ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
aratana
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 02 พ.ย. 2006
ตอบ: 90
ที่อยู่ (จังหวัด): ร้อยเอ็ด
|
ตอบเมื่อ:
12 พ.ย.2006, 10:09 pm |
  |
อันความดีกับความชั่วที่ตัวทำไว้ ย่อมจักได้เป็นผล เหมือนกับเงาเทียมตนฉะนั้น จึงค่อยอดกลั้นกระทำดี หนทางมีอย่าอยู่ช้า ทาน ศีล ภาวนา แหละบรรดาหนทางดี จงรวบรัดรวมวิถี หนทางมีให้รีบเดิน อย่าหลงเพลินเดินเหยียบขวาก อย่ากินของร้อน อย่านอนเหล็กแดง อย่าแกล้งทำผิด อย่าคิดความชั่ว ให้เอาศรัทธาความเชื่อนี้เป็นสมอวางทอดเวลาจอดพักเดินทาง
ให้เอาวิริยะความเพียร เป็นไม้แจวเครื่องคัดวาด ให้เอาสติเป็นหางเสือ ให้เอาสมาธิเป็นผู้ถือท้ายเรือไว้ให้เที่ยง ถือไว้อย่าให้เอียง ตัดแล่นเลี่ยงข้ามคงคา ให้เอาปัญญาเป็นกล้องแก้ว ส่องดูแถวแนวหินผา มีความรู้เป็นหูตา คอยดูนาวาจักล่มจม เจ้าขี้เกียจเป็นปลาร้าย จักทำลายให้เรือล่ม
เจ้าโมโหเป็นตัวลมอันร้ายกาจ จักฟันฟาดให้วารินกระสินธุ์ใส เจ้ามัจฉริยะความตระหนี่ เป็นคลื่นใหญ่อย่างมหันต์ ให้เอาขันติความอดกลั้น ฟาดฟันหมู่มาร ให้เอาคุณทานเป็นเสบียงเครื่องเลี้ยงพล ให้เอาคุณศีลเป็นยาเป็นมนต์ฝ่ายสามารถ ให้เอาคุณภาวนาเป็นอาวุธเครื่องประหารฆ่าหมู่ธรรมธาตุโลกีย์ ให้สิ้นชีวีวายปราณ ดับสังขารทั้งอวิชา ดับกิเลสเสร็จสมรส ดับสิ้นหมดรสตัณหา แสนสุขล้ำซ้ำสุขเลิศ ไม่ตายเกิดเวียนไปมา แสนสุขาในพระนิพพาน ดังวิสชนามานะที่นี้ |
|
|
|
  |
 |
aratana
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 02 พ.ย. 2006
ตอบ: 90
ที่อยู่ (จังหวัด): ร้อยเอ็ด
|
ตอบเมื่อ:
13 พ.ย.2006, 4:58 pm |
  |
[u]รูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ - และโลกุตตรภูมิ[/u]
รูปาวจรภูมิ
แต่นี้ จักแสดงรูปาวจรภูมิ ซึ่งเป็นธรรมของพรหม ผู้จะไปบังเกิดในพรหมโลก 16 ชั้น ต้องเป็นผู้มีธรรมของพรหมประจำใจไว้ก่อนในโลกนี้ (คือตัวปัจจุบัน) ถ้าไม่มีธรรมของพรหมประจำใจไว้แล้ว จะปรารถอยากไปก็ไปไม่ได้ เปรียบเหมือนผู้จะไปสู่ประเทศนอกก็ต้องมีค่าพาหนะเพียงพอจึงจะไปได้ พรหมธรรมคืออะไร คือรูปาวจรภูมิอันจะพึงกล่าวต่อไปในบัดนี้ แต่ผู้ที่จะประพฤติธรรมของพรหม ต้องเป็นผู้มีมนุษยธรรมและเทวธรรมให้เต็มบริบูรณ์ก่อนจึงจะประพฤติธรรมของพรหมได้
เปรียบเหมือนผู้จะสร้างบ้านสร้างเรือน จะต้องตั้งต้นเสาขึ้นก่อน จึงจะเอาสัมภาระเหล่านั้นขึ้นได้ ถ้าไม่มีต้นเสาหรือต้นเสาหักพัง สัมภาระเหล่านั้นก็ล้มสลายหมด ผู้ปฏิบัติธรรมก็ต้องปฏิบัติเป็นลำดับขั้นขึ้นไปแต่ขั้นต่ำถึงขั้นสูงสุด ดุจขึ้นบันไดทีละขั้น ถ้าจะเทียบการเดินทาง ก็ต้องเดินจากมนุษย์ขึ้นไปสวรรค์เลยสวรรค์ขึ้นไปจึงจะถึงพรหมโลก ดังจะแยกข้อปฏิบัติออกเป็นส่วน ๆ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติและเห็นเป็นส่วน ๆ คือ
รูปาวจรภูมิที่พ้นจากกาม เป็นคนโสดไม่มีหญิงไม่มีชายเป็นส่วนนิรามิสสุข เป็นสุขที่ไม่เจือด้วยอามิส เป็นสุขอิงเนกขัมมะ คือ การออกบวช ผู้ที่เป็นคฤหัสถ์ก็ต้องให้สมาทานศีลแปดให้เป็นพื้นที่ก่อน จึงจะประพฤติธรรมของพรหมได้ ศีล 5 เป็นกามาวจรภูมิ เป็นมนุษยธรรม เป็นสามิสสุข เป็นสุขเจืออยู่ด้วยอามิส |
|
|
|
  |
 |
aratana
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 02 พ.ย. 2006
ตอบ: 90
ที่อยู่ (จังหวัด): ร้อยเอ็ด
|
ตอบเมื่อ:
14 พ.ย.2006, 9:20 am |
  |
ส่วนศีล 8 เป็นนิรามิสสุข เป็นศีลที่ให้ออกจากอามิส เช่น ไม่ให้ประพฤติอสัทธรรม ไม่ให้รับอาหารในเวลาวิกาล เป็นต้น เพื่อจะให้ออกจากสามิสสุข เพื่อจะให้ได้ กายวิเวก ก่อน ถ้าไม่ได้กายวิเวก จิตวิเวก เกิดไม่ได้ เปรียบเหมือนปลูกต้นไม้ต้องอาศัยพื้นที่ ศีลอันให้สำเร็จกายวิเวกเปรียบเหมือนพื้นที่ สมาธิอันให้สำเร็จจิตวิเวกเปรียบเหมือนต้นไม้ เมื่อเป็นดังนี้ ผู้รักษาศีลอย่างเดียวจิตวิเวกยังเกิดไม่ได้ก่อน ต้องทำสมาธิให้เกิดก่อน จึงจะถึงธรรมของพรหม
ผู้ที่ให้ทานและรักษาศีล 5 ไหว้พระสวดมนต์ เป็นกามาวจรภูมิ ยังมี กายจมอยู่ในกามทั้งมีใจจมอยู่ในกาม ถึงจะได้รับทุกขเวทนาอันเกิดแต่ความเพียรก็ตาม จะไม่ได้รับทุกขเวทนาอันเกิดแต่ความเพียรก็ตาม ก็ไม่สามารถจะตรัสรู้ได้ เปรียบเหมือนไม้สดทิ้งอยู่ในน้ำ บุรุษต้องการไฟก็สีเอาไม่ได้
ผู้ที่รักษาศีล 8 หรือศีล 10 ศีล 227 นับว่าผู้นั้นมีกายหลีกออกจากกามแล้ว แต่ยังมีใจจมอยู่ในกาม ถึงจะได้รับทุกขเวทนาอันเกิดแต่ความเพียรก็ตาม จะไม่ได้รับทุกขเวทนาอันเกิดแต่ความ
เพียรก็ตาม ก็ไม่สามารถจะตรัสรู้ได้ เปรียบเหมือนไม้สดทิ้งอยู่บนบก บุรุษต้องการไฟก็สีเอาไม่ได้ |
|
|
|
  |
 |
aratana
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 02 พ.ย. 2006
ตอบ: 90
ที่อยู่ (จังหวัด): ร้อยเอ็ด
|
ตอบเมื่อ:
14 พ.ย.2006, 6:46 pm |
  |
ผู้ที่มีศีล 8 เป็นต้น และทั้งทำจิตใจให้หลุดพ้นจากกาม ถึงจะได้รับทุกขเวทนาอันเกิดแต่ความเพียรก็ตาม จะไม่ได้รับทุกขเวทนาอันเกิดแต่ความเพียรก็ตาม ก็สามารถตรัสรู้ได้ เปรียบเหมือนไม้แห้งที่ทิ้งอยู่บนบก บุรุษต้องการไฟก็สีเอาได้ตามปรารถนา
เมื่อรู้จักจุดประสงค์ในข้ออุปมานี้แล้ว ผู้ปฏิบัติพึงชำระศีลให้บริสุทธิ์ พร้อมทั้ง ละความกังวลทุกอย่าง แล้วให้หา สถานที่วิเวก ปราศจากอารมณ์เครื่องคู่ ตาไม่ให้เห็นรูป หูไม่ให้ได้ยินเสียง เป็นต้น หรือเวลาดึกสงัด จึงจะทำ จิตวิเวก ให้เกิดขึ้นได้ง่าย ถ้าอยู่ที่อึกทึกครึกโครม เช่น ทำสมาธิที่หน้าโรงหนัง คงทำไม่ได้ จะได้เฉพาะผู้ชำนาญ หรือผู้ชำนาญแล้วก็จะทำได้เพียง อุปจารสมาธิ เป็นกามาวจรภูมิเท่านั้น
จะทำสมาธิให้ถึงขั้นอุปปนาสมาธิอันเป็นรูปาวจรภูมิย่อมไม่ได้ เพราะอึกทึกครึกโครมเป็นส่วนกามารมณ์ทั้งสิ้น ถึงออกไปจากที่เช่นนั้นเข้าไปสู่ที่สงัดแล้วจิตวิเวกก็ยังเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะทุก ๆ คน ย่อมเรียนเอากามาวจรจิตเข้าไว้ในตัวทุก ๆ คน จนกลายเป็น อุปาทานการเข้าไปยึดถือ การรักษาศีลจะรักษาให้ดีเท่าใดก็ตาม ก็กำจัดได้แต่กิเลสอย่างหยาบอันเกิดขึ้นทางกาย ทางวาจา อันเรียกว่า วิติกะมะโทษ เท่านั้น |
|
|
|
  |
 |
aratana
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 02 พ.ย. 2006
ตอบ: 90
ที่อยู่ (จังหวัด): ร้อยเอ็ด
|
ตอบเมื่อ:
15 พ.ย.2006, 9:00 am |
  |
นิวรณ์ 5 เปรียบเหมือนโรคเกิดทางใจ
หรือศีลส่วนเนกขัมมะ คือออกจากกามแล้วก็ตาม ออกได้แต่เพียงกายให้ได้กายวิเวกเท่านั้น ส่วนใจยังเกี่ยวข้องในกามอยู่ ท่านจึงเรียกว่า ปริยุฏฐานกิเลส จัดเป็นกิเลสอย่างกลาง เรียกว่า นิวรณ์ 5 กายของเราหลีกจากกามไปแล้ว แต่ใจยังยินดีอยู่ในกามอยู่จึงเรียก กามฉันทะ ความพอใจในกาม
เมื่อความพอใจในกามมี พยาปาทะ ความพอใจในพยาบาทก็มี เราไม่รับอาหารในเวลาวิกาล ไม่ฟังขับฟังร้องของประโลมโลก ไม่นั่งนอนในเตียงต่อสูงเกินประมาณ และที่นอนใหญ่อันยัดด้วยนุ่นและสำลี เป็นการกำจัด ถีนมิทธะ ความง่วงเหงา ตัว อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่านไปตามอารมณ์ ตัว วิจิกิจฉา ความไม่ตกลงใจ นิวรณ์ธรรมทั้ง 5 อย่างนี้ เป็นเครื่อง กั้นจิต ไม่ให้บรรลุคุณความดี |
|
|
|
  |
 |
aratana
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 02 พ.ย. 2006
ตอบ: 90
ที่อยู่ (จังหวัด): ร้อยเอ็ด
|
ตอบเมื่อ:
20 พ.ย.2006, 11:25 am |
  |
การกระทำ สมาธิ ก็เพื่อจะปราบนิวรณ์ เหล่านี้ ซึ่งเป็นตัวกิเลสอย่างกลาง เมื่อเป็นดังนี้ ผู้จะทำสมาธิจึงควรตรวจดูนิวรณ์ให้รู้ว่าใจของเรามีอะไรครอบงำ นิวรณ์ทั้ง 5 นี้ เปรียบเหมือนโรคอันเกิดขึ้นในใจของเรา ส่วนพระกรรมฐานเปรียบเหมือน ยาแก้โรคจึงควรเลือกเอากรรมฐานอันเป็นคู่ปรับกับนิวรณ์นั้น ๆ
ก็ สมถกรรมฐาน คือ อุบายเครื่องสงบใจ ท่านแสดงไว้ 40 ประการ อันมีอยู่ในตำหรับตำรา ใครก็เคยได้ยินได้ฟังอยู่แล้ว แต่ที่มีมากก็ไม่ใช่ว่าจะให้เจริญทุกข้อให้เลือกเอาให้ถูกกับจริตของตน และให้เป็นคู่ปรับกับนิวรณ์นั้น ๆ แล้วแต่อุบายของใคร จุดประสงค์คือจะให้หลุดพ้นจากความคิด ความคิดเกิดจากนิวรณ์เข้าครอบงำใจ ใจจึงต้องมีความคิด เมื่อความคิดดับลง จิตก็หลุดพ้นจากความคิดจึงเรียกว่า จิตวิเวก สงบจากนิวรณ์ เข้าถึงขั้น อัปปนาสมาธิ จิตจะเข้าถึงอัปปนาสมาธิ ย่อมอาศัยการเจริญกรรมฐาน กรรมฐานในมหาสติปัฏฐานที่พระพุทธองค์ทรงยกย่องว่า เป็นหนทางอันเอก ใครก็เคยได้ยินได้ฟังกันมากแล้ว
เมื่อมาไตร่ตรองดูใน กรรมฐานทั้งปวงแล้วจุดประสงค์ก็คือ จะให้จิตหลุดพ้นจากอาสวะทั้งปวง กรรม แปลว่า การกระทำ ฐาน แปลว่าที่ตั้ง ใครอยากจะตั้งไว้ในฐานอันใด ก็แล้วแต่ความชอบใจ ข้อสำคัญขอแต่ให้จิตขอเราแน่วแน่อยู่ในฐาน อันนั้นก็แล้วกัน ถ้าใครตั้งไว้ได้นาย จิตของผู้นั้นก็สงบมาก ถ้าใครตั้งไว้ไม่ได้นานจิตของผู้นั้นก็สงบน้อย กรรมะ แปลว่า การกระทำจึงให้ ทำ ให้ได้ มาก ๆ ดังพวกหาทรัพย์ภายนอกถ้าเขาทำงานได้มาก เขาก็ได้ทรัพย์มาก ถ้าทำงานได้น้อยก็ได้ทรัพย์น้อย ถ้าขี้เกียจไม่ทำเสียเลย ก็เป็นคนจนทรัพย์ ทั้งทรัพย์ภายในทั้งทรัพย์ภายนอกเกิดจากการกระทำทั้งสิ้น ใครจะทำทางไหนก็ตาม ข้อสำคัญขอแต่ให้ได้เงินมาก ๆ ก็แล้วกันฉันใด
ผู้กระทำกรรมฐาน อยากจะทำกรรมฐานไหนก็แล้วแต่ความสะดวก ถ้าจิตหลุดพ้นได้ในกรรมฐานไหนก็พึงทำในกรรมฐานนั้นเถิด กรรมฐานอื่น ๆ นักปฏิบัติทั้งหลายเคยได้ปฏิบัติกันมามากแล้ว ถ้าใครได้ประโยชน์ในกรรมฐานไหน ก็ให้ทำในกรรมฐานนั้นเถิด แต่ถ้าใครยังไม่ได้ หรือได้แต่ได้ยากหรือได้น้อยไม่สะดวกแก่การปฏิบัติ อยากจะชวนให้มาเดินทางลัด ทั้งข้อปฏิบัติก็ปฏิบัติได้ทุกเวลา ไม่เลือกกาลไม่เลือกเวลา ไม่เลือกสถานที่ ทำได้เป็นนิจ ทั้งรู้ได้เร็ว แต่การได้การถึงนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของวาสนาบารมี ของใครของมัน ก็กรรมฐานที่จะนำมาแสดงในที่นี้ มีที่ตั้งอยู่เพียง 7 ฐาน เท่านั้นคือ |
|
|
|
  |
 |
aratana
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 02 พ.ย. 2006
ตอบ: 90
ที่อยู่ (จังหวัด): ร้อยเอ็ด
|
ตอบเมื่อ:
23 พ.ย.2006, 8:46 pm |
  |
มหาฐาน 7
ฐานที่ 1 ให้เพ่งดูหทัยวัตถุ
ฐานที่ 2 ให้ดูจุดประสงค์ จุดประสงค์คือให้วางความคิด
ฐานที่ 3 ไม่ให้ติดอยู่ในความรู้ อันผ่านมาทางทวารทั้ง 6
ฐานที่ 4 ให้เอาสติเป็นนายประตู ดูทวารทั้ง 6
ฐานที่ 5 ให้อยู่กับความไม่ถือมั่น
ฐานที่ 6 ให้เลือกเฟ้นแห่งไตรลักษณ์สาม
ฐานที่ 7 ให้ถามถึงผู้ไม่ตาย 4 ( เครื่องสอบผลจิต ) |
|
|
|
  |
 |
aratana
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 02 พ.ย. 2006
ตอบ: 90
ที่อยู่ (จังหวัด): ร้อยเอ็ด
|
ตอบเมื่อ:
23 พ.ย.2006, 8:47 pm |
  |
คำอธิบายในฐานที่ 1
ที่ให้เพ่งดูหทัยวัตถุ
เพราะหทัยวัตถุเป็นที่ประชุมแห่งสังขาร สังขารทั้งหมดมารวมอยู่ที่หทัยวัตถุทั้งสิ้น ก็สังขารทั้งสิ้นคืออะไร คือ
กายสังขาร 1 วจีสังขาร 1 จิตสังขาร 1 ปุญญาภิสังขาร 1 อปุญญาภิสังขาร 1 อเนญชาภิสังขาร 1 รวมทั้งหมดเป็น 6 ย่อ เข้าให้ให้สั้น กายสังขาร เอาไว้คงเดิม สังขารนอกนั้นสงเคราะห์เข้าใน จิตสังขาร รวมให้สั้นคงมีแต่กายสังขารและจิตสังขาร สองอย่างเท่านี้ หทัยวัตถุ เป็น กายสังขาร
เมื่อกำหนดรู้เพ่งดูหทัยวัตถุสงเคราะห์เข้าใน กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เมื่อสังขารภายนอกเข้ามา กระทบกาย ทั้งภายนอกภายใน เรียกว่า ผัสสะ เข้ากระทบ จะกระทบทางไหนก็ตาม เวทนา คือความสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ ย่อมบอกให้เรารู้ที่หทัยวัตถุ ส่วน ความนึกคิด ที่เรียกว่า จิตสังขาร ก็เกิดขึ้นที่หทัยวัตถุ เมื่อหทัยวัตถุหนักเข้าจะเห็น ธรรมชาติของกาย และธรรมชาติของใจ จะมีการเปลี่ยนแปลงยักย้าย คือ เกิดขึ้นแล้วตั้งอยู่ดับไป เมื่อเห็นความเกิดความดับแห่งสังขาร ก็สงเคราะห์ลงในธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ผู้ที่เพ่งดูหทัยวัตถุ จึงนับว่าได้เจริญมหาสติปัฏฐานทั้ง 4 ให้บริบูรณ์ เมื่อ ผู้บำเพ็ญเพ่งดูในเวลาใดเวลานั้นเป็นวิชา เวลาไหนไม่ได้เพ่ง เวลานั้นเป็น อวิชา |
|
|
|
  |
 |
aratana
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 02 พ.ย. 2006
ตอบ: 90
ที่อยู่ (จังหวัด): ร้อยเอ็ด
|
ตอบเมื่อ:
24 พ.ย.2006, 10:14 pm |
  |
เจตสีกธรรม 52 เปรียบเหมือนธาตุต่าง ๆ
เมื่อมีอวิชา ความไม่รู้เท่าสังขาร สังขารจึงมาปรุงแต่ง เมื่อจะกล่าวถึงสังขารที่มาปรุงแต่งปุญญาภิสังขาร อย่าง 1 อปุญญาภิสังขาร อย่าง 1 อเนชาภิสังขาร อย่าง 1
ปุญญาภิสังขาร หมายเอา โสภณเจตสิก 25
อปุญญาภิสังขาร หมายเอา อกุศลเจตสิก 14
อเนชาภิสังขาร หมายเอา อัญญสมานาเจตสิก 13
รวมกันเข้าเป็น 52 เจตสิก 52 นี้ เปรียบเหมือนธาตุต่าง ๆ เช่น ธาตุเผ็ด ธาตุเค็ม ธาตุเปรี้ยว ธาตุหวาน ธาตุเบื่อ ธาตุเมา ธาตุเหล่านี้มีทั้งคุณมีทั้งโทษ ถ้าใครไม่รู้ไปดื่มเอาธาตุเบื่อธาตุเมา ก็เบื่อ ก็เมา ตามสัญชาติของธาตุนั้น ๆ
อปุญญาภิสังขาร คือ บาป เปรียบเหมือนธาตุเบื่อธาตุเมา ปุญญาภิสังขาร เปรียบเหมือนธาตุเปรี้ยว ธาตุหวาน มีประโยชน์แก่ผู้ดื่ม ส่วน อเนญชาภิสังขาร เปรียบกับธาตุที่มิใช่เปรี้ยวใช่หวาน ใช่เบื้อใช่เมา สังขารที่กล่าวมาทั้งนี้ ประชุมลงในจิตสังขารคือเกิดขึ้นพร้อมกัน เวลาดับก็พร้อมกัน มีอารมณ์อันเดียวกัน มีวัตถุเดียวกัน |
|
|
|
  |
 |
aratana
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 02 พ.ย. 2006
ตอบ: 90
ที่อยู่ (จังหวัด): ร้อยเอ็ด
|
ตอบเมื่อ:
25 พ.ย.2006, 7:52 pm |
  |
อปุญญาภิสังขารเป็นของที่ควรละ ปุญญาภิสังขารเป็นของที่ควรบำเพ็ญ อเนญชาภิสังขารเป็นสังขารกลางเป็นไปในบุญก็ได้ในบาปก็ได้ อปุญญาภิสังขาร มีในกามาวจรจิตอย่างเดียว ผู้ที่จะบำเพ็ญกรรมฐานเข้าถึงรูปาวจรภูมิ ควรให้รู้จักกามาวจรจิต เพราะผู้เข้าถึงรูปาวจรจิต กามาวจรจิตต้องดับไปก่อนจึงเข้าถึงรูปาวจรจิต
กามาวจรจิตกับรูปาวจรจิต ถ้าบำเพ็ญเพียร เพิก กามาวจรจิตไม่ได้แล้ว รูปปาวจรจิตก็เกิดไม่ได้ การที่จะเพิกกามาวจรจิตก็ต้องให้รู้จักกามาวจรจิตก่อน กามาวจรจิตเกิดขึ้นที่ไหน เกิดขึ้นในทวารทั้ง 6 แต่ปัญจทวาร คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย รับอารมณ์ได้แต่ปัจจุบันอารมณ์เท่านั้นไม่สามารถรับเอาอดีตอนาคตได้ แต่มโนทวารรับอารมณ์ในอดีต ปัจจุบัน อนาคตได้สิ้น |
|
|
|
  |
 |
aratana
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 02 พ.ย. 2006
ตอบ: 90
ที่อยู่ (จังหวัด): ร้อยเอ็ด
|
ตอบเมื่อ:
26 พ.ย.2006, 11:02 am |
  |
ภวังคจิต วิถีจิต
อีกประการหนึ่งให้ผู้บำเพ็ญรู้จักภวังคจิต และวิถีจิต วิถีจิตหมายเอาจิตที่รับรู้ทางทวาร 6 เมื่อจิตหยุดรับรู้ทางทวาร 6 เป็นภวังคจิต ดังเวลานอนหลับเป็นภวังคจิตแท้
อนึ่ง ให้รู้จักทวารสมมุติและทวารวิมุติ ทวารสมมุติหมายเอาทวารทั้ง 6 ทวารวิมุติหมายเอาเวลานอนหลับ ฝันเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ อาการที่นอนหลับนั่นแหละเป็นทวารวิมุติจิต ชื่อว่าทวารวิมุติเกิดพ้นทวาร 6 นั้นให้สำเร็จกิจเป็น จุติ ปฏิสนธิภวังค์ ถือเอาอารมณ์ทั้ง 6 อันเกิดแต่ทวารสมมุติได้กามาวจรชวนะเกิดในมรณาสันนวิถี แต่ชาติก่อนนั้นถือเอาสิ่งไรเป็นอารมณ์ จิตที่เป็นปฏิสนธิ ภวังค์ในชาตินี้ก็ถือเอาสิ่งนั้นเป็นอารมณ์ อารมณ์ที่เป็นมรณาสันนชวนะในชาติก่อนนั้น เป็นปัจจุบันก็ดี เป็นบัญญัติก็ดี พระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า กมม กมมนิมิต คตินิมิต
จิตที่รับอิฏฐารมณ์ และอนิฏฐารมณ์ในทวารทั้ง 5 เรียกว่า ทวิปัญจวิญญาณ 10 นั้นมีอารมณ์ 5 มีรูปเป็นต้น และละสิ่ง ๆ เป็นอารมณ์
ฝ่ายว่ามโนธาตุ 3 นั้น ยึดหน่วงเอาอารัมมณปัจจัย 5 เมื่อเกิดในทวารวิถีทั้ง 5 เป็นอารัมมณปัจจัยทุก ๆ ทวารวิถี
กามาวจรวิบากอันเหลือ คือ สันตีรณ 3 มหาวิบากหสิตุปบาท 1 ทวิปัญจวิญญาณ 10 มโนธาตุ 3 รวมเป็นจิต 25 ย่อมยึดหน่วงได้แต่อารมณ์ที่เป็นกามาวจร จะยึดหน่วงอารมณ์ที่เป็นรูปาวจร อรูปาวจร และโลกอุดรไม่ได้
อกุศลจิต 12 ญาณวิปปยุตกุศล 4 ญาณวิปปยุตกิริยา 4 รวม 20 จิตนี้ บางคราวมีอารมณ์ เป็นกามาวจร บางคราวเป็นรูปาวจร และอรูปาวจร แต่ไม่อาจถือเอาโลกอุดรเป็นอารมณ์ได้
กามาวจรกุศลญาณสัมปยุต 4 ปัญจมฌานกุศล 1 รวม 5 จิตนี้ บางคราวเป็น รูปาวจร อรูปาวจร โลกอุดร แต่ไม่อาจถือเอาอรหัตตมรรคจิต อรหัตตผลจิตเป็นอารมณ์ได้
กามาวจรกิริยาญาณสัมปยุต 4 ปัญจมญานกิริยา 1 โวฏฐัพพนะจิต 1 รวมเป็น 6 จิตนี้ ถือเอาอารมณ์ได้ทุกสิ่งไม่มีเว้น
วิญญานัญจายตนะ 3 เนวสัญญานาสัญญายตนะ 3 รวมเป็น 6 จิตนี้ ถือเอา มหัคคตาเป็นอารมณ์
รูปาวจรจิต 15 ปฐมรูปจิต 3 ตติยรูปจิต 3 รวมเป็น 21 จิต จิตนี้ถือเอาบัญญัติเป็นอารมณ์
โลกุตตรจิต 8 ถือเอาพระนิพพานเป็นอารมณ์ |
|
|
|
  |
 |
admin
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886
|
ตอบเมื่อ:
26 พ.ย.2006, 10:22 pm |
  |
อนุโมทนาสาธุๆๆ ด้วยครับ
 |
|
_________________ -- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง -- |
|
    |
 |
aratana
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 02 พ.ย. 2006
ตอบ: 90
ที่อยู่ (จังหวัด): ร้อยเอ็ด
|
ตอบเมื่อ:
28 พ.ย.2006, 8:36 pm |
  |
อารมณ์ของจิต 89 ดวง
อารมณ์ของจิต 89 ดวงแบ่งออกเป็น 7 หมวดคือ
จิต 25 มีกามาวจรเป็นอารมณ์
จิต 6 มีมหัคคตาเป็นอารมณ์
จิต 21 มีบัญญัติเป็นอารมณ์
จิต 8 มีนิพพานเป็นอารมณ์
จิต 20 เว้นจากมรรคผล
จิต 5 เอาสิ่งทั้งปวงได้ เว้นอรหัตตมรรค อรหัตตผล
จิต 6 เอาสิ่งทั้งปวงเป็นอารมณ์ได้ ไม่มีเว้น
อารมณ์ของจิตที่นำมาแสดงทั้งนี้ ย่อมประชุมลงในหทัยวัตถุ ตัว มโนวิญญาณ เป็นผู้รู้ในขณะที่ เพ่งหทัยวัตถุ อยู่นั้น เรียกว่าถือเอา บัญญัติ เป็นอารมณ์เป็น รูปาวจรจิต แต่รูปาวจรจิต จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัย จิตหยุดคิด ในอารมณ์ภายนอกก่อน คิดในอดีต อนาคต ทั้งในปัจจุบันก็ดีเป็นกามาวจรจิต
ส่วนในรูปาวจรจิตไม่มีความคิด มีแต่ความเพ่งอยู่ในจุดอันเดียว ฌาน แปลว่าความเพ่งเผากิเลส คือ ตัวกามตัณหา เมื่อตัณหาอยากในสิ่งไร ก็คิดไปในสิ่งนั้น เมื่อเป็นดังนี้ผู้บำเพ็ญจึงควรรู้จุดประสงค์ในการกระทำ จุดประสงค์คือให้วางความคิด วางความคิดได้หรือไม่ได้ ถ้าวางไม่ได้ก็แปลว่า ไม่สำเร็จ ประโยชน์ในการกระทำ คือ ไม่เห็นผลดังคนหาทรัพย์ภายนอก ไม่รู้จักทางหาทรัพย์ จึงไม่รวยทรัพย์กับเขาสักที
ผู้ที่หาทรัพย์ภายในก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่ฉลาดก็ไม่ได้ทรัพย์ภายในเช่นกัน เหตุนั้นจึงได้มีฐานที่ 2 เป็นเครื่องพิสูจน์ |
|
|
|
  |
 |
aratana
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 02 พ.ย. 2006
ตอบ: 90
ที่อยู่ (จังหวัด): ร้อยเอ็ด
|
ตอบเมื่อ:
28 พ.ย.2006, 8:38 pm |
  |
คำอธิบายในฐานที่ 2
ให้วางคิดคิด
ให้รู้จักจุดประสงค์การกระทำ คือ ให้วางความคิด ไม่ให้คิดไปในอารมณ์ภายนอก ให้เพ่งอยู่ในจุดอันเดียว ให้ รวม เห็น จำ คิด รู้ 4 อย่างนี้ลงในจุดอันเดียวกัน ไม่ให้พรากจากกันให้อาศัยปัญญา เป็นนายสารถี ให้เอาสติ เป็นเชือกผูก ผูกจิตไว้ที่ดวงหทัยวัตถุ ให้เอาสัมปชัญญะความรู้ตัวเป็นรั้วกั้น ให้เอาวิริยะ ความเพียรเป็นปฏักทิ่มแทงจิตไม่ให้กระดิกตัวไปได้
การฝึกจิตไม่ใช่เป็นของง่าย บางพวกยังหาลูกประคำมานับให้ได้จำนวนเท่านั้นเท่านี้ เมื่อหยุดการนับจิตก็คิดอีก ทั้งนี้เป็นเพราะอะไร เป็นเพราะความเคยชินของจิต จิตไม่ได้รับการฝึกเพียงพอฝึกแต่เพียงชั่วครั้งชั่วคราว จิตจึง หยุดคิดไม่ได้ จึตของผู้ฝึกใหม่เปรียบเหมือนช้างที่เขาจับมาได้จากป่า มาฝึกให้เป็นช้างพาหนะ ไม่ใช่เป็นของง่าย เขาย่อมผูกไว้ที่เสาตลุง ไม่ให้กินอาหารให้มันอ่อนกำลัง เวลาจะฝึกเขาต้องอาศัยขอ อาศัยช้างบ้านเป็นผู้หัดเมื่อช้างหนีไปไม่พ้นก็ยอมให้ฝึก เมื่อฝึกชำนาญแล้วย่อมใช้ทำการทำงานได้ ให้สำเร็จประโยชน์จะปล่อยทิ้งไว้ที่ไหนก็อยู่
การฝึกจิตให้ตั้งอยู่ในสมาธิ
ฉันใดจิตของคนเรา ถ้าฝึกให้ดี แล้วจะนำความสุข มาให้คือ เราจะห้ามไม่ให้คิดก็ไม่คิด หรือเราจะใช้ให้คิดก็ได้จะห้ามไม่ให้รักไม่ให้ชัง ไม่ให้โกรธไม่ให้หลง ได้ทั้งสิ้น ส่วนผู้ที่ไม่ได้ฝึกจิตแล้วย่อม ห้ามไม่อยู่ บางคนโกรธขึ้นมาไม่ได้ด่าว่า ไม่ได้ทุบตี ไม่ได้แก้แค้นแล้วไม่หายโกรธ ทั้งนี้เป็นเพราะอะไร เป็นเพราะใจไม่มีเรือนอยู่ เป็นเพราะไม่มีเครื่องห้าม เมื่อผู้ฝึกจิตมีเครื่องห้าม คืออาศัยธรรม 4 อย่าง ดังกล่าวแล้ว ( ปัญญา สิต สัมปชัญญะวิริยะ)จิตก็จะอยู่คงที่คือ
นอนลงอยู่กับ หลัก สมถะ
จิต ท่านเปรียบเหมือนดัง ลูกโค
อารมณ์ภายนอก เปรียบดัง แม่โค
ปัญญา เหมือนนาย สารถี
สติ เหมือน เชือกผูก ลูกโค
สัมปชัญญะ เหมือน รั้วกั้น ลูกโค
วิริยะ เหมือน ปฏัก
ถ้าเชือกขาดโคย่อมวิ่งหนี ถ้ารั้วไม่หักปฏักยังมี โคยังไปไม่ได้ ถ้าเชือกก็ขาดรั้วก็หักปฏักหมุน โคย่อมวิ่งหนีไปหาแม่ ถ้าปัญญาดี สติตั้งมั่น รั้วไม่หัก ประตูก็ยังมี โคก็ลง
นอนกับหลัก
ถ้าโคคือจิตยังไม่หยุดคิด จะทำอย่างไรอีก ถ้าเขาชอบคิดลองปล่อยให้คิดดู แต่ตัวเราให้เพ่งหทัยวัตถุ อยู่อย่างเดียวเท่านั้น ถ้าเราจะให้คิดจริง ๆ มันก็ไม่คิดดอก ถ้าเรามีสติมั่นอยู่เอง ถ้าเขาชอบคิดจริง ๆ ให้คิดกำหนดอาการ 32 ให้เป็นอนุโลมปฏิโลมกลับไปกลับมาถ้าคิดอย่างนี้มีประโยชน์มาก |
|
|
|
  |
 |
aratana
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 02 พ.ย. 2006
ตอบ: 90
ที่อยู่ (จังหวัด): ร้อยเอ็ด
|
ตอบเมื่อ:
29 พ.ย.2006, 7:30 pm |
  |
เมื่อไม่สำเร็จจึงต้องเข้ามาต่อสู่เอง กระทำอิทธิฤทธิ์ บันดาลให้ฝนตกเป็น
หอกดาบ เป็นก้อนกรวดก้อนหิน เป็นฝนเถ้าลึง ( ขี้เถ้าขี้ฝุ่นร้อน ๆ ) ให้ตกลงมาแต่บนอากาศ สู้ บารมี ของ พระองค์ไม่ได้ มารจึงปราชัยตัวของเราที่สู้มารไม่ได้ก็เพราะ บารมี ของเราไม่แก่กล้า เมื่อประกอบ ศีล สมาธิ
ปัญญา เข้าแล้วจึงเกิดความหนักอกหนักใจ อยู่ไม่ได้ จึงต้องลาศีล สมาธิ ปัญญา ส่วนพระองค์ที่มีชัย ชนะมาร พระองค์ตั้งพระทัยไว้ใน จตุรงคประธานทั้ง 4 คือ เลือด เนื้อ เอ็น กระดูก จะแตกทำลายก็ยอมให้แตก ถ้า คุณความดี อันหนึ่งอันใด ซึ่งบุรุษผู้มีกำลังจะได้ด้วย ความเพียร คุณความดี อันนั้นยังไม่เกิด จะไม่ลุกขึ้น
พระองค์ทรงกำจัดมารได้แต่เวลาพลบค่ำ พระองค์จะได้ตรัสรู้ก็เจริญ อานา
ปานสติกรรมฐาน นี้เอง คือพระองค์ใช้วิตกตรึกนึกในลมหายใจเข้าออก สั้นก็ให้รู้ว่าสั้น ยาวก็ให้รู้ว่า ยาว วิตก ตรึกนึกในลม วิจารไตร่ตรองในลม เมื่อ จิตหยุด คิดในอดีตอนาคต วางอารมณ์สัญญาภายนอก อันเป็น บ่วงของมาร ใจเพ่ง อยู่ในจุดอันเดียว จึงเกิด ปีติ ความอิ่มกาย อิ่มใจ สุข ความสุขกายสุขใจ เอกัคคตา จิตเป็นหนึ่ง ประกอบด้วยองค์ 5 ถึง จิตวิเวก สงบจากนิวรณ์ เป็นปฐมฌาน
แต่ปฐมฌานยังมีการตรึกหรือมีการเพ่ง การตรึกการเพ่งก็หมายความว่า รักษา
จิตไว้ให้ตั้งอยู่ในองค์ฌาน การรักษาจิตไว้ยังต้องลำบากอยู่ เปรียบเหมือนสัตว์พาหนะถ้ายังมี เชือกล่ามอยู่ การเลี้ยงดูก็ลำบาก จึงต้องฝึกให้ชำนาญ ให้ คุ้นเคย เมื่อ สัตว์ พาหนะคุ้นเคย วางเชือกได้แล้วสบาย
วสีความชำนาญในการเข้าฌาน
จิตเมื่อคุ้นเคยในอารมณ์ จะให้ออกจากอารมณ์เวลาไหนก็ได้ จึงให้ฝึก ให้ชำนาญ
ใน วสี 5 ประการ คือ
ชำนาญ ในการพิจารณาเมื่อจะเข้าถาม 1
ชำนาญ ในการเข้าสู่ฌาน 1
ชำนาญ ที่จะตั้งจิตไว้ในองค์ฌาน 1
ชำนาญ ในการออกจากฌาน 1
ชำนาญ พิจารณาเมื่อจะออกจากองค์ฌาน 1
ครั้นทำ ปฐมฌานให้ชำนาญแล้ว จึงละเสียซึ่ง องค์ฌานอันหยาบ คือ วิตกวิจาร อาศัย ความชำนาญ ในการตั้งจิตไว้มั่น นั่งเอง จึงวางจิตกวิจารได้ คือไม่ต้องเพ่งต้องตรึกถ้าเราวางเพ่งวางตรึก จิตวิ่งหนีออกจากองค์ฌาน พึงเข้าใจว่าเรายังไม่ชำนาญ สำหรับผู้ที่ชำนาญแล้วไม่ต้องลำบากในการเข้า รู้ว่า จิต ที่เป็น อดีต
อานาคต ปัจจุบัน ที่วิ่งออกไปตามอารมณ์สัญญาภายนอก เป็น กามาวจรจิต
เครื่องหมายในทุติยฌาน
เมื่อจะเข้าสู้ฌานอาศัยความชำนาญจึงต้อง หยุดคิด วางอารมณ์สามกาล ดูหทัยวัตถุให้วางเปล่า ไม่ให้มีความคิดเข้า ถึง ทุติยฌาน เลยที่เดียวก็ได้ เมื่อหทัยวัตถุว่างเปล่าไม่ตรึกไม่คิดมีแต่ตัว ปัจจเวกขณะญาณ กำหนดรู้อยู่ เมื่อไม่คิดไม่นึก วจีสังขารคับ นี้เป็นเครื่องหมายของทุติยฌาน เหลือแต่ปีติสุข เอกัคคตา เมื่อจิตวางวิตกไว้ เปรียบเหมือนสัตว์พาหนะวางเชือกได้สบาย |
|
|
|
  |
 |
หวังดี
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
01 ธ.ค.2006, 10:28 am |
  |
ภพภูมิ คืออะไร อยู่ที่ไหน นรกอยู่ที่ไหน สวรรค์หน้าตาเป็นอย่างไร เกิดเป็นพรหม เป็นเทวดา เป็นสัตว์นรก หรือเปรต ถามว่า สิ่งเหล่านี้คืออะไร สิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสรู้คือ
ทุกข์ สมุทัย นิโรจ และมรรค เพียงแค่นี้ คิดไว้เสมอว่า กิเลสซึ่งประกอบไปด้วย ตัฒหา ราคะ ความโลภ ความหลง ความรัก ความโกรธ ลฯล สิ่งเหล่านี้คือกิเลส ที่เป็นต้นกำเนิดกรรม กรรมคือการกระทำที่ทั้งดี และไม่ดี เจตนา หรือไม่เจตนาก็ดี ทั้งตั้งใจ หรือไม่ต้องใจก็ดี ทั้งหนัก หรือว่าเบาก็ดี ทั้งมาก หรือว่าน้อยก็ดี ทั้งทางตรง หรือทางอ้อมก็ดี สิ่งเหล่านี้คือกรรม ที่เป็นต้นกำเนิดแห่งชีวิต สรรพสิ่งทุกอย่างในโลกที่เกิดมามีชีวิตบนโลกใบนี้ ล้วนแล้วแต่มีกรรมเป็นตัวกำหนด จะสุขล้นฟ้า หรือจะทุกข์เวทนาแสนสาหัส สิ่งเหล่านี้ล้วนมาจากกรรม ด้วยเหตุนี้เอง ทุกข์ จึงเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตทุกชีวิตนั้นเองแบบหลีกหนี้ไม่พ้น นี้คือวัฏจักรแห่งสัจธรรมของพระพุทธองค์ พิจารณาเพียงแค่นี้ ไม่ต้องไปสนใจว่า ภพภูมิไหนๆทั้งสิ้น สุดท้าย ทุกอย่างก็ไม่ยังยืนสักอย่าง แต่สัจธรรมของพระพุทธองต์นี้แหละ คือสัจธรรมแห่งโลกนิรันดร์ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา
ผู้หวังดี ไม่มีเจตตนที่จะลบหลู่ความคิดของใคร ถ้าทำให้ผู้อื่นเป็นทุกข์ในข้อความข้างต้นนี้ ขออภัย และอโหสิกรรมแก่กันนะ |
|
|
|
|
 |
aratana
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 02 พ.ย. 2006
ตอบ: 90
ที่อยู่ (จังหวัด): ร้อยเอ็ด
|
ตอบเมื่อ:
02 ธ.ค.2006, 10:41 pm |
  |
เครื่องหมายในจตุตถฌาน
ละปีติเสีย เหลือแต่ สุข กับ เอกัคคตา เป็น ตติยฌาน
ละสุข เหลือแต่ อุเบกขา กับ เอกัคคตา เป็นจตุตถฌาน
ฌานทั้ง 4 มีอารมณ์ ละเอียดกว่ากันเป็นชั้น ๆ เมื่อได้จตุตถฌานเป็นที่ตั้ง ลมดับละเอียดจนมองไม่เห็น เมื่อลมดับกายสังขารก็ดับ นี้เป็นเครื่องหมายแห่งจตุตถฌาน เมื่อได้จตุตถฌานเป็นที่ตั้ง ย่อมให้สำเร็จวิชาใด้หลายทาง เช่น ผู้ได้วิชา 3 และ อภิญญา 6 หรือ โลกุตตรวิชาก็เป็นของเกิดได้ง่าย แต่โลกุตตรภูมิจะงดไว้ก่อน
นิมิตเกิดในสมาธิ
จะกล่าวถึง นิมิต อันเกิดขึ้นในขณะ ก่อนฌาน จะเกิด มักจะมีนิมิตเข้ามาให้เห็นในมโนทวาร นิมิตจะเกิดขึ้นอาศัยจิตลงสู่ภวังค์ คือในขณะที่ทำสมาธิอยู่ เผลอสติจิตเคลิ้มไปทวารสมมุติหยุดรับรู้อารมณ์ เกิดทวารวิมุติให้เห็นภาพต่าง ๆ มาปรากฏ ผู้ทีมีอารมณ์สัญญาเคยได้เห็นได้ยินได้ทราบ ได้รู้อะไรไว้ ก็มักจะเห็นนิมิตนั้น เช่น คนทำไร่ทำสวน ก็เห็นไร่ เห็นสวน
คนค้าขายก็เห็นสิ่งที่ตนค้าขาย ผู้ที่เคยทำบาปก็เห็นสิ่งที่เป็นบาป ผู้ที่เคยทำบุญก็เห็นสิ่งที่เป็นบุญ เช่นคนที่เคยทำโป๊ะทำอวนฆ่าเป็ด ฆ่าไก่ ฆ่าสุกร ฆ่าโค ขายเลี้ยงชีวิต เมื่อมาทำสมาธิมักจะเห็นสิ่งที่ตนทำ ถ้าเห็นปูเห็นปลา เห็นเป็ดเห็นไก่ เห็นสุกร เห็นโคนี้แลเป็นคตินิมิต ฝ่ายอกุศล ถ้าจิตดับลงในขณะนั้นต้องไปทุคติ
ส่วนผู้ที่เคยทำบุญเห็นพระเห็นเณร เห็นโบสถ์วิหาร เห็นปราสาทเงินปราสาททอง ถ้าดับจิตลงในขณะนั้นไปสู่สุคติ ในอสัญญกรรมเวลาจวนเจียนจะตายก็เป็นดังนี้ไม่มีต่างกันเลย คือ ตัวทวารสมมุติกับทวารวิมุติ เป็นของต่อเนื่องถึงกัน เมื่อทวารสมมุติรับมาอย่างไร ตัวทวารวิมุติก็รับเอาอย่างนั้น
พึงเห็นดังองคุลีมารโจร เคยฆ่าคนถึง 999 คน มาบวชบำเพ็ญสมาธิเห็นแต่คนที่ตนฆ่า ถือ ศาสตราวุธ เข้ามาจะทิ่มแทง หลับตาลงเวลาไหนก็เห็นเวลานั้น พระพุทธองค์ทรงทราบ จึงได้ตรัสสอนไม่ให้นึกถึงอดีต อารมณ์ที่ล่วงแล้วห้ามไม่ให้คิด ให้ทำจิตให้เป็นดวงเดียว เหมือนนายพรวนจะยิงปืนย่อมหลับตาข้างหนึ่ง เมื่อพระองค์คุลีมาร ทำจิตให้แน่วแน่ในองค์อริยมรรค ไม่นึกถึงกาลเก่า จิตก็หลุดพ้น สำเร็วมรรคผล
มารโดยธรรมมาธิษฐาน |
|
|
|
  |
 |
aratana
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 02 พ.ย. 2006
ตอบ: 90
ที่อยู่ (จังหวัด): ร้อยเอ็ด
|
ตอบเมื่อ:
02 ธ.ค.2006, 10:42 pm |
  |
จิตที่เห็นภาพต่าง ๆ ดังที่กล่าวมาแล้วนั้น เป็น กามาวจรนิมิต เป็นได้ทั้ง สุคติ และทุคติ จิตตอนนี้ยังไม่เข้าถึงองค์ฌานเป็นส่วนพหุลกรรม และอสัญญกรรม นี้แหละท่านเรียกว่า มาร มารมี 5
กิเลสมาร ได้แก่ ราคะโทสะโมหะ 1
อภิสังขารมาร ได้แก่ความนึกคิด ปรุงแต่ทางใจ หยุด คิดไม่ได้ 1
เทวบุตตมาร ได้แก่ภาพต่าง ๆ ที่มาปรากฏให้เห็นในมโนทวาร 1
ขันธมาร ได้แก่ขันธ์ของเรา มีอาการเจ็บปวดร้อน รน เกิดทุกขเวทนามี
ประการต่าง ๆให้ห่างจากการทำความเพียร 1
มัจจุมาร คือความตาย เมื่อคุณความดี คือมรรคผล นิพพาน จวนจะเกิดขึ้น
แก่เรา ความตาย มาตัดไป 1
ที่ว่ามารมาอาราธนาให้พระองค์สู่นิพพาน ก็ไม่ใช่อื่น ไกล คือ ขันธมารมัจจุมารนี้เอง นิมิตที่กล่าวมานี้เกิดขึ้นในระหว่างอุปจารสมาธิ คือจิต เฉียด เข้าถึงองค์ ฌาน บางคนก็มีบางคนก็ไม่มี คนที่มี นิมิต เพราะสติเผลอ และเป็นผู้มีการงานมาก ผู้ที่ไม่มีนิมิตเพราะไม่เผลอสติ และเป็นผู้ไม่มีการงาน อีกนัยหนึ่งผู้ทำสมาธิแบ่งออกเป็น 3 พวก คือ
พวกที่ 1 ทำสมาธิเพียงเล็กน้อย เพียงกึ่งหรือชั่วโมงหนึ่งแล้วก็นอนเสีย พวกนี้ยัง
ไม่ถึงนิมิต
พวกที่ 2 ทำสมาธิถึงชั่วโมง หรือ 2 3 ชั่วโมง จนง่วง นอน เวลาง่วงนอนนี้
แหละ จิตหยุดรับรู้ทางทวารสมมุติ ลง สู่ ภวังค์ เกิดนิมิต นิมิตเหล่านี้
เป็นตัว ชาติ ตัวภพ ไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น ให้ปล่อยวาง
พวกที่ 3 ทำสมาธิน้อยหรือมากก็ตามเป็นผู้มี สติไม่เผลอและหนักไปทางวิปัสสนา
จิตลงภวังค์ ไม่ได้ นิมิตไม่เกิด
นิมิตที่กล่าวมานี้ พูดเฉพาะนิมิตที่เป็น กามาวจร เท่านั้น นิมิตเหล่านี้เกิดจาก สัญญาอารมณ์ เราไม่ได้เพ่งให้มันเกิด มันเกิดเอง ส่วนนิมิตที่เป็นรูปาวจร และอรูปาวจร นั้น เกิดจากการเพ่ง เช่น เพ่งดินเห็นดิน เพ่งน้ำเห็นน้ำ เพ่งไฟเห็นไฟ อาศัยอัปปนาสมาธิจิตตั้งมั่น หลับตาลงแลเห็นติดตา เรียกว่า อุคคหนิมิต เมื่อเสพนิมิตที่แลเห็น ติดตาให้มากเข้าเกิดผ่องใสดังแก้วมณี จะนึกให้เล็กก็เล็ก จะนึกให้ใหญ่ก็ใหญ่ นี้เรียกว่าปฏิภาคนิมิต เป็นครุกรรม ให้ผลก่อนกรรมอื่นทั้งสิ้น อุคคหนิมิตที่ยืนที่ไม่ใช่เผลอสติ ปฏิภาคนิมิตย่อมได้ในกรรมฐาน 22 คือ กสิน 10 อสุภ 10 กายคตานุสติ1อานาปานสติ 1
อนึ่ง จิต 35 คือ รูปาวจรจิต 15 อรูปาวจรจิต 12 โลกุตตรจิต 8 เกิดในมโนทวารอย่างเดียว |
|
|
|
  |
 |
aratana
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 02 พ.ย. 2006
ตอบ: 90
ที่อยู่ (จังหวัด): ร้อยเอ็ด
|
ตอบเมื่อ:
02 ธ.ค.2006, 10:49 pm |
  |
[u]บทแทรก...เพื่อความเข้าใจ ผู้อ่านบางท่าน[/u]
อันทุกข์ นั้น เห็นละเอียด ทิ้งละเอียด เห็นหยาบ ทิ้งหยาบ
เห็นทุกข์ ก็เห็นสมุทัย เห็นสมุทัย เพราะมีมรรค จึ่งเป็นนิโรธ
ธรรมมะบรรยายนี้ เกิดแต่การปฏิบัติทางจิต ล้วนๆ ที่ละเอียด มากน้อยตาม ขั้น ภูมิ ภพ ของจิต
จึงพรรณามาอย่างพิศดาร ผิดหูกราบขออภัย ผิดใจโปรดอโหสิกรรม
ที่สุด ย่อม เข้าสู่
อริยสัจจ 4
และเลย ขึ้นไปอีกขั้นนั่นแล |
|
|
|
  |
 |
aratana
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 02 พ.ย. 2006
ตอบ: 90
ที่อยู่ (จังหวัด): ร้อยเอ็ด
|
ตอบเมื่อ:
02 ธ.ค.2006, 10:54 pm |
  |
อัปปนาชวนะวีถี
อารมณ์ในมโนวิญญาณวิถี ที่เป็นกามาวจรนั้นมีอยู่ 2 อย่าง คือ วิภูตารมณ์ 1 อวิภูตารมณ์ 1 ความว่า
เมื่อธรรมารมณ์มาปรากฏแก่มโนทวารแล้ว เป็นภวังค์จลนะภวังค์ไหวขณะ 1 มโนทวาราวัชนะ เกิดขึ้นขณะหนึ่งให้พิจารณา ( ตัดสินกำหนดว่า จะทำอะไร อย่างไร ) กับอารมณ์มโนทวารแล้วก็ดับไป ลำดับนั้นกามาวจรชวนะเกิดขึ้น ( เสพอารมณ์ที่พิจารณา ตัดสินกำหนด ) 7 ขณะแล้วก็ดับไป ตทาลัมพนะเกิดขึ้น 2 ขณะ ยึดหน่วง เอาอารมณ์ ตามชวนะแล้วก็ดับไป จิตก็ตกกระแสภวังค์ ธรรมารมณ์ได้ในวิถีจิตอย่างนี้ ชื่อ วิภูตารมณ์
ถ้าภวังค์ไหว กระแสภวังค์ขาดแล้ว นโนทวาราวัชชนะเกิดขึ้นขณะ 1 กามาวจรชนะเกิดขึ้น 7 ขณะ แล้วจิตก็ตกกระแสภวังค์ ตทาลัมพนะมาเกิดไม่ได้ ธรรมมารมณ์ได้ในวิถีจิตอย่างนี้ ชื่ออวิภูตารมณ์
ในอัปปนาชวนะวารนั้น ประเภทแห่งวิภูตารมณ์และอวิภูตารมณ์ ทั้ง 2 นี้ไม่มี ตทาลัมพณะไม่เกิดขึ้นขณะ 1 แล้ว ก็ดับไปลำดับนั้น กามาวจรชวนะ 4 ได้โอกาสแล้ว จิตใดจิตหนึ่งเกิดขึ้นให้สำเร็จเป็นชวนะ บางทีเกิดขึ้น 4 ขณะบ้าง บางทีเกิดขึ้น 3 ขณะ บ้าง ๆ ตามอภินิหาร แห่งบุคคล ที่เป็น ทันธาภิญญา และขิปปาภิญญา ฯ ถ้าผู้ปฏิบัตินั้นเป็นทันธาภิญญา ตรัสรู้ช้า ญาณสัมปยุตกามาวจรเกิด 4 ขณะ เป็น บริกรรม ขณะ 1 อุปจาระชวนะ ขณะ 1 อนุโลมชวนะ ขณะ 1 เป็น โคตรภูชวนะขณะ 1 ถ้าผู้นั้นเป็นขิปปาภิญญา ตรัสรู้เร็ว ญาณ สัมปยุตกามาวจรก็เกิด 3 ขณะ เป็น อุปจาระชวนะ ขณะ 1 ญาณสัมปยุตกามาวจรชวนะเกิดขึ้น 4 ขณะแล้วก็ดับไป
ลำดับนั้นมหัคคตาชวนะ และโลกูตตรชวนะ 26 นั้นชวนะอันหนึ่งอันใดหยังลงสู่ อัปปนาวิถี ขณะ 1 เบื้องหน้าแต่นั้นจิตก็ตกลง สู่ภวังค์ในที่สุดแห่งอัปปนา
ถ้าอัปปนาวิถี จะเป็น มรรควิถี
บริกรรมชวนะ ที่ 1 ก็ฆ่ากิเลสอย่างหยาบ
อุปจารชวนะ ที่ 2 ก็ฆ่ากิเลสอย่างกลาง
อนุโลมชวนะ ที่ 3 ก็ฆ่ากิเลสอย่างละเอียด
โคตรภูชวนะ ที่ 4 ก็ชี้ช่องให้เห็นพระนิพพาน
โคตรภูในโลกุตตรชวนะ แปลว่า จิตล่วงจากโลกิยจิตเข้าสู่โลกุตตรจิต หรือล่วงจากโคตรของ ปถุชน เข้าสูโคตรของอริยะชน เมื่อโคตรภูเกิดขึ้นในกาลใด ในการนั้นก็ออกจากสังขารนิมิต ได้เป็น อุปธิวิเวก สงัดจากขันธ์
ครั้นแล้ว มรรคจิต จึงเกิด จึงออกจาก ปวัตติ คือ ตัณหา ครั้นแล้วผลจิตก็เกิดขึ้น 2- 3 ขณะ ตามอภินิหารแห่งบุคคล ถ้าเป็นทันธาภิญญา ผลจิตเกิด 2 ขณะ
ถ้าเป็นขิปปาภิญญา ผลจิตเกิด 3 ขณะ จิตจึงตกลงสู่กระแสภวังค์ ฝ่ายมหัคคตอัปปนาชวนะ คือผู้จะได้ ญาณโลกีย์ต่างกันกับ มรรควิถี คือบริกรรมชวนะ อุปจารชวนะ อนุโลมชวนะไม่ฆ่ากิเลสได้ พอแต่ได้ญาณขณะจิต 1 แล้วก็เป็นภวังค์คุบาท จิตก็ตกภวังค์ ไม่ได้เจริญวิปัสสนาต่อ จึงเป็นโลกิยฌาน
ผู้ที่เป็นโลกิยฌานเป็นแต่ จิตวิเวกสงัดจากนิวรณ์โคตรภูจิตของโลกิยฌานล่วงแต่ กามาวจรจิต เช้าสู่ รูปาวจรจิต เป็นผู้ ติดอารมณ์ในปัจจุบัน ออกจากขันธ์ไม่ได้
ส่วนโลกุตตรอัปปนาชวนะนั้น เมื่อเข้าถึงฌานพิจารณาองค์ฌาน และธรรมอันสัมปยุตอยู่ด้วยองค์ฌาน คือปิติ สุข เอกัคคตา นั้น สันนิษฐานว่าเป็น ทุกขัง อนิจจา อนัตตา มรรคจึงฆ่ากิเลสให้ตาย เพราะพระไตรลักษณ์ทั้ง 3 นี้ เป็นเครื่องตัดกระแสของภพให้ขาด ด้วยอำนาจแห่งมรรคจิต มีความหมายต่างกันอย่างนี้ จับอัปปนาชวนะวิถี และรูปาวจรภูมิ |
|
|
|
  |
 |
|