| ผู้ตั้ง | ข้อความ | 
| nao7309 บัวผลิหน่อ
 
  
 
 เข้าร่วม: 01 ธ.ค. 2004
 ตอบ: 8
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
12 ม.ค. 2005, 10:37 am |   |  
| ในความรู้สึกของเรา เราว่าเจ้าตัวนี้แหละที่เป็นเครื่องผูกชาวบ้าน ใครต่อใครก็ไม่รู้ให้ต้องมาเจอกัน  และก็ออกจะวุ่นวายกันไปหมด  ชดใช้กรรม แก้กรรม อโหสิกรรมกันให้วุ่นไปหมด  เราก็เลยอยากรู้ว่า  แท้ที่จริงแล้วเจ้าตัวนี้สามารถที่จะแก้ไข หรือช่วยเหลือชาวบ้านชาวช่องทั้งหลายให้เห็นแสงแห่งพระธรรมได้อย่างไรบ้าง  เพราะบางทีเราก็เบื่อๆ กับคนบางคนที่พูดกันไม่ค่อยจะรู้เรื่อง (หรือรู้แต่แกล้งเป็นไม่รู้แฮะ)  อยากชวนเพื่อนเข้าวัด ก็ไม่กล้าเอ่ยปาก  กลัวหาว่าเรางมงาย  อีกอย่างอายุก็ห่างกันเยอะมาก เลยชักลังเล และกำลังตัดสินใจว่าจะคบเจ้าเพื่อนคนนี้ต่อไปนี้หรือไม่ มึนจริงๆ
  |  
          |  |  
|  |  | 
|    | 
|  | 
| โอ่ ผู้เยี่ยมชม
 
 
 
 
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
12 ม.ค. 2005, 5:30 pm |   |  
| ที่ถามนี่ถามเรื่องอะไรครับ? เพราะอ่านแล้วยังไม่เข้าใจจริงๆ
 |  
          |  |  
|  |  | 
|  | 
|  | 
| nao7309 บัวผลิหน่อ
 
  
 
 เข้าร่วม: 01 ธ.ค. 2004
 ตอบ: 8
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
12 ม.ค. 2005, 9:26 pm |   |  
| ที่ถามก็คือเรื่องของสัญญากรรมว่าคืออะไร  แตกต่างจากวิบากกรรมหรือไม่ อย่างไร ถ้าทราบก็รบกวนช่วยอธิบายด้วย  ไม่มีอะไรมาก
 |  
          |  |  
|  |  | 
|    | 
|  | 
| โอ่ ผู้เยี่ยมชม
 
 
 
 
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
12 ม.ค. 2005, 9:43 pm |   |  
| สัญญาแปลว่าความจำได้หมายรู้  หรือเป็นความจำ  หรือเป็นเรื่องของการเก็บเรื่องราวเอาไว้ก็คงได้  กรรมนั้นแปลว่าการกระทำ  วิบากแปลว่าผลของกรรม
 
 คำว่ากรรมหมายถึงการกระทำที่เป็นกลางๆ  เป็นการกระทำดี รวมทั้งการกระทำชั่วที่เรียกว่ากรรมชั่ว  ถ้าบอกอย่างนี้ไม่ทราบคุณพอเข้าใจในสิ่งที่ถามหรือไม่  ถ้ายังสงสัยอะไรที่เป็นเหตุให้เกิดความสงสัยเรื่องนี้
 |  
          |  |  
|  |  | 
|  | 
|  | 
| สุรพงษ์ ผู้เยี่ยมชม
 
 
 
 
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
13 ม.ค. 2005, 10:33 am |   |  
| "สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม"   ผมคิดว่าส่งจิตไว้ควบคุมสติของเราให้ดี   และปฏิบัติให้ดีที่สุด   ส่วนผลจะเป็นอย่างไรคงต้องถืออุเบกขา       บางครั้งเรายังไม่สามารถสั่งจิตหรือเปลี่ยนแปลงตัวเราเองได้       ฉะนั้นเราจะไปหวังให้ชาวบ้านเป็นอย่างที่เราหวังคงไม่ได้    เรื่องอนาคตบางครั้งไม่รู้จะดีกว่า     ขอปัญญาในธรรมจงบังเกิดแก่ท่านครับ
 |  
          |  |  
|  |  | 
|  | 
|  | 
| nao7309 บัวผลิหน่อ
 
  
 
 เข้าร่วม: 01 ธ.ค. 2004
 ตอบ: 8
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
13 ม.ค. 2005, 10:47 am |   |  
| ขอบคุณคุณโอ่มากที่อธิบาย ใช้ได้เลย แต่ยังไม่ สะ-ใจ  ช่วยขยายความและยกตัวอย่างอีกสักนิดก็จะดีนะ
 
 
 
 เพราะฉะนั้นคำว่า สัญญากรรม ก็น่าจะหมายถึง การกระทำที่จิตนั้นรับได้หมายรู้ว่า หรือบันทึกเอาไว้ในจิตก่อนที่ตนเองจะสิ้นลมว่าเคยทำอะไรกันไว้ ซึ่งเป็นได้ทั้งกรรมดี และกรรมที่ไม่ดี และส่งผลต่อชีวิตหรือการกระทำต่างๆ ในชาตินี้หรือภพนี้อย่างไรบ้าง เช่น ไม่ว่าจะทำการอะไรแล้วเกิดติดขัด นั้นย่อมหมายความว่า ในอดีตเราเคยไปขัดขวางเขาเช่นนั้นกระมัง  หรือชีวิตมีแต่ความสุข ก็เพราะในชาติภพที่แล้ว ตนเองเคยประกอบกรรมดี ช่วยเหลือชาวบ้านชาวช่องเอาไว้มากกระมัง
 
 
 
 จากเท่าที่วิเคราะห์และสังเกตุดู สัญญากรรม ออกจะเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งและละเอียดอ่อนพอสมควร  อันที่จริงอยากจะศึกษาให้ลึกซึ้งมากๆ  เพราะอาจจะตอบคำถามหรือเข้าใจวิถีชีวิตของคนแต่ละคนได้มากกว่านี้ก็เป็นได้  และอาจจะนำเอาประโยชน์อันเกิดจากความเข้าใจของเราไปถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้รับรู้และช่วยเหลือให้เขาเหล่านั้นเข้าใจและปรับสภาพของชีวิตให้มีความเป็นอยู่และเข้าใจสถานการณ์ต่างๆ ที่ตนเองต้องประสพ ได้ง่ายขึ้น
 
 
 
 รบกวนคุณโอ่ ช่วยแนะนำด้วย หรือมีหนังสือดีๆ หรือผู้ที่บรรยายเรื่องของสัญญากรรมที่ไหน ช่วนแนะนำด้วยจะได้ติดตาม  เพราะสมัยนี้น่าจะศึกษาเรื่องทำนองให้เข้าใจให้มากๆ  จะได้เข้าใจโลกใบนี้และผู้คนให้มากขึ้น
 
 
  |  
          |  |  
|  |  | 
|    | 
|  | 
| โอ่ ผู้เยี่ยมชม
 
 
 
 
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
13 ม.ค. 2005, 4:11 pm |   |  
| ลองอ่านดูก่อนนะครับ คัดจากพจนานุกรมที่ลิ้งค์กับเวบนี้มาให้ดู
 
 
 
 กรรม การกระทำ หมายถึง การกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา คือทำด้วยความจงใจหรือจงใจทำ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เช่น ขุดหลุมพรางดักคนหรือสัตว์ให้ตกลงไปตาย เป็นกรรม แต่ขุดบ่อน้ำไว้กินใช้ สัตว์ตกลงไปตายเอง ไม่เป็นกรรม (แต่ถ้ารู้อยู่ว่าบ่อน้ำที่ตนขุดไว้อยู่ในที่ซึ่งคนจะพลัดตกได้ง่าย แล้วปล่อยปละละเลย มีคนตกลงไปตาย ก็ไม่พ้นเป็นกรรม) การกระทำที่ดีเรียกว่า กรรมดี ที่ชั่ว เรียกว่า กรรมชั่ว - 1.Karma; Kamma; a volitional action; action; deed; good and bad volition. 2.work; job; activity; transaction.
 
 
 
 กรรม ๒ กรรมจำแนกตามคุณภาพ หรือตามธรรมที่เป็นมูลเหตุ มี ๒ คือ ๑.อกุศลกรรม กรรมที่เป็นอกุศล กรรมชั่ว คือเกิดจากอกุศลมูล ๒.กุศลกรรม กรรมที่เป็นกุศล กรรมดี คือเกิดจากกุศลมูล
 
 
 
 กรรม ๓ กรรมจำแนกตามทวารคือทางที่ทำกรรม มี ๓ คือ ๑.กายกรรม การกระทำทางกาย ๒.วจีกรรม การกระทำทางวาจา ๓.มโนกรรม การกระทำทางใจ
 
 
 
 กรรม ๑๒ กรรมจำแนกตามหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการให้ผล พระอรรถกถาจารย์รวบรวมแสดงไว้ ๑๒ อย่างคือ หมวดที่ ๑ ว่าด้วยปากกาล คือ จำแนกตามเวลาที่ให้ผล ได้แก่ ๑.ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม กรรมให้ผลในปัจจุบัน คือในภพนี้ ๒.อุปปัชชเวทนียกรรม กรรมให้ผลในภพที่จะไปเกิด คือในภพหน้า ๓.อปราปริยเวทนียกรรม กรรมให้ผลในภพต่อๆไป ๔.อโหสิกรรม กรรมเลิกให้ผล หมวดที่ ๒ ว่าโดยกิจ คือจำแนกการให้ผลตามหน้าที่ ได้แก่ ๕.ชนกกรรม กรรมแต่งให้เกิด หรือกรรมที่เป็นตัวนำไปเกิด ๖.อุปัตถัมภกกรรม กรรมสนับสนุน คือเข้าสนับสนุนหรือซ้ำเติมต่อจากชนกกรรม ๗.อุปปีฬกกรรม กรรมบีบคั้น คือเข้ามาบีบคั้นผลแห่งชนกกรรมและอุปัตถัมภกกรรมนั้นให้แปรเปลี่ยนทุเลาเบาบางหรือสั้นเข้า ๘.อุปฆาตกกรรม กรรมตัดรอน คือกรรมแรงฝ่ายตรงข้ามที่เข้าตัดรอนการให้ผลของกรรม ๒ อย่างนั้นให้ขาดหรือหยุดไปทีเดียว หมวดที่ ๓ ว่าโดยปากทานปริยาย คือจำแนกตามลำดับความแรงในการให้ผล ได้แก่ ๙.ครุกกรรม กรรมหนัก ให้ผลก่อน ๑๐.พหุลกรรม หรือ อาจิณณกรรม กรรมทำมากหรือกรรมชิน ให้ผลรองลงมา ๑๑.อาสันนกรรม กรรมจวนเจียน หรือกรรมใกล้ตาย ถ้าไม่มี ๒ ข้อก่อนก็จะให้ผลก่อนอื่น ๑๒.กตัตตากรรม หรือ กตัตตาวาปนกรรม กรรมสักว่าทำ คือเจตนาอ่อน หรือมิใช่เจตนาอย่างนั้น ให้ผลต่อเมื่อไม่มีกรรมอื่นให้ผล
 
 
 
 
 |  
          |  |  
|  |  | 
|  | 
|  | 
| โอ่ ผู้เยี่ยมชม
 
 
 
 
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
13 ม.ค. 2005, 4:22 pm |   |  
| 
 
 ข้างล่างนี่ก็เป็นอีกคำหนึ่งคือ สันตติ ควรจะทำความเข้าใจว่าการสืบต่อหรือการเก็บความจำของการกระทำไว้ในจิต คือสัญญาขันธ์เกิดดับอยู่ตลอด เหมือนจิตดวงหนึ่งเกิดแล้วดับก็ถ่ายทอดการกระทำที่จำไว้นั้นไปยังจิตดวงต่อไปอยู่ตลอดเวลา แม้เราตายแล้วนามนี้ก็เกิดดับอยู่ตลอด เหมือนดวงไฟหลายดวงเรียงร้อยกันดวงหนึ่งดับ  แล้วส่งแสงไปให้ดวงต่อไปสว่างแว้บ แล้วดับส่งความสว่างไปสู่ดวงใหม่ จิตใจมีสภาพทำนองเดียงกันนี้ แต่มีความเร็วจนเราไม่รู้ถึงการเกิดดับนี้
 
 
 
 เรื่องผลกรรมให้ทำความเข้าใจกรรมสิบสองไปก่อน
 
 
 
 หนังสือเรื่องกรรมมีมาก  มีหนังสือเล่มเล็กๆของสมเด็จพระสังฆราช เขียนไว้อ่านได้เพลินเข้าใจได้ง่าย  ของคุณวศิน  อินทสระก็มีแต่จำชื่อไม่ได้ ไปหาที่ร้านหนังสือดูก็ได้
 
 
 
 
 
 สันตติ การสืบต่อ คือ การเกิดดับต่อเนื่องกันไปโดยอาการที่เป็นปัจจัยส่งผลแก่กัน ในทางรูปธรรม ที่พอมองเห็นอย่างหยาบ เช่น ขนเก่าหลุดร่วง ไปขนใหม่เกิดขึ้นแทน ความสืบต่อแห่งรูปธรรม จัดเป็น อุปาทายรูป อย่างหนึ่ง; ในทางนางธรรม จิตก็มีสันตติ คือเกิดดับเป็นปัจจัยสืบเนื่องต่อกันไป
 
 
 
 
 |  
          |  |  
|  |  | 
|  | 
|  | 
| โอ่ ผู้เยี่ยมชม
 
 
 
 
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
14 ม.ค. 2005, 3:30 am |   |  
| ควรจะคิดตามความเป็นจริง และใจชีวิตตามความเป็นจริงตามกรรมว่า  เราเกิดมาเพื่อรับวิบากคือผลของกรรมทั้งดีและชั่ว และเราก็สร้างกรรมใหม่ๆทั้งดีและชั่วตลอดเวลา
 
 
 
 วิบากกรรมที่เราได้รับนั้น  เราได้ทำไว้ก่อนแล้ว  เป็นสิ่งที่เราเลือกไม่ได้ แม้วิบากกรรมชั่วเป็นสิ่งที่เราไม่ปรารถนาจะได้รับ   เมื่อกรรมนั้นสนอง  เราไม่สามารถจะหลีกหนีได้  ถ้าเราสามารถหลีกหนีวิบากกรรมได้โดยไม่ต้องรับกรรมแล้ว  ใครๆสามารถหนีพ้นวิบากกรรมชั่วได้หมด  ไม่ต้องรับกรรมและคนก็ทำชั่วโดยไม่ต้องเกรงกลัวบาป  หลักศาสนาที่สอนว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วก็ไม่เป็นวามจริง
 
 
 
 การที่เราจะรับกรรมคือผลวิบากนั้นๆอย่างไรในตอนไหนนั้น  รวมทั้งในชาติไหนด้วยนั้น  ขึ้นอยู่กับเหตุหลายอย่าง  แต่เหตุสำคัญก็คือแรงเจตนาของกรรมที่ได้กระทำไว้แล้วว่ามากเท่าใดหนึ่ง  ผลของบาปบุญนั้นมากหรือน้อยนั่นและคือแรงกรรม   ลักษณะกรรมที่ทำที่ส่งผลมากหรือน้อยรวมกับกำลังเจตนานั่นแหละคือกำลังของกรรมที่จะให้ผลในช่วงเวลาชาติต่างๆของชีวิตที่เกิดในภพต่างๆ
 
 
 
 ถ้าเราไปเกิดในทุคติก็จะทำให้ผลกรรมชั่วที่เคยทำในที่ต่างๆมารวมกันมาก เมือนไปเกิดในสุคติสวรรค์ก็จะทำให้กรรมดีไปรวมกันให้ผลมาก  ในโลกมนุษย์นั้นมีทั้งผลกรรมดีและชั่วจะให้ผลแรงมากได้ทั้งสองฝ่าย
 
 
 
 ส่วนกรรมที่นำเราไปเกิดนั้นคือกรรมที่เราคิดเวลาก่อนตาย เพราะในหลายขณะจิตที่คิดช่วงสุดท้ายนั้นมีผลนำไปสู่สิ่งที่เรียกว่าปฏิสนธิไปเกิดใหม่  กรรมที่ไปเกิดนั้นสามารถไปเกิดในที่ดีหรือไม่ดีก็ได้ อันทำให้ประสบความสุขทุกข์ที่ต่างกัน แต่ในชีวิตคนเราหรือสัตว์ที่ไปเกิดตามที่ต่างๆ จะไปเกิดที่ดีหรือไม่ดีก็ตาม กรรมอื่นๆที่เป็นดีหรือชั่วก็ตามมาตลอดและพยายามเข้าไปให้ผลในแต่ละช่วงชีวิตของเรา  กรรมไหนมีกำลังแรงมากก็มีโอกาสในการให้ผลมาก
 
 
 
 ชีวิตของเราขึ้นลงดีชั่วนั้นไปตามกรรมตามกำลังแรงของกรรมนั้นจะให้ผล  เพราะฉะนั้นคิวของกรรมที่จะมาให้ผลต่อตัวเรานั้น  ขึ้นกับการกระทำของเราเองที่จะทำให้เกิดการจัดคิวของกรรมที่จะมาสนองเรานั้นเปลี่ยนแปลงไปได้
 
 
 
 เมื่อเป็นดังนี้แล้วการใช้ชีวิตในโลกไม่ควรประมาท  ควรสร้างศรัทธาที่จะทำความดีให้เกิดแก่ตนเองให้มาก  ตักตวงประโยชน์แห่งความดีหรือบุญกุศลอันคนที่เกิดมามีกำลัง มีโอกาสที่จะทำได้ให้มากเอาไว้ก่อน  ส่วนงานอื่นๆนั้นให้ทำเพียงพอที่เราจะอาศัยใช้ชีวิตอยู่บนโลกได้ก็พอแล้ว  แม้บาปบุญของเราจะมีอีกที่ยังไม่ได้มาสนอง  แต่อย่าไปมั่นใจและคิดว่าบุญที่เราได้เคยทำไว้ก็มี แต่บุญนั้นยังมาไม่ถึงและยังไม่มีโอกาสสนอง เราควรรอบุญของเราดังนี้ นี่คือสิ่งที่ไม่ควรคิดเป็นอย่างยิ่ง
 
 
 
 เราควรคิดอย่างไม่ประมาทว่าบาปที่เราทำนั้นยังมี และอาจมาสนองเราตอนไหนก็ได้  แต่บุญขงเรานั้นมีกำลังน้อย เราต้องสร้างให้มีกำลังมากขึ้นเรื่อยๆ  สะสมบุญไว้เป็นพลัง เป็นเสบียงกรังในการเดินทางไกลไปสู่พระนิพพาน  เพราะคนในโลกนี้มีแต่ความประมาท เราจะเป็นผู้ไม่ประมาท จะสร้างศรัทธาให้เกิดแก่ตัวเองให้สูงสุด  รักษาศรัทธานั้นไว้มิให้เปลี่ยนไป
 
 
 
 เราจะต้องเตือนตนเองให้ความเพียรที่จะทำกุศลกรรมอยู่เสมอ เพราะนอกจากตัวเราแล้ว ก็ไม่มีใครเลยจะรักเราเท่าเรารักตนเอง  ดังนั้นเราจะต้องเตือนตนเอง ต้องคิดในลักษณะอย่างนี้จึงทำให้เกิดศรัทธาและความเพียรอยู่เสมอได้  เพราะถ้าเราไม่เตือนตนเอง ไม่ยังกุศลให้เกิดขึ้นในจิตแล้ว ความเพียรเรานั้นก็จะย่อหย่อน  แล้วคิดว่าวันนี้จะทำบุญหรือไม่ก็ได้ งนอื่นสำคัญจะทำก่อนก็มี ค่อยทำวันหลังก็ได้ อาจขี้เกียจบ้าง  คิดว่าบุญทำไว้มากแล้ว และเปรียบเทียบกับคนทั่วไปที่ไม่ทำบุญว่าเราทำไว้มาก คิดอย่างนี้ก็ประมาท ควรดูว่าศรัทธาของเรามากขึ้นหรือไม่
 
 
 
 เราสร้างความเพียรความตั้งใจอย่างไร ศีลของเราวันนี้กับเมื่อวาน กับปีก่อนๆแตกต่างกันหรือไม่  เรามีจิตใจสงบและอยู่ในศีลแล้วตลอดเวลาหรือไม่ ทำให้ยิ่งไปกวานั้นคือระลึกคุณของศีลได้มากขึ้นหรือไม่ กระทำอินทรีย์สังวรคือใจมีศีลอันประณีตอยู่ตลอดเวลาได้มากหรือไม่   เพราะเรามีเวลาคิดอยู่ตลอดเอาเวลานั้นมาชำระศีลและประพฤติธรรมให้มากขึ้น  เมื่อเราตั้งใจอย่างนี้กำลังแห่งกุศลก็เข้มแข็งขึ้น  เหมือนคนออกกำลังกายที่สร้างกล้ามเนื้อความแข็งแรงแก่ร่างกาย
 
 
 
 คนทำบุญก็สร้างความแข็งแรงและกล้ามเนื้อแก่ใจ กำลังใจก็แข็งแรงด้วยธรรมปฏิบัติที่มากขึ้น  เราสามารถทำตนเองให้เป็นอย่างนั้นได้ ด้วยการที่เราอบรมตนเองอยู่เสมอนั่นเอง  คือปฏิบัติให้เป็นหน้าที่แล้วเราก็จะไม่สนใจเรื่องของการจะได้รับผลกรรมอย่างไร  ไม่ว่าทุกข์หรือสุขเราสามารถรับได้หมด  แม้ความทุกข์เข้ามาเราก็ทนทาน และเห็นทุกข์เป็นเรื่องธรรมดา ไม่โศกเศร้า ไม่ร้องไห้ ไม่มีความเสียใจในสิ่งร้ายๆ เพราะมองเห็นเป็นธรรมดาไป  อันนี้เป็นเรื่องการฝึกชีวิตของเราเอง
 
 
 
 ถ้าเราไปสนใจเรื่องผลกรรม และคิดว่าไม่ช้าจะโชคดี จะมีความสุข เราก็หวังผลอันต่ำๆแห่งความสุขอันแสนเลวในโลกนี้  เหมือนคนที่ใช้ชีวิตอันสนุกสนาน อันน่ารังเกียจ  อันเรียกว่าไว่โง่อยู่ในโลกอย่างนี้ เราก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยจากโลกที่เราอุตส่าห์มาเกิดที่นี่  แล้วเราก็ตกอยู่ในความประมาท เพราะไม่ช้าราก็ต้องตาย  เราอาจเจ็บป่วย อาจช่วยตนเองไม่ได้ อาจพลาดโอกาสที่จะสร้างความดีหรือบุญกุศลได้ เพราะเหตุของความประมาท แล้วนำไปสู่ความเสียใจเมื่อสายไปแล้วที่จะสร้างกรรมดีดังนี้
 
 
 
 
 
 คิดว่าเพียงรู้เรื่องบุญบาปแล้วเชื่อในเรื่องนี้ดีกว่า  พยายามพิจารณาเข้าใจเรื่องชีวิตที่เราเกิดมาให้มากขึ้นดีกว่า
 |  
          |  |  
|  |  | 
|  | 
|  | 
| โอ่ ผู้เยี่ยมชม
 
 
 
 
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
16 ม.ค. 2005, 2:55 pm |   |  
| เพิ่งได้ชื่อหนังสือของคุณ วศิน อินทสระ  ชื่อ หลักกรรมและการเวียนว่ายตายเกิด
 |  
          |  |  
|  |  | 
|  | 
|  | 
| nao7309 บัวผลิหน่อ
 
  
 
 เข้าร่วม: 01 ธ.ค. 2004
 ตอบ: 8
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
20 ม.ค. 2005, 11:19 am |   |  
| ขอบคุณคุณโอ่ มากที่อุตส่าห์ช่วยหาคำตอบ  แต่ที่ตอบกลับมาช้าเพราะ monitor มีปัญหาและนำเครื่องไปซ่อมมาด้วย  เพิ่งจะได้คืน แต่จอภาพก็ไม่เหมือนเดิมแต่ก็ชั่งเถอะ เอาไว้นำไปซ่อมใหม่ช่วงไม่อยู่เมืองไทยดีกว่า
 
 
 
 แต่ก่อนอื่นขอขอบคุณอีกครั้งกับคำตอบของคุณโอ่  ทำให้เข้าใจอะไรๆ ได้อีกเยอะ  และก็ชอบมากด้วย  จะได้ไปหาหนังสือที่คุณแนะนำมาอ่านบ้าง  เพราะเรื่องของสัญญากรรม เป็นสิ่งที่น่าศึกษาและน่าจะเข้าข่ายของกฏแห่งกรรมด้วยเช่นกัน  การที่คุณตอบกระทู้และมีคนมาเปิดอ่านก็เป็นวิทยาทานอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้บางท่านอาจจะมีปัญหาอย่างที่เรามีจะได้เข้าใจมากขึ้นด้วยเช่นกัน ขออนุโมทนาสาธุในกุศลด้วยจริงๆ
  |  
          |  |  
|  |  | 
|    | 
|  | 
| โอ่ ผู้เยี่ยมชม
 
 
 
 
 
 
   | 
|  ตอบเมื่อ:
20 ม.ค. 2005, 3:17 pm |   |  
| ถ้าต้องการเข้าใจหลักกรรมให้ถ่องแท้มากยิ่งขึ้น  ขอให้หาอ่านเรื่องปฏิจจสมุปบาท  ซึ่งมีหลายท่านเขียนไว้  เชื่นในคัมภีร์วิสุทธิมรรค  และปฏิจจสมุปบาท ของท่านพุทธทาสภิกขุ   ของท่านสมเด็จพระสังฆราชปัจจุบัน  ก็รจนาไว้อ่านเข้าใจดีมาก  เคยอ่านต่อเนื่องในหนังสือ "ธรรมจักษุ"  และควรดูเรื่องเดียวกันนี้ในหนังสือ "พุทธธรรม"ด้วย
 
 
 
 ความเข้าใจเรื่องกรรมนี่จะเข้าใจได้มากยิ่งขึ้น ถ้าทำความเข้าใจปฏิจจสมุปบาทในแง่มุมต่างๆ
 
 
 
 ถ้าศึกษาทำความเข้าใจก็คงได้ความรู้ในเรื่องนี้  แต่เรื่องกรรมมีความลึกซึ้ง ประสบการณ์นั้นอาจมีความแตกต่างมากกว่าตำรามาก  ควรปฏิบัติธรรมด้วยเพื่อจะรู้ในภาคปฏิบัติด้วยตนเอง
 |  
          |  |  
|  |  | 
|  | 
|  | 
|  |