Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ประทีปส่องธรรม (พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชโช) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
satima
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 10 มิ.ย. 2004
ตอบ: 120

ตอบตอบเมื่อ: 10 ก.ค.2004, 11:29 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เพื่อนนักปฏิบัติบางท่านแม้จะอ่านหนังสือวิมุตติปฏิปทาและวิถีแห่งความรู้แจ้งแล้ว ก็ยังไม่ทราบว่าจะเริ่มต้นการปฏิบัติได้อย่างไร จึงต้องการให้อธิบายถึงวิธีการปฏิบัติให้ละเอียดยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องเกี่ยวกับความรู้สึกตัวและการดูจิต ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยได้ยินได้ฟังบ่อยนัก และบางท่านต้องการทราบว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนธรรมภาคปฏิบัติไว้อย่างไรบ้าง ซึ่งผู้เขียนเห็นด้วยว่าน่าสนใจ เพราะนักปฏิบัติไม่ควรทิ้งพระปริยัติธรรม ซึ่งเป็นทั้งแผนที่ที่มั่นใจได้ และเป็นทั้งเครื่องสอบทานผลการปฏิบัติที่ดีอย่างหนึ่งด้วย

นี่คือที่มาของคอลัมน์นี้ ซึ่งประกอบด้วยบทความ 12 เรื่อง ได้แก่ (1) บทความ 6 เรื่องแรก เขียนขึ้นเพื่อเพื่อนนักปฏิบัติที่ไม่สนใจพระปริยัติธรรม เรื่องที่ขอเสนอให้สนใจมากสักหน่อยได้แก่เรื่อง "ประทีปส่องธรรม" และเรื่อง "การตามรู้จิต : วิธีการปฏิบัติธรรมที่เรียบง่ายและลัดสั้น" (2) บทความ 5 เรื่องถัดไปเขียนขึ้นเพื่อเพื่อนนักปฏิบัติที่สนใจจะศึกษาพระปริยัติธรรมในระดับที่พอเป็นแนวทางในการปฏิบัติ (แต่ถ้าต้องการศึกษาพระปริยัติธรรมให้ลึกซึ้ง ก็คงต้องขวนขวายเข้ารับการศึกษาอย่างเป็นระบบต่อไป) ทั้งนี้ผู้เขียนต้องขอเรียนไว้ก่อนว่า ผู้เขียนมีความรู้ในด้านพระปริยัติธรรมน้อย ข้อเขียนจึงอาจจะมีข้อบกพร่องในประเด็นปลีกย่อยอยู่บ้าง จึงต้องขออภัยให้ความเขลาไว้ล่วงหน้า แต่ที่ฝืนใจเขียนขึ้นมาก็เพราะเห็นว่า นักปฏิบัติส่วนใหญ่ไม่สนใจจะศึกษาพระปริยัติธรรม ส่วนนักปริยัติธรรมก็มักไม่เข้าใจจุดที่นักปฏิบัติต้องการทราบ จึงไม่ทราบว่า จะไปกราบไหว้วิงวอนให้นักปฏิบัติหรือนักปริยัติท่านใดช่วยเขียนเรื่องเหล่านี้มาให้เพื่อนๆ อ่านกันได้ จำเป็นจำใจต้องเขียนขึ้นเสียเอง และ (3) เรื่องสุดท้ายเป็นบันทึกการถามตอบปัญหาธรรมะ

บทความแทบทุกเรื่องมุ่งเน้นไปที่จุดเดียวกัน คือการเจริญสติปัฏฐานที่เป็นวิปัสสนานั้น ต้องทำด้วยการมีความรู้สึกตัว แล้วตามรู้กายและ/หรือตามรู้ใจอยู่เนืองๆ โดยต้องรู้ให้ถูกตรงตามวิธีที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ในหลัก "กิจในอริยสัจจ์" ด้วย ฉะนั้น ท่านผู้อ่านสามารถเลือกอ่านบทความเพียงบางเรื่องที่เห็นว่าเข้าใจง่ายสำหรับตนเอง โดยไม่จำเป็นต้องอ่านทั้งหมด เพราะอาจจะมีแง่มุมหลากหลายเกินความจำเป็นสำหรับการปฏิบัติของบุคคลคนหนึ่ง

และเช่นเดียวกับ หนังสือเล่มอื่นๆ ที่ผู้เขียนได้เขียนมาแล้ว คือหากท่านใดอ่านแล้วเกิดความสนใจใคร่ปฏิบัติ ขอได้โปรดแสวงหาครูบาอาจารย์ที่มีความรู้ความสามารถ เพื่อเข้ารับการศึกษาอบรมในภาคปฏิบัติต่อไป ส่วนตัวผู้เขียนเองด้อยความรู้ความสามารถ คงทำหน้าที่ได้เพียงการเป็นผู้กระตุ้น และให้กำลังใจ ให้เพื่อนชาวพุทธสนใจการปฏิบัติธรรมมากยิ่งขึ้นเท่านั้น

ขอแสงสว่างแห่งธรรมจงสว่างไสวในจิตใจของเพื่อนชาวพุทธโดยทั่วกันเถิด

1. จุดหมายสูงสุดทางพระพุทธศาสนา

จุดหมายสูงสุดของการปฏิบัติธรรมในทางพระพุทธศาสนา คือความพ้นทุกข์สิ้นเชิง (นิพพาน) ซึ่งมีอยู่ 2 ประเภทคือ

(1) ความพ้นทุกข์ทางจิตใจอย่างสิ้นเชิงในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่เพราะสิ้นกิเลสตัณหา (สอุปาทิเสสนิพพาน หรือกิเลสปรินิพพาน หรือจะเรียกว่า วิราคธรรมก็ได้) คงเหลือแต่ความทุกข์ทางร่างกายซึ่งปฏิเสธไม่ได้ เพราะได้เกิดมามีร่างกายเสียแล้ว และ

(2) ความพ้นทุกข์สิ้นเชิงเมื่อสิ้นขันธ์ (อนุปาทิเสสนิพพาน หรือขันธปรินิพพาน หรือจะเรียกว่า วิสังขารธรรมก็ได้) คือหมดรูปนาม หรือหมดกายหมดใจอันเป็นกองทุกข์ที่เหลืออยู่หลังจากกิเลสปรินิพพาน พร้อมทั้งไม่มีขันธ์เกิดขึ้นใหม่ให้ต้องเป็นทุกข์อีกในภพต่อไป

แม้นิพพานจะมี 2 ประเภท แต่ถ้าทำประเภทแรกให้แจ้ง โดยขจัดตัณหาอันเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ทางจิใจให้หมดสิ้นไปในปัจจุบันได้แล้ว นิพพานประเภทที่ 2 ก็จะตามมาเอง เพราะเมื่อสิ้นตัณหาผู้สร้างภพ ความเกิดใหม่ก็มีอีกไม่ได้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
satima
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 10 มิ.ย. 2004
ตอบ: 120

ตอบตอบเมื่อ: 10 ก.ค.2004, 11:33 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การบรรลุถึง หรือการประจักษ์ถึงกิเลสปรินิพพานหรือความพ้นทุกข์ เพราะสิ้นกิเลสตัณหาจะเกิดขึ้นได้ เมื่อสามารถขจัดตัณหาหรือความทะยานอยากในจิตใจอันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ลงได้ เพราะนิพพานชนิดนี้ก็คือความดับสนิทของตัณหา

วิธีที่จะขจัดความทะยานอยากในจิตใจลงได้มีอยู่ทางเดียว คือการเจริญอริยมรรคมีองค์ 8 ประการ หรือการเจริญวิปัสสนาคือการมีสติสัมปชัญญะตามรู้กายตามรู้ใจนั่นเอง โดยมีสติ (มีสัมมาสติ) ตามรู้ทุกข์ คือตามรู้กาย ตามรู้ใจ อยู่เนืองๆ (มีสัมมาวายามะ) ตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ (มีสัมมาทิฏฐิในภาคปริยัติธรรม) ด้วยจิตที่ตั้งมั่น (มีสัมมาสมาธิ) ไม่นานก็จะเกิดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสภาวธรรมว่า กายและใจ หรือรูปนามเป็นทุกข์จริง แต่ไม่ใข่ตัวเรา (มีสัมมาทิฏฐิในภาคปฏิบัติ) แล้วจิต (ไม่ใช่เรา) ก็ปล่อยวางความถือมั่นในรูปนามเสียได้ในที่สุด จิตที่ปล่อยวางรูปนามนั่นแหละ คือจิตที่พ้นทุกข์และได้ประจักษ์ถึงนิพพานอันเป็นสภาวะที่สงบสันติจากขันธ์และกิเลสตัณหาทั้งปวง

การตามรู้กายมีหลักการง่ายๆ คือให้มีความรู้สึกตัว แล้วตามรู้กายไปอย่างสบายๆ หากกายอยู่ในอาการอย่างไร ก็รู้ว่ารูป (ไม่ใช่เรา) อยู่ในอาการอย่างนั้น

การตามรู้ใจก็มีหลักการปฏิบัติง่ายๆ เช่นกัน คือให้มีความรู้สึกตัว แล้วตามรู้จิตใจไปอย่างสบายๆ หากจิตใจมีความรู้สึก หรือมีอาการอย่างไร ก็รู้ว่านาม (ไม่ใช่เรา) มีความรู้สึกหรือมีอาการอย่างนั้น เช่น จิตมีความสุขก็รู้ มีความทุกข์ก็รู้ เฉยๆ ก็รู้ ดีก็รู้ ชั่วก็รู้ ส่งออกหรือหลงไปตามอารมณ์ทางทวารทั้ง 6 (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) ก็รู้ และสักว่ารู้อารมณ์ทางทวารทั้ง 6 คือรู้โดยไม่หลง ก็รู้ เป็นต้น

ความรู้สึกตัวเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งยวดสำหรับการตามรู้กายและตามรู้ใจ เพราะถ้าจิตมีความรู้สึกตัวคือไม่หลงไปกับอารมณ์ที่ปรากฏทางทวารทั้ง 6 (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล สอนว่า อย่าส่งจิตออกนอก) จิตก็ย่อมจะอยู่กับเนื้อกับตัว เกิดความรู้สึกตัว แล้วรู้เนื้อรู้ตัว หรือรู้กายรู้ใจได้

ผู้ปฏิบัติพึงทำความรู้จักสภาวะของความรู้สึกตัว โดยการหัดสังเกตความแตกต่างระหว่างความหลงกับความรู้สึกตัวซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกัน ความหลงมี 6 ชนิดคือ เมื่อดูรูปก็หลงรูปแล้วลืมกายลืมใจของตนเอง เมื่อฟังเสียงก็หลงเสียงแล้วลืมกายลืมใจของตนเอง เมื่อได้กลิ่น ได้รส ได้สัมผัส ก็หลงกลิ่น รส และสัมผัสแล้วลืมกายลืมใจของตนเอง และเมื่อรู้อารมณ์ทางใจก็หลงอารมณ์ทางใจแล้วลืมกายลืมใจของตนเอง

เมื่อรู้สึกตัวเป็นแล้วก็ต้องเจริญสติปัฏฐานเพื่อ (1) กระตุ้นความรู้สึกตัวให้เกิดขึ้นเนืองๆ และ (2) ตามรู้รูปนามอันเป็นอารมณ์วิปัสสนาในสติปัฏฐาน จนเห็นความจริงว่า กายและใจไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จึงจะสามารถละสักกายทิฏฐิหรือความเห็นผิดว่ารูปนามหรือกายใจ คือตัวตนลงได้ในเบื้องต้น และสามารถทำลายความยึดถือรูปนามลงได้ในที่สุด

การเจริญสติปัฏฐานเช่น การตามรู้กายในอิริยาบถเดิน หรือการตามรู้ความเคลื่อนไหวของกาย จะช่วยกระตุ้นความรู้สึกตัวได้ง่ายกว่าการตามรู้อารมณ์ที่นิ่งๆ เช่น การรู้รูปนั่ง (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนั่งหลับตา) เพราะเมื่อนั่งนานก็มักจะเคลิ้มง่าย อย่างไรก็ตาม ผู้ปฏิบัติพึงสังเกตตนเองว่าใช้อารมณ์กรรมฐานอันใดแล้วสติเกิดบ่อย ก็ควรใช้อารมณ์อันนั้นเป็นเครื่องอยู่ประจำไว้ จะเป็นการตามรู้กาย เวทนา จิต หรือธรรมก็ใช้ได้ทั้งสิ้น เพราะแต่ละคนมีจริตนิสัยต่างๆ กัน ทั้งนี้การเจริญสติแม้จะต้องอยู่ภายใต้หลักการอันเดียวกันที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ แต่ต่างคนก็มีทางเดินเฉพาะตัวที่ไม่ซ้ำรอยกัน เพราะทางนี้เป็นทางของผู้ไปคนเดียว ดังนั้นจึงไม่มีรูปแบบสำเร็จรูปของการปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งที่ดีที่สุด มีแต่รูปแบบที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลเท่านั้น

เมื่อรู้สึกตัวได้แล้วก็ให้หมั่นรู้สึกถึงอาการปรากฏของกายและของจิตใจอยู่เนืองๆ (แล้วแต่สิ่งใดจะปรากฏชัด เพราะการรู้กายก็ช่วยกระตุ้นให้รู้ใจ และการรู้ใจก็ช่วยกระตุ้นให้รู้กายได้) แต่ไม่จำเป็นจะต้องรู้แบบไม่ให้คลาดสายตา เพราะจะกลายเป็นการกำหนด เพ่งจ้อง หรือดักดูกายและใจ ด้วยอำนาจบงการของตัณหา ให้รู้ไปอย่างสบายๆ รู้บ้าง เผลอบ้างก็ยังดี ไม่ต้องอยากรู้หรืออยากให้สติเกิดขึ้นตลอดเวลา เพียงหมั่นตามรู้กายและใจเนืองๆ สติจะเกิดได้บ่อยขึ้นเอง และไม่ต้องพยายามห้ามไม่ให้จิตหลง เพราะจิตเป็นอนัตตา คือห้ามไม่ได้ บังคับไม่ได้ เพียงทำความรู้จักสภาวะของความหลงให้ดี และเคลื่อนไหวร่างกายบ่อยๆ แล้วความหลงจะสั้นลงได้ นอกจากนี้จะต้องจับหลักการปฏิบัติให้แม่นยำว่า จะต้อง ตามรู้กายตามรู้ใจ ตามที่เป็นจริง ไม่ใช่เข้าไปดัดแปลง แก้ไข หรือควบคุมกายและใจแต่อย่างใดเลย ทั้งนี้บรรดาคำสอนที่ให้เพ่งกายเพ่งจิต หรือให้แก้ไขดัดแปลงจิตใจ เป็นคำสอนในขั้นสมถกรรมฐานทั้งสิ้น

จิตที่มีความรู้สึกตัวย่อมไม่หลงไปตามอารมณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่หลงไปในโลกของความคิด เมื่อไม่หลงไปกับความคิดอันเป็นเรื่องของสมมติบัญญัติ จิตก็อยู่กับความจริง และสามารถเห็นอารมณ์ปรมัตถ์คือกายและใจ หรือรูปนาม ได้ตรงตามความเป็นจริง

การที่รู้กายรู้ใจได้ตรงตามความเป็นจริงนี้เอง จะส่งให้เกิดผล 2 ขั้นตอน คือเบื้องต้นจะละความเห็นผิดว่ากายและใจคือตัวเราลงได้ และเบื้องปลายจะละความยึดถือกายและใจลงได้

การละความเห็นผิดว่ากายและใจคือตัวเรานั้น เกิดจากการที่ผู้ปฏิบัติตามรู้กาย ตามรู้ใจอยู่เนืองๆ จะเห็นความจริงว่า กายและใจเป็นสิ่งที่แปรปรวน เป็นทุกข์ และบังคับไม่ได้จริง เช่นเมื่อตามรู้รูปยืน เดิน นั่ง นอนอยู่เนืองๆ ก็จะเห็นว่ารูปแต่ละชนิดล้วนถูกความทุกข์บีบคั้น ทำให้รูปเก่าดับไป แล้วรูปใหม่เกิดขึ้น เช่น ต้องเปลี่ยนอิริยาบถจากรูปนั่งเป็นรูปยืนและรูปเดิน เป็นต้น จะบังคับให้รูปคงที่ตลอดไปไม่ได้ ส่วนความรู้สึกทางใจก็เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และบังคับไม่ได้เช่นกัน

สำหรับการละความยึดถือกายและใจเป็นการปฏิบัติในเบื้องสูง วิธีปฏิบัติก็เป็นไปในทำนองเดียวกับการปฏิบัติในเบื้องต้นนั่นเอง เพียงแต่ผู้ปฏิบัติมีสติสัมปชัญญะหรือมีความรู้สึกตัวแก่กล้ามากขึ้น สามารถรู้สึกตัวได้อย่างถี่ยิบโดยไม่มีเจตนาจะรู้ ในขั้นนี้จึงไม่ต้องจงใจทำอะไร เพราะจิตเขาจะทำของเขาเอง คล้ายกับผลไม้ที่รอเวลาสุกเท่านั้น ผู้ปฏิบัติจะรู้สึกเหมือนกับว่า ความรู้สึกตัวแผ่กว้างออก ในขณะที่ความหลงหดสั้นลง อนุสัยและอาสวกิเลสทั้งหลายไม่สามารถทำงานได้ดังเดิม กำลังของกิเลสที่ห่อหุ้มปกคลุมจิตและผูกมัดจิตให้ยึดติดอยู่กับขันธ์ (คือกายและใจอันเป็นของหนัก) ก็จะอ่อนกำลังลง ผู้ปฏิบัติจะรู้สึกว่า จิตใจมีน้ำหนักน้อยลงเรื่อยๆ เพราะวางภาระที่ต้องแบกหามขันธ์ไปตามลำดับ และรู้สึกว่าจิตเป็นเพียงสภาวธรรมบางอย่างที่ไม่สนใจจะเรียกตัวเองว่าจิตด้วยซ้ำไป ความคิดนึกปรุงแต่งจะจางลงๆ เว้นแต่มีกิจที่จะต้องคิดก็คิดปรุงไปตามหน้าที่ และเมื่อถึงจุดหนึ่งจิตก็จะสลัดตัวหลุดพ้นจากอาสวกิเลสที่ห่อหุ้มอยู่ เกิดการปล่อยวางขันธ์หรือกายและใจ ผู้ปฏิบัติจะรู้สึกได้ว่า จิตกับสภาพแวดล้อมเป็นสิ่งที่ว่างและปราศจากน้ำหนักเช่นเดียวกัน คือธรรมและภายในได้แก่จิตใจ ซึ่งปราศจากเปลือกหุ้มคืออาสวกิเลส ก็ว่างไร้ขอบเขตแผ่กว้างผ่าน ทวารตา หู จมูก ลิ้น และกาย รวมเข้าถึงความว่างของธรรมภายนอกเป็นสิ่งเดียวรวดเสมอกัน จิตจึงไม่มีการหลงหรือไหลไปมา และเป็นจิตที่ไม่ทำกรรมอีกต่อไป อนึ่งจิตที่ปล่อยวางขันธ์ก็คือจิตที่พ้นทุกข์ เพราะอุปาทานขันธ์นั่นแหละคือตัวทุกข์ นี่คือปรินิพพานประเภทแรกคือความพ้นทุกข์ทางจิตใจอย่างสิ้นเชิงในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ (สอุปาทิเสสนิพพาน)

การปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์มีแนวทางปฏิบัติหลักๆ อยู่เพียงเท่านี้ ไม่ต้องทำอะไรมากหรอก เพียงแต่รู้สึกตัวเนืองๆ แล้วตามรู้กายตามรู้ใจไปตามความเป็นจริง ซึ่งตรงตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ ทำได้อย่างนี้จิตจะพัฒนาไปสู่ความพ้นทุกข์ได้เอง

จากหนังสือประทีปส่องธรรม พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชโช

ติดตามอ่านเต็มๆ ฉบับได้ที่นี่ค่ะ
http://www.manager.co.th/Dhamma/ViewBrowse.aspx?BrowseNewsID=8101&SourceNewsID=6713&Page=1
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 28 พ.ค.2007, 7:52 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เล่มนี้ดีจริงๆ ค่ะ เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแนวสติปัฏฐาน ๔

สามารถหาอ่าน และ load ทั้งเล่มจาก PDF file ได้ที่

http://www.wimutti.net/download/books/web/prateep/main.htm?x=5
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง