Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ช้อบปิ้งบุญ-- ขวัญ เพียงหทัย-- อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
gafiew
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 24 ธ.ค.2004, 1:38 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ก่อนช้อบ



คำว่าช้อบปิ้งบุญอาจทำให้คุณนึกว่านี่เป็นรายชื่อวัดต่างๆที่คุณจะไปทำบุญถวายทาน แต่ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น ฉันหมายถึงการเก็บสะสมบุญจากทุกๆ ที่ที่คุณอยู่ จากเหตุการณ์ทุกอย่างที่คุณพบในชีวิตประจำวันของคุณ

บุญคือความสบายใจในสิ่งที่กระทำแล้วไม่เดือดร้อนแก่ตนเอง และผู้อื่น หลวงพ่อชา สุภัทโท สอนว่า “บุญคือการละบาป” ดังนั้นการทำบุญทั้งหลายทำอยู่ที่ตัวเรานี่เอง เราประกอบบุญได้โดยง่าย ถ้าเรารู้หลักของธรรมะ ธรรมะคือธรรมชาติ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากที่เราจะเรียนรู้ธรรมะและทำบุญให้เกิดขึ้นกับตัวเรา

ฉันหวังว่าหนังสือเล่มนี้ จะมีโอกาสได้บอกเรื่องราวของธรรมะที่อยู่รอบตัวแก่คุณ เพื่อที่วันหนึ่งต้นไม้นี้จะเจริญเติบโตต่อไปและให้ความร่มเย็นแก่ชีวิตของคุณและคนรอบข้าง ด้วยความขวนขวายในธรรมของตัวคุณเอง

ท่านอาจารย์วศิน อินทสระ ได้กรุณาตรวจทานต้นฉบับเพื่อความถูกต้องของข้อธรรม ฉันขอกราบขอบพระคุณด้วยความเคารพมาในโอกาสนี้

ขอให้ธรรมมะงอกงามในใจคุณ สมกับที่เราเป็นผู้โชคดีเกิดมาได้พบกับพระพุทธศาสนา

ขอธรรมรักษา

ขวัญ เพียงหทัย









หนังสือ “ชอบปิ้งบุญ” นี้จัดทำขึ้นเพื่อน้อมบูชาพระคุณพระผู้มีพระภาคเจ้า อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความเคารพอันสูงยิ่ง

ขวัญ เพียงหทัย

มีต่อ..
 
gafiew
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 24 ธ.ค.2004, 10:18 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ธรรมะอินเตอร์เน็ต



ตี๋เล็กเป็นคนทันสมัย ชอบของทันสมัยแต่งตัวทันสมัย ติดตามวิทยาการทันสมัย มือถือต้องรุ่นใหม่ เรื่องอินเตอร์เน็ตจึงไม่พลาดอยู่แล้ว นั่งดูทั้งวันทั้งคืน อยากให้มีอินเตอร์เน็ตในร้านแมคโดนัลด์พร้อมเตียง จะได้นอนในร้านเล่นอินเตอร์เน็ตทั้งคืน ..มันเท่ห์

เมื่อก่อนเขาเรียกตัวเองว่าแมค ย่อมาจากแมคโดนัลด์ ตอนนี้เขาเรียกตัวเองว่าคลิกเกอร์ แต่แม่ยังเรียกว่าตี๋เล็ก

คลิกเกอร์มองจางวางตุ๋ยด้วยสายตาดูหมิ่น เพราะจางวางตุ๋ยมาบอกให้เซิร์ทหาพระไตรปิฏกในอินเตอร์เน็ตอีกแล้ว จะหาอะไรก็ไม่รู้ คำยากๆ คลิกเกอร์เบื่อ เห็นนายตุ๋ยเชย ไม่ทันสมัยเลยยกให้เป็นจางวาง

จางวางตุ๋ยไม่สนใจ หาให้ก็แล้วกัน ถ้าธรรมะมันเชย จะมาอยู่ในอินเตอร์เน็ตได้ไง

“ไม่รู้ แต่เราว่าน่าเบื่อออก คำก็ยาก มีแต่บาลีทั้งนั้นเลย” คลิกเกอร์บ่น

“คำบาลีเขามีไว้ให้พระอ่าน คำไทยเขามีไว้ให้คนไทยอ่าน นายอยากทันสมัย ก็เปิดดูภาษาอังกฤษซี ว่าแต่อ่านออกหรือเปล่าล่ะ”

คลิกเกอร์ตาโต “อาไร มีเทศน์ภาษาอังกฤษด้วย ใครเทศน์ เทศน์ให้ใครฟัง ฝรั่งเหรอ คนไทยยังไม่ฟังเลย ฝรั่งที่ไหนจะฟัง”

“นี่แน่ะ ไดโนเสาร์” จางวางตุ๋ยเปลี่ยนชื่อให้บ้าง

“ฝรั่งเขาศึกษาพุทธกันมาตั้งนานแล้ว จนเขียนหนังสือเป็นตั้งๆ แล้ว ยิ่งมีให้อ่านมาก ก็ยิ่งมีคนมาสนใจมาก ตอนนี้พระฝรั่งเทศน์เก่งๆมีเยอะเลย เวลาเราเจอฝรั่งที่สนใจพุทธทีไรเขาต้องบอกว่าศาสนาพุทธนี่เป็นของดีที่สุดในเมืองไทย เราพยายามจะบอกนายอย่างนั้นเหมือนกัน แต่นายไม่ยอมฟัง”

คลิกเกอร์หัวเราะเก้อๆ อยากจะตอบว่าเขารู้สึกว่าเชยก็เกรงใจ จางวางตุ๋ยรู้ทัน จึงว่า

“ไดโนเสาร์ย่อมไม่รู้ว่า พระพุทธเจ้าน่ะทันสมัยแค่ไหน วันนี้ถ้าไดโนเสาร์มีเรื่องทุกข์ใจจนร้องไห้ คำสอนตั้งพันห้าร้อยกว่าปีนี่แหละจะเช็ดน้ำตาไดโนเสาร์ได้”

อย่าเรียกไดโนเสาร์บ่อย นี่คลิกเกอร์นะรู้จักอ๊ะปล่าว จางวางตุ๋ยร้ว่าคลิกเกอร์ชอบเลียนแบบฝรั่ง จึงเล่าว่า

“พวกฝรั่งเขาปฏิบัตินั่งสมาธิกันในวันหยุดนะ นั่งกันเก่งเชียวล่ะ เขาสำรวจกันมาแล้วว่า วันธรรมดาชาวนิวยอร์กกว่าครึ่งเขาสวดมนต์ก่อนไปทำงานกันแล้ว นายมันโบราณ”

คลิกเกอร์ทึ่ง หูผึ่ง เขาชอบรู้ว่าฝรั่งทำอะไร จะได้ทำตามทัน

“พระฝรั่งเทศน์ที่ออสเตรเลียนะ พระผู้ช่วยคอยอัดคำเทศน์ไว้ในคอมพ์ เขาเปิดฟังกันทั่วโลกตั้งสี่แสนคน เดี๋ยวนี้ เขาไม่ต้องรอคนไปวัดข้างๆบ้าน 20 คน 30 คนแล้วค่อยเทศน์แล้ว รู้อ๊ะปล่าว เต่าโบราณ”

คลิกเกอร์รีบคลิกให้จางวางตุ๋ยทันที จะหาอะไรรีบบอกมา แล้วมาอธิบายให้ฟังด้วย เดี๋ยวไปร้านแมคโดนัลด์ เจอฝรั่งถามธรรมะตอบไม่ได้ อายเขาตาย จะมายอมให้จางวางตุ๋ยเรียกเต่าโบราณได้ยังไง เสียชื่อคลิกเกอร์หมด.







ธรรมะอินเตอร์เน็ต
 
gafiew
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 01 ธ.ค. 2004
ตอบ: 12

ตอบตอบเมื่อ: 24 ธ.ค.2004, 10:23 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พญามารรับน้อง

คนที่เข้าหาธรรมะใหม่ๆ อย่างเห็ดฟาง จะทำท่ายูเทิร์นบ่อย เพราะรู้สึกว่าอะไรๆ มันไม่พร้อม มีเรื่องติดขัดให้ยกมาอ้างอยู่ได้เรื่อยๆ จนหมดกำลังใจ

วันก่อนตุ๊มเหม่ง ชวนไปเรียนธรรมะที่วัดตอนเช้าวันอาทิตย์ ด้วยโฆษณาชวนเชื่อที่ว่า ปกติเช้าวันอาทิตย์ก็นอนให้พระอาทิตย์เลียสีกางเกงที่ก้นจนซีดอยู่แล้ว ไม่ได้ทำอะไร ไปเรียนธรรมะ ไม่ทำให้อะไรเสียหายบุบสลาย เพียงแค่นอนน้อยไปหน่อยเท่านั้นเอง

อย่างเห็นด้วย เพราะเวลาแห่งบุญเดินทางมาถึงชะตาชีวิตแล้ว เลยคิดว่าเอาน่า ไปเรียนซะหน่อย

เท่านั้นแหละ เดี๋ยวแม่มาจากต่างจังหวัด เดี๋ยวงานสั่งที่ร้านรับไม่ได้ให้ไปรับวันอาทิตย์ เดี๋ยวรถเสียไปไม่ทัน เดี๋ยวมีโน่นเดี๋ยวมีนี่ ไม่ได้เป็นอันเรียน

ตุ๊มเหม่งว่า “เฮ้ย เรื่องธรรมดา ปกติมาก จะเข้าหาธรรมะใหม่ๆ มันจะเป็นอย่างนี้แหละ มารมาผจญ มันรับน้องใหญ่ มันกลัวเราจะเข้าหาพระพุทธเจ้าได้สำเร็จ นายต้องอดทนไว้เดี๋ยวดีเอง เชื่อเรา”

เห็ดฟางกัดฟัน ไปเรียนๆ โดดๆ ตามประเพณีนักเรียนที่ดี (ถ้านักเรียนไม่ดีจะโดดๆ และโดดๆ)

ธุระใครผัดได้ก็เลื่อนไปบ่ายหลังเลิกเรียน เลื่อนไม่ได้จริงๆคราวต่อไปก็รีบไปให้แต่เช้าก่อนเรียน ขอดูจากเพื่อนว่าอาทิตย์ก่อนอาจารย์สอนอะไร พยายามแสดงให้พญามารเห็นความพยายาม บางทีพญามารส่งงานมาให้ตอนดึกแทน เช้าจะได้ตื่นไม่ไหว ไม่ได้ไปเรียน

ตุ๊มเหม่งคอยให้กำลังใจ เอาเรื่องพระมหาชนกมาล่อ เผื่อเห็ดฟางจะสนใจนางเมขลา

แล้วตุ๊มเหม่งก็เล่าว่า ตอนเข้ามาใหม่ๆก็เหมือนกัน ยากเย็นแสนเข็ญ เพราะอ่านหนังสือธรรมะแล้วแสนจะเบื่อ

“อ่านไป 3 หน้า หลับละ” ว่าแล้วก็หัวเราะ

“มีพี่คนหนึ่งบอกว่าที่มันหลับเพราะเราไม่ค่อยสนใจอยากรู้ ให้ฟังอาจารย์พูดไปก่อน พอได้ยินเรื่องนี้มากๆเข้า มันเกิดอยากรู้ขึ้นมาหาอ่านเอง ยิ่งอ่านยิ่งเพลินไม่ได้หลับไม่ได้นอนก็มี อ่านอยู่นั่นแหละ เราก็ลองดู เออมันจริงนะ”

แต่ในที่สุด ก็สมจริงดังตุ๊มเหม่งว่า เวลาแห่งการรับน้องค่อยๆหมดไป งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา

ผลแห่งความอึดที่ดำรงความตั้งใจว่ายังไงก็จะเรียน เริ่มมีวี่แววของธรรมะจัดสรรค่อยๆ เรื่อเรืองขึ้น เห็ดฟางเริ่มว่างเช้าวันอาทิตย์ได้บ่อยขึ้น ธุระต่างๆที่จะเข้ามาเช้าวันอาทิตย์ จะหลบ หลีกไปด้วยตัวของมันเอง ไปทำให้คู่กรณีไม่ว่างแทน

เวลาผ่านไป เดี๋ยวนี้เห็ดฟางไปเรียนได้ทุกเช้าวันอาทิตย์ ชีวิตเปลี่ยนไป จากที่เคยหัวยุ่งเป็นหมาบ้า ตอนนี้กลายเป็นคน และมีความสุข.

 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
gafiew
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 01 ธ.ค. 2004
ตอบ: 12

ตอบตอบเมื่อ: 24 ธ.ค.2004, 6:25 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถังเหลืองแลกหุ้น

ปั้นแต่งเป็นนักเล่นหุ้นประเภทแมลงเม่าเคยบินเข้ากองไฟมาแล้วหลายหน แต่ด้วยจิตอาลัยอาวรณ์ เกิดใหม่ทีไรก็ยังเป็นแมลงเม่าอยู่ร่ำไป ไปเกิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ใจมันรัก

วันหนึ่งได้ไปร่วมงานบุญญาติที่วัด เห็นคนอื่นเขาถือถังเหลืองมาถวายพระทำสังฆทาน ก็พลันคิดได้ว่า อันความซวยที่มีเห็นทีเพราะมีเคราะห์ จำสะเดาะให้หายซวยด้วยถังเหลือง คิดแล้วจึงรีบรุดไปซื้อถังเหลือง เอาชุดที่จัดไว้แล้ว ราคาถูกที่สุดมาถวายพระ

เสร็จสมใจแล้วกกลับไปนอนกินทุเรียนหมอนทองรอหุ้นขึ้น กินหมดทุเรียนไปสวนหนึ่งแล้ว หุ้นก็ยังลงจึงตรงไปถามพัดทองว่า เป็นเพราะอะไร ทำไมสะเดาะแล้วเคราะห์ไม่หลุด

พัดทองนั่งหัวเราะ “ทำบุญแลกหุ้นเหรอ ฝันสูงนี่” หัวเราะไม่พอยังส่ายหน้าเป็นของแถม

“ทำบุญก็เรื่องของการทำบุญนะ เราทำบุญเพราะว่าเป็นเรื่องดี จึงทำ แล้วการถวายของ ควรดูของที่พระจำเป็นใช้ได้ประโยชน์ วัดนี้อยู่ในกรุงเทพฯ ไม่ต้องใช้ถังหรอก มีก๊อกน้ำทั่วถึง ชานี่พระหนุ่มก็ไม่กินหรอก ข้าวสารกับผงซักฟอกร้านเขาก็วางติดกัน วางนานจนกลิ่นผงซักฟอกมันเข้าไปในข้าวสาร หุงแล้วกินไม่ได้ ปลากระป๋องก็เก่าหมดอายุแล้ว ถ้ามีคนเอาของพวกนี้มาให้นาย นายจะทำอย่างไร ก็คงทิ้งไป แล้วจะมีบุญเกิดจากส่วนไหนล่ะ”

“แล้วงั้นให้ทำไง” ปั้นแต่งถามเพราะไม่เคยเข้าวัด

“สมัยนี้ใช้น้ำใช้ไฟ ก็ถวายค่าน้ำค่าไฟดีกว่า หรือหนังสือธรรมะ หรือสมุดปากกา เพราะพระเขาก็ศึกษาอยู่ หรือหลอดนีออนเอาไว้เปลี่ยนเวลาเสีย นี่แหละเป็นสังฆทาน คือเราถวายน้ำไฟให้พระทั้งวัดใช้เลย ไม่ได้เลือกเฉพาะว่าองค์ไหน ของถวายพระหรือถวายวัดเนี่ย เมื่อมีคนมาใช้สอย เราจึงจะได้บุญ ถ้าไปวัดต่างจังหวัดเราก็ดูว่าเขาขาดอะไร นั่นแหละดีที่สุด ให้ในสิ่งที่พระต้องการจริงๆ มีประโยชน์จึงจะได้บุญ แต่ถ้ายังติดถังเหลืองอยู่ก็ควรซื้อของต่างๆใส่ถังเองจะได้เลือกที่คิดว่าเป็นประโยชน์

ความจริงการทำสังฆทานไม่ใช่การถวายถังเหลืองเท่านั้น สังฆทานนั้นสำคัญอยู่ที่การถวายโดยไม่เจาะจงว่าเป็นพระรูปใด เช่นเราตักบาตรตอนเช้า พระองค์ใดเดินมาก็ตักเลย ไม่ได้เจาะจงว่าจะใส่บาตรองค์นั้นองค์นี้ อย่างนี้ก็เป็นสังฆทานแล้ว”

“ทำแล้วจะได้บุญเมื่อไร นานมั้ย” ปั้นแต่งถาม ใจประหวัดถึงเรื่องหุ้น

พัดทองหัวเราะ “เฮ้ย ทำบุญมันไม่เหมือนฝากแบงค์นะ จะได้เอาสมุดไปต๊อกดอกเบี้ยวันนั้นวันนี้ คิดดูนะอย่างนายมีบุญอยู่แล้ว ดูร่างกายมีอะไรไม่สมประกอบหรือเปล่าหล่ะ ชีวิตที่นายมีทุกวันนี้ก็ไม่ได้ลำบากอะไร นี่เป็นบุญที่นายเคยทำมาเองในอดีตนั่นแหละ ควรจะเห็นบุญคุณของบุญที่ตัวเองมีมั่ง ส่วนเรื่องหุ้นมันไม่ขึ้นเพราะนายทำบุญวันนี้หรอก ถ้าง่ายอย่างนั้น ป่านนี้คนเต็มวัดแล้ว”

ปั้นแต่งหน้าจ๋อย จะเสียดายเงินค่าถังเหลืองดีมั้ยนะ

“แต่นายก็ควรทำบุญนะ พระพุทธเจ้าท่านว่า อย่าดูถูกบุญเล็กๆน้อยๆ ว่าจะไม่ให้ผล เก็บน้ำทีละหยดยังเต็มตุ่มได้นะพวก ทำบุญเอาไว้บ้าง จะได้มีบุญไว้รักษาคุ้มครองเรา อย่ารอแก่แล้วค่อยทำ ใครจะไปรู้ว่าจะมีโอกาสแก่หรือเปล่าจริงมั้ย อย่าทำเป็นเล่นไปเชียว คอยทำบัตรเติมบุญไว้มั่ง ไม่งั้นเดี๋ยวเจอบุญขาดมือแล้วจะแก้ตัวไม่ทันนะเพื่อนรัก”





 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
gafiew
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 01 ธ.ค. 2004
ตอบ: 12

ตอบตอบเมื่อ: 24 ธ.ค.2004, 6:26 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

น้ำตาบารมี

เคียงสรณ์ อ่านชาดกพระเจ้าสิบชาติ ตอนพระเวสสันดรแล้วหัวเราะหึๆ ยิ้มอย่างมีเลศนัยแกล้มอยู่เต็ม

“ยกลูกยกเมียให้คนอื่น ก็ไม่บาปสิยังเงี้ยะ”

“มันอยู่ที่เจตนา” กลิ่นร่ำว่า “อย่างนายน่ะ พูดเสร็จก็บาปไปเรียบร้อยละ”

“อ้าว ไหงงั้น”

“ก็นายเตรียมจะยกเมียให้คนอื่น จะได้หาใหม่ใช่ไหมล่ะ”

“เกลียดคนรู้ทัน หัดโง่ซะมั่งซีจะได้น่ารัก”

กลิ่นร่ำยิ้ม “ชั้นไม่ต้องเป็นเมียนาย ชั้นฉลาดได้” เคียงสรณ์ส่ายหัวดิก

“กว่าจะมาเป็นพระพุทธเจ้าต้องสะสมบารมีต่างๆ หลายประเภท ยากเย็นแสนเข็ญ ไม่ใช่สนุกอย่างที่นายคิด พระเวชสันดรทำอย่างนั้น มีเจตนาสร้างทานบารมี”

“รู้แล้วจ๊ะ แม่จ๋า” เคียงสรณ์ออด แล้วว่า “แต่เขาตีลูกต่อหน้าเลยนะ ทนได้ไง”

“การสร้างบารมีต้องใช้ความอดทนมาก น้ำตาตกในเป็นน้ำตกเลย ถ้าเป็นเราทนไม่ได้หรอก ไม่เอาแล้วบารมี ขอลูกก่อน”

“เมียด้วย” เคียงสรณ์ต่อทันที

กลิ่นร่ำหัวเราะ แล้วกลับมาเทศน์ต่อ

“บารมีนี้ส่งให้พระพุทธเจ้าสามารถเดินจากพระนางพิมพากับราหุลได้ ทำให้ได้เป็นพระพุทธเจ้า”

“แล้วตอนไปไม่ใจร้ายใจดำไปหน่อยหรือจ๊ะ แม่จ๋า”

กลิ่นร่ำวางเฉย “ต้องยอมแลกกัน ท่านไปเพื่อประโยชน์ที่ใหญ่กว่า ไปค้นหาเพื่อประโยชน์ของชาวโลกทั้งหลาย ท่านต้องยอมสละคนทั้งสองไปก่อนในตอนแรก แต่ตอนหลังทั้งพิมพา ราหุล ก็ได้เป็นอรหันต์ทั้งคู่เลย เห็นมั้ย ดีออก”

เคียงสรณ์พยักหน้าหงึกหงัก

“เวลาอ่านอะไรแล้วหัดเทียบทางกุศลซะมั่งนะ” กลิ่นร่ำว่า “จะได้ฉุดตัวเองขึ้นมาบ้าง”

เคียงสรณ์ยิ้มน้อยๆ ว่า

“ผมเสียสละให้แม่ไปก่อนไงจ๊ะ จะได้เป็นทานบารมี”



 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
gafiew
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 01 ธ.ค. 2004
ตอบ: 12

ตอบตอบเมื่อ: 24 ธ.ค.2004, 6:26 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ปล่อยบุญ

เวลาทิวทัศน์ไปวัด จะเจอคนขายนกปล่อยอยู่หน้าวัดเสมอ และเขาก็จะปล่อยนกเสมอเหมือนกัน แม้จันทร์หอมจะไม่เห็นด้วย เขาบอกว่า

“ผมมองเห็นนกมันเดือดร้อนอยู่ตรงหน้าผมช่วยมันก่อน ผมไม่คิดไกลว่ามันจะไปไหน”

“เราไม่ใช่นก เราคิดไกลได้ บาปบางอย่างมาในรูปของบุญ” จันทร์หอมอธิบาย “เธอซื้อบุญด้วยนกสิบตัว แต่เธอก่อบาปให้ตัวเอง ในการช่วยส่งเสริมให้เขาขายนกต่อไป เขาไม่เปลี่ยนอาชีพเสียที ก็เพราะมีคนซื้อ เขาไม่อดตายหรอก ถ้าไม่มีคนซื้อเขาก็ต้องไปทำอย่างอื่นจนได้”

“แล้วนกพวกนี้เล่า” ทิวทัศน์ถาม “จะปล่อยให้มันถูกขังอยู่อย่างนี้หรือ”

“มันถูกขัง ก็เพราะอนาคตของมันมีคนจะซื้อ เราปล่อยนกสิบตัว นกเป็นพันๆตัวถูกจับ เพราะเขาเห็นว่าขายดี”

จันทร์หอมมองนกที่ยังเหลืออีกหลายกรง

“บางทีเราต้องยอมเสียสละส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่ เหมือนนิ้วไหนเสียก็ต้องตัดนิ้วนั้นทิ้ง รักษาชีวิตไว้ เราปล่อยบุญน้อยที่เราได้จากการปล่อยนกในวันนี้ แต่เราจะได้ทำบุญกับนกที่ไม่ถูกจับนับพันตัว”

“เราไม่ซื้อ คนอื่นเขาก็ซื้อไม่ใช่หรือ” ทิวทัศน์เอ่ยท้วง

“เขาไม่รู้ คนมักคิดว่าปล่อยนกแล้ว จะได้ฝากโชคร้ายไปกับนก อธิษฐานยาวนานขอให้บุญปล่อยนก บันดาลให้ตนร่ำรวยโชคดี เขาไม่รู้ว่าโชคอยู่ที่กรรมของตัวเองที่เคยสร้างมา ไม่ได้อยู่ที่นก ถ้านกตัวเล็กๆ อย่างนี้ทำให้เรารวยได้ เราก็ไม่ต้องทำงานซี ปล่อยนกทุกวันดีกว่า จริงมั้ย”

“แล้วนกที่ถูกจับไปแล้วล่ะ” ทิวทัศน์มองนกในกรงอีก

“นกกลุ่มน้อยพวกนี้ มันคงเคยกักขังใตรมาก่อน เลยต้องเป็นไปตามกรรมของสัตว์อย่างนี้แหละ คนขายนกอีกหน่อยก็ต้องมีชีวิตที่ถูกขังเหมือนกัน บางทีเธอด้วย”

“อ้าว ไหงงั้นล่ะ” ทิวทัศน์โวยวาย

“เพราะพระท่านว่า การส่งเสริมก็เหมือนทำเองนะ รู้มั้ย เธออาจจะไม่ถึงกับถูกจับขังกรง แต่จะคล้ายๆ ถูกขัง ทำนองนั้น”

“เหมือนการมีเมียใช่มั้ย” ทิวทัศน์พูดกลั้นหัวเราะ

 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
gafiew
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 01 ธ.ค. 2004
ตอบ: 12

ตอบตอบเมื่อ: 25 ธ.ค.2004, 3:05 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ทิ้งเวร

วันแรกที่เขาเข้ามาทำงาน เพื่อนใหม่ทุกคนพากันอมยิ้ม

“คนอะไรวะชื่อทิ้งเวร”

เขาย้อนว่า “อ้าว แล้วนายอยากอุ้มเวรไว้รึไง”

“ชื่ออย่างนี้ อย่าไปสมัครงาน รปภ.นะ เขาไม่รับหรอก”

“รู้ อีกหน่อยจะไปทำงานมูลนิธิวัดแล้ว เขาชอบ”

แต่ก็ด้วยชื่อนี้แหละ ที่ทำให้เขากลายเป็นศิราณี ช่วยตอบคำถามเรื่องบุญกรรมให้เพื่อนๆอยู่เสมอ

วันนี้ก็เหมือนกัน บุญเทียมหน้าหงิกเข้ามา นั่งเสยหัวอันยุ่งเหยิงอยู่ หวังจะให้เรียบ

“เฮ้ย เวร” บุญเทียมว่า

“ไม่ช่าย ทิ้งเวร” เขาว่า

“เออ ทิ้งเวร เราเป็นอะไรไม่รู้ ทำไมชีวิตมันยุ่งทั้งวันยังงี้วะ นี่ทั้งเดือนเลย เดี๋ยวไอ้โน่น เดี๋ยวไอ้นี่ กลับรถแทบไม่ทัน นี่เพิ่งจะหยุดหายใจมั่ง”

“อ้อ ตายแล้วหรือ”

“ยัง ยังเป็นอยู่ ช่วยหน่อยซี”

“ชื่อบุญเทียม ปกติเขาแปลว่ามีบุญมาอยู่ด้วย สงสัยของนายจะแปลว่าบุญปลอม เลยเหนื่อยหน่อยมั้ง” ทิ้งเวรอมยิ้ม แต่เห็นบุญเทียมยังหน้าหงิก เลยสงสาร จึงเลิกเย้า

“อย่างนี้เขาเรียกกรรมเล็กกรรมน้อยคอยเบียดเบียน แต่บางทีเป็นเพราะนายจัดเวลาไม่เป็นเองด้วยหรือเปล่า นายต้องบริหารเวลาเองด้วยแต่กรรมเล็กกรรมน้อยนี่ น่าจะแก้ด้วยบุญเล็กบุญน้อยเหมือนกันนะเราว่า”

“ทำยังไง ทำนิดทำหน่อยเหรอ” บุญเทียมอยากรู้

“ใช่ ทำบุญเล็กบุญน้อย แต่ทำทุกวัน นายรู้ว่าอะไรเป็นบุญมั้ย บุญคือการช่วยเหลือให้คนอื่นสบายใจ แล้วเราสบายใจด้วย เช่น จอดรถให้คนข้ามถนน ให้ทิปเล็กๆ น้อยๆ กับเด็กปั๊มน้ำมัน ใส่กระปุกหัวเตียงสักวันละ 5 บาท สิ้นเดือนเอาไปบริจาคอาหารกลางวันเด็กยากจน ยืมเทปธรรมะจากห้องสมุดไปฝากแม่ยาย อย่าโกรธใคร คอยให้อภัยคนอื่น เวลาไปทำงานให้แม่ยายแทนที่จะคิดว่ายุ่งจัง เป็นภาระ ให้คิดใหม่ว่าไปทำบุญ คือไปช่วยให้กิจนั้นสำเร็จลง เพราะแม่ยายเราไปทำเองไม่ได้ หรือในที่ทำงานแค่นายกินกาแฟแล้วช่วยยกไปที่ครัวให้แม่บ้านซะหน่อย นี่ก็บุญแล้ว หรือเจอใครก็ยิ้มให้เขา ทำให้เขาสบายใจก็บุญแล้ว นี่เราแค่นั่งฟังนายระบายกลุ้มก็ได้บุญแล้ว ถ้านายต้องไปโน่นไปนี่ทั้งวันลองติดเทปธรรมะใส่รถเปิดฟังเทปธรรมะก็ได้บุญแล้ว เพราะได้ความรู้ ได้ปัญญา พอยัง เหนื่อยแล้วนะ”

บุญเทียมพยักหน้าหงึกหงักตลอดเวลา เหมือนมือของแมวกวักหน้าร้านขายของ สนอกสนใจมากเลย

“แต่ทำบุญต้องมีเจตนาดี ทำด้วยความเมตตาว่าอยากทำให้จริงๆ ให้เงินใครอย่างซองผ้าป่า ให้ 10 บาท ไม่ต้องมากแต่เจตนาดีว่าได้มีโอกาสร่วมงานบุญ ไมใช่รู้สึกรำคาญอยู่ในใจ ให้พ้นๆไปอย่างงั้นๆ ต้องปรับความคิดมุมมองใหม่ เพราะบุญจะเกิดได้เมื่อเราตั้งเจตนาดี ทำด้วยเมตตาจิต มองโลกจากมุมของเมตตา ได้บุญเยอะ”

บุญเทียมเริ่มยิ้มออก ดวงตาส่อแววสดใสขึ้น แต่ก็บอกว่า

“เราเคยให้ด้วยความรำคาญจริงๆ แหละ”

ทิ้งเวรเสริมว่า

“เจตนาดีไม่ดีแล้วแต่เราจะเลือกคิด มันเหมือนพวงมาลัยรถ แล้วแต่เราจะเลือกเลี้ยวซ้ายหรือขวา เอาบุญหรือเอาบาป อยู่ที่ความคิดทั้งนั้น คิดบุญก็เป็นบุญ คิดบาปก็เป็นบาป”

“ต่อไปต้องคิดใหม่ ไหนๆ ก็ต้องใส่ซองแหง๋ๆ อยู่แล้ว ทำให้ได้บุญไปเสียด้วยเลยดีกว่าเนอะ”

ทิ้งเวรยิ้ม แล้วหยิบซองผ้าป่าส่งให้บุญเทียม





 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
gafiew
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 01 ธ.ค. 2004
ตอบ: 12

ตอบตอบเมื่อ: 25 ธ.ค.2004, 10:25 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



สะดือพริตตี้



ตอนเย็นกังไสจะต้องทำข่าวงานเปิดตัวรถยนต์รุนใหม่กับชงชัย รถติดเป็นแพตามปกติ กังไสจึงหลับตานั่งสมาธิไปในรถ เขาแตะความรู้สึกตัวลงอย่างแผ่วเบาที่ปลายจมูก ดูลมหายใจเข้าลมหายใจออกที่ผ่านจุดนั้น อย่างเงียบๆ และผ่อนคลายโดยไม่ต้องบริกรรมคำใดๆ

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง เขาจึงออกจากสมาธิ ชงชัยยักคิ้วให้

“เหนื่อยมากหรือไง ขึ้นรถหลับเลย”

“เปล่า นั่งสมาธิ”

“เหรอ โอ๊ย เรานั่งไม่ได้หรอก มันคิดโน่นคิดนี่วุ่นไปหมดแหละ พอหลับตาปุ๊บ เรื่องแห่กันมาในหัวยังกะตลาดนัดเลย”

“การเข้าสมาธิไม่ใช่ว่าจะต้องให้เงียบกริบ ไม่ใช่ ความคิดเป็นเรื่องของธรรมชาติ แต่ตอนนั่งสมาธิเราต้องไม่กระโจนลงไปคิดร่วมกับมันเท่านั้นเอง ดูลมหายใจไป พอมีความคิดเข้ามา ก็รู้ตัวว่าคิดเท่านั้นแหละ ความคิดมันก็จะหายไป ก็กลับมาดูลมหายใจต่อ ดูเบาๆ ดูเฉยๆ ไม่ต้องเครียด เดี๋ยวมีความคิดเข้ามาอีกก็รู้ทันอีก แค่นั้นเอง นี่เป็นสมาธิเบื้องต้นง่ายๆ ทำเพื่อพักผ่อนเวลาเหนื่อยใจหรือเหนื่อยกาย เหมือนการนอนหลับพักผ่อน นี่ไม่หลับ แต่สดชื่นกว่า”

“เข้าวัดมานานยัง” ชงชัยเปลี่ยนเรื่อง กลัวโดนบอกให้นั่งสมาธิ

“สักปีหนึ่งแล้ว แต่ไม่เคยเข้าวัดเลย ไม่ว่าง เราอ่านหนังสือหลวงพ่อชา ท่านสอนว่าให้นั่งสมาธิเพื่อให้ใจมีกำลัง แล้วก็คอยนึกถึงความไม่เที่ยงเอาไว้ เราเอาสองข้อแค่นี้แหละ พอแล้วนอกนั้นก็ทั่วๆไป มีแผ่เมตตาบ้าง ให้ทานบ้างตามสมควรไม่ต้องอะไรมาก”





หลังจากลงทะเบียนนักข่าวแล้ว ทั้งสองก็ได้รับแจกเสื้อสีขาว ปักชื่อรถยนต์เล็กๆที่หน้าอก ชงชัยชอบมากยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

“เสื้อตัวนี้ออกแบบดี ไม่เหมือนงานอื่นที่เคยได้ ชอบจัง”

กังไสจึงยื่นของตนให้ไปสมทบ ชงชัยชอบใจยกใหญ่ ถามว่าทำไมกังไสไม่เก็บไว้

“การเห็นนายดีใจนี่ มีความสุขกว่าเก็บเสื้อไว้อีก”

“สละโลกแล้วหรือ ดี มีอะไรจะสละละก้อ เอามาให้เรานะ เราจะช่วยรับไว้เพื่อส่งเสริมให้นายบรรลุไง ดีมั้ย” กังไสหัวเราะ

พิธีเปิดงานเริ่มแล้ว ม่านเปิดออก กลุ่มควันสีขาวพวยพุ่งฟุ้งไปเต็มเวที รถยนต์รุ่นใหม่สีทองเคลื่อนช้าๆ โผล่ออกมาจากกลุ่มควันขาวราวกับความฝัน พริตตี้สาวสวยยืนอยู่ข้างๆ รถ หล่อนสวมเสื้อเอวลอยกับมินิเสกิร์ตเอวต่ำ เผยให้เห็นสะดือบุ๋มเป็นลักยิ้มสวยอยู่บนผิวขาวเนียน ชงชัยเป็นโรคแพ้สะดือ ดังนั้นเขาจึงตาลุกวาว เขาสะกิดกังไสแอบร้องเบาๆว่า โอ้โฮ โอ้โฮ

“อดใจไว้เพื่อน ไอ้หัวใจแบบที่กำลังตุ๊บตั๊บแรงเกินขีดของนายแบบนี้แหละ ที่ทำให้เวียนว่ายตายเกิดไปชั่วนิรันดร์”

“สองนิรันดร์ก็ยอมวะ” ชงชัยว่า ตายังกระพริบไม่ได้ มันแข็ง “นายจะรีบนิพพานไปทำไมกัน อยู่เป็นเพื่อนกันก่อน”

กังไสหัวเราะ “เราทำแค่นี้ ไม่นิพพานหรอก แต่ไม่ให้หลงไปมากก็พอ ให้ชีวิตสงบเทานั้น”

“สงบยังไง นายไม่เห็นสะดือนั่นหรือไง สวยเป็นบ้าเห็นมั้ย เห็นมั้ย”

ชงชัยเริ่มจะน้ำลายไหล กังไสทำเสียงขรึมเมื่อเห็นชงชัยอาการสาหัส ดังนั้น เขาจึงจงใจเปลี่ยนอารมณ์

“เห็นแล้ว นายว่าเลยสะดือเข้าไปลำไส้จะยาวเท่าไหร่ รูปร่างเล็กอย่างนี้ เราว่าสัก 3 เมตรได้ หรือนายว่าไง”

“ไอ้บ้าเสียมู้ดหมด ยังไงหล่อนก็สวยหล่ะ” ชงชัยแอนตี้ทันที

“มันไม่เที่ยงหรอก ไฟส่องอย่างนี้มันก็สวย พรุ่งนี้เช้าตอนยังไม่แปรงฟัน ก็ไม่สวยเท่านี้ แล้วยังไงหล่อนก็ไม่เที่ยงต้องกลายเป็นยายแก่หนังเxxx่ยว มีรอยย่นเหมือนผิวช้าง” กังไสหัวเราะ

“นายมองอะไรน่าเกลียดไปหมดแล้วจะมีชีวิตอยู่ยังไง”

“ไม่ใช่อย่างนั้น เพียงแค่ให้เห็นความจริงของชีวิต ถ้าเข้าใจแล้วก็อยู่ได้เป็นปกติ”

ชงชัยหันมาบอกว่า “นายยืนรอตรงนี้ก่อนนะ เราจะไปถ่ายรูปตรงโน้นเดี๋ยวมา”





....มีต่อ....

 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
gafiew
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 25 ธ.ค.2004, 10:28 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



บุญไม่เกี่ยวเหนียวไว้ก่อน



ตึ๋งหนืดเป็นคนขี้เหนียวมาก ทั้งชาติยังไม่เคยให้ของใครเลย เวลาใครเอาอะไรมาให้ก็มักจะพูดแซวว่า แล้วเงินล่ะมีมั้ย ออกเงินค่าอะไรให้ใครบ้างก็ไม่เคย ออกแทนไปแล้วต้องทวงคืน จนใครๆ ในบริษัทตั้งให้เป็นนายกสมาคมขี้เหนียวแห่งชาติ

ความขี้เหนียวนี่ก็บดบังสายตา เวลาเห็นใครทำบุญอุทิศให้พ่อแม่ ก็คิดในใจว่า พระกินข้าวหมดไปแล้ว จะไปถึงพ่อแม่ได้ไง คดแล้วรู้สึกว่าตัวเองฉลาดไม่ถูกหลอก ตึ๋งหนืดไม่รู้ว่าการถวายข้าวพระ พระฉันแล้ว จึงมีชีวิตผ่านวันนั้นไป ได้มีโอกาสปฏิบัติธรรมหรือเผยแผ่พระศาสนาต่อไป นั่นคือบุญ และเป็นบุญที่จะเกิดแก่ตึ๋งหนืด และบุญนั้นแหละที่จะอุทิศให้พ่อแม่ พ่อแม่ต้องรอกินข้าวปีละจานของตึ๋งหนืดซะที่ไหน และจะกินได้อย่างไร ให้หายวับไปอย่างการ์ตูนหรือ ตึ๋งหนืดไม่รู้ ขี้เกียจคิด รำคาญ



เวลาตึ๋งหนืดเห็นตวงบุญหอบของไปบริจาค ตึ๋งหนืดจะเสียดายแทน และคิดไม่ตกว่าเหตุใดต้องเอาของไปบริจาค ที่คนอื่นไม่เห็นมาบริจาคให้เราบ้างเลยทำนองนั้น

ตึ๋งหนืดเห็นว่าการบริจาคมีแต่การให้ออกไป มีแต่เสียของไป ไม่ได้อะไรคืนมา ตวงบุญบอกว่า เราจะได้บุญคืนมาเก็บไว้ ท่านเรียกว่าเป็นอริยทรัพย์ เป็นทรัพย์ที่ดีกว่าที่ตึ๋งหนืดมี เพราะอันนี้ตายไปแล้วเอาไปไม่ได้ แต่อริยทรัพย์จะติดตัวตึ๋งหนืดไปชาติหน้าได้ ตึ๋งหนืดควรบริจาคเสียบ้าง ชาติหน้าตึ๋งหนืดจะต้องใช้อริยทรัพย์นี่มากเลย ด้วยจะต้องไปเกิดเป็นยาจกแน่ๆ จากผลของความเป็นคนขี้เหนียวในชาตินี้



วันหนึ่งตวงบุญเล่านิทานให้ฟังว่า มีชาย 2 คน ตอนจะมาเกิดเทวดาให้เลือกว่าจะเป็นผู้รับหรือผู้ให้ คนแรกขอเป็นผู้รับได้ไปเกิดเป็นขอทาน ส่วนคนที่สองขอเป็นผู้ให้ ได้ไปเกิดเป็นเศรษฐี เพราะการจะให้ได้แสดงว่าต้องมี ตวงบุญหวังว่าเล่าแล้วตึ๋งหนืดอาจจะอยากเป็นเศรษฐี จะได้เริ่มบริจาค

ตึ๋งหนืดถือว่าตัวไม่เกี่ยวกับนิทานเรื่องนี้ เพราะแม้จะไม่ให้ใคร แต่ก็ไม่เคยรับของใคร เท่ออก

ตวงบุญหัวเราะ “ไม่รับจริงหรือ เราทุกคนอยู่ในโลกนี้ต้องรับและเป็นหนี้อะไรหลายอย่าง พ่อแม่เลี้ยงเรามา เราก็รับแล้ว บริษัทจ้างเราทำงาน เราก็รับแล้ว เราทำงานให้บริษัท บริษัทก็รับแล้ว คือมันต้องทั้งรับและให้ซึ่งกันและกันไปทั้งนั้น ครูต้องสอน นักเรียนถึงได้เรียน หรือแม้แต่สายลม แสงแดด เราก็รับเอามา เราเป็นหนี้ธรรมชาติด้วย เกิดมาอยู่บนแผ่นดินนี้ ก็ต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดินด้วย”

“แล้วคนที่เธอไปบริจาค เขาทำอะไรให้เธอ” ตึ๋งหนืดยังมืดมน

“พระสอนให้เราเมตตา สอนการให้ทาน เราควรช่วยเหลือกันและกันในสังคม ถ้าทุกคนเห็นแก่ตัวกันหมด คนลำบากมากๆ อาจต้องไปจี้ปล้น การช่วยเหลือกันทำให้สังคมมีความสุข เวลาเราเดือดร้อน เรายังอยากให้มีคนมาช่วยเหลือเราบ้างเลย พอมีใครมาช่วยเหลือ เราก็ดีใจประทับใจไปนาน”



ตึ๋งหนืดยังเฉยๆ มองภาพห่วงโซ่สังคมไปไกลๆ ไม่เห็น สายตามันสั้น แต่วันนี้ตวงบุญมาขอบริจาค “อะไรก็ได้” เป็นครั้งที่สิบแล้วมั้ง ชักอายขึ้นมานิดๆ ถึงจะขี้เหนียวแต่ก็ยังอายเป็น



ตวงบุญอยากให้ตึ๋งหนืดรู้จักการให้ จึงมาเอ่ยชวนบ่อยๆ หวังผลเพียงว่า วันหนึ่งตึ๋งหนืดจะสว่างในธรรม แม้เพียงเท่าเทียนไขแท่งจิ๋วก็ยังดี เธอรู้ว่าจะต้องเริ่มทีละจิ๋วๆ ของจิ๋วๆ ก่อน ถ้าบุญพอมี อีกหน่อยตึ๋งหนืดจะคลายความขี้เหนียวลงได้เอง แม้อาจจะเป็นชาติหน้า

“ขอเสื้อที่ตึ๋งหนืดไม่ชอบมากๆ ไม่เคยใส่เลยมาแล้วอย่างน้อย 2 ปี ที่เก็บไว้ก้นตู้น่ะ ขอตัวเดียว”

เพื่อจะได้ไม่เสียหน้ามากไป ตึ๋งหนืดจึงให้รางวัลความพยายามของตวงบุญด้วยการพยักหน้า แล้วบอกว่า

“คราวนี้ฉันขอทำบุญกับเธอด้วยการอนุโมทนาบุญก่อนละกัน คราวหน้าจะให้” ตึ๋งหนืดกัดฟัน “เสื้อ 1 ตัว”





....มีต่อ........

 
gafiew
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 25 ธ.ค.2004, 10:30 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ส่งหรีดส่งบุญ



ดาหลาไปงานศพญาติที่นครปฐม เธอแวะไปที่โต๊ะทำบุญหน้าศาลาเพื่อร่วมทำบุญด้วย เจ้าหน้าที่เป็นคุณลุงแก่ๆ ท่าทางใจดีช่วยลงชื่อไว้ในสมุดรับแขก และมอบด้ายสีแดงไว้ให้เธอเส้นหนึ่งตามธรรมเนียมจีนที่ว่า คนที่ได้รับด้ายแดงจะไม่พาความเศร้าโศกในวัดติดตัวไปด้วย



เธอนั่งที่เก้าอี้รับแขกมองดูไปรอบๆศาลา มีผ้าขนหนูผืนใหญ่ยาวติดป้ายชื่อห้างร้าน หรือชื่อคนผู้มอบมาให้ แขวนเรียงๆกันเต็มผนัง เจ๊กิมลั้งพูดให้ฟัง เมื่อเธอถามถึงพวงหรีดดอกไม้สดที่ตั้งโดดเดี่ยวใกล้ประตู

“ของคนที่มาจากกรุงเทพฯ ถ้าคนที่นี่เขาใช้ผ้าขนหนูซะมาก มันมีประโยชน์ ให้ลูกหลานใช้ต่อไปไม่ต้องทิ้งเหมือนพวงหรีด เสียของ”



ดาหลากลับมาล่าให้เรณูฟัง เรณูหัวเราะ บอกว่าจุดไต้ตำตอเพราะญาติผู้พี่ของเธอเป็นเจ้าของร้านทำหรีดผ้าห่มอยู่ที่ผักไห่ แต่ไม่ใช่แบบแขวนเฉยๆอย่างนี้ หากแต่พับเป็นรูปดอกไม้ รูปนก รูปอะไรสารพัด มีรถจากต่างจังหวัดมารับไปขายส่งทีละเป็นคันรถเลย ส่งทั่วประเทศโดยที่พี่แกไม่ต้องประชาสัมพันธ์ เขามารับเองถึงบ้าน แกจ่ายงานให้คนทั้งตำบลเอาไปทำที่บ้าน เป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือนชั้นดีทีเดียว

ส่วนในกรุงเทพฯก็มีพวงหรีดผ้าห่มขายอยู่ตามร้านพวงหรีดดอกไม้สดบ้างเหมือนกัน แต่คนยังสั่งซื้อไม่มาก คงเพราะไม่ค่อยรู้กัน เรณูบอกว่าถ้ามีผ้าห่มมากก็จะสามารถเอาไปแจกชาวบ้านยากจนทางเหนือ ซึ่งอากาศหนาวมาก ชาวบ้านยากจนมีเยอะ เกือบทุกจังหวัด แจกไปเท่าไรก็ไม่พอ

“ให้กับคนที่จำเป็นมาก ก็ยิ่งได้บุญมากนะ” ดาหลาเอ่ยเห็นด้วย เรณูยังบอกอีกว่า มีแต่คนกรุงเทพฯเท่านั้นแหละที่ใช้พวงหรีดดอกไม้สด ยิ่งพวกดอกไม้นอก ตกเกือบพวงละ 2,000 บาท

“เลิกงานก็เxxx่ยวแล้ว เอาไปทิ้งหลังวัด เทศบาลมาโกยไม่ไหวหรอก มันเยอะ เน่าแห้งอยู่หลังวัดนั่นแหละ เป็นภูเขาเลากา เป็นกรรมของวัดไป บาปของใครไม่รู้ ทั่วกรุงเทพฯน่ะ วันหนึ่งสงสัยทิ้งไปหลายล้านบาท”

ดาหลาฟังเพลินๆ ถึงกับสะดุ้ง

“เฮ้ย มากไปมั้ง”

“อะไรมาก สมมติมีพวงหรีดแบบ 2,000 บาท แค่ 10 พวงนะ แล้วพวงละ 1,000 สัก 100 พวง เอาแค่ศาลาเดียวแล้วก็เอาแค่ 50 วัด ก็ 6 ล้านแล้ว แต่กรุงเทพฯมีเป็นร้อยวัดนา วัดละหลายศาลาด้วย นี่แค่วันเดียว ปีหนึ่งเท่าไหร่ ซื้อทีมฟุตบอลได้เลย”

“โอ้โฮ” ดาหลาเห็นรูปธรรมของพวงหรีด เป็นรูปธรรมของธนบัตรขึ้นมาทันทีตามทฤษฎีของเรณู ชักรู้สึกไม่อยากใช้พวงหรีดดอกไม้สดอีกแล้ว เพราะแม้จะต้องส่งพวงหรีดเพราะหน้าตาบริษัทที่จะต้องไปโชว์ตัวว่า บริษัทของดาหลาก็มอบให้เหมือนกัน แต่การคิดที่ “เสร็จธุระ” แค่นั้น ก็ดูจะอกตัญญูต่อค่าของเงินไปหน่อย ที่มันมีค่าแต่ใช้มันไม่คุ้มค่า ไม่สมกับที่แม่สอนไว้ว่าให้รู้ค่าของเงิน เพราะการไม่รู้ค่าของเงินเท่ากับไม่รู้ค่าของหยาดเหงื่อแรงงานของเราเอง ดูถูกว่าเหงื่อของเราไม่แพง ถ้าเหงื่อเราแพง เงินที่เราจะใช้ไปต้องได้ประโยชน์เยอะๆ



“เอ แล้วเปลี่ยนเป็นอะไรดีถึงจะมีประโยชน์ มีอะไรนอกจากผ้าห่มอีกมั้ย”

“เดี๋ยวนี้มีหรีดต้นไม้” เรณูทำตัวเป็นประชาสัมพันธ์ที่ดีของสิ่งแวดล้อมโลก “เป็นขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ตรงถนนราชดำเนิน ใกล้ๆสะพานมัฆวาน โทรศัพท์ 0-2629-8659, 0-1908-3458 ฉันเคยไปสั่งนะ เขาไปส่งให้ที่วัดเลยหล่ะ สบาย”

ดาหลาสนใจจดเบอร์โทรฯ ยิกๆ ขณะที่เรณูฝอยต่อ “ถ้ามีคนสั่งเยอะๆ ต่อไปบ้านเมืองเราจะได้มีต้นไม้เยอะๆ เจ้าของงานอาจจะเอาไปปลูกที่บ้าน หรือมอบให้สวนสาธารณะ ปลูกแล้วโตให้ร่มเงาแก่คนมาพักผ่อน เป็นกุศลแก่ผู้ล่วงลับทุกวัน หรือปลูกในวัด ในโรงเรียนที่ยังไม่มีต้นไม้ ให้เด็กๆ วิ่งเล่นกันใต้ต้นไม้ หรือถ้าเป็นต้นไม้ต้นเล็กๆ น่ารักๆ ก็ปลูกในบ้านและแจกญาติๆ กันไป แจกเพื่อนฝูงกันไป ให้ช่วยกันปลูกต้นไม้ ประเทศของเราจะได้มีต้นไม้ทุกบ้าน ทำให้อากาศดีมีประโยชน์กับตัวเราเอง เวลาไปทำงานเหนื่อยๆ กลับมาบ้าน เห็นต้นไม้แล้วสบายใจ”

ดาหลาเห็นดีเห็นงามตามไปด้วย เสริมว่า “แต่ใจฉันนะ อยากให้กรมป่าไม้เอาไปปลูกป่าจังเลย ได้วันหนึ่งๆ คงเป็นพันๆ ต้น เท่ากับทุกคนได้ช่วยปลูกป่าไปในตัวโดยไม่ต้องจัดทัวร์ไปปลูกป่า ประเภทต้นสูง 5 เซนต์ ปลูกแล้วรอด 10 เปอร์เซ็นต์ อะไรทำนองนั้น ได้ประโยชน์หลายต่อเลยนะจริงมะ”

เรณูยิ้ม “เอ๊ะ นี่เราได้นักอนุรักษ์ใหม่เกิดขึ้นอีกคนด้วยแฮะ ดีจัง แต่ตอนนี้เอาแค่ที่เราทำเองได้ก่อนก็แล้วกันนะ”



ดาหลาขมวดคิ้วสงสัย “เอ๊ะ! แล้วจะกระเทือนคนปลูกดอกไม้มั้ยเนี่ย”

เรณูส่ายหน้า “ไม่หรอก เขาปลูกต้นไม้เป็นอยู่แล้ว จะดอกไม้หรือต้นไม้เขาก็ปลูกตามที่ตลาดต้องการเองแหละ ขอบใจที่ห่วง อย่างร้านพวงหรีดก็เหมือนกัน ถ้ามีลูกค้าซื้อเป็นต้นไม้ เขาก็สั่งเป็นต้นไม้มาขาย เพราะราคาก็ได้เท่าๆกัน เขาก็ไม่ได้เสียรายได้อะไร”

ดาหลาค่อยยิ้มออก “เอาละ รับรอง ทีนี้จะสั่งเป็นพวงหรีดผ้าห่มมั่ง เป็นหรีดต้นไม้บ้างจ้า คุณเรณูจ๋า”

เรณูยิ้มร่าเริง “ดีแล้วจ๊ะ การทำสิ่งที่ดีมีประโยชน์นั้นเป็นบุญแก่ตัวเรา การไม่ทำร้ายสิ่งแวดล้อม เป็นการตอบแทนบุญคุณของธรรมชาติ เป็นบุญอย่างหนึ่งที่เราควรทำ เพราะเรามีชีวิตอยู่ได้นี่ เราอาศัยสิ่งแวดล้อมมากเลย อาศัยเขาแล้วก็ต้องตอบแทนดูแลเขาให้ดี จริงมั้ยจ๊ะ”

“จริงซีนะ แล้วเวลาเจอสิ่งแวดล้อมที่ดี ใจเราก็สงบอ่อนโยนขึ้นด้วย” ดาหลาสนับสนุนเพื่อนอย่างเต็มที่ เรณูยิ้มอย่างมีความสุขกับแนวร่วมคนใหม่





…..มีต่อ....

 
gafiew
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 01 ธ.ค. 2004
ตอบ: 12

ตอบตอบเมื่อ: 25 ธ.ค.2004, 10:32 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ต้นไม้ของใจแก้ว



ใจแก้วบอกคนสวนให้ยกกระถางแสงจันทร์ไปไว้บนดาดฟ้า มันเป็นกิ่งที่ตัดมาจากต้นหน้าบ้าน และปักชำไว้อยู่นานจนตอนนี้ออกใบใหม่งาม แข็งแรงพอจะย้ายที่ได้แล้ว

เดี๋ยวนี้ที่บ้านมีแสงจันทร์ถึง 10 ต้น จากแรกเริ่มที่มีเพียงต้นเล็กๆ ต้นเดียวซึ่งปลูกลงดิน ที่บ้านไม่มีบริเวณที่เป็นดินมากนัก ต้นที่ปักชำใหม่จึงต้องใส่กระถางทั้งหมด

นอกจากแสงจันทร์แล้ว ในบ้านของใจแก้วก็ยังมีต้นไม้อื่นๆ อีกมากพอสมควร แต่ใจแก้วไม่ค่อยรู้เรื่องการดูแลต้นไม้ ทำให้ตายไปหลายพันธุ์ พันธุ์ใดที่เหลืออยู่ก็ขยายเป็นหลายต้นแทนเพราะแสดงว่ามันทนใจแก้วได้



ในตอนแรกๆ ใจแก้วก็เหมือนกับคนอื่นๆ ที่อยากให้ต้นไม้สวยอยู่ตลอดเหมือนต้นไม้พลาสติก แต่ความที่ทั้งไม่มีเวลาดูแล และดูแลไม่ค่อยเป็น ต้นไม้ก็ไม่คล้อยตามใจแก้ว บางทีเธอเก็บไปคิดเรื่องต้นนี้ดูใบมันเหมือนจะป่วย ต้นนั้นทำไมไม่ออกดอก คิดไปทั้งคืนจนแทบไม่ได้นอน

เป็นอย่างนี้บ่อยๆ จนวันหนึ่งใจแก้วเห็นว่าจะเอาชีวิตมาทิ้งกับต้นไม้ขี้แยเสียเป็นแน่แท้แล้ว จึงตัดสินใจว่า ต่อไปนี้จะไม่ยึดมั่นถือมั่นกับต้นไม้อีกต่อไป ต้นไหนอยู่ได้ก็อย่ ตายได้ก็ตาย แต่ใจแก้วจะรอด ปล่อยวางแล้วก็มีความสุขขึ้น เห็นต้นไหนน้อยใจก็เฉยๆ ดูแลอย่างดีตามปกติ หลังจากนั้นแล้วแต่มันจะตัดสินใจเองว่าจะอยู่หรือจะตายดี



นานมาแล้วเคยอ่านนิทานเกี่ยวกับต้นไม้ พอคนร้อนก็บอกให้มานอนใต้ต้น พอคนจะปลูกบ้านก็ให้ตัดต้นไปปลูกบ้าน เหลือแต่ตอก็ยังบอกให้คนมานั่งพัก ต้นไม้เป็นผู้ให้ที่ใจดีตลอดมา และสำหรับใจแก้ว แค่เห็นต้นไม้ก็สบายใจแล้ว ต้นไม้ยังไม่ทันทำอะไรเลย



ใจแก้วปลูกต้นไม้มากมายหลายกระถาง แม้จะเป็นต้นไม้ต้นไม่ใหญ่แบบสวนสาธารณะ แต่ใจแก้วก็พอใจเธอรู้สึกว่ามีคนตัดต้นไม้ในป่ามาก เธอรู้สึกว่าบ้านเมืองร้อน เพราะมีสิ่งทำความร้อนให้บรรยากาศมาก นักอนุรักษ์ธรรมชาติบอกว่า โลกร้อนขึ้นเพราะมีคาร์บอนไดออกไซต์มากเกินไปในชั้นบรรยากาศ ใจแก้วไปทำอะไรกับใครไม่ได้ ไปเปลี่ยนแปลงอะไรที่ไหนก็ไม่ได้ แต่ปลูกต้นไม้ในบ้านได้



ต้นไม้บ้านเดียว แม้จะหลายต้นเล็กๆ เต็มบ้านแล้ว ก็คงไม่ทำให้สภาวะแวดล้อมของโลกเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น แต่อย่างน้อยใจแก้วก็ได้ลงมือปลูกต้นไม้ แค่เท่าที่ตัวเองทำได้ ได้ตอบแทนคุณของโลกเล็กน้อย ในขนาดเท่าน้ำค้างหยดเดียว ใจแก้วก็พอใจ

ยิ่งคิดถึงว่า ใจแก้วหายใจอยู่ทุกวินาที มีแต่หายใจเอาคาร์บอนไดออกไซต์ออกมาเท่านั้น เป็นการใช้ธรรมชาติฝ่ายเดียวเลย ความเคยชินทำให้ลืมเรื่องนี้ไปแล้ว แต่พอนึกได้ก็ดีใจที่ใจแก้วปลูกต้นไม้ในบ้านเยอะๆ และต้นไม้ก็ผลิตออกซิเจนคืนให้กับโลกแทนใจแก้ว





.....มีต่อ....



 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
gafiew
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 01 ธ.ค. 2004
ตอบ: 12

ตอบตอบเมื่อ: 25 ธ.ค.2004, 10:34 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระสร้างวัด

เจ้าอาวาสวัดในกลางเป็นพระหนุ่มอายุ 40 ปี มาจากสวนโมกข์ อยากจะทำวัดให้ร่มรื่นเหมือนสวนโมกข์บ้าง แต่ต้นไม้ที่ลงไปรอบแรกก็ตายเรียบ เพราะดินเค็ม กำลังจะปลูกใหม่อีกรอบ

วัดในย่านใกล้เคียงมีอีกมาก แต่ก็เป็นแบบรดน้ำมนต์ให้หวยกันไปตามเรื่อง ชาวบ้านจึงข้าวัดเวลามีเคราะห์ หรือต้องการโชคลาภ ดังนั้น เมื่อเจ้าอาวาสจัดกิจกรรมวันพระ มีการตักบาตรทำบุญ และเทศน์ธรรมะจึงมีญาติโยมมาสัก 20-30 คนเท่านั้นเอง

พระในวัดมีประมาณ 10 รูป บวชเข้ามาอยู่วัดตามประเพณีเท่านั้น

กุฏิเจ้าอาวาสเป็นเรือนโบราณ จึงใหญ่โตโอ่โถง ด้านซ้ายเป็นห้องพักเจ้าอาวาส ตรงกลางเป็นชานเสวนาและถวายของ ส่วนด้านขวาใช้เป็นที่ฟังเทศน์วันพระ ถัดลึกเข้าไปเป็นห้องพักพระเรียงเป็นตับ คั่นกลางด้วยโรงครัว จานชามและปิ่นโตกองอยู่เต็ม

“จานหายจนขี้เกียจนับ” เจ้าอาวาสบอก ดวงแก้วหัวเราะเบาๆ วันนี้เธอมาสำรวจวัดและมาสำรวจศรัทธาเจ้าอาวาส แล้วถามว่าท่านจะทำอย่างไรต่อไป

“ก็จะพยายามพัฒนาไปแบบสวนโมกข์ คือสอนธรรมะนะ ถ้าไม่ไหว อาตมาก็คงไปอยู่ที่อื่น แต่ก็ต้องสู้กันก่อนนะ”

เมื่อดวงแก้วกลับมากรุงเทพฯ เธอไปซื้อหนังสือหลวงพ่อพุทธทาส และหลวงพ่อปัญญา ที่วัดชลประทานฯ เป็นหนังสือเล่มเล็กๆ บางๆ ถอดความจากการเทศน์ 1 ชั่วโมง ทุกๆต้นเดือน เธอก็ส่งไปให้เจ้าอาวาส 4 เรื่อง สำหรับวันพระ 4 ครั้ง ในเดือนนั้น เรื่องหนึ่งก็ประมาณ 40 เล่ม ใกล้เคียงกับจำนวนคนมาวัด

ประมาณ 8 เดือนหลังจากนั้น วันหนึ่งเจ้าอาวาสก็โทรศัพท์มาแจ้งข่าวงานฉลองเรือนโบราณอายุเป็นร้อยปีที่ปรับปรุงซ่อมแซมและใช้เป็นศาลาการเปรียญต่อไป ดวงแก้วถามถึงความคืบหน้าของงานเผยแผ่ศาสนา เจ้าอาวาสเล่าด้วยสุ้มเสียงสดชื่นกระปรี้กระเปร่า

“อาตมาแจกหนังสือที่โยมส่งมาให้อยู่เรื่อยๆ เดี๋ยวนี้คนมาวัดเยอะขึ้น เขาเริ่มรู้แนวของวัดเราแล้วว่าเราให้ธรรมะจริงๆ ตอนนี้มีหนุ่มๆ สาวๆ เข้ามาด้วยนะ” ดวงแก้วฟังแล้วดีใจ ถ้าเริ่มดึงคนหนุ่มสาวเข้าวัดได้ก็ได้การแล้ว จะช่วยงานเผยแผ่ธรรมะได้มากขึ้น

“ทุกปีบวชเณรมีสัก 10 คนเท่านั้น ปีนี้มีมาบวชเป็นร้อยเลย เวลามีงานวัดเดี๋ยวนี้คนเต็มวัด แจกหนังสือกันไม่ทันทีเดียว หนังสือที่โยมส่งมาให้ต่างหากนั่น อาตมาเก็บไว้แจกวันมีงาน โยมมาสิ คนเยอะมาก”

ดวงแก้วเป็นปลื้ม ชาวบ้านนั้นเขามีปัญญาพิจารณา เมื่อมีธรรมะดีๆ ที่แท้จริงเข้าไปให้ เขาย่อมรับรู้ได้ เมื่อมีพระดีสักองค์หนึ่งมาสอน ธรรมะย่อมเจริญงอกงามในใจคน

พระอย่างนี้สิจึงจะเรียกว่า พระสร้างวัด วัดใจ วัดธรรม ไม่ใช่วัตถุ





...มีต่อ...

 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
gafiew
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 01 ธ.ค. 2004
ตอบ: 12

ตอบตอบเมื่อ: 25 ธ.ค.2004, 10:36 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระพุทธรูปสอนธรรม



น้ำหอมพาไข่หวานมากราบพระในห้องสวดมนต์ พระพุทธรูปสีทอง ขนาดหน้าตักกว้าง 37 นิ้ว ผมเกล้าเป็นมวยกลางกระหม่อม จีวรพลิ้วจีบคลุมทั้งองค์ เป็นพระพุทธรูปปางประทานพร พระพักต์สวยเย็นนั้นดูคล้ายรูปปั้นกรีกโบราณ

“สีองอย่างนี้ดูสวยดี ไม่สว่างสไวแวววาวจนเห็นเงาของเราเอง แล้วก็ไม่ใช่แบบสีพ่น ที่ทำให้รู้สึกเหมือนสิ่งของมากกว่าเป็นพระ เราชอบ” ไข่หวานชม น้ำหอมปลื้มใจ

ไข่หวานสังเกตเห็นคล้ายหยดน้ำมันเล็กๆ บนแก้มพระ จึงลุกเข้าไปดูใกล้ๆ น้ำหอมลุกตามไป

บนผิวสีทองนั้น มีรอยคล้ายหยดน้ำทันเล็กๆ ติดอยู่จริงๆ แถมยังมีตามดเป็นจุดดำๆ อยู่แถวไหล่และตักด้วย น้ำหอมตกใจหน้าเสีย เธอไม่เคยเข้าใกล้องค์ขนาดนี้ จึงไม่เคยเห็นมาก่อน

“ตอนไปดูไม่เห็นหรือ” ไข่หวานถาม น้ำหอมส่ายหน้า “เขาหุ้มพลาสติกเก็บอยู่ เขาทำไว้นานแล้ว แต่ความที่พี่พลอยแนะนำไป เราจึงไว้ใจในงานของเขามาก ไม่ระวังเลย ดูแต่แบบ”

ทั้งสองลุกกลับมานั่งที่เบาะตามเดิม ในระยะขนาดนั้น ความสายตาสั้นของน้ำหอม ทำให้เธอเห็นพระผิวสวยเหมือนเดิม น้ำหอมเล่าให้ไข่หวานฟังว่า

“เขาบอกว่าเป็นศิลปินจบจากมหาวิทยาลัยศิลปะคนรวยๆ ชอบมาให้เขาออกแบบพระประจำตระxxxลให้ไม่เหมือนใคร แต่อยากจ่ายราคาท้องตลาดธรรมดา เขารูสึกคนไม่เห็นคุณค่าของงานจนน้อยใจบ่อยๆ เรารู้สึกว่าเราเข้าใจตรงนั้นนะ ศิลปินย่อมรักษาผลงานของตนเองก่อน แต่เขาปล่อยให้งานมีตำหนิอย่างนี้ได้อย่างไร เสียแรงศรัทธา”

น้ำหอมคิดใหญ่ว่าจะทำอย่างไรดี จะหาพระใหม่ก็ทำใจไม่ได้ เพราะคุ้นเคยกับองค์นี้เสียแล้ว จะยกไปแก้ไขก็คงต้องปิดทองทับ ซึ่งก็ไม่อยากได้แบบนั้น และพระประดิษฐานลงแล้วก็ไม่อยากยกออกไป

ไข่หวานรู้ความกังวลใจของน้ำหอม เธอนั่งนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยคำของหลวงพ่อพระพยอมว่า

“ยอม หยุด เย็น ยอมไม่เป็น เย็นไม่ได้”

น้ำหอมทอดถอนใจ เธอยังมองอะไรไม่ออก ไข่หวานพูดช้าๆ อย่างให้สติ

“จริงอยู่เราชอบความสมบรูณ์ เราจึงดิ้นรนให้ทุกอย่างสมบรูณ์ ถ้าทำได้ก็ควรทำ แต่ถ้ามันวุ่นวายนัก บางอย่างก็ไม่ต้อง ฉันว่าเรายอมให้จุดตามดมันอยู่อย่างนั้นแหละ มันคงไม่เสียหายไปมากกว่านี้หรอก หรือถ้าจะเป็นก็อีกนาน”

น้ำหอมนิ่งฟัง ใช้สติตรองตามคำของไข่หวาน

“เราเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ตัวเราดีกว่า หัดอยู่กับความไม่สมบรูณ์นี้มั่ง อย่าไปรู้สึกร้อนกับมัน อย่าไปเพ่งโทษมัน วันหนึ่งน้ำหอมจะพบว่ามันไม่เป็นอะไรหรอก เรายังคงสวดมนต์ที่นี่ได้ นั่งมองท่านจากตรงนี้ ก็ยังคงรู้สึกสงบเย็นได้”

ไข่หวานยิ้มให้ จับมือน้ำหอมอย่างอ่อนโยน

“พระมาสอนเรานะ ให้เราหัดอยู่กับความไม่สมบรูณ์อย่างมีความสุข”



...มีต่อ...

 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
gafiew
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 30 ธ.ค.2004, 6:24 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ธรรมะโฮล อิน วัน






คืนนี้ฤดีชื่นกราบพระในห้องสวดมนต์ ด้วยความรู้สึกอันเปี่ยมล้นไปด้วยความสุขและศรัทธา เป็นวันที่เธอได้ตระหนักรู้ถึงโชคอันยิ่งใหญ่ ที่เธอได้รับจากการปฏิบัติธรรม



บ่ายวันนี้ขณะที่เธอกำลังนั่งฟังการบรรยายธรรมะในห้องศึกษาธรรม เธอได้รับโทรศัพท์จากสามีว่า เขาตีกอล์ฟได้รางวัลที่หนึ่ง ได้ถ้วยและเงินรางวัลมาด้วย ฤดีชื่นไม่อยากเชื่อหูตัวเอง เธอคิดว่าเขาล้อเธอเล่น เพราะทุกครั้งที่ไปตีกอล์ฟเขาได้เกือบที่โหล่แต่เขาก็ยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง



เมื่อมาพบกันที่บ้าน สามีเธอก็มาบรรยายสรุปให้เธอฟังว่าเขาชนะการตีกอล์ฟครั้งนี้มาได้อย่างไร



เมื่อก่อนเวลาที่เขาจะไปตีกอล์ฟในการรับรองลูกค้าของบริษัท เขามักจะโดนฤดีชื่นแหย่ว่า “ไปจริงหรือเปล่า ไปที่อื่นมั้ง” ซึ่งจะรบกวนจิตใจของเขาตลอดเวลา เพราะเขาไม่อยากให้เธอกังวลใจ แต่ก็ไม่สามารถทำให้เธอวางใจได้สนิท

เมื่อเล่นกอล์ฟเสร็จ เขาต้องปล่อยให้เพื่อนๆ พาลูกค้าไปเลี้ยงอาหารต่อ ตัวเขาต้องรีบขอตัวกลับบ้าน แต่กระนั้นก็ตาม เขาก็จะกลับมาพบฤดีชื่นหน้าหงิกคอยอยู่แล้ว พร้อมกลับคำถามว่า

“ทำไมเพิ่งกลับ”



ตั้งแต่ฤดีชื่นสนใจธรรมะ เธอเริ่มอ่านหนังสือธรรมะอย่างเพลิดเพลิน เข้าคอร์สอบรมสมาธิ และเริ่มฝึกฝนที่บ้านอย่างตั้งอกตั้งใจ ความขุ่นมัวอันเป็นปกติของเธอค่อยๆ จางลง ฤดีชื่นรู้สึกสงบเย็นในจิตใจ และสามีของเธอรู้สึกได้ถึงความสงบเยนนั้น



ทั้งสองเกิดความรู้สึกไว้วางใจซึ่งกันและกันได้อย่างสนิท ฤดีชื่นเชื่อใจสามี ทำให้เขาหมดความกังวลเกี่ยวกับความกังวลของเธอ เขารู้ว่าเธอสบายใจและเชื่อใจเขา ดังนั้น เขาจึงตีกอล์ฟอย่างปลอดโปร่ง จิตใจสบาย มีสมาธิ และชนะได้รางวัล



ฤดีชื่นรู้สึกว่าเธอก็ชนะด้วย แต่เป็นการชนะเรื่องร้อนในบ้านอันเกิดจากตัวเธอเอง ธรรมะสอนให้เธอเข้าใจเรื่องของชีวิต เรื่องของกรรม ว่ามีที่มาและที่ไปอันเนื่องด้วยการกระทำของตนเองอย่างไร สอนให้มองโลกอย่างเห็นตามความเป็นจริง ไม่ใช่มองอย่างอยากจะให้เป็นไปตามใจของตนเอง อันเป็นเหตุนำทุกข์มาให้



เธอได้อ่านหนังสือเรื่องสายแดดและใบเขียวของ ติช นัท ฮันห์ ซึ่งเล่าเกี่ยวกับน้ำแอปเปิ้ลในถ้วยว่า ตอนแรกเมื่อรินจากขวดจะมีตะกอนที่เป็นเศษเนื้อแอปเปิ้ลติดมาด้วย เมื่อมันตกตะกอนแล้ว น้ำก็จะใสน่าดื่ม



การทำภาวนา ทำให้ใจใสกระจ่าง ความใสนี้ช่วยฟื้นความชุ่มชื้น ทั้งยังให้พลังและความสงบ แต่ไม่ใช่สงบอย่างน้ำแอปปิ้ล หากแต่เป็นความสงบที่มีความตระหนักรู้อยู่ด้วย



ฤดีชื่นซาบซึ้งถึงความสงบร่มเย็นในใจที่พระธรรมแผ่มาคุ้มครอง นอกจากจะทำให้เธอเย็นแล้ว ยังทำให้คนในครอบครัวของเธอเย็นอีกด้วย

ฤดีชื่น นั่งทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้แล้วปลื้มปิติ ก้มกราบขอบพระคุณพระรัตนตรัย ด้วยความนอบน้อมอย่างเต็มเปี่ยม.



....มีต่อ...



 
gafiew
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 30 ธ.ค.2004, 6:27 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เทียนสไว




ภุชงค์เห็นเทียนไสวหอบกระดาษหลายม้วนออกมาจากร้านขายกระดาษ และยังหิ้วถุงพะรุงพะรัง เขาเข้าไปทักทายและอาสาพาไปส่งบ้านด้วยอยู่บนเส้นทางเดียวกัน เธอเล่าว่าจะเอากระดาษไปทำหนังสือทำมือเล่มเล็กๆ เก็บไว้ให้เพื่อนๆ เมื่อถึงวันเกิดของเธอ ซึ่งยังอีกนาน



“ทำเสร็จแล้ว จะลอกพระพุทธพจน์ดีๆ ที่เหมาะกับชีวิตพวกเราใส่ลงไป เอาไว้ให้เพื่อนอ่าน ตอนนี้ค่อยๆ ทำไปก่อน ทำเรื่อยๆ ไม่ค่อยมีเวลาน่ะ”

“เอาเวลาไปทำอะไรหมดล่ะ” เขาถาม “ปฏิบัติธรรมแล้วไม่ใช่หรือ”

เทียนไสวหัวเราะขำเล็กๆ

“คนมักคิดว่า พอปฏิบัติธรรมแล้ว ก็จะกลายเป็นคนที่ไม่อยากเอาอะไร ไม่อยากทำอะไร ความจริงนั่นเป็นอาการของคนเบื่อโลก แต่คนปฏิบัติธรรมจะเป็นตรงข้าม”

“ตรงข้ามยังไง” ภุชงค์สงสัย

“คือเรารู้แล้วว่า สิ่งที่ธรรมะสอนเป็นสิ่งที่ดี พอรู้แล้วมันขวนขวายที่จะหัดทำสิ่งที่ธรรมะสอน เพื่อให้เรารับสิ่งดีๆ เหล่านั้นมาไว้ในชีวิต พอทำแล้วเรารู้สึกถึงผลที่เกิดขึ้น ว่าชีวิตดีขึ้นจริงๆ ทีนี้เราก็อยากช่วยคนอื่นให้ได้สัมผัสสิ่งดีอย่างเราบ้าง เราไม่มานั่งเบื่อโลกอยู่หรอก ไม่อย่างนั้นพระอรหันต์ท่านก็นอนรอความตายไม่ทำอะไรสิ นี่ท่านกลับเดินจาริกไปเที่ยวสอนชาวบ้านอย่างพระพุทะเจ้าโปรดสาวกองค์สุดท้าย ก่อนท่านจะปรินิพพานเลย รู้ใช่มั้ย”

ภุชงค์พยักหน้า เขาเคยเรียนมาสมัยเด็กๆ แต่ก็เกือบลืมไปแล้ว “แล้วตกลงเธอทำอะไรมั่ง ที่ว่าไม่ว่างน่ะ” เขาชักสนใจ

“ตอนเย็นพอเลิกงานแล้ว จันทร์ พุธ ศุกร์ ไปช่วยเพื่อนสอนศิลปะเด็ก สนุกดีนะ พวกเด็กๆ ก็สนุก เด็กที่เรียนศิลปะ โตขึ้นจะมีจิตใจดี ไม่เป็นอันธพาลหรอก วันอังคารก็ไปอ่านหนังสือธรรมะลงเทปให้คนตาบอดกับคนแก่ฟัง ที่บ้านเพื่อนมีห้องอัดเสียง วันพฤหัสก็ไปเรียนซอยผม เรียนมา 2 ครั้งแล้ว เวลามีงานบุญจะได้ไปช่วยที่เต็นท์ตัดผมฟรี ของมูลนิธิที่วันเสาร์ไปเป็นอาสาสมัครอยู่ วันอาทิตย์เช้าไปฟังเทศน์ที่วัดตอนบ่ายก็มาอ่านหนังสือธรรมะ และคัดพระพุทธพจน์ที่จะทำเป็นของขวัญนี่แหละ”



เทียนไสวสาธยายยาว ภุชงค์นิ่งฟังโดยไม่ขัด เขารู้สึกแปลกใจ ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีใครคิดทำอะไรให้คนอื่นแบบนี้ เขาบอกเธอ เทียนไสวหัวเราะ

“โอ้ย เยอะ เพื่อนที่เรียนธรรมะด้วยกันนะ คนหนึ่งเช่าสถานีวิทยุเพื่อเอาเทปไปเปิดให้คนฟังธรรมะ อีกคนอยู่ที่บ้านคอยอัดเทปเดินไปแจกที่วัด อีกคนไปเป็นอาสาสมัครอนามัยหมู่บ้าน อีกคนนั่งถอดเทปออกมาเป็นต้นฉบับ เพื่อเผยแพร่เป็นหนังสือ ถอดเทปกันทีชุดใหญ่ ทำกันเป็นปีกว่าจะเสร็จ เขาไม่อยู่เฉยๆ กันหรอกจ้ะ สนใจธรรมะมั่งมั้ยล่ะ มีหนังสือให้ยืม”



ภุชงค์ยิ้มๆ สองจิตสองใจ ใจหนึ่งอยากปฏิเสธ อีกใจหนึ่งก็อยากปฏิเสธด้วย เทียนไสวชินกับการเห็นอาการอย่างนี้จึงหัวเราะเบาๆ ไม่ให้ภุชงค์อึดอัด

“ขณะนี้เธอก็กำลังปฏิบัติธรรมอยู่แล้วล่ะ คือมีเมตตาหนึ่ง มีกรุณาหนึ่ง จึงช่วยขับรถมาส่ง ขออนุโมทนาบุญด้วยนะจ๊ะ”

ภุชงค์ยิ้มเขินๆ แต่เมื่อได้ยินคำว่าอนุโมทนาบุญก็รู้สึกอิ่มใจขึ้นมานิดๆ อ้อ! ปฏิบัติธรรมเป็นอย่างนี้.





...มีต่อ...

 
gafiew
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 30 ธ.ค.2004, 6:29 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ปากกาของเมฆอ้วน




เมฆอ้วนเป็นคนชอบปากกามาก ขโมยทุกทีที่มีโอกาส โชคดีของบริษัทที่ซื้อแต่ปากกาลูกลื่นมาแบบเดียว ไม่สวยไม่ถูกรสนิยม แต่กระนั้นก็ไม่วายถูกขโมย เพราะถ้าอาทิตย์ไหนที่ไม่ได้ปากกาของใครมาเลย เมฆอ้วนจะรู้สึกคันที่มือ แล้วหันมาขโมยบริษัทแทน



ไผ่ยิ้มจะคอยเตือนให้เลิกขโมยอยู่เสมอ แต่เมฆอ้วนเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่สำคัญอะไร

“พระพุทธเจ้าสอนว่า อย่าดูหมิ่นบุญหรือบาปว่าเล็กน้อย น้ำทีละหยด ยังเต็มตุ่มได้ ถ้ามีบุญเต็มตุ่มก็ชื่นใจนะ ถ้ามีบาปเต็มตุ่มก็คิดเอาเองมั่งแล้วกัน”

“มันนิ๊ดดดเดียวเอ๊ง แค่ปากกาด้ามเดียวร้านไม่เจ๊งหรอก เมฆอ้วนยังดื้อ

“นิ๊ดดดดดเดียวก็ผิดศีลนะ เอ้าดูนะ” ไผ่ยิ้มหยิบเงาะที่คว้านเม็ดแล้วในชามมาใส่ถ้วยตรงหน้าเมฆอ้วน 5 ลูก และใส่ถ้วยตัวเอง 5 ลูก แล้วว่า “เดิมเรามีบุญมาเท่ากันนะ มีชีวิตปกติ ร่างกายปกติ มีงานทำปกติ เป็นบุญเก่าเท่ากับเงาะ 5 ลูก ในถ้วยนี้ วันนี้เธอขโมยปากกาผิดศีลข้อลักขโมย เธอจะต้องกินเปลือกเงาะ คือได้บาปมาเท่ากับ 1 เปลือก แต่ฉันจะได้เงาะ 1 ลูก” ว่าแล้วก็หยิบเนื้อเงาะในชามมาเพิ่มให้กับตัวเอง

“อ้าว!” เมฆอ้วนตาเขียว ไม่ชอบเปลือก ใครจะกินเปลือก

“เพราะเธอผิดตรงมโนกรรม มีเจตนาไม่ดี 1 แล้วลงมือขโมยผิด 2 ข้อ3 เบียดเบียนเจ้าของปากกา 3 ข้อนี้ได้เปลือก 1 เปลือก ส่วนฉันนะ ฉันเห็นเธอทำ ฉันนำมาพิจารณาธรรมสอนตัวเองว่านี่บาปที่ไม่ควรทำ การพิจารณาได้บุญ 1 เกิดปีติที่ฉันไม่ทำอย่างเธอได้เป็นบุญ 2 ทำให้ส่งเสริมศรัทธาว่าฉันจะอยู่ในศีลธรรมได้แน่ๆ เป็นบุญ 3 3 ข้อนี้ได้เนื้อ 1 ลูก แค่ฉันพิจารณาเธอนี่แหละ”



เมฆอ้วนฟังรู้สึกเสียเปรียบ อะไร! ดันมาได้บุญจากบาปของเราอีก แต่ก็อดหวั่นใจเล็กๆ กับคำอธิบายนี้ไม่ได้ และยิ่งตาโตเมื่อไผ่ยิ้มยังวางเปลือกลงตรงหน้าเธอเรื่อยๆ

“เนี่ย ! ถ้าขโมยทุกวัน จะเป็นอย่างเนี๊ยะ มีเนื้อกินเท่าเดิม แต่ต้องกินเปลือกพะเรอเกวียนเพราะมีแต่บาป”

“ไม่กินไม่ได้เหรอ” เมฆอ้วนเริ่มผอมลง

“บาปกรรมเป็นเรื่องหลบไม่ได้ เธอไม่กินมันก็วิ่งเข้าปากของเธอเอง อันนี้ไม่ต้องห่วง”

“ใครห่วง” เมฆอ้วนตาเขียวอีก เห็นภาพเปลือกเงาะลอยลิ่วมาและพยายามมุดเข้าปากเป็นพัลวัน

“ถ้าชั้นต้องกินแต่เปลือกก็ตายซี”

“ก็ทำบาปไว้เอง โทษใคร” ไผ่ยิ้มลอยหน้าลอยตา

“แล้วจะให้ทำไง ไม่อยากกินเปลือก” เมฆอ้วนเริ่มอ้วนมองกองเปลือกเงาะตรงหน้า กลัวจะต้องกิน

“หลวงพ่อชาบอกว่า บุญไม่ต้องทำอะไรมากหรอก แค่ละบาปก็เป็นบุญแล้ว เมฆอ้วนเลิกขโมยก็เป็นบุญแล้ว ถ้าจะให้ดีเอาที่เคยขโมยแล้วไปแจก ฝึกใจให้ตัวเองรู้จักการให้ ก็ยิ่งดี”

“งั้นขโมยมาแจกดีมั้ย” ใจเมฆอ้วนยังอักเสบเพราะติดเชื้อ

“ไม่ดี เจตนาทำบุญปนบาป ชาติหน้าเกิดมาปัญญาอ่อน” เมฆอ้วนผอมลงจนหน้าซีด ไผ่ยิ้มพูดต่อ

“นอกจากฉันจะได้บุญเพราะเธอแล้ว ยังได้จากในชามนี้อีก เพราะฉันทำบุญทุกวัน เช้าตื่นมาสวดมนต์ก่อนมาทำงานก็ได้บุญแล้ว เมื่อเช้าได้พยุงคนแก่ขึ้นสะพานลอยก็ได้บุญ”

“อุ้มขึ้นไปเลยสิ บุญมาก” เมฆอ้วนว่า

“ทำบุญต้องเหมาะแก่กำลัง และสภาพสถานการณ์ อุ้มขึ้นมาพลัดตกตายทั้งคู่ก็แย่เลย นี่ฉันก็คว้านเงาะให้เธอกินก็ได้บุญนะยะ เมตตาอยากให้เธอมีความสุขในการกิน”

“เงาะมีน้ำตาลเยอะนา เดี๋ยวชั้นตายเธอจะบาป”

“งั้นก็ไม่ต้องกิน” ไผ่ยิ้มสรุป แต่เมฆอ้วนก็ลงมือหยิบเงาะในถ้วย

“ไม่ จะกิน”





****มีต่อ*****



 
gafiew
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 30 ธ.ค.2004, 6:30 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

หัวใจติดแอร์




วงศากระแทกแฟ้มลงบนโต๊ะด้วยสีหน้าของยักษ์ นั่งลงแล้วกดคอมพิวเตอร์เรียกเกมเรียงไพ่ขึ้นมาเล่นดับอารมณ์โกรธที่เพิ่งโดนเจ้านายเอ็ดมา

เสียงชิดเบาๆ ดังขึ้นข้างๆ เขาเหลือบไปดูเห็นโสมสวยกำลังถ่ายรูปเขาอยู่

“ถ่ายทำไม” เขาหงุดหงิดใส่

“เรียนธรรมะ” โสมสวยหัวเราะ “เก็บไว้ดูว่าทุกข์หน้าตาอย่างนี้” ว่าแล้วก็หันจอกล้องให้ดู วงศาเห็นหน้าตัวเองแล้วร้องว่า โอ้โฮ ไม่รู้ว่าจะโกรธต่หรือจะขำดี โสมสวยว่า

“อย่างนี้เขาเรียกยักษ์ขมูขี”

วงศาค้อนเหมือนผู้หญิง “ผมไม่ใช่คนธรรมะธัมโมนี่ จะได้เฉยไปหมด อะไรก็เฉย เฉยยยย ไม่รู้ร้อนรู้หนาว อะไรก็ไม่เอา ว่าอะไรก็ไม่โกรธ”

โสมสวยเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะซึ่งอยู่ข้างๆ

“ไม่จริง อาการอย่างที่เธอว่านั้นเขาเรียกปัญญาอ่อน คนเรียนธรรมะน่ะเขาเรียนรู้ความจจริงของชีวิต เมื่อรู้แล้วเขาจึงเฉยเพราะนิ่ง ไม่ได้เฉยเพราะโง่ เหมือนเวลาไฟไหม้ คนไม่รู้เรื่องแบกตุ่มวิ่งร้องโวยวาย คนรู้เรื่องเขาเอาเครื่องดับไฟไปพ่นใส่”

“มีเครื่องดับไฟมั้ย” วงศาถาม “จะเอาไปพ่นใส่หัวหน้าหน่อย” โสมสวยหัวเราะ วงศาค่อยมีอาการดีขึ้น ยกภพภูมิจากยักษ์กลับมาเป็นคน

“ความจริงของชีวิตมีว่าอะไรมั่งล่ะ ที่เรียนน่ะ”

“เขาเรียกว่าโลกธรรม ๘ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ นินทา สรรเสริญ สุข ทุกข์ พวกนี้จะวนเวียนในชีวิตเราทุกวัน ผสมปนเปเหมือนกาแฟกับคอฟฟี่เมต ถ้าเราทำตัวเป็นช้อนได้ เราก็แยกออกจากมันได้ แต่ถ้าเราเป็นน้ำตาล เราก็ละลายไปกับกาแฟ”

“สงสัยจะทำยาก” วงศาส่ายหน้า

“ทำยาก แต่ไม่ใช่ทำไม่ได้ มีคนทำได้เยอะแยะ เราต้องดูคนทำได้ จะได้เป็นกำลังใจ” โสมสวยช่วยยุ “อย่างน้อยก็เป็นเทวดา หน้าจะหล่อกว่าเมื่อกี้เยอะเลย”

“แล้วเขาทำยังไงกัน” วงศาอยากฟังหลักสูตร

“อ๋อ ข้อเดียว ปล่อยวาง อย่าไปยึดมั่นถือมั่นมันมาก ความจริงของชีวิตพวกนี้มันมาแล้วต้องไป มันขี้เบื่อ มันอยู่นิรันดรไม่ได้ มีลาภแล้วก็ต้องจากไป มียศก็อาจถูกถอดยศได้ นินทาก็เรื่องธรรมดาของปากคน พระพุทธเจ้ายังเคยโดนนินทา นับประสาอะไรกับเราก็ต้องโดนเป็นธรรมดา สุขทุกข์ก็เหมือนกัน มาแล้วก็ต้องไป ไม่มีใครทุกข์ได้ตลอดเวลาหรอก อย่างคนอกหัก เวลาปวดท้องขึ้นมา คิดถึงแฟนหรือคิดถึงห้องน้ำล่ะ เรารู้ไปตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นกับเราในนาทีนั้นน่ะ รู้แล้วก็วาง หัดไปเรื่อยๆ”



วงศาทึ่ง อะไร ไปฝึกวิทยายุทธมาไม่นานนะเนี่ย

“ท่านอาจารย์ชยสาโรภิกขุเทศน์ว่า คนฝึกธรรมะแล้วเหมือนคนอยู่ในห้องแอร์ มองออกไปข้างนอกฝนตกก็รู้ แดดออกก็เห็น แต่ไม่เปียกไม่ร้อนเหมือนคนข้างนอก”

“หัวใจติดแอร์แล้วซิเนี่ยเธอ” วงศาล้อ เพราะเมื่อก่อนโสมสวยใจร้อนกว่าเขาเสียอีก ตั้งแต่เริ่มปฏิบัติธรรม ก็เย็นลงอย่างเห็นได้ชัด ดูสวยขึ้นด้วย โสมสวยยิ้มรับ

“ช่าย เริ่มจะเย็นนิดๆ แล้ว อีกหน่อยคงสบายอย่างที่ท่านอาจารย์เทศน์ ไม่สนใจจะลองมั่งเหรอจ๊ะพ่อวงศาคณาญาติ”





...มีต่อ...



 
gafiew
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 30 ธ.ค.2004, 6:31 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

รักษาใจ




เช้าวันนี้ยิ้มสวยตื่นเร็วขึ้นอีกนิด เพื่อที่จะตักบาตร อาบน้ำแต่งตัวแล้ว ก็รีบลงมาทำกับข้าวอย่างมีสมาธิ สงบใจไม่ฟุ้งซ่าน แม้เวลาจะน้อยดูเหมือนรีบ แต่ทุกอย่างคล่องแคล่วลื่นไหล เพราะสมาธิทำให้ดูเหมือนมีเวลามาก คล้ายกับพายเรือไปในคลองคนเดียว ไม่มีเรืออื่นมาเกะกะ



ทำกับข้าวเสร็จก็จบอธิษฐานตั้งนะโม ๓ จบแล้วว่า “ข้าพเจ้ายิ้มสวย ขอถวายอาหารแด่พระภิกษุสงฆ์ ขอบุญกุศลจงมีแก่ข้าพเจ้า และเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าพ้นทุกข์ถึงพระนิพพานเทอญ”

จบเสร็จแล้วก็ออกไปยืนรอพระหน้าบ้าน พระองค์หนึ่งผ่านมา ท่านดูสำรวมมาก และบาตรรยังว่างเปล่า ยิ้มสวยตักบาตรด้วยความปลื้มปีติ โชคดีที่หน้าบ้านมีพระผ่านมาเยอะ ไม่นานยิ้มสวยก็ตักบาตรเสร็จ ๓ องค์

กลับเข้ามาในบ้านก็กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ผู้มีพระคุณและสรรพสัตว์ทั้งหลาย

ยิ้มสวยขับรถไปทำงานด้วยความเบิกบานใจ ดีใจที่การตักบาตรเช้านี้เป็นไปด้วยกุศล เพราะเธอสามารถประคองบุญไว้ในใจได้ตลอด ๓ กาล คือ ก่อนทำ กำลังทำ และหลังทำ ตอนทำกับข้าวก็ไม่มีเรื่องกวนให้ใจหงุดหงิด ตอนตักบาตรก็ปลื้ม ตอนกรวดน้ำก็เต็มไปด้วยเมตตาจิต



มาถึงที่ทำงาน เจอจ๊ะจ๋าก็รีบบอกอย่างยิ้มแย้มว่า ตักบาตรมา เอาบุญมาฝาก จ๊ะจ๋ายิ้มชื่นรีบรับบุญทันทีว่า “อนุโมทนาบุญด้วยจ้ะ”

แล้วจ๊ะจ๋าก็เล่าให้ฟังว่า วันวานไปถวายเพลกับญาติที่วัด ตอนไปเดินหากุฏิหลวงพ่อ ก็ไปดูกุฏิหนึ่ง เห็นปิดประตูอยู่ ลานหน้าประตูมีพระหนุ่ม ๔ รูป เอกเขนกอยู่ นุ่งห่มหลุดลุ่ย และพ่นบุหรี่ควันฉุย ไม่สนใจกับอาการเมียงมองของจ๊ะจ๋าเลยแม้แต่สักน้อย จ๊ะจ๋ารีบเดินไปหาต่อจนเจอกุฏิหลวงพ่อที่จะถวายเพล

ยิ้มสวยปลอบใจจ๊ะจ๋าว่า

“พระมีหน้าที่สำรวม เพื่อรักษาศรัทธาชาวบ้าน เป็นหน้าที่ต่อศาสนาที่พระอาศัยอยู่ และรีบเร่งศึกษาปฏิบัติเพื่อประโยชน์ของพระเอง และเพื่อเป็นเนื้อนาบุญของชาวบ้านที่เขาตักบาตรให้ การที่กินข้าวชาวบ้านแล้วมานอน ก็คือพระเก็บบาปใส่ตัวอยู่ในวัดนั่นแหละ น่าสงสารที่เขาไม่รู้ตัว” จ๊ะจ๋าถอนใจ “แต่เราเห็นแล้วมันวูบลงเลย ไม่อยากเลี้ยงเพลเลยเมื่อวาน แต่คงเป็นพระคนละกลุ่มกัน ยังดีหน่อย”

“เรามีหน้าที่รักษาใจของเราหมือนกันนะ เวลามีอะไรมากระทบต้องระวัง อย่าให้ใจกระเทือน ปล่อยไปเถอะ ให้เห็นสักว่าเห็น ไม่ปรุงแต่งต่อไป ว่าสิ่งที่เห็นนั้นมันอย่างนั้นอย่างนี้ ฮึ่ม ฮึ่ม แหม แหม อะไร ไม่เอาทั้งนั้น เห็นก็สักแต่ว่าเห็น แค่นั้นพอ เอ้านี่ กรรไกร ตัดสายป่านให้เรื่องนี้มันขาดลอยไปเลย จำไว้แต่เรื่องเลี้ยงเพล”

จ๊ะจ๋าหัวเราะเบาๆ รู้ว่ายิ้มสวยชอบจินตนาการ

“พระพุทธเจ้าสอนว่า ช่างดอกไม้ที่ฉลาดเขาเลือกเฉพาะดอกสวยมาจัด ส่วนดอกไม่สวยทิ้งลงถังขยะไป เราควรเลือกเก็บแต่บุญไว้ในใจเหมือนกัน เรื่องเศร้าหมองให้ทิ้งไป รักษาใจเราให้ดีอยู่เสมอ”



...มีต่อ...

 
gafiew
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 30 ธ.ค.2004, 6:33 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ไม่ได้มุสา




ต๊ะต๋า เพิ่งเข้าชมรมพุทธธรรมของบริษัทในวันวิสาขบูชาปีนี้เอง เพราะเริ่มคิดอยากจะเป็นคนดี และอยากจะรู้ว่าชมรมเขาทำอะไรกันมั่ง

หัวหน้านิมนต์หลวงพ่อมาเทศน์ ต๊ะต๋าฟังด้วยความสนอกสนใจ รู้สึกว่าตนเองกำลังเปิดหูเปิดตารับสิ่งใหม่ หลวงพ่อเทศน์ว่าให้รักษาศีล ๕ ในชีวิตประจำวัน ถ้าทุกคนรักษาศีล ๕ สังคมจะสงบสุขทั่วประเทศ

เคยได้ยินเรื่องศีล ๕ มาตั้งแต่เด็ก ก็รู้แต่ว่าศีล ๕ มีอะไรบ้าง แต่ไม่เคยคิดจะรักษา ไม่น่าจะยาก แค่ ๕ ข้อ ข้อแรกก็ง่ายแล้ว ไม่ฆ่าสัตว์ ก็ไม่เคยไปล้มวัวล้มควายที่ไหน รอดอยู่แล้ว ลักขโมยก็ไม่ชอบอยู่แล้ว ไม่พูดปด ก็...เอ เราก็เด็กดี ไม่ได้โกหกใครอยู่แล้ว อุ้ย...หมู ผิดลูกผิดเมียใคร...เอ้ย ไม่เค้ย ยังสาวโสดสดทั้งแท่ง ผิดเมียใครคงไม่มีแน่ๆ แต่ผิดผัวใครนี่เขาห้ามหรือเปล่านะ แต่เอาน่ะ ไม่ทำอยู่แล้ว เราก็มีดีจะผิดผัวใครทำไมให้เปลืองตัว สุรายาเมาก็ไม่แตะ

พิจารณาแล้วก็ยิ้มให้กับตัวเอง ว่างานแรกนี้เอาตัวรอดได้แน่ ตั้งใจฟังหลวงพ่อเทศน์ต่อ ท่านว่า

“เมื่อเรารักษาศีล เราต้องรักษาจนกระทั่งศีลนั้นเป็นนิสัยเข้ามาอยู่ในตัวเรา จนกลายเป็นคนมีศีล ไม่ใช่แค่คนรักษาศีล เมื่อเราเป็นคนมีศีล ก็ไม่ต้องรักษาแล้วคือมีศีลอยู่ในตัวแล้วเรียบร้อย เมื่อนั้นศีลจะรักษาเราเอง จะทำให้เราร่มเย็นเป็นสุข มีชีวิตที่สงบ ไม่วุ่นวาย”

ต๊ะต๋ายกมือขึ้นไหว้สาธุ รูสึกอิ่มเอิบปีติอยู่ในใจ ด้วยความเชื่อมั่นว่าตนเองเป็นคนมีศีลพร้อมตั้งแต่วันแรกที่อยากมาเป็นคนธรรมะธัมโมกะคนอื่นเขา



หลังถวายเพลเสร็จ ต๊ะต๋ากลับไปทำงานต่อ กุ๋งกิ๋งก็ปราดเข้ามาหา หน้าตาตื่นเล็กๆ กระซิบกระซาบว่า

“ต๊ะต๋า ถ้านายฮ้อยโทรฯ มา บอกว่าเราไม่อยู่นะ”

“แล้วเธอจะไปไหน”

“เปล๊า แต่ไม่อยากพูดด้วย นายฮ้อยทมิฬ ใจร้าย บอกจะโทรฯ มาแต่เช้าไม่ยอมโทรฯ มา” ต๊ะต๋ษพยักหน้าหงึกๆ อ๋อ ได้ เรื่องปกติ อย่างนี้มีบ่อย อ้าว จากวันนี้ไปมุสาไม่ได้นะ นึกเห็นชายผ้าเหลืองหลวงพ่ออยู่ไหวๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น เป็นนายฮ้อยจริงๆด้วย ต๊ะต๋าคิดอย่างด่วยบีทีเอส เหลือบดูกุ๋งกิ๋งเห็นยืนชงกาแฟอยู่ที่ประตู

“นี่ต๊ะต๋า พูดค่ะ กุ๋งกิ๋งไม่อยู่ตรงนี้ ไว้ค่อยโทรฯ มาใหม่นะคะ สวัสดีค่ะ”

รีบวางโทรศัพท์ แล้วร้องเฮ้อในใจ เข้าชมรมแล้วต้องรักษาศีลให้ได้นะเรา เดี๋ยวไม่เก่ง



….มีต่อ....

 
gafiew
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 01 ธ.ค. 2004
ตอบ: 12

ตอบตอบเมื่อ: 11 ม.ค. 2005, 11:02 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เปลี่ยนจุดมอง



วันนี้ตอนที่หวานจ๋อยกำลังยืนให้พัดลมเป่าผมให้แห้ง จู่ๆ ก็มีความคิดวูบขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุว่า ทำยังไงจะไม่รู้สึกโกรธพ่อนะ คิดแล้วก็สะท้อนใจ หวานจ๋อยคิดว่าจะต้องจัดการกับเรื่องนี้อย่างจริงจังเสียที จึงไปคุยกับเพลงหริ่ง



เพลงหริ่งบอกหวานจ๋อย บางทีคนเป็นพ่อลูกเคยเป็นคู่แค้นกันมา ตามกันมาเพื่อทวงหนี้กัน ทำให้โกรธเคืองกันอย่างนี้แหละ ถ้าจะให้ดีหวานจ๋อยควรเป็นฝ่ายเลิกรา ยอมอ่อนข้อให้พ่อยอมรับชดใช้เสียเอง เพราะถ้าไปบอกให้พ่อทำคงยาก เดี๋ยวหวานจ๋อยได้ไปเกิดใหม่เร็วไป

“การยอมรับก็ไม่ใช่เรื่องยากหรอก มีวิธี” เพลงหริ่งวางมาดสุขุม

“เราเลียนแบบธรรมชาติ ตบมือข้างเดียวไม่ดัง โอ้ย” เพลงหริ่งร้อง เพราะหวานจ๋อยเอามือข้างเดียวตีขาเพลงหริ่ง

“ดัง” หวานจ๋อยว่า เพลงหริ่งค้อน วางมาดต่อ

“เมื่อก่อนพ่อว่ามา หวานจ๋อยเอาใจไปรับเลยเจ็บ คราวนี้ลองใหม่ เปลี่ยนจุดยืน อย่าไปยืนตรงข้ามกับพ่อ ทำให้ต้องรับปะทะเหมือนเดิม ไม่เอา เราสมมติว่าพ่อยืนอยู่บนเวที ตะลาแล๊ม แสดงลีลาชีวิตของพ่อไป พ่อด่าใครเราไม่รู้ เราลงไปนั่งที่เก้าอี้คนดูข้างล่าง แล้วมองขึ้นมาดูพ่อแสดง หวานจ๋อยจะเห็นพ่อในมุมมองใหม่”



“ใช่ เห็นแล้ว โอ พุทธิปัญญาเกิด” หวานจ๋อยว่า

“เฮ้ย เร็วไปมั้ง ชั้นยังว่าไม่จบ” เพลงหริ่งไม่ยอมโดนเบรก

“เธอจะเห็นว่า โอ พ่อนะ พ่อต้องทนทุกข์ มีอารมณ์โกรธแบบสามัญชนที่ต้องทุกข์กับความเร่าร้อนในใจของตนเอง โดยที่พ่อไม่รู้ไม่เข้าใจ ได้แต่เร่าร้อนไปตามกิเลสมันสั่ง มีทั้งความโกรธ ความมานะ ทิฐิ ความอยากเอาชนะ ความถือตัว ความอะไรเยอะแยะเลย กิเลสปกติคนเรามีเยอะอยู่แล้ว ถ้าไม่รู้จักมันก็อยู่ในวงล้อมของมันนั่นแหละ แล้วก็ไม่รู้ตัวด้วย คอยมีอารมณ์ตามมันไป เดี๋ยวพอใจ เดี๋ยวไม่พอใจ เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวเศร้า เดี๋ยวเหงา เดี๋ยวหดหู่ เดี๋ยวน้อยใจ เธอจะเห็นได้ว่าพ่อไม่มีความสุขเหมือนกันนะ เริ่มสงสารพ่อหรือยัง สงสารเป็นมั้ยยะหล่อน”



หวานจ๋อยพยักหน้า ดวงตาเริ่มมีแววศรัทธาฉายส่อง

“สังสารวัฏนี้ยาวนานไปจนไกลโพ้นเลยสุดขอบจักรวาลสัตว์โลกต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกนับแสนอสงไขย เห็นพ่อปลิวไปในสังสารวัฏไหม”

“วันหนึ่งฉันก็ปลิวตามไปเหมือนกัน เธอด้วย”

เพลงหริ่งยิ้ม พยักหน้า ทำท่าเหมือนหมอดูยิปซี

“ให้อภัยพ่อได้แล้วจะสบายใจ เพียงแต่คิดว่า เราต่างเป็นเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จะยึดอะไรเอาไว้โกรธ เวลาของชีวิตเราเป็นแค่ฝุ่นละอองของจักรวาล สั้นมากกก ตราบใดที่เธอนั่งอยู่ที่เก้าอี้คนดูมองขึ้นไป เธอจะเห็นภาพชีวิตของพ่อ แล้วเธอจะให้อภัยพ่อได้ คิดถึงสังสารวัฏเข้าไว้ หวานจ๋อย”

“ฉันต้องมองเธออย่างนั้นด้วยมั้ย” หวานจ๋อยถามพลางหัวเราะ แต่เธอก็รู้สึกว่าคำแนะนำของเพลงหริ่ง ทำให้เธอสบายใจขึ้นเยอะเลย





...มีต่อ...



 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง