับสั่งให้พระอานนท์เข้าไปแจ้งข่าว
การนิพพานแก่มัลลกษัตริย์ รวมใจความว่า พระองค์ทรงสามารถเลิศล้นมนุษย์สามัญ
ถึงกับว่าจะดับชีพเมื่อใดก็ได้

เมื่อเราเห็นเช่นนี้ ก็น่าเชื่อว่าพระพุทธเจ้าทรงพระชนมชีพต่อไปได้อีก
ถ้าหากมีพระประสงค์อยู่อีกต่อไป แต่จะถึงกัปหรือไม่ถึงนั้น เป็นอีกปัญหาหนึ่ง

(มีต่อ)
 


แก้ไขล่าสุดโดย กุหลาบสีชา เมื่อ 18 มิ.ย.2007, 12:21 am, ทั้งหมด 4 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 17 มิ.ย.2007, 11:05 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ความตายเป็นสิ่งที่ผัดผ่อนกันไม่ได้ แต่อันที่จริง ถ้ามนุษย์ต้องการ อย่างแน่นแฟ้นเพื่อมีชีวิตอยู่อีกสักเล็กน้อย มฤตยูก็ใจดีผ่อนผันให้ได้อีกเหมือนกัน
เคยมีตัวอย่างที่มารดาป่วยหนัก บุตรอยู่ห่างไกล กำลังรีบมาหามารดาอยู่
ส่วนมารดาที่กำลังป่วย คนทั้งหลายต่อหีบศพไว้คอยท่าแล้วนั้นก็ยังไม่ดับจิตลงไป
ได้รออยู่จนกระทั่งบุตรมาถึง เรื่องเช่นนี้มีอยู่บ่อยๆ จนเรามีสำนวนเรียกกันว่า
“เอาใจไว้คอยท่า”

เมื่อเราพิจารณามาถึงเพียงนี้แล้ว ปัญหาที่ว่าอิทธิบาทจะเป็นเครื่องทำให้พระพุทธเจ้า
มีพระชนม์ยั่งยืนอยู่อย่างไรนั้น ก็อยู่ในวงแคบหน่อย และอธิบายได้อย่างย่อๆ ดังนี้

คำว่า อิทธิบาท หมายความว่า คุณเครื่องให้สำเร็จความประสงค์
ท่านจำแนกไว้เป็น ๔ ประการ คือ ฉันทะ ความพอใจ, วิริยะ ความหมั่น,
จิตตะ ความเอาใจฝักใฝ่, วิมังสา ความหมั่นตริตรองพิจารณาหาเหตุผล
ความสำเร็จของพระพุทธเจ้ามีขึ้นได้ด้วยอิทธิบาททั้ง ๔ ประการนี้
ถ้าหากว่าพระองค์ทรงพอพระทัยที่จะมีพระชนม์ชีพอยู่ต่อไปอีก
ทรงหมั่นขวนขวายเอาพระทัยฝักใฝ่
และตริตรองพิจารณาหาเหตุผลของการที่จะทำให้พระองค์ทรงอยู่ต่อไปได้อีแล้ว
ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่า คงจะทรงพบวิธีอันใดอันหนึ่งที่จะทรงพระชนมายุยืนนานอยู่ได้เป็นแท้

เรื่องที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งก็คือ พระพุทธมนต์ที่เรียกว้า “โพชฌงค์” พระพุทธเจ้าเคยทรงใช้รักษาโรคภัยไข้เจ็บหายมาถึง ๓ ครั้ง สองครั้งแรกพระโมคัลลานะ และพระกัสสปะอาพาธ
พระพุทธเจ้าทรงเสด็จไปสวดโพชฌงค์ด้วยพระองค์เอง พระมหาเถระทั้งสองหายป่วยอย่าง
เรียบร้อย ครั้งที่ ๓ พระองค์เองประชวร ได้รับสั่งให้พระสาวกสวดโพชฌงค์ให้ทรงสดับ
พระอาการประชวรก็หาย มีบางคราวที่ประชวรหนัก ก็มิได้ทรงรักษาด้วยวิธีอื่น
นอกจากทรงขับไล่อาพาธให้หมดไปด้วยกำลังคุณธรรม
แต่ครั้นเมื่อตกลงพระทัยที่จะปรินิพพานแล้ว ก็หมดความพอพระทัยในอันที่จะอยู่
หมดความคิดค้นหาสมุฏฐานของโรค และวิธีปราบปราม
ฉะนั้นพระชนม์ชีพจึงได้ดับไปในปีที่ ๘๐

ในปัญหาข้อที่ ๒ ที่ว่า เมื่อพระพุทธเจ้าสามารถจะทรงพระชนม์อยู่ได้ต่อไป
ทำไมจึงไม่ประทับอยู่ เหตุไรจึงต้องคอยพระอานนท์อาราธนานั้นเป็นปัญหาที่ตอบได้ง่าย

อันธรรมดามนุษย์ เมื่อเกิดมาแล้วก็ต้องถึงแก่ความตายเป็นที่สุด
แม้พระพุทธเจ้าเองก็ทรงรอดพ้นกฎธรรมดาอันนี้ไปหาได้ไม่
หากจะทรงเจริญอิทธิบาท ๔ ก็มีผลเพียงจะทำให้พระชนมายุยั่งยืนต่อไปอีก
และในที่สุดก็ต้องปรินิพพานลงวันหนึ่ง
จะปรินิพพานลงในเวลานั้น หรือในอีกพันปีข้างหน้าผลก็ไม่ต่างกันเท่าไร
เพราะถึงแม้จะทรงปรินิพพานแล้ว ก็มีพระสาวกที่สามารถ เช่น
พระอานนท์ พระอุนรุทธ์ และพระอุบาลี มีคุณธรรมเพียงพอที่จะสืบพระศาสนาต่อไปอีก

อีกประการหนึ่ง พระสาวกทั้งหลายอื่น แม้พระอัครสาวกทั้งสอง คือ พระโมคัลลานะ
และพระสารีบุตรก็นิพพานไปแล้ว พระพุทธบิดาก็นิพพาน
คนอื่นๆที่ได้ทำความดีไว้ในพระพุทธศาสนามากๆ เช่น
พระเจ้าพิมพิสารก็สิ้นพระชนม์ไปแล้ว
ถ้าหากพระพุทธเจ้าจะทรงมีพระชนมายุยั่งยืนอยู่พระองค์เดียว
ข้อครหาก็จะมีขึ้นว่าพระพุทธเจ้ามีวิชชาสำหรับทำให้คนรอดพ้นความตายอยู่แล้ว
แต่ไม่ขยายให้ใคร แม้พระพุทธบิดาก็ไม่ขยายให้
ปล่อยให้นิพพานไป และทรงมีชีวิตอยู่แต่พระองค์เดียว
คนทั้งหลายจะเห็นว่าพระพุทธเจ้ายังทรงเห็นแก่พระองค์อยู่
ไม่สมกับที่ว่าทรงสละประโยชน์ของพระองค์เพื่อประโยชน์แก่สัตว์โลก

(มีต่อ)
 


แก้ไขล่าสุดโดย กุหลาบสีชา เมื่อ 18 มิ.ย.2007, 12:19 am, ทั้งหมด 3 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 17 มิ.ย.2007, 11:15 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อนึ่งเล่า ธรรมของพระองค์ทุกข้อเริ่มต้นแต่อริยสัจ
ได้บรรทัดฐานอยู่ว่า ความเกิดเป็นทุกข์ ความมีชีวิตอยู่เป็นทุกข์ ทรงชี้ทางให้ดับทุกข์
แต่เมื่อพระองค์เองยังทรงนิยมความเกิดความมีชีวิตอยู่ดังนั้นแล้ว
ก็ขัดกับธรรมของพระองค์ไปสิ้น

แต่อย่างไรก็ดี พระพุทธเจ้ามิได้ทรงสละโลกไปโดยปราศจากความเสียดาย
สมกับที่ศาสตราจารย์โอลตรามาร์กล่าวว่า พระองค์ไม่ใช่ไม่ใยดีต่อความงามของธรรมชาติ
ถ้าหากพระอานนท์ได้อาราธนาให้พระองค์อยู่ก่อนที่จะทรงปลงพระทัยปรินิพพานแล้ว
เรื่องก็จะกลายเป็นอื่น กล่าวคือ จะทรงอ้างได้ว่า การที่ทรงมีอายุยืนยาวมานั้น
ก็เพราะพระอานนท์อาราธนาให้พระองค์อยู่โปรดสัตว์โลก มิใช่เพื่อประโยชน์ของพระองค์เอง

บัดนี้พระองค์ก็เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว
โลกพากันเศร้าสลดถึงพระองค์ พุทธศาสนิกชนทั่วหน้าพากันมองเห็นชัดว่า
สังขารเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และมีความมรณะเป็นอวสาน
แม้สมเด็จพระพิชิตมารองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า
ก็ยังไม่สามารถหลุดพ้นไปจากความดับสูญเสื่อมสิ้นไปในที่สุด
เราระลึกถึงพระคุณที่ได้ทรงทำไว้แก่สัตว์โลก
เราพากันเสียดายว่ามิได้เกิดมาทันสมัยที่พระองค์อยู่
และในบางครั้ง เราถึงกับปรารถนาอยากเห็นพระองค์กลับมาใหม่
ความปรารถนาอันนี้มีอยู่ในหัวใจ คนเป็นอันมาก ตลอดจนถึงอาจารย์ผู้รจนาคัมภีร์
ซึ่งกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส ได้ทรงนำมาแต่งเป็นพระปฐมสมโพธิ
เป็นข้อความดังจะกล่าวต่อไปนี้

“ พระบรมสารีริกธาตุแห่งองค์สมเด็จพระโลกนาถ อันประดิษฐานอยู่ในที่ต่างๆนั้น
เมื่อมิได้เครื่องสรรพปูชนียภัณฑ์แล้ว พระบรมธาตุทั้งปวงก็เสด็จ
ไปสู่ที่อันประกอบด้วยเครื่องสักการะบูชา
ถ้ามีบุคคลบูชาอยู่ในประเทศใดแล้ว ก็เสด็จไปสู่ประเทศนั้น
ด้วยกำลังอธิษฐานแห่งองค์สมเด็จพระผู้ทรงพระภาค
ครั้งกาลล่วงไป ที่ทั้งหลายทั้งปวงปราศจากเครื่องสักการบูชาแล้ว
พระธาตุก็จะมารวมกันเข้า แล้วเสด็จไปสู่มหาเจดีย์ในลังกาทวีป
แล้วเสด็จไปสู่ราชายตนะเจดีย์ในนาคทวีป แล้วก็เสด็จไปสู่โพธิบัลลังก์
กระทำอาการเป็นพระพุทธรูปปรากฏอาการเหมือนอย่าง องค์พระศรีสุคต
ประดิษฐานเหนือบัลลังก์ใต้ควงไม้มหาโพธิ ทรงพระรัศมีสีสันพรรณโอภาส
เมื่อพระธาตุประชุมกันในครั้งนั้น มนุษย์ทั้งหลายจะได้เห็นก็หามิได้
ฝูงเทพเทวดาทั้งหลายในหมู่จักรวาลจะพากันเข้าประชุมพร้อม
ในลำดับนั้น
ก็จะเกิดมีไฟเผาผลาญสังขารพระบรมธาตุให้ย่อยยับจนไม่มีเหลือ”


แน่นอนทีเดียว ถ้อยคำเหล่านี้ ไม่ใช่คำของพระพุทธเจ้า
ต้องเป็นคำของนักปราชญ์ชาวลังกาเขียนไว้ด้วยความเชื่อ
หรือมโนคติคิดพยากรณ์กาลล่วงหน้าว่าจะเป็น

ดังนั้น ในข้อความที่บรรยายมานี้ มีส่วนที่ควรฟังอยู่ข้อหนึ่ง คือที่ว่าเป็นกำลังอธิษฐานแห่ง
พระพุทธเจ้า ผู้รจนาคัมภีร์นี้จะไปได้มาจากไหนก็ตาม ถ้าหากเป็นความอธิษฐานของพระพุทธเจ้าแล้ว เรื่องที่ว่าพระบรมธาตุทั้งหลายจะมาประดิษฐานรวมกันเข้าเป็นองค์นั้น
ก็จะต้องเป็นจริง เพราะแม้แต่คนธรรมดาเราเอง
ความอธิษฐานก่อนในเวลาก่อนดับจิตเป็นสิ่งที่มีอำนาจมาก
อาจจะยังผลให้บังเกิดขึ้นภายหลังที่ตนตายไปแล้ว
ตรงตามความอธิษฐานของตนในทางที่ดีได้มากๆ เหมือนกัน


และถ้าเรื่องอธิษฐานนี้เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ทรงทำไว้จริงแล้ว
พระบรมสารีริกธาตุก็จะต้องมาประชุมกันเป็นองค์พระพุทธเจ้า
เพื่อให้ไฟเผาผลาญไปเสีย มิให้ตกอยู่อย่างก้อนกรวดก้อนทราย
ในแผ่นดินของมนุษย์ที่ไม่มีความนับถือพระองค์ ไม่มีใครบูชาพระองค์
และไม่มีใครปฏิบัติตามธรรมของพระองค์แล้วอีกต่อไป


สาธุ สาธุ สาธุ

(ที่มา: พลตรี หลวงวิจิตรวาทการ. “พุทธนิวัตน์”
ใน พุทธานุภาพ จิตตานุภาพ, หน้า ๔๑-๔๘.)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
ผู้เยี่ยมชม






ตอบตอบเมื่อ: 18 มิ.ย.2007, 7:37 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เศร้า

ตามความเข้าใจของผมนะครับ

เมื่อมาจุติในกายเนื้อของภพมนุษย์ กายเนื้อก็ต้องมีการดับสลายตามสภาวะความเป็นไปของภพมนุษย์ ไม่อาจคงอยู่ได้นานเหมือนชั้นเทพ ชั้นพรหม

และการที่เราไม่อาจเห็นบางสิ่งบางอย่างที่แปลกเช่นคำพระว่าในสมัยก่อนนั้น อาจเรียกได้ว่าเป็นพวกบุญน้อย ความละเอียดของจิตมีน้อย จึงไม่อาจมองเห็นสิ่งละเอียดได้ เช่น จิตของพวกพรหม เป็นต้น

จิต ที่กล่าวไว้ในพุทธศาสนาเป็นของแปลกแท้ ไม่อาจทำการศึกษาได้จากการอ่านธรรมเพียงอย่างเดียว ต้องปฏิบัติประกอบด้วยถึงจะเข้าใจในสิ่งที่พระพุทธเจ้ากล่าวธรรมไว้โดยละเอียด จำแนกธรรมไว้โดยละเอียด ตามสภาวะของจิตที่เกิดเป็นธรรมให้บัญญัติ บัญญัติไว้ตั้งแต่ธรรมของพวกจิตหยาบ จนถึงธรรมของพวกจิตละเอียดที่เข้าถึงได้ยาก

สาธุ ศึกษาหลักธรรมแล้วสนุกมากครับ เรียกได้ว่าเป็นความรู้ขั้นสมบูรณ์บริสุทธิ์โดยแท้ จะตั้งใจศึกษาต่อไปจนถึงระดับเตวิชโชให้ได้ครับ
 
ผู้เยี่ยมชม






ตอบตอบเมื่อ: 19 มิ.ย.2007, 3:04 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

จุดมุ่งหมายของการ post เรื่อง"พุทธนิวัตน์" นี้
ก็มีเจตนาเพื่อให้ทุกท่านที่ได้มีโอกาสแวะเวียนเข้ามาอ่านกระทู้นี้
ได้พิจารณาโดยแยบคาย และน้อมระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ
พระบริสุทธิคุณ และพระปัญญาธิคุณขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า
บรมศาสดาของเรา ที่ได้ทรงกระทำไว้แก่สัตว์โลกทั้งหลายเป็นสำคัญ

เพราะแม้พระองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพานไปนานกว่ากึ่งพุทธกาลแล้ว
แต่คำสอนของพระองค์นั้นก็จะคงอยู่เป็นตราบเท่าที่...ยังมีผู้ระลึกถึง
ยังมีผู้เชื่อมั่นศรัทธา
และตั้งใจมั่นที่จะเดินไปตามทางที่พระองค์ทรงค้นพบไว้
โดยไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใด
ทั้งที่เป็นเหตุปัจจัยจากภายในตน
หรือเหตุปัจจัยภายนอกอันเกิดจากสภาวะความเป็นไปของโลกใบเก่า...
แต่กำลังเข้าสู่กลียุคขณะนี้ค่ะ

สาธุ สาธุ สาธุ

อย่างไรก็ตาม ขอขอบคุณสำหรับทุกความเห็นของคุณผู้เยี่ยมชมนะคะ

เห็นด้วยอย่างยิ่งกับคำกล่าวที่ว่า

"จิต ที่กล่าวไว้ในพุทธศาสนาเป็นของแปลกแท้
ไม่อาจทำการศึกษาได้จากการอ่านธรรม
เพียงอย่างเดียว ต้องปฏิบัติประกอบด้วยถึงจะเข้าใจในสิ่งที่พระพุทธเจ้า
กล่าวธรรมไว้โดยละเอียด"


จะเป็น สุขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ หรือ ปฏิสัมภิทัปปัตโต
อัธยาศัยและวาสนาบารมีล้วนเป็นตัวกำหนดแนวทางการปฏิบัติของแต่ละคน

แม้จุดหมายเดียวกัน
แต่ก็มีถนนหลายสายให้เดินไปสู่จุดหมายนั้น
อาจใช้เวลาสั้นยาวต่างกัน
และอาจมีของกำนัลแถมมาให้ในถนนบางสาย
แต่อย่าเพลิดเพลินกับของกำนัล จนถึงกับลืมสิ่งสำคัญคือ...จุดหมาย

ขออนุโมทนากับปณิธานและศรัทธาของคุณผู้เยี่ยมชม
ขอให้เพลิดเพลินและเจริญทั้งในการศึกษาและปฏิบัติธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปนะคะ ยิ้ม
 
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 19 มิ.ย.2007, 3:20 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขออภัยค่ะ log in ไปแล้ว
แต่สงสัยมัวเอ้อระเหยพิมพ์นานไปหน่อย
พอ post ไปแล้ว
เหตุไฉนจึงไม่เป็นชื่อข้าพเจ้าหนอ....
งง....จัง ขำ สงสัย
แต่ช่างมันเถอะ
เอาเป็นว่าได้ตอบคุณผู้เยี่ยมชมไปดังข้างต้นแล้วนะคะ : ยิ้ม
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
พีรวิชญ์
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 19 เม.ย. 2007
ตอบ: 24

ตอบตอบเมื่อ: 19 มิ.ย.2007, 10:38 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ นิพพานัง ปรมัง สุขัง สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง