Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
ดร.ระวี ภาวิไล...ชีวิตไม่ใช่ลิขิตจากดวงดาว
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
ตอบเมื่อ: 21 พ.ค.2007, 3:36 pm
จากข้อมูลของสมาคมดาราศาสตร์ไทยระบุว่าในปี 2550 นี้
จะเป็นปีที่จะมีปรากฏการณ์พิเศษ ทางดาราศาสตร์เกิดขึ้น
คือ มีอุปราคาเกิดขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง
เป็นสุริยุปราคาและจันทรุปราคาอย่างละสองครั้ง
โดยเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง ในวันที่ 4 มีนาคม และ 28 สิงหาคม
ส่วนสุริยุปราคาบางส่วนในวันที่ 19 มีนาคม และ 11 กันยายน
ซึ่งประเทศไทยมีโอกาสได้เห็นจันทรุปราคาทั้งสองครั้ง
และสุริยุปราคาอีกหนึ่งครั้ง
ปรากฏการณ์ดังกล่าว อาจทำให้หลายคนมีความเชื่อกันไปต่างๆนานา
บ้างก็ว่าเป็นเป็นเพียงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ
แต่บ้างก็ว่าเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งโชคร้าย
และจะหลีกหนีความโชคร้ายนั้นได้
ด้วยการเซ่นไหว้หรือสะเดาะเคราะห์ต่างๆ นานา
แต่ผู้ที่จะให้ความกระจ่างในเรื่องนี้ได้ดีที่สุด
เห็นจะเป็นผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญทั้งทางด้านดาราศาสตร์
และพระพุทธศาสนา
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.ระวี ภาวิไล
นักดาราศาสตร์คนสำคัญของเมืองไทย
ราชบัณฑิตสาขาดาราศาสตร์
อดีตประธานสมาคมดาราศาสตร์ไทย
ซึ่งสนใจศึกษาพระพุทธศาสนามาตั้งแต่ครั้งเป็นนิสิต
ในคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จนมีความรู้ด้านพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง
และปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการธรรมสถานของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
นอกจากนี้ ดร.ระวียังเป็นผู้ที่มีความสามารถในงาน ด้านวรรณศิลป์
เป็นอย่างยิ่ง ท่านได้เขียนและแปลหนังสือเกี่ยวกับดาราศาสตร์
และพุทธศาสนาไว้หลายเล่ม อาทิ ดาราศาสตร์และอวกาศ,
ดาวหาง, ปรัชญาชีวิต, ศาสนากับปรัชญา, หัวใจของศาสนาพุทธ,
ชีวิตที่ดีงาม คุณค่าชีวิต ฯลฯ เพื่อให้ข้อคิดและสติปัญญาแก่สังคม
ในแง่ของคติการดำเนินชีวิตจากหลักธรรมคำสอนของศาสนา
อีกทั้งยังได้คิดค้นแบบจำลองจิต-เจตสิก
ซึ่งช่วยให้ผู้ที่ศึกษาพระอภิธรรม
สามารถเข้าใจพระอภิธรรมได้ง่ายขึ้นด้วย
ล่าสุดในปี 2549 ที่ผ่านมาท่านได้รับรางวัลศิลปินแห่งชาติ
สาขาวรรณกรรมพระพุทธศาสนาในประเทศไทย
ทราบว่าอาจารย์มีความสนใจทั้งวิทยาศาสตร์ และพุทธศาสนา
ไม่ทราบว่าทั้งสองสิ่งนี้มีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรบ้างคะ
ผมว่าพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์ มันมีความสอดคล้องกันนะ
ทั้งพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์
ต่างก็เป็นเรื่องของการแสวงหา
ความรู้ความเข้าใจในเรื่องของโลกและชีวิต
คือ มนุษย์เราต่างก็มีความปรารถนา ที่จะรู้เรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ บนโลก
ที่มีผลต่อชีวิตของเรา หากเราศึกษาพุทธศาสนาจากพุทธประวัติ
ก็จะทราบว่า ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้นั้น
พระองค์ทรงเล็งเห็นว่า ปัญหาสำคัญของชีวิต ก็คือ ความทุกข์
จากนั้นพระองค์ก็แสวงหาวิธีการที่จะดับทุกข์
เมื่อพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ จึงเกิดเป็นพระพุทธศาสนา
ซึ่งการตรัสรู้นั้นก็หมายถึง การเกิดความรู้ที่มีความสำคัญ
ซึ่งสามารถนำความรู้นั้นไปใช้แก้ปัญหาของมนุษย์ได้
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า วิทยาศาสตร์กับศาสนา
ต่างก็เป็นเรื่องของความรู้ของมนุษย์ ตรงนี้คือ สิ่งที่สอดคล้องกัน
ส่วนจุดที่ต่างกันก็คือ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์
เป็นความรู้ที่มนุษย์ค้นคว้าและถ่ายทอดสืบต่อกันโดยตำรา
และวิธีการต่างๆ เป็นความรู้ที่มีการปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา
เป็นความรู้ที่เพิ่มเติมขึ้นไม่มีที่สิ้นสุด
ความรู้ที่ยังไม่สมบูรณ์ ก็สมบูรณ์ยิ่งขึ้นๆ
เป็นการขยายตัวตลอดมา
ตั้งแต่เริ่มมีการค้นคว้าหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์
อะไรที่ยังไม่ถูกต้องก็ถูกแก้ไข ซึ่งจะเป็นอย่างนี้เรื่อยไป
จะเกิดความรู้ที่ละเอียดขึ้น กว้างขึ้น ไม่มีวันจบ
แต่ความรู้ทางพุทธศาสนาเป็นความรู้ที่พระพุทธองค์
ทรงบรรลุถึงขั้นสูงสุดแล้ว
ผู้ที่ศึกษาพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง
จะสามารถเข้าใจวิถีทางของชีวิตอย่างสมบูรณ์
และสามารถ พบทางพ้นทุกข์ได้
ความรู้ทางศาสนานั้น จะช่วยให้เราปรับตัวในวิถีทางที่เหมาะสม
เนื่องจากการที่เราปฏิบัติตามแนวทางของพุทธศาสนา
จะทำให้ปัญหาต่างๆคลี่คลายลง หรือไม่ก่อให้เกิดปัญหาตามมา
หากเราพัฒนาจิตใจของเรามากขึ้นๆ
เราก็จะมีความสามารถแก้ปัญหาในเรื่องความรู้สึก
เป็นสุขเป็นทุกข์ได้ดียิ่งขึ้นด้วย
ความรู้ทางศาสนา เป็นความรู้ที่ช่วยปรับทั้งด้านร่างกายและจิตใจให้ดีขึ้น
มีคำ กล่าวว่าพระพุทธเจ้านั้น เมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้ว
ทรงรู้ทุกสิ่ง หมายความว่า ถึงยอดสูงสุดในเรื่องชีวิตแล้ว
จากนั้นพระองค์ก็เที่ยวประกาศสั่งสอนให้คนอื่นๆรู้ตาม
พระองค์ทรงมีความรู้เพียงพอ ที่จะทำให้ทุกข์สิ้นไปได้
และถ้าเราทำตามวิธีปฏิบัติของพระองค์
ถึงขั้นที่จะทำให้ทุกข์สิ้นไปได้ เราก็จะพ้นทุกข์
อยากให้อาจารย์ช่วยมองว่า
กรณีที่เกิดจันทรุปราคาและสุริยุปราคาที่ผ่านมา
มีผลต่อโลกและชีวิตของมนุษย์หรือไม่
อย่างไรคะ เพราะคนส่วนใหญ่มักเชื่อกันว่า จะทำให้เกิดโชคร้าย
ถึงขนาดบางคนต้องนำของดำไปเซ่น ไหว้ราหูเพื่อสะเดาะเคราะห์
แทบจะไม่มีผลเลย เป็นแค่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ
ที่ดาวเคราะห์และดวงอาทิตย์โคจรมาอยู่ในตำแหน่งที่ซ้อนกัน
ทำให้แสงสว่างบางส่วนถูกบดบังและเกิดเป็นเงา คือ จันทรุปราคา
เกิดจากโลกไปบดบังแสงอาทิตย์ที่ส่องมายังดวงจันทร์
ทำให้เกิดเงาทอดปรากฏบนดวงจันทร์ และเกิดเป็นเงามืด
ส่วนสุริยุปราคาก็เกิดจากดวงจันทร์โคจรไปบังแสงอาทิตย์
ที่ส่องมายังโลก ทำให้เราเห็นพระอาทิตย์มืดไปบางส่วน
ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวไม่ได้มีอิทธิพลต่อโลก
เหมือนกับการโคจรรอบโลกของดวงจันทร์ ที่ทำให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลง
ดังนั้นการที่คนเราเชื่อว่าเมื่อเกิดจันทรุปราคาหรือที่เรียกว่า
ราหูอมจันทร์ เราจะต้องหาของดำมาเซ่นไหว้
เพื่อสะเดาะเคราะห์นั้นก็เป็นแค่ความเชื่อ
ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร
นอกจากทำให้รู้สึกสบายใจเท่านั้น
คนเราถ้าจะถือจะเชื่อ ก็คิดไปสารพัด
เห็นแสงสะเก็ดดาวตกวาบลงมา ก็เรียกว่า เป็นดาวตก
และเชื่อว่าจะมีคนมีบุญมาเกิด ทั้งที่มันไม่ได้มีเหตุผลอะไรมารองรับ
ถ้าอย่างนั้นคนที่ดูดวงโดยนำวันเดือนปีเกิด
มาคำนวณและผูกโยงกับการโคจรของดวงดาวล่ะคะ
มีความเที่ยงตรงแม่นยำแค่ไหน
เนื่องจากโดยธรรมชาติคนเราจะมีความกลัวและไม่มั่นใจกับอนาคต
ห่วงว่าพรุ่งนี้ จะเป็นยังไง ปีหน้าจะเป็นยังไง
ถ้ามีวิธีการอะไรที่จะสามารถรู้อนาคตได้ก็เอาหมด จึงวิ่งไปหาหมอดู
หาร่างทรง ซึ่งหมอดูก็มีหลายแบบ ทั้งหมอดูไพ่ป็อก หมอดูไพ่ทาโร่
หมอดูบางคนก็ดูดวงแก้ว แล้วบอกว่าเห็นอนาคต
แล้วก็หมอดูที่ดูดวงจากวันเดือนปีเกิด
ซึ่งการดูดวงแบบหลังนี้ ก็เป็นศาสตร์อย่างหนึ่งที่เชื่อว่า
ดวงดาวมีอิทธิพลต่อชีวิต เขาก็จะดูว่าตอนที่คนคนนั้นเกิด
ดาวอยู่ตรงตำแหน่งใดบนท้องฟ้า แล้วดาวนั้นทำมุม อย่างไรต่อกัน
ทำมุมอย่างไรต่อคนคนนั้น
อีกความเชื่อหนึ่งก็คือ เชื่อว่าแต่ละคนมีดาวประจำตัวที่เรียกว่า
ลักขณา ขณะเกิดจะมีดาวประจำตัวขึ้นที่ขอบฟ้า
เป็นตำแหน่งของลักขณาประจำตัว
เวลาดูดวงก็จะดูว่า ช่วงเวลาขณะนั้นตำแหน่งลักขณาของคนคนนั้น
ทำมุมอย่างไรกับดาวอื่นๆ บนท้องฟ้า
คือ ปกติดวงดาวต่างๆจะโคจรไปเรื่อยๆ
ตำแหน่งที่ดวงดาวนั้นอยู่ในขณะที่เราเกิด
กับตำแหน่งของดวงดาวในปัจจุบัน จึงแตกต่างกัน
เขาก็จะเอาตำแหน่งของดาวในปัจจุบัน
มาคำนวณเปรียบเทียบกับตำแหน่งของดวงดาวตอนเราเกิด
หรือตำแหน่งของ ลักขณาประจำตัวของเรา
ก็ถือเป็นจินตนาการหรือความเชื่อแบบหนึ่ง
นำมาเขียนเป็นตำรับตำราและตกทอดกันมา
ส่วนจะเที่ยงตรงแม่นยำไหมนั้น เป็นสิ่งที่ไม่สามารถยืนยันได้
แต่สำหรับความรู้ในทางวิทยาศาสตร์นั้น บอกว่าวัตถุต่างๆ
ดูดกันด้วยแรงโน้มถ่วง เช่น โลกของเราจะมีแรงดึงดูดให้ของต่างๆ
ตกลงบนพื้นโลก ถ้าวัตถุยิ่งอยู่ใกล้กันแรง ดึงดูดก็ยิ่งมาก
เพราะฉะนั้นดวงจันทร์ซึ่งอยู่ใกล้โลกมากที่สุด มีแรงดึงดูดมากที่สุด
ก็น่าจะมีอิทธิพลต่อชีวิตของคนมากที่สุด
แต่ในทางโหราศาสตร์กลับบอกว่า ดาวเสาร์ ดาวอังคาร
ซึ่งอยู่ไกลออกไปมากมีอิทธิต่อชีวิต
อีกทั้งราหูที่เชื่อกันว่า จะส่งผลต่อชีวิตของคนเรา
มันก็เป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน เป็นแค่เงามืดของโลก
ที่ทอดไปบดบังแสงอาทิตย์ที่ส่องมายังดวงจันทร์เท่านั้น
แล้วที่บางคนเชื่อว่าดวงดาวเป็นตัวที่บ่งบอกถึงโชคชะตาชีวิต
ดังนั้นการจะทำอะไรจะต้องดูฤกษ์ยามก่อนทุกครั้ง
ตรงนี้อาจารย์มองอย่างไรคะ
จริงๆ แล้วความเชื่อที่ว่า สิ่งเหนือธรรมชาติสามารถดลบันดาลให้มนุษย์
เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มันมีมาตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธกาล
เช่น กลัวเจ้าที่เจ้าทาง ผี หรือเทวดา
เนื่องจากคนเรามีความกลัวเป็นปกติ กลัวเจ็บ กลัวเสื่อม กลัวตาย
ถ้าคิดว่าใครมีอำนาจ ก็จะไปพึ่งพา
ถ้าคิดว่าผีมีอำนาจ ก็จะไปเซ่นสรวงกราบไหว้
พอเริ่มมีศาสนา ก็อาจจะมีผู้ประกาศศาสนาหรือผู้นำลัทธิบางคน
ที่ต้องการแสวงหาประโยชน์อาศัยความเชื่อของชาวบ้านว่า
ถ้ากลัวก็ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้
บางคนก็อ้างตัวว่าสามารถติดต่อกับเทพ ติดต่อกับวิญญาณได้
ชาวบ้านที่มาพึ่งพาก็ต้องเสียค่าตอบแทน
ความเชื่อเรื่องอิทธิพลของดวงดาวกับชีวิตก็เป็นความเชื่อแบบหนึ่ง
แต่ในทางพุทธศาสนา ไม่ถือว่าดวงดาวมีอำนาจต่อชีวิต
ในบทสวดมนต์บางบทก็ บันทึกไว้ว่า
เวลาที่สัตว์ประพฤติชอบ ชื่อว่าฤกษ์ดี มงคลดี
สว่างดี รุ่งดี และขณะดี ครู่ดี
แปลว่าเมื่อไรทำดีก็ถือว่าฤกษ์ดีแล้ว ทำดีตอนไหนก็ดีทั้งนั้น
ดังนั้นการจะทำงานมงคลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่
ฤกษ์ยามจึงไม่มีผล ซึ่งตามธรรมเนียมของชาวพุทธนั้น
เวลาจะทำงานมงคลอะไรก็จะนิมนต์พระมาสวด เพื่อเป็นสิริมงคล
เพราะบทสวดมนต์ ก็คือ การนำเอาคำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า
มาเรียบเรียง และหากผู้ฟังได้นำคำสอนนั้นมาประพฤติปฏิบัติ
ก็จะเกิดผลดีกับชีวิต ซึ่งเรียกได้ว่า เป็นมงคลของชีวิต
หรือการได้ยินคำอวยพรก็ถือว่า เป็นมงคลเช่นกัน
ขอให้อาจารย์ช่วยขยายความคำว่า มงคล
เพื่อให้เข้าใจง่ายๆ ค่ะ
หากจะขยายคำว่า มงคล ก็แปลว่า
สิ่งที่ทำให้เกิดความเจริญในชีวิต ป้องกันไม่ให้ชีวิตพบกับความเสื่อม
คือ ทุกยุคทุกสมัยผู้คนก็จะแสวงหาว่า อะไรที่เป็นมงคล
ซึ่งในสมัยพุทธกาลก็มีปัญหานี้เช่นกัน
คนก็กล่าวกันไปต่างๆนานา
ผู้ที่ตั้งตนเป็นผู้รู้ก็ชี้นำว่า สิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นมงคล
จึงมีคนไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า อะไรที่ทำให้เกิด มงคล
พระองค์ก็ทรงตรัสสอนเรื่อง มงคลชีวิต
ที่เรารู้จักกันในนาม
มงคลชีวิต 38 ประการ
ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติที่ทำให้สมาชิกในครอบครัวดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง
และนำความสุขมาสู่ครอบครัว
และถือว่าเป็นธรรมะสำหรับฆราวาสหรือผู้ครองเรือน
เป็นสิ่งที่จะนำพาให้ชีวิตมีความก้าวหน้าเจริญรุ่งเรือง
(มาถึงตรงนี้อาจารย์ก็อธิบายมงคลทั้ง 38 ประการ
ให้ฟังอย่างละเอียดด้วยความเมตตา)
ในโอกาสที่เดือนเมษายนมีประเพณีสงกรานต์
ซึ่งก็มีการรดน้ำขอพร ผู้หลักผู้ใหญ่กัน
ตรงนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดมงคลหรือเปล่าคะ
การรดน้ำขอพรผู้ใหญ่ในวันสงกรานต์นั้น
ก็ถือเป็นวัฒนธรรมประเพณีที่ดีของไทย เป็นการกราบไหว้ผู้เฒ่าผู้แก่
เพื่อแสดงความเคารพ แสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ปู่ย่าตายาย
ซึ่งถือเป็นความดีอย่างหนึ่ง และเป็นมงคลอย่างหนึ่ง
ที่อยู่ในมงคลชีวิต 38 ประการ
ดังนั้นจึงถือว่าเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดมงคลต่อชีวิต
อีกทั้งถ้าเราได้นำคำแนะนำดีๆ ของผู้หลักผู้ใหญ่ไปปฏิบัติ
ก็ย่อมจะส่งผลให้ชีวิตเจริญก้าวหน้า
คนโบราณเขาฉลาด เขามักจะแฝงสิ่งดีๆ
ไว้ในขนบธรรมเนียมประเพณีเสมอ
ปัจจุบันนี้วัฒนธรรมดีๆ ในการเล่นสงกรานต์มันหายไปเยอะ
ไม่ค่อยมีใครไปรดน้ำขอพรผู้ใหญ่กันแล้ว
มีแต่เล่นสาดน้ำกันโครมๆ ไม่เหมือนสงกรานต์สมัยก่อน
ที่เราไปทำบุญ ถวายภัตตาหารพระ
เดี๋ยวนี้ก็มีบ้างแต่ไม่มาก คือ สมัยก่อนผู้คนรวมกันอยู่เป็นครอบครัวใหญ่
ทำบุญไหว้พระ แล้วทั้งผู้ใหญ่และลูกๆ หลานก็กินข้าวด้วยกัน
จากนั้นก็มีการรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ ปู่ย่าตายายก็ให้ศีลให้พร
หรือวัดบางแห่งก็มีประเพณีให้ชาวบ้านช่วยขนทรายเข้าวัด
แล้วก็มีการก่อเจดีย์ทรายกัน ก็เป็นกุศโลบายอย่างหนึ่ง
เพราะในแต่ละปีฝนตก น้ำท่วม ดินทรายที่อยู่รอบบริเวณวัดก็ร่อยหรอไป
วิธีที่ให้ชาวบ้านช่วยกันนำทรายมาถมที่ให้วัด
ก็คือ การจัดงานขนทรายเข้าวัด ซึ่งเป็นงานบุญ
ชาวบ้านก็จะไปขนทรายจากริมแม่น้ำมาที่วัด
นอกจากนั้นก็มีการสร้างสีสันให้เกิดความสนุกสนาน
ด้วยการแข่งกันก่อเจดีย์ทราย
แต่เดี๋ยวนี้ถ้าจะให้ชาวบ้านช่วยหาทรายมาถมที่วัด
ทางวัดต้องซื้อทรายมาเอง
แล้วให้ชาวบ้านที่มาร่วมงานขนทรายเข้าวัด
ทำบุญบริจาคเป็นเงินแทน เพราะเดี๋ยวนี้คน
ไม่รู้จะไปหาทรายที่ไหนแล้ว (หัวเราะ)
.........
นักดาราศาสตร์คนสำคัญของไทยท่านนี้
ถือเป็นปราชญ์และปูชนียบุคคลที่ควรค่า แก่การเคารพบูชา
ดังที่ลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายให้ความเคารพกราบไหว้มาโดยตลอด
อย่างไม่เสื่อมคลาย ทุกวันนี้ ดร.ระวี ภาวิไล ในวัย 82 ปี
ใช้ชีวิตอย่างสมถะ และมีความสุขอยู่กับการเป็นอาจารย์สอนพระพุทธศาสนา
ที่ธรรมสถานจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ที่สำคัญ ตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมา ดร.ระวี
ได้เลือกทางเดินของชีวิตตามคำสอนของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
โดยไม่ปล่อยให้ชีวิตตกอยู่ภายใต้การลิขิตของดาวดวงใดๆ เลย
จากหนังสือพิมพ์ธรรมลีลา ฉบับที่ 77 เม.ย. 50 โดย จินตปาฏิ
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 10 เมษายน 2550 18:01 น.
I am
บัวบานเต็มที่
เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972
ตอบเมื่อ: 23 พ.ค.2007, 8:30 am
_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th