Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
พุทธศาสนา หรือ สันติภาพ ? (พระไพศาล วิสาโล)
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ผู้ตั้ง
ข้อความ
เว็บมาสเตอร์
บัวบานเต็มที่
เข้าร่วม: 19 มี.ค. 2005
ตอบ: 993
ตอบเมื่อ: 20 พ.ค.2007, 6:43 am
พุทธศาสนา หรือ สันติภาพ ?
โดย พระไพศาล วิสาโล
ย้อนหลังไปเมื่อ 30 กว่าปีก่อน ขณะที่สงครามเวียดนามใกล้ถึงจุดแตกหัก สหรัฐอเมริกาส่งกำลังเข้าไปหนุนรัฐบาลไซ่ง่อนเต็มอัตราศึก แต่กองกำลังของเวียดกงก็ยังรุกคืบหน้าไม่หยุด เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าชัยชนะของคอมมิวนิสต์ใกล้เข้ามาทุกขณะ
ในช่วงนั้นมีผู้ตั้งคำถามกับ
ท่านติช นัท ฮันห์ ผู้นำขบวนการชาวพุทธเวียดนาม ว่า หากเลือกได้ ท่านจะเลือกอะไรระหว่างพุทธศาสนากับสันติภาพ
ผู้ถามรู้ดีว่า สันติภาพ ในกรณีนี้หมายถึงการยุติสงครามเวียดนามพร้อมกับชัยชนะของคอมมิวนิสต์ และนั่นหมายถึงชะตากรรมของพุทธศาสนาที่ไม่อาจคาดทำนายได้
คำตอบของท่านติช นัท ฮันห์ ก็คือ
หากคุณต้องเลือกระหว่างพุทธศาสนากับสันติภาพ คุณต้องเลือกสันติภาพ เพราะหากคุณเลือกพุทธศาสนาแล้วละทิ้งสันติภาพ พุทธศาสนาย่อมรับไม่ได้ ยิ่งกว่านั้น พุทธศาสนามิใช่วัดหรือองค์กร พุทธศาสนาอยู่ในใจคุณ ถึงแม้คุณไม่มีวัดหรือพระสงฆ์ คุณก็ยังเป็นชาวพุทธในหัวใจและในชีวิตได้
คำตอบดังกล่าวของท่านติช นัท ฮันห์ ย่อมขัดกับความรู้สึกของชาวพุทธเวียดนามจำนวนไม่น้อยในเวลานั้น ที่เห็นว่า หากเวียดนามตกเป็นของคอมมิวนิสต์ (หรือที่เรียกว่า สิ้นชาติ) ก็เท่ากับสิ้นพุทธศาสนาด้วย เพราะรัฐบาลคอมมิวนิสต์ย่อมรังควานชาวพุทธและจ้องทำลายกิจกรรมทางพุทธศาสนาอย่างแน่นอน ดังนั้น ชาวพุทธเหล่านี้จึงทำทุกวิถีทางเพื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์ รวมทั้งสนับสนุนการทำสงครามของสหรัฐและรัฐบาลเวียดนามใต้ แม้ว่านั่นจะหมายถึงชีวิตผู้คนอีกมากมายที่ต้องตายและพลัดที่นาคาที่อยู่
แต่สำหรับท่านติช นัท ฮันห์ สงครามคือสุดยอดแห่งความเลวร้ายทั้งมวล มันไม่เพียงทำลายชีวิตผู้คนและสร้างความทุกข์ทรมานนานัปการแก่ผู้บริสุทธิ์เท่านั้น หากยังดึงเอาส่วนที่เลวร้ายที่สุดออกมาจากจิตใจของผู้คน และกระทำย่ำยีต่อกันชนิดที่มนุษย์ธรรมดาไม่ทำกัน คุณงามความดีและศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ เป็นอันไม่ต้องพูดถึง กล่าวอีกนัยหนึ่งสงครามทำให้คนกลายเป็นสัตว์ หาไม่ก็ต้องตกนรกทั้งเป็น ในสภาพเช่นนี้วัดวาอารามอันยิ่งใหญ่นับหมื่นและประเพณีพิธีกรรมทางศาสนาอันตระการตาจะมีความหมายอะไร ก็พุทธศาสนามีขึ้นเพื่อสันติสุขแห่งมวลมนุษย์มิใช่หรือ ดังนั้น หากต้องเลือกระหว่างสันติภาพกับพุทธศาสนา ชาวพุทธไม่มีทางเลือกใดนอกจากเลือกสันติภาพ หากเลือกพุทธศาสนาแต่สนับสนุนสงคราม นั่นย่อมมิใช่หนทางของชาวพุทธ เพราะพุทธศาสนาย่อมปฏิเสธการฆ่าในทุกกรณี
อย่างไรก็ตาม ท่านติช นัท ฮันห์ ได้ย้ำเตือนเราว่า พุทธศาสนาที่แท้จริงนั้นมิได้อยู่ที่วัดวาอารามหรือพระสงฆ์ แต่อยู่ที่จิตใจของผู้คน ใจที่เป็นกุศล เปี่ยมด้วยเมตตา โอบอ้อมอารีต่อกัน ไม่ถูกครอบงำด้วยโลภะ โทสะ และโมหะ คือที่สถิตของพุทธศาสนาที่แท้ต่างหาก คุณภาพจิตดังกล่าวคือหลักประกันแห่งความยั่งยืนของพุทธศาสนาที่แท้จริง ใช่หรือไม่ว่าคุณภาพจิตเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัยบรรยากาศแห่งความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน ผู้คนปลอดพ้นจากความหวาดระแวงหรือเกลียดชังกัน บรรยากาศเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ในภาวะที่มีสันติภาพเท่านั้น ดังนั้น หากเลือกสันติภาพ ก็ไม่ต้องห่วงว่าพุทธศาสนาจะถูกทำลาย เพราะสันติภาพคือเนื้อนาที่เกื้อกูลต่อการเจริญเติบโตของพุทธศาสนา
ด้วยเหตุนี้ท่านติช นัท ฮันห์ จึงอุทิศตนเพื่อสันติภาพในเวียดนามมาโดยตลอด โดยไม่ถือหางสนับสนุนทั้งรัฐบาลเวียดนามใต้หรือคอมมิวนิสต์
หากเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายหยุดยิง แม้ว่าการทำเช่นนั้นจะเป็นเหตุให้ท่าน (และขบวนการของท่าน) ถูกระแวงจากทั้งสองฝ่าย จนเพื่อนและลูกศิษย์ของท่านต้องถูกสังหารขณะทำงานช่วยเหลือผู้ประสบภัยสงคราม กระนั้นท่านก็ไม่เคยเรียกร้องการแก้แค้น แต่ให้อภัยฆาตกร เพราะท่านเห็นว่าความโกรธเกลียดต่างหากที่เป็นศัตรูของท่าน หาใช่มนุษย์หรือใครคนใดคนหนึ่งไม่
จุดยืนของท่านติช นัท ฮันห์กับขบวนการชาวพุทธเพื่อสันติภาพในเวียดนามนั้น นับว่าแตกต่างอย่างชัดเจนเมื่อเปรียบกับจุดยืนของขบวนการพระสงฆ์และชาวพุทธในลังกาตลอดสามทศวรรษที่ผ่านมา เพราะฝ่ายหลังนั้นเลือกพุทธศาสนา แม้จะต้องละทิ้งสันติภาพก็ตาม ซึ่งเป็นแรงผลักดันสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้สงครามกลางเมืองระหว่างชาวสิงหลกับชาวทมิฬยืดเยื้อมาร่วม 25 ปีแล้ว โดยมีคนตายไม่น้อยกว่า 80,000 คน อีกนับล้านกลายเป็นผู้อพยพ
แม้ว่าความขัดแย้งระหว่างชาวสิงหล (ซึ่งมีประชากร 3 ใน 4 ของประเทศ) กับชาวทมิฬ (ซึ่งนับถือศาสนาฮินดู) จะยืดเยื้อยาวนานกว่าพันปี แต่ได้ปะทุอย่างรุนแรงในช่วง 50 ปีที่ผ่านมาหลังจากได้รับเอกราชจากอังกฤษ จุดเริ่มต้นเกิดขึ้นเมื่อชาวสิงหลต้องการฟื้นฟูสถานะที่เคยตกต่ำในสมัยอาณานิคมให้กลับคืนมา ประเด็นสำคัญที่เรียกร้องคือ ให้ภาษาสิงหลเป็นภาษาราชการภาษาเดียว (แทนที่จะใช้ภาษาอังกฤษ) ซึ่งเท่ากับเปิดโอกาสให้คนสิงหลสามารถเข้ามหาวิทยาลัยได้มากขึ้น รับราชการได้มากขึ้น หรือมีงานทำในภาคเอกชนได้มากกว่าแต่ก่อน แต่ข้อเรียกร้องดังกล่าวไม่สำคัญเท่ากับการผลักดันให้ยุติการใช้ภาษาอังกฤษหรือภาษาทมิฬในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยและรับราชการ ซึ่งเท่ากับปิดโอกาสทางการศึกษาและเศรษฐกิจของของคนทมิฬ (ซึ่งส่วนใหญ่เขียนภาษาสิงหลไม่ได้)
การเรียกร้องดังกล่าว มีพระสงฆ์เป็นแกนนำ และใช้การรณรงค์ทุกรูปแบบ (รวมทั้งการอดอาหารในรัฐสภา เดินขบวน และหาเสียงให้พรรคการเมืองที่เห็นด้วยกับตน) เมื่อบรรลุผลสำเร็จ ก็ขยายไปสู่มาตรการอื่นๆ ต่อไป
รวมทั้ง การยึดโรงเรียนส่วนใหญ่ให้เป็นของรัฐ โดยใช้ภาษาสิงหลเป็นสื่อกลางอย่างเดียวเท่านั้น ทำให้ชาวทมิฬเกิดความไม่พอใจ รู้สึกถูกบีบคั้นเสมือนพลเมืองชั้นสอง
หลังจากประสบความล้มเหลวในการต่อต้านซึ่งมักจบลงด้วยความรุนแรง จึงพากันเรียกร้องให้มีการปกครองตนเอง (แบบสหพันธรัฐ) ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งมีคนทมิฬอาศัยเป็นส่วนใหญ่ แต่ในสายตาของคนสิงหลนี้คือสัญญาณของการแยกดินแดน
ลำพังลัทธิชาตินิยมอย่างเดียวก็ทำให้คนสิงหลรับไม่ได้กับข้อเสนอดังกล่าว เพราะถือว่าเกาะลังกาทั้งเกาะเป็นของชาวสิงหล แต่คนสิงหลยังมีความเชื่อมากกว่านั้นว่า ความเป็นสิงหลกับความเป็นพุทธนั้นแยกจากกันไม่ออก ความเจริญรุ่งเรืองของสิงหลคือความเจริญรุ่งเรืองของพุทธศาสนา ภาษา วัฒนธรรม และดินแดนของสิงหลเป็นหนึ่งเดียวกับพุทธศาสนา ดังนั้น หากดินแดนของสิงหลต้องถูกแยกออกไปก็มีผลต่อความเสื่อมถอยของพุทธศาสนาด้วย
พระสงฆ์ซึ่งถือว่าตนมีภารกิจปกป้องพุทธศาสนา จึงทำทุกวิถีทางเพื่อต่อต้านการปกครองตนเองของชาวทมิฬ (โดยที่ก่อนหน้านั้นก็ได้ประสบความสำเร็จมาแล้ว ในการเรียกร้องให้รัฐธรรมนูญบรรจุข้อความยกย่องพระพุทธศาสนาให้เป็นศาสนาที่มีความสำคัญเป็นอันดับหนึ่งของชาติ) แต่ยิ่งต่อต้าน ความขัดแย้งก็ลุกลามมากขึ้น จนชาวทมิฬจำนวนหนึ่งหมดความหวังกับสันติวิธี จึงจับอาวุธขึ้นสู้ ซึ่งก็ยิ่งปลุกเร้าความเกลียดชังระหว่างคนสองเชื้อชาติมากขึ้น
จนในที่สุดก็เกิดจลาจลในปี พ.ศ. 2526 ซึ่งขยายไปหลายเมือง และมีคนตายร่วม 2,000 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวทมิฬ
นับแต่นั้นสงครามกลางเมืองระหว่างสิงหลกับทมิฬก็เกิดขึ้น ทั้งสองฝ่ายใช้วิธีการทุกรูปแบบในการสังหารกัน รวมทั้งการทิ้งระเบิดปูพรม และการใช้ระเบิดพลีชีพ โดยผู้รับเคราะห์ส่วนใหญ่เป็นผู้บริสุทธิ์ ตลอดสองทศวรรษที่เกิดสงคราม มีหลายกลุ่มเรียกร้องสันติภาพ โดยเสนอให้มีการกระจายอำนาจให้ชาวทมิฬ แต่ก็มักถูกต่อต้านโดยกลุ่มพระสงฆ์จำนวนมาก ซึ่งเห็นว่าความรุ่งเรืองของสิงหลและพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่ประนีประนอมไม่ได้ หลายรูปถึงกับเข้าร่วมกับกองกำลังติดอาวุธสิงหล (JVP) เพื่อต่อต้านรัฐบาลที่มีแนวโน้มประนีประนอมกับฝ่ายทมิฬ ในขณะที่นับพันเข้าร่วมการประท้วงทุกครั้งที่เห็นว่ารัฐบาลกำลังโอนอ่อนให้ฝ่ายทมิฬ
แม้ปัจจุบันประชาชนทั้งสองฝ่ายจะเหนื่อยหน่ายกับสงคราม แต่สงครามไม่มีทีท่าว่าจะยุติ ทั้งๆ ที่มีการตกลงหยุดยิงมาได้ 5 ปีแล้ว แต่การฆ่าฟันกันก็ยังดำเนินต่อไป ส่วนหนึ่งเพราะรัฐบาลและฝ่ายกบฏ (พยัคฆ์ทมิฬอีแลม) ระแวงซึ่งกันและกัน แต่อีกสาเหตุหนึ่งก็เพราะพระสงฆ์และชาวพุทธจำนวนไม่น้อยยังต่อต้านสันติภาพทุกชนิดที่จะทำให้ความยิ่งใหญ่ของสิงหลและพุทธศาสนาต้องลดน้อยถอยลง ภิกษุรูปหนึ่งซึ่งเป็นแกนนำของพรรคการเมืองซีกรัฐบาล ประกาศเมื่อเร็วๆ นี้ว่า เราต้องทำลาย (ผู้ก่อการร้ายทมิฬ) ก่อน แล้วจึงค่อยเจรจา
ท่านติช นัท ฮันห์
ทุกวันนี้พุทธศาสนาได้รับการยกย่องว่าเป็นศาสนาประจำชาติของศรีลังกา แต่มีความหมายอะไรหากทั้งแผ่นดินนองไปด้วยเลือด ผู้คนเต็มไปด้วยความโกรธแค้นชิงชัง ทุกวันนี้ความรุนแรงระบาดไปถึงครอบครัว มีการทำร้ายทุบตีกันมากขึ้นภายในบ้าน การฆ่าตัวตายโดยเฉพาะในหมู่คนหนุ่มสาวพุ่งสูงเป็นอันดับต้นๆ ในเอเชีย ใช่หรือไม่ว่าการชูธงพุทธศาสนาโดยปฏิเสธสันติภาพ ในที่สุดก็ต้องลงเอยด้วยการบั่นทอนพุทธศาสนาเสียเอง
เป็นเวลา 32 ปีแล้วที่สันติภาพกลับคืนเวียดนาม แม้ชาวพุทธจะถูกกดขี่บีฑาโดยรัฐบาลคอมมิวนิสต์ปีแล้วปีเล่า แต่วันนี้เสรีภาพทางศาสนาเริ่มกลับคืนมา พุทธศาสนากำลังเบ่งบานอีกครั้งหนึ่ง สองปีที่แล้วท่านติช นัท ฮันห์ได้กลับไปเยือนบ้านเกิด หลังจากถูกห้ามเข้าประเทศมาเกือบ 40 ปี ท่านได้รับการต้อนรับเยี่ยงปูชนียบุคคล ผู้คนนับพันพร้อมใจมาฟังธรรมเทศนาและร่วมปฏิบัติกับท่านในทุกเมืองที่ท่านเยี่ยมเยือน สังฆะของท่านขยายตัวอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับอุบาสกและอุบาสิกาบริษัทผู้ศรัทธาในแนวทางของท่าน จนท่านต้องกลับไปเยือนเวียดนามเพื่อโปรดเขาเหล่านั้นอีกครั้งในปีนี้ (ก่อนที่จะแวะมาเมืองไทยในช่วงเทศกาลวิสาขบูชา) วันนี้รัฐบาลคอมมิวนิสต์มิอาจขัดขวางท่านและชาวพุทธผู้ศรัทธาท่านอีกต่อไป วิถีพุทธกำลังกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตชาวพุทธเวียดนามอีกครั้งหนึ่ง
ท่านติช นัท ฮันห์ ได้พิสูจน์ว่า หากเลือกสันติภาพก่อนพุทธศาสนา ในที่สุดพุทธศาสนาก็จะกลับมาตั้งมั่นในแผ่นดินอีกครั้งหนึ่ง ตราบใดที่ยังมีพุทธศาสนาสถิตอยู่กลางใจ สำหรับชาวพุทธไทยที่เห็นว่าความรุนแรงเป็นคำตอบสำหรับการรักษาพุทธศาสนาในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เหตุการณ์ในเวียดนามและศรีลังกาในปัจจุบันคือบทเรียนที่มิอาจมองข้ามได้
............................................................
หนังสือพิมพ์มติชน รายวัน หน้า 6
คอลัมน์ มองอย่างพุทธ โดย พระไพศาล วิสาโล
วันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10662
_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th