ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
ลูกโป่ง
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
|
ตอบเมื่อ:
04 มิ.ย.2007, 11:44 am |
  |
ธรรมะหลับสบาย
ข้อคิดสลัดตัวโกรธจากชีวิตและเตียงนอน โดย ว.วชิรเมธี
ปราณ
ครูขอบใจมากสำหรับจดหมายที่ส่งตรงมาจากลอนดอนตามที่เคยสัญญาเอาไว้ ตอนนี้เมืองไทยของเราอากาศกำลังอยู่ในช่วงปลายฝนต้นหนาวพอดี ครูเองก็กำลังง่วนอยู่กับการเขียนตำราและนำภาวนาบ้างในบางวัน ซึ่งเท่าที่ครูสังเกตดูสองสามปีมานี้ มีคนรุ่นใหม่หันมาสนใจการบำเพ็ญจิตภาวนาเพิ่มขึ้น
เอาไว้วันหลังมีโอกาสเหมาะๆ ครูจะขยายความเรื่องนี้ให้ฟังอีกที
วันวานมีลูกศิษย์ของครูคนหนึ่งโทรศัพท์ทางไกลมาหาครู เท่าที่ฟังจากปลายสาย ครูรู้ว่าเขากำลังทุกข์มาก ประโยคแรกที่เขาขอร้องกับครูก็คือเขาขอให้ครูช่วยทำให้หายโกรธด้วย
เธอเชื่อไหมว่า คนที่เป็นนายคนไม่น้อยกว่าห้าสิบคนในบริษัทแห่งหนึ่ง สำเร็จการศึกษามาจากเมืองนอก บริหารธุรกิจนับร้อยล้าน แต่ไม่สามารถบริหาร “อารมณ์โกรธ” ของตนเองได้ คนอย่างนี้ควรจะเรียกว่าประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวดี
อย่างไรก็ตาม ครูได้เตือนให้เขาสงบจิตใจและฟังครู เขาทำตามอย่างว่าง่าย เพราะคบหากับครูมานานแล้ว ครูบอกให้เขาชูมือของตัวเองขึ้นมาแล้วลองพินิจดูว่า นิ้วแต่ละนิ้วนั้นสั้นยาวเท่ากันหรือเปล่า ครูบอกเขาว่าถ้าเธออยากให้นิ้วโป้งยาวกว่านิ้วกลาง อยากให้นิ้วนางยาวเท่านิ้วชี้ เธอก็จะทุกข์ทันที
เขาถามว่าทำไม
ครูตอบว่า เพราะความอยากที่สวนทางกับธรรมชาติของความเป็นจริงเช่นนั้น
ไม่มีวันเป็นจริงขึ้นมาได้เลย
เมื่อความอยากเดินสวนทางกับความเป็นจริง มีหรือที่เธอจะไม่ทุกข์
เธอคงเริ่มสงสัยว่า แล้วนิ้วทั้งห้าเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้
ครูจะขยายความให้ทราบอยู่เดี๋ยวนี้แหละ
เพราะต้นตอแห่งความโกรธของลูกศิษย์ของครูคนนั้น
มาจากการที่ลูกน้องของเขาคนหนึ่งทำงานชิ้นสำคัญ
ไม่เสร็จตรงตามเวลาที่เขากำหนดเอาไว้ เมื่อลูกน้องมารายงานให้ทราบว่างานไม่เสร็จตามเป้าหมายจึงเกิดการ
“เทศน์นอกธรรมาสน์” กันขึ้น
เมื่อต่างฝ่ายต่างก็แรงเข้าหากัน
เพราะถือว่าต่างก็มีดีด้วยกันทั้งคู่ (อหังการ/ฉันแน่) สุดท้ายลูกน้องคนนั้นซึ่งเป็นคนสำคัญของบริษัท
เป็นฝ่ายหมดความอดทนก่อน เขาจึงประกาศขอลาออก
และให้สัตย์สาบานว่าจะไม่มาเหยียบที่บริษัทนั้นอีก
ซ้ำยังท้าทายด้วยว่า ถ้าขาดเขาเสียคนหนึ่ง บริษัทจะไปไม่รอด
เพียงเท่านี้แหละเธอเอ๋ย ลูกศิษย์ของครูซึ่งเป็นผู้บริหารโกรธจนตัวสั่นที่ถูกท้าทาย แต่พอลูกน้องเดินลับสายตาออกไปแล้ว
ความเสียใจอย่างลึกซึ้งก็เคลื่อนตัวเข้ามาแทนที่ความโกรธ คราวนี้ไม่โกรธลูกน้องแล้วแต่เป็นการโกรธตัวเอง
ที่ไม่รู้จักหักห้ามใจตนจนทำให้คนของตัวเองซึ่งคบหาพึ่งพากันมานาน
ต้องมาเลิกร้างห่างเหินกันไปอย่างไม่ไยดี
เธอลองคิดดูสิว่า หากเธอเป็นนายคนแล้วเสียลูกน้องมือดี
ไปแบบกู่ไม่กลับอีกแล้ว เธอจะโกรธตัวเองไหม จะเสียใจไหม
หากเป็นครู ครูก็คงเสียใจไม่น้อย
แต่ที่ครูเสียใจไม่ใช่เพราะเสียดายเขา แต่เสียใจที่ครูปล่อยให้เขากับครูเกิดความบาดหมางระหว่างกันขึ้นมาจนได้
ครูถือคติว่า เกิดมาเป็นคนกับเขาชาติหนึ่ง ไม่ควรโกรธหรือเป็นศัตรูกับใคร และไม่ควรสร้างเงื่อนไขให้ใครต้องมาเป็นศัตรูกับเรา คนจีนเขาสอนลูกหลานกันมานานหลายชั่วคนแล้วว่า
“มีมิตร ๕๐๐ คนยังน้อยไป มีศัตรู ๑ คนก็นับว่ามาเกินพอ”
คนเรากว่าจะคบกัน เรียนรู้กัน เชื่อใจกัน และร่วมมือร่วมใจกันลงหลักปักฐานทำงานอะไรสักอย่างหนึ่งจนเติบโตมาด้วยกัน ทั้งความสัมพันธ์และความสำเร็จทางธุรกิจ ต้องใช้เวลาเรียนรู้กันนานเหลือเกิน แต่แล้ววันหนึ่งขณะที่ทุกอย่างกำลังไปได้ดีก็กลับมาแตกคอกันเอง
กลายเป็นน้ำแยกสายไผ่แยกกอ เพียงเพราะตกเป็นทาสของความโกรธชั่ววูบเดียว
เรื่องอย่างนี้เป็นใครก็ต้องเสียใจเป็นธรรมดา
ยิ่งเมื่อเวลาผ่านไปเราได้ค้นพบว่าตนเองเป็นฝ่ายผิด
ความเสียใจซึ่งมันควรจะจบไปแล้วในอดีต
ก็จะวกกลับมาทำร้ายเราซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่รู้กี่ครั้งกี่หน
เพราะเหตุนี้เอง ครูถึงได้บอกว่า เกิดมาเป็นคนกับเขาชาติหนึ่งแล้ว อย่าได้เป็นศัตรูกับใครเขาเลย
เพราะไม่เพียงแต่เราจะเจ็บปวดจากการทำร้ายของศัตรูเท่านั้น หากเราเองยังจะต้องเจ็บปวดเพราะการทำร้ายตัวเองด้วย “ความทรงจำอันเลวร้าย” ที่แทรกตัวอยู่ในจิตใจสำนึกของเราเองอีกต่างหาก
ครูบอกเขาว่า นิ้วทั้งห้าของคนเรานั้นสั้นยาวไม่เท่ากันฉันใด คนทุกคนต่างก็มีศักยภาพทางสติปัญญาไม่เท่ากันฉันนั้น
ก่อนที่เราจะดุใครหรือโกรธใคร ไม่ว่าจะเป็นลูกน้อง เพื่อน คนรัก
หรือลูกศิษย์ของเราก็ตาม จึงควรถามตัวเองก่อนว่า เราใช้เขาให้สอดคล้องกับศักยภาพอันแท้จริงของเขาหรือไม่ เพียงไร
(Put the right man on the right job)
หากเราคิดเช่นนี้ทุกครั้งก่อนที่จะดุหรือตำหนิคนอื่น
เราจะพบว่าแท้ที่จริงแล้ว คนที่ควรตำหนิมากที่สุดก็คือตัวของเรานั่นเอง เขียนมาถึงตรงนี้ทำให้ครูนึกถึงกวีนิพนธ์บทหนึ่งว่า
เมื่อพูดไปเขาไม่รู้กลับขู่เขา ว่าโง่เง่างมเงอะเซอะนักหนา
ตัวของตัวทำไมไม่โกรธา ว่าพูดจาให้เขาไม่เข้าใจ
เมื่อครูพูดมาถึงตอนนี้ ครูสังเกตเห็นว่าเสียงของคู่สนทนาค่อยแจ่มใสขึ้น และสุดท้ายเขาก็สามารถหัวเราะเยาะความโง่เขลาของตัวเองได้อย่างอาจหาญ
เขาสัญญากับครูว่า เหตุการณ์เช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก และครูเองก็ดีใจที่วันรุ่งขึ้นเขาโทรศัพท์มาบอกครูว่า
เขา “เคลียร์” ทุกอย่างให้จบลงด้วยดีแล้ว ครูถามเขาว่าทำได้อย่างไร
“ขอโทษครับ ผมผิดเอง”
คือคำตอบที่เขาใช้กับลูกน้องคนสำคัญของตัวเอง
และด้วยถ้อยคำง่าย ๆ เพียงไม่กี่คำนี้เอง
ฟ้าหลังฝนก็กลับมาสดใสเหมือนเดิม
ปราณ เธอคงงงมากสินะว่า คำว่า “ขอโทษครับ ผมผิดเอง”
มีปาฏิหาริย์มากถึงเพียงนี้เชียวหรือ
ตามหลักทางจิตวิทยาเธอก็คงรู้ดีว่า
มนุษย์ทุกคนล้วนอยากให้คนอื่นมองเห็นตนว่าเป็นคนสำคัญ
และต่างก็มี “ปม” ด้วยกันทั้งนั้น มากบ้างน้อยบ้างตามแต่ภูมิหลังของใครของมัน คนบางคนก็มีปมอยากเด่น บางคนก็มีปมด้อยที่อยากปกปิด บางคนก็มีปมที่อยากชดเชยให้กับตัวเอง
แต่ปมทั้งหมดนั้น พระพุทธเจ้าของเราทรงใช้คำสั้น ๆ เรียกมันว่า “ตัวกู”
และเรื่อง “ของกู” เท่านั้นเอง
โดยเฉพาะเรื่อง “ตัวกู” นั้นสำคัญยิ่งกว่า “ของกู” อีกหลายเท่าตัวทีเดียว
เพราะถ้าไม่มี “ตัวกู” ความรู้สึกว่า “ของกู” ก็ไม่เกิดตามมา
ที่ลูกน้องระดับ “มืออาชีพ” ของเขารีบหายโกรธเจ้านายทันที
หลังจากที่ได้ยินคำว่า “ขอโทษครับ ผมผิดเอง” นั้น
ก็เป็นเพราะเขาซึ่งเป็นผู้ฟังอยู่รู้สึกว่า “ตัวกู” ของเขาไม่ผิด
ตัวกูของเจ้านายต่างหากที่ผิด
เมื่อผลักความรู้สึกผิดออกไปจากอกของตัวเองเสียได้
และมีคนมารับช่วงเป็นเจ้าของความผิดแทนตัวกูของเขา ก็เป็นไทและพ้นจากความผิด ส่วนการที่เจ้านายขอให้เขากลับมาร่วมงานกันอีกครั้งหนึ่งนั้น
ก็เป็นเพราะผู้ฟังรู้สึกว่าตัวกูของเขา ได้รับการเชิดชูให้ลอยเด่นขึ้นมา โดยผู้ที่ยกให้ลอยนั้นเป็นเจ้านายของเขาเสียด้วย เขาจึงยอม
เรื่องนี้ฟังดูก็เหมือนง่าย แต่ความจริงมันยากมากทีเดียวที่จะทำให้เป็นจริงในทางปฏิบัติ เพราะคงจะมีคนที่เป็นนายคนไม่กี่คนเท่านั้นที่ยอมลด “ตัวกู” ของตัวเอง
ให้อยู่ต่ำกว่า “ตัวกู” ของลูกน้อง
ตรงนี้แหละที่ครูถือว่าเป็นเคล็ดลับของการบริหารตัวกูละ
ถ้าเธอเข้าใจเรื่อง “ตัวกู” ทั้งของตนและของคนอื่น เธอก็ควรจะรู้ว่าถ้าเธออยากอยู่กับคนทั้งโลกอย่างมีความสุขก็จงถือคติ
๑. อย่าดูหมิ่นตัวกูของใคร
๒. อย่าอวดตัวกูข่มใคร เพราะจะทำให้เกิดการปะทะกันระหว่างตัวกู
๓. อย่าขโมยตัวกูของใครมาเป็นตัวกูของตัวเอง (อันเดียวกับขโมยลิขสิทธิ์นั่นเอง)
๔. อย่ามีตัวกูแทรกอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก
คนเราทุกคนรักตัวกูยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
ที่โกรธ เกลียด ชิงชัง ทำลายล้างกันอย่างมโหฬารอยู่ทุกวันนี้
ล้วนมีที่มาจากเจ้า “ตัวกู” นี้ทั้งนั้น
เจ้าตัวกูนี้ถ้าเราไม่เรียนรู้ที่จะกำจัดมัน บางมีมันก็ขยายตัวจนกลายเป็นตัวกูระดับประเทศหรือระดับโลก อย่างตัวกูของประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นต้น ซึ่งใคร ๆ แตะไม่ได้เลย
ตัวกูจึงเป็นรากฐานที่ตั้งที่เกิดของความโกรธทุกระดับชั้น ตั้งแต่ความโกรธของปัจเจกชนไปจนถึงความโกรธของคนทั้งประเทศและของโลก ถ้าเราหมดตัวกูได้เมื่อไร ก็หมดความโกรธ หมดปัญหา และหมดทุกข์ เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ผู้หมดตัวกูแล้ว ท่านถึงไม่เคยต่อล้อต่อเถียงหรือโกรธกับใครเขาทั้งโลกเลยยังไงล่ะ
ครูเอง
คัดลอกจาก...คุณกอบ
http://larndham.net
 |
|
|
|
   |
 |
I am
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972
|
ตอบเมื่อ:
04 มิ.ย.2007, 3:28 pm |
  |
สาธุครับ...
มานะทิฐิ ยิ่งใหญ่เทียมฟ้าจริง ๆ ครับ...  |
|
_________________ ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก |
|
     |
 |
|