Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ความเปลี่ยนแปลง (หลวงปู่พุทธะอิสระ) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 27 ก.พ.2007, 5:36 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

ในบทการพิจารณาร่างกาย
จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องเก่าที่ทุกคนมี และเข้าใจ
แต่ไม่ค่อยขยันที่จะทำความซาบซึ้งกับมัน
หลวงปู่ใช้คำว่าเข้าใจ กับซาบซึ้ง
เข้าใจเฉยๆ ถ้าไม่ซาบซึ้ง มันก็ไม่ทำอะไรให้เกิดประโยชน์
ในขณะที่สวดมนต์ก็คิดไปว่า พระพุทธเจ้าท่านช่างเป็นคนที่ละเอียดอ่อน
สุขุม เรื่องเล็กน้อยนิดหน่อย แม้แต่วาระสุดท้ายของชีวิตท่าน
คนแก่ที่กำลังจะตายแล้ว น่าจะมีความรู้สึกว่าต้องห่วงแหนตัวเอง

แต่ตรงกันข้าม ท่านกลับมีความเอื้ออาทรต่อสรรพสัตว์
และพวกเราทั้งหลายสุดชีวิต
ก่อนที่ท่านจะตายยังสู้อุตส่าห์สั่งเสียว่าดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
บัดนี้เราขอเตือนท่านทั้งหลายว่าสังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
ท่านทั้งหลายจงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด
นี้เป็นวาจาครั้งสุดท้ายของเราตถาคต
ด้วยคำพูดประโยคนี้เราจะเห็นว่า
พระองค์ช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยพระมหากรุณาธิคุณ
ความเอื้ออาทรสุดชีวิตจิตใจ
ท่านก็ยังห่วงใยอาทรเฝ้าเตือนสติให้เรายั้งคิด
ว่าโดยแท้จริงร่างกายเรา ที่เราเฝ้าถนอมระวังรักษาทะนุบำรุงมัน
จริงๆ แล้วมันเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา
มันจะผิดธรรมดา ถ้าเราเห็นคนเกิดดีใจเห็นคนแก่เสียใจ
เห็นคนตายร้องไห้ ถือว่านี่มันผิดธรรมดา

ครั้งเมื่อพระองค์ทรงอาพาธ ใกล้จะปรินิพพาน
พระอานนท์ซึ่งเป็นพุทธอุปัฏฐาก และเป็นพระอนุชา
ท่านอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เล็กจนโต
บัดนี้พระมหาศาสดาเจ้าจะปรินิพพานจากเราไปแล้ว
ไม่มีใครที่จะให้เราอุปัฏฐากอีกแล้ว
พระอานนท์ก็เสียใจแอบไปยืนร้องไห้
พระศาสดาทรงรู้เข้าด้วยญาณวิถี
พระองค์ก็ทรงเรียกพระอานนท์และ ภิกษุทั้งหลาย ให้เข้ามาเฝ้า
พระองค์ทรงเตือนว่าภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงอย่าเสียใจไปเลย
เมื่อเราตถาคตนิพพานไปแล้ว
พระธรรมและวินัยจะเป็นศาสดาสอนเธอทั้งหลายแทนเราตถาคต
ภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
การที่เธอทั้งหลายจะมานั่งเศร้าโศก เสียใจกับคนแก่คนหนึ่งที่ใกล้จะตาย
ไม่ใช่ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เธอกำลังทำชีวิตให้ไม่ธรรมดา
เพราะธรรมดาของโลกและสังขารมีเกิดขึ้นในเบื้องต้น
แปรปรวนในท่ามกลาง และก็แตกสลายในที่สุด

เราตถาคตก็เป็นดังนั้นตกอยู่ในกฎเกณฑ์
และกติกาแห่งความเป็นธรรมดาเช่นนั้น
ไม่มีใครในโลกจะหนีพ้น ได้ถือว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดาปกติ
การที่พระศาสดาทรงมีความเอื้ออาทรสุดชีวิตจิตใจ ต่อพระสงฆ์สาวก
และพวกเราชาวพุทธบริษัททั้งหลายว่า
จงยังประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน
ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด
เพราะฉะนั้นคำว่าประโยชน์ตน กับประโยชน์ท่าน
เราจะเห็นว่าพระองค์ทรงเตือนให้เรามีชีวิตอยู่อย่างผู้ให้ประโยชน์
ทำประโยชน์ แล้วจึงจะรับประโยชน์

พระองค์ทรงเตือนให้เราใช้ชีวิตอยู่อย่างคุ้มค่า
กับการได้เกิดมาเป็นคนกับเขาชาติหนึ่ง
อย่าปล่อยตัวเองให้หลงไหลไปกับตาเห็นรูป หูฟังเสียง
จมูกได้กลิ่นลิ้นรับรส กายถูกต้องสัมผัส
เพราะถือว่าการกระทำชนิดนั้น เป็นการทำชั่วทางกาย ชั่วทางใจ
และชั่วทางวาจา คนที่จะทำชั่วไม่ใช่ไปตีหัวคนอื่นจึงถือว่าชั่ว
แต่คนทำชั่ว ก็คือ คนที่ทำตัวเองให้เสียประโยชน์ในการมีชีวิต และการเกิด
คนที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ไม่ใช่เป็นคนชั่วแต่ถือว่าเป็นคนเลว
คนชั่ว ก็คือ คนที่มีชีวิตอยู่อย่างไม่ให้ประโยชน์ตนอย่างถ่องแท้
และประโยชน์ตนที่ถ่องแท้ ก็คือ ประโยชน์ที่ต้องปลุกจิตวิญญาณของตน
ให้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ตามความเป็นจริงของโลกแล้วชีวิตเช่นไร วิถีทางอย่างไร
จึงจะถือว่าเป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยความมีประโยชน์และการได้ประโยชน์
ชีวิตและวิถีทางแห่งการเป็นผู้รู้ รู้ในหน้าที่ของความเป็นคน
หน้าที่ของความเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูก
และสุดท้ายก็หน้าที่ของการมีชีวิตที่ต้องมาแสวงหา
หนทางแห่งการหยุดและหลุดพ้นจากบ่วงเครื่องร้อยรัดทั้งปวง

ถ้าหน้าที่เหล่านี้ไม่สมบูรณ์ บกพร่อง และไม่ถูกต้อง
พระพุทธะผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย ก็จะเรียกขานบุคคลเหล่านั้นว่า
เป็นบุคคลผู้เปล่าประโยชน์ เป็นโมฆะบุรุษ เป็นโมฆะสตรี
แต่ถ้าอยากเป็นคนเลว ก็ต้องทำให้คนอื่นได้รับโทษจากการกระทำของเรา
ไม่ว่าจะจงใจ หรือมิจงใจก็ตาม
แต่ถ้าคนอื่นได้รับความเดือดร้อน ก็ถือว่าเป็นคนเลว
พระองค์ทรงรู้ว่า คนจะชั่วก็ได้ จะเลวก็ได้
ด้วยความประมาทและไม่เข้าใจความเป็นจริงของโลก สังขาร และสังคม
บทสวดมนต์ถ้าเราสวดด้วยหัวใจและวิญญาณ
เราจะกลับกลายเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานและเราจะมีความรู้สึกปลาบปลื้ม
ซาบซึ้ง มิใช่สวดมันเพียงแค่เข้าใจ
เพราะการเข้าใจบางครั้งก็ไม่เข้าไป และไม่เข้าไปภายในของเราก็ได้
แต่ถ้าสวดด้วยความตั้งใจ เราจะปลาบปลื้ม ซาบซึ้งและซึมสิง
เข้าไปในจิตวิญญาณภายในของเราได้ทันที
เราจึงรู้ถึงความเอื้ออาทร ความเมตตาสงสารที่มีอยู่ในพระพุทธะผู้ยิ่งใหญ่
ที่พระองค์ทรงให้ เราจะรับได้ถึงความเอื้ออาทรสุดหัวใจจากคำสอนของพระองค์

การสวดมนต์เป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้เราได้เรียนรู้พลังงานของจักรวาล
โลกและสังคม รวมทั้งผู้ที่บัญญัติบทสวดให้เรา
เราจะรู้ถึงจุดมุ่งหมายของท่านเหล่านั้นว่า
ท่านสร้างบทสวดมนต์เพื่อ ต้องการอะไร
ชั่วชีวิตหลวงปู่ หลวงปู่จะเรียนรู้เรื่องใด
ต้องทำความเข้าใจถึงคนที่จะให้เราเรียนว่า
เขาต้องการอะไรจากเรา
และสิ่งที่เราเรียนมันก็จะทำให้เรารู้จริง ไม่ใช่รู้จำแต่ทำไม่ได้
เพราะฉะนั้นสวดมนต์ ไม่ใช่สวดเพียงแค่ฟองน้ำลายที่กระดกบนปลายลิ้น
แล้วมีเสียงลอดออกมาเฉยๆ ไม่ใช่บ่นให้คนอื่นฟัง
แต่จงสวดทั้งกายและจิตวิญญาณ
สวดทั้งซากและหัวใจ สวดมันให้ก้องกังวานอยู่ภายใน
ให้ทะลุความโง่งมงาย เข้าไปสู่จิตวิญญาณที่นอนรอเราปลุกให้มันตื่นขึ้นมา
จึงถือว่าเราเจริญพระพุทธมนต์
แล้วพวกท่านจะรู้ และเข้าใจถึงจิตวิญญาณ ของพระพุทธะ
ว่าพลังของพระองค์ช่างศักดิ์สิทธิ์ ถ้าเราได้ดื่มด่ำและซาบซึ้ง
เราจะรู้ถึงอรรถรส บทบรรยาย แห่งพระธรรมของพระองค์อย่างสุดชีวิตทีเดียว


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้


ข้อมูลจาก...ธรรมะจากหลวงปู่
http://www.dhamma-isara.org/

คัดลอกจาก...
http://www.dharmastation.org/blogMsg.php?BgrID=169

สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 28 ก.พ.2007, 8:25 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุครับ คุณลูกโป่ง สาธุ
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง