ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
วีรยุทธ
บัวทอง


เข้าร่วม: 24 มิ.ย. 2005
ตอบ: 1790
ที่อยู่ (จังหวัด): สกลนคร
|
ตอบเมื่อ:
26 มี.ค.2007, 12:50 pm |
  |
มุทิตา...โลกุตระฌาน โลกียฌาน
โดย หลวงปู่หลวง กตปุญโญ
วัดป่าสำราญนิวาส
ต.ศาลา อ.เกาะคา จ.ลำปาง
หลวงปู่ : มุทิตา ตัวนี้กว้างขวาง หมายถึงว่าความยินดี เรายินดีในการทำคุณงามความดีก็เป็นมุทิตา ถ้าให้ของผู้ที่มีคุณ ก็เป็นมุทิตาสักการะ เช่นให้ครูบาอาจารย์ ให้บิดามารดา เราจะให้อะไรก็ตาม ที่ให้นี่คือมุทิตาสักการะ
มุทิตาจิตคือความยินดี เขาทำดีก็ยินดี ไม่อิจฉา ส่วนมากคนมันไม่มีมุทิตา อิจฉาแล้วบัดนี้ เห็นเขาได้ดีก็อิจฉา แกล้งเขา นั่นคือคนไม่มีมุทิตา ขาดมุทิตาจิต แกล้งกัน เหมือนโลกที่เขาแก่งแย่งกันก็เพราะขาดมุทิตาจิตนี่แหละ กว้างขวางเหมือนกัน มุทิตาคือ ความโลภ เห็นคนอื่นได้ดี อยู่ไม่ได้ อิจฉาเขา แปลว่า ขาดมุทิตาจิต
ศิษย์ : หลวงปู่ครับ แสดงว่าคนเราต้องทำจิตให้เข้าถึงความสงบก่อนนะครับ เป็นเมตตา แล้วจิตมันถึงจะเข้ากระแสของธรรม
หลวงปู่ : เออ แน่นอนล่ะ ถ้าไม่สงบก็เข้าไม่ถึงธรรม บ่รู้ธรรมหรอก ถ้าไม่สงบก็ไม่เห็นธรรม ไม่รู้ธรรม
ศิษย์ : ที่เราเจริญสมถะ ก็เพื่อเข้าถึงผู้รู้ ความสงบนั่นเองใช่ไหมขอรับ
หลวงปู่ : ก็นั่นแหละความสงบ ท่านเปรียบอย่างนี้
สงบเปรียบเหมือนน้ำนิ่ง น้ำอยู่ในอ่าง มันนิ่ง น้ำนิ่ง มันเห็นเจ้าของหมด มองเห็นคนอื่นผ่านมาก็มองเห็น ตลอดที่สุดนกบินท้องฟ้าก็เห็น เห็นหมดเปรียบเทียบเหมือนน้ำนิ่ง ไม่กระเพื่อมฉะนั้น จิตที่มีความสงบนิ่ง จะรู้ รู้ ใครจะคิดดี คิดร้าย มาหาเราก็รู้ มุทิตาตัวนี้เป็นองค์ฌาน ผู้ที่ได้พรหมวิหารแท้ๆ คือได้ฌานนั่นเอง
ศิษย์ : หลวงปู่ครับ ฌานในทางโลกนี่มันยังมีทางเสื่อมได้ใช่ไหมครับ
หลวงปู่ : เออ ฌานโลกีย์ร้อยเปอร์เซ็นต์นั่นแหละ
ศิษย์ : หลวงปู่ครับ แล้วจิตของปุถุชนที่ปรารถนาจะดำเนินจิตเข้าสู่มรรคานะขอรับ ต้องเจริญฌานประเภทใดขอรับ
หลวงปู่ : ถือว่าฌานโลกีย์ไม่เอา เอาฌานโลกุตระ บำเพ็ญฌานโลกุตระ คือว่าไม่ติด เมื่อเห็นสิ่งต่างๆ อะไร รูปต่างๆ ก็ไม่ติด ไม่เอา ละหมด
ศิษย์ : คือเห็น สักแต่ว่าเป็นอารมณ์เกิดดับใช่ไหมครับขอรับ ปล่อยนะขอรับ
หลวงปู่ : ปล่อย...คือรู้ว่าอันนั้นไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่เที่ยง เป็นอารมณ์ ไม่ยึดถึอ ละ พิจารณา ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา
ศิษย์ : อย่างที่เราเจริญสตินะครับหลวงปู่ เมื่อจิตสัมผัสกับอารมณ์ เกิดดับ เราก็รู้กับมันแล้วก็ทิ้งมันไป ด้วยความเข้าใจใช่ไหมครับ
หลวงปู่ : สติรู้...ระลึกขึ้นมา...รู้...รู้แล้วก็ปล่อยวาง ระลึกขึ้นมาได้ แต่มันจะรู้ได้เพราะสติ ไม่มีสติก็ไม่รู้อีกล่ะ
ศิษย์ : บางทีอาจจะเกิดเหตุการณ์ไปปรุงแต่งพอสติรู้ทันมันก็ดับ
หลวงปู่ : คือว่า พอสติรู้ขึ้นมา ตัวสัมปชัญญะ ตัวรู้นั่นแหละเป็นตัวดับ ท่านว่าอย่างนี้น่ะ เป็นหลักมันน่ะ จะรู้ได้เพราะสติ จะละได้เพราะปัญญา ถ้าไม่มีสติ ก็รู้ไม่ได้ รู้แต่ว่าละไม่ได้ รู้เฉยๆ รู้แล้วก็ยึดถือ บ่มีปัญญา รู้ก็หลงตัวรู้นี่อีกล่ะ ฉะนั้นท่านให้ ละ ตัวรู้ ตัวนั้นอีก
ครั้งพระพุทธเจ้าทรงพระชนม์ มีชีวิตอยู่ ลูกศิษย์ของพระองค์ นั่นน่ะจะไปเจริญฌานโลกีย์นี่ไม่ได้ พระองค์ด่าให้เลย ท่านรู้แล้วห้าม ไม่ให้เล่น ไม่ให้ทำเพราะมันไม่พ้นทุกข์
ศิษย์ : หลวงปู่ขอรับ ฌานโลกีย์ อุปมาเปรียบเหมือนเราส่งพลังงาน แล้วฉายมันออกไปข้างนอกใช่ไหมครับ มันจึงไปติด ไปยึด แต่ถ้าเป็นฌานโลกุตระนี่ คือชี้เข้ามาในใจของเรา แล้วก็เห็นว่าอะไรที่มันเกิดดับ เป็นของไม่เที่ยง ไม่ควรยึด มั่นถือมั่น เป็นตัวเป็นตน คือให้พิจารณาอย่างนี้อยู่เนื่องๆ ใช่ไหมขอรับ
หลวงปู่ : รู้แล้วก็วาง
 |
|
_________________ ท่านสามารถฟังวิทยุเสียงธรรมหลวงตามหาบัวได้ทั่วประเทศ
และโทรทัศน์ดาวเทียมเสียงธรรมทั้งภาพและเสียงได้แล้วที่
http://www.luangta.com |
|
  |
 |
วีรยุทธ
บัวทอง


เข้าร่วม: 24 มิ.ย. 2005
ตอบ: 1790
ที่อยู่ (จังหวัด): สกลนคร
|
ตอบเมื่อ:
26 มี.ค.2007, 12:54 pm |
  |
ภาพ พระครูการุณยธรรมนิวาส (หลวงปู่หลวง กตปุญฺโญ) ศิษย์หลวงปู่มั่น
วัดป่าสำราญนิวาส ต.ศาลา อ.เกาะคา จ.ลำปาง
โทร. ๐-๙๘๑๖-๔๓๔๓ ( อ.ยุวดี ชาติไทย)
------------------------------------------------ |
|
_________________ ท่านสามารถฟังวิทยุเสียงธรรมหลวงตามหาบัวได้ทั่วประเทศ
และโทรทัศน์ดาวเทียมเสียงธรรมทั้งภาพและเสียงได้แล้วที่
http://www.luangta.com |
|
  |
 |
I am
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972
|
ตอบเมื่อ:
26 มี.ค.2007, 12:56 pm |
  |
สาธุครับ...โมทนาด้วยนะครับ คุณวีรยุทธ  |
|
_________________ ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก |
|
     |
 |
|