ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
ผู้พบเห็น
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
09 ธ.ค.2005, 4:55 am |
  |
nawatta3
ทั้งหมดนี้ เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ผมบรรลุอรหัตผล หลังจากที่ผมป่วยแล้ว โดยใช้เวลาเพียงปีกว่า ๆ ครับ ขออภัยสำหรับคนที่มาไม่ทันตอนที่ผมเล่าเรื่องอาการป่วย
ข้างบนที่ยกมานี้เป็นคำประกาศของคุณ tanawatta3 ความเข้าใจว่าตนเองบรรลุอรหัตผลนี้คัดลอกมาจากห้อง แชท ของธรรมจักร ที่ได้มีการสนทนาเมื่อบ่ายของวันที่ 8 ธันวาที่ผ่านมา
สิ่งที่น่าพิจารณาในข้อคิดเห็นที่แสดงความคิดของท่านที่ผ่านมา คือเรื่องของทิฏฐิอันเป็นการยึดในความเห็นของตน หรือเรื่องตนเป็นใหญ่ อันเป็นเรื่องของสักกายทิฏฐินั้นเองหนึ่ง
เรื่องที่สองเป็นเรื่องของ "มานะ"อันมีอยู่ในสังโยชน์เช่นกัน ถือว่าตนเองมีความปฏิบัติเหนือบุคคลอื่น และถูกต้องกว่าบุคคลอื่น สองอย่างนี้เป็นสิ่งประกฏชัดในที่ต่างๆหลายแห่ง และสิ่งเหล่านี้เจ้าตัวนั้นจะต้องละเอง เห็นเอง ไม่มีบุคคลอื่นสามารถเข้าไปแก้ไขให้ได้เลย |
|
|
|
|
 |
tanawat30
บัวบาน

เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256
|
ตอบเมื่อ:
09 ธ.ค.2005, 8:04 am |
  |
ข้างบนที่ยกมานี้เป็นคำประกาศของคุณ tanawatta3 ความเข้าใจว่าตนเองบรรลุอรหัตผลนี้คัดลอกมาจากห้อง แชท ของธรรมจักร ที่ได้มีการสนทนาเมื่อบ่ายของวันที่ 8 ธันวาที่ผ่านมา ---- ความเข้าใจเป็นสิทธิของบุคคล ถึงผมจะเข้าใจอย่างไรก็คือตัวผม พุทธศาสนาไม่ได้บอกให้วิจารณ์คนอื่น แต่ให้วิจารณ์ตนเอง เพราะจะสำเร็จหรือล้มเหลว ขึ้นอยู่กับตน
สิ่งที่น่าพิจารณาในข้อคิดเห็นที่แสดงความคิดของท่านที่ผ่านมา คือเรื่องของทิฏฐิอันเป็นการยึดในความเห็นของตน หรือเรื่องตนเป็นใหญ่ อันเป็นเรื่องของสักกายทิฏฐินั้นเองหนึ่ง ---- พุทธศษสนา สอนเรื่องของเหตุและผลเป็นใหญ่ มิใช่ข้อคิดเห็นแต่อย่างไรไม่ ข้อคิดเห็นอาจจะไม่มีเหตุผลประกอบก็ได้ แต่เหตุผลสามารถนำไปพิสูจน์ชัดแจ้งและทำให้ผู้อื่นเห็นประจักษ์ดังที่ตนพูดได้
เรื่องที่สองเป็นเรื่องของ "มานะ"อันมีอยู่ในสังโยชน์เช่นกัน ถือว่าตนเองมีความปฏิบัติเหนือบุคคลอื่น และถูกต้องกว่าบุคคลอื่น สองอย่างนี้เป็นสิ่งประกฏชัดในที่ต่างๆหลายแห่ง และสิ่งเหล่านี้เจ้าตัวนั้นจะต้องละเอง เห็นเอง ไม่มีบุคคลอื่นสามารถเข้าไปแก้ไขให้ได้เลย --- การที่เราจะอธิบายในเรื่องใด ผู้อธิบายต้องปฏิบัติได้ตามนั้นจริง ถ้าจะอธิบายเรื่องของการบรรลุอรหัตผล ต้องเอาประสบการณ์ของตนมาเล่าให้ผู้อื่นฟัง มิใช่ไปลอกมาจากตำรา ถ้าจะอธิบายให้ผู้ได้รับความรู้เช่นนั้น ตนเองต้องปฏิบัติให้ได้ผลตามนั้นให้ได้เสียก่อน เมื่อจำเป็นต้องอธิบายเรื่องนั้นจึงจำเป็นต้องบอกว่าตนเป็นเช่นนั้นก่อนจึงจะอธิบายได้
ดังนั้นการที่ผมจะบอกว่าผมบรรลุอรหัตผลแล้ว ไม่ได้ต่างไปจากที่ผมบอกว่าผมเป็นปลัดกระทรวง ยังไม่ได้บอกในเรื่องว่าผมทำดีหรือไม่ดีอย่างไร ผมไม่เคยเอาผลงานที่ผมทำออกมาเผยแพร่ในอินเตอร์เน็ต มีแต่ญาติธรรมมบอกต่อ ๆ กันเอง จาก 10 เป็น 100 จาก 100 เป็น 1000 คน เท่านั้น สิ่งที่ผมบอกคือประสบการณ์ในการปฏิบัติ แล้วนำสิ่งนั้นมาแปลงเป็นทฤษฏีเท่านั้น
เจ้าของกระทู้ครับ ผมไม่กลัวคุณเอาธรรมมะเช่นนี้มาชูหรอกนะครับ ผมขอถามคุณเจ้าของกระทู้นิดนึง ธรรมมะที่คุณมีช่วยปลดทุกข์ให้คุณได้หรือไม่ อย่างไร พุทธศาสนาไม่ใช่มาเถียงกันเรื่องของข้อธรรม แต่เป็นแนวทางปฏิบัติที่ทำให้ตนพ้นทุกข์ เมื่อทำให้ตนพ้นทุกข์จึงต้องจัดการกับตน มิใช่เอาความคิดเห็นของผู้อื่นมาวิพากษ์วิจารณ์ ถ้าคุณเข้าใจหลักของพุทธศาสนาโดยแท้ คุณต้องสำรวจข้อบกพร่องของตัวคุณเอง เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลงตนความถือตัว ความพยาบาท ฯลฯ ในตัวของคุณเองยังมีอยู่หรือไม่ นี่คือปรัชญาโดยแท้ของพุทธศาสนา มิใช่อ่านมาก รู้มาก แล้วเอาสิ่งที่มีอยู่ในตำรามาวิพากษ์ วิจารณ์ผู้อื่น
สิ่งที่ผมจะบอกอีกอย่าง เจ้าของกระทู้ยกมา นั่นคือเรื่องความเจ็บป่วยของผม ซึ่งความเจ็บป่วยเป็นทุกข์ตัวหนึ่งใช่หรือไม่ ถ้าใช่ผมทำสิ่งนี้ให้หลุดไปจากตัวผม จึงทำให้ผมสามารถปลดทุกข์เรื่องความเจ็บป่วยของตัวผมได้ จึงสอดคล้องกับแนวทางในพุทธศาสนาทุกประการ นี่คือสิ่งที่ต้องพิจารณา |
|
|
|
    |
 |
tanawat30
บัวบาน

เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256
|
ตอบเมื่อ:
09 ธ.ค.2005, 8:14 am |
  |
เพิ่มเติมอีกนิด
สิ่งที่ผมตอบในห้องสนทนา ผมไม่ได้ไปตัดสินว่าใครผิดใครถูก ใครมีอะไร ไม่มีอะไร ผมบอกไปตามเหตุและผล บอกไปตามส่วนที่ควรจะเป็น ตามความเป็นจริงในยุคปัจจุบัน ถึงอย่างไรผู้ที่มีประสบการณ์ตรงจากการปฏิบัติ ย่อมได้เปรียบผู้นำทฤษฎีมาจากตำรา ถ้าผู้อ่านตำราเข้าใจแล้วนำไปสู่แนวทางที่ถูกต้องได้ ป่านนี้คนก็บรรลุอรหัตผลกันหมดแล้ว ทำไมถึงต้องมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นตั้ง 4 พระองค์แล้วล่ะ ทำไมไม่มีพระกกุสันโธพุทธเจ้า พระองค์เดียวก็พอ แต่การปฏิบัติที่ชอบด้วยเหตุผล สามารถเอาไปยันทับทฤษฎีเพื่อดูความสอดคล้องได้ สิ่งทำคัญพระพุทธองค์ท่านเน้นปฏิบัติมาก่อนทฤษฏี มีคำกล่าวไว้ชัดเจนว่า ผู้อ่านตำรามาก ผู้สาธยายมนต์มาก แต่ไม่ลงมือปฏิบัติ ถือว่าไม่มีธรรมเป็นเครื่องช่วยอยู่ในตน สิ่งนี้มีปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกด้วยเช่นกัน |
|
|
|
    |
 |
tanawat30
บัวบาน

เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256
|
ตอบเมื่อ:
09 ธ.ค.2005, 8:37 am |
  |
|
    |
 |
เขมิกา
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
09 ธ.ค.2005, 9:04 am |
  |
ยึดมั่นในพะออระหันสะจิงๆน่ะค่ะ มันดียังงัยหรอพะออระหันน่ะ ถึงอยากเป็นจัง |
|
|
|
|
 |
new
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532
|
ตอบเมื่อ:
09 ธ.ค.2005, 9:13 am |
  |
คุณ เขมิกา เข้าใจถามครับ เป็นคำถามสกัดดาวรุ่ง  |
|
|
|
  |
 |
tanawat30
บัวบาน

เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256
|
ตอบเมื่อ:
09 ธ.ค.2005, 9:28 am |
  |
ความเห็นที่ 4 ผู้เจริญ
อยากเป็นต้องปฏิบัติ ไม่มีอะไรที่ได้มาโดยง่าย ไปดูตาม link ที่ผมให้ไว้ครับส่วนการปฏิบัติทุกคนต้องยึดเป้าหมายสูงสุดของการปฏิบัติอยู่แล้ว เช่นการเรียน คงไม่มีใครเรียนจบปริญญาตรีแล้วอยากไปเป็น ผู้ใช้แรงงานก่อสร้าง หรือคนจบปริญญาเอก จบแล้วอยากไปเป็นพนักงานรถเก็บขยะ การปฏิบัติธรรม ก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน ดังนั้นเมื่อพูดถึงสิ่งใดก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องยึดติดสิ่งนั้น แต่ถ้าเราไม่พูดถึงลักษณะนามของสิ่ง ๆ นั้น เช่น ผมบอกว่า ขอช่วยคุณ new ไปหยิบสิ่งนั่นที่วางอยูติดกับสิ่งนี่หน่อย กับผมบอกว่าคุณ newq ช่วยไปหยิบตะกร้าที่วางอยู่ใกล้กับโต๊ะหน่อย คิดว่าอันไหนน่าจะรู้เรื่องกว่ากัน หรือถ้าผมบอกว่า ผมบรรลุสิ่งนั้นแล้ว กับผมบอกว่าผมบรรลุอรหัตผลแล้ว คุณว่าคุณจะฟังประโยคไหนของผมรู้เรื่องมากกว่ากัน
ความเห็นที่ 5 ผู้เจริญ
ไม่ได้สะกัดอะไรเลยครับ แต่ทำให้ผมเก่งขึ้นอีกต่างหาก คนเราทำอะไรด้วยเหตุและผลอยู่กับตัว ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้นครับ ถ้าเราผิดจริงก็ขอโทษเท่านั้นครับ ถ้าเราไม่ได้ทำอะไรผิดก็ชี้แจงครับ แล้วที่ผมเป็นอย่างทุกวันนี้ ก็เพราะมีคนเถียงผมเมื่อวาน หรือเมื่อปีที่แล้ว สองปีที่แล้ว สามปีที่แล้ว สี่ปีที่แล้ว มารวมกันเป็นประสบการณ์ในปีนี้ แต่ตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่าผมเก่งหรือเปล่า แต่ส่วนตัวขอเป็นคนโง่คนหนึ่งที่ทำอะไรทุกอย่างด้วยเหตุผลก็พอแล้วครับ ถ้าใครว่าผมโง่ ผมก็ยอมรับ เพราะผมยินดีที่จะโง่แล้วจะโง่ต่อไป |
|
|
|
    |
 |
new
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532
|
ตอบเมื่อ:
09 ธ.ค.2005, 9:51 am |
  |
เจอเข้าแบบนี้ไม่รู้จะพูดอย่างไงแล้วผม  |
|
|
|
  |
 |
บัวเบลอ
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 18 ต.ค. 2005
ตอบ: 86
|
ตอบเมื่อ:
09 ธ.ค.2005, 9:54 am |
  |
|
  |
 |
บัวเบลอ
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 18 ต.ค. 2005
ตอบ: 86
|
ตอบเมื่อ:
09 ธ.ค.2005, 10:12 am |
  |
โย พาดล มญฺญติ พาลยฺยํ
ปณฺฑิโต วาปิ เตน โส
พาโล จ ปณฺฑิตามานี
ส เว พาโลติ วุจฺจติ ฯ
คนโง่ รู้ตัวว่าโง่
ยังมีทางเป็นบัณฑิตได้บ้าง
แต่โง่แล้ว อวดฉลาด
นั่นแหละเรียกว่าคนโง่แท้
.........................................................................................
สวัสดียามเช้าทุกท่านค่ะ เช้ามาก็เล่นเนตกันทีเดียวเชียวหนา
เอาคำพูดของพระบรมครูซึ่งเป็น เป็นความจริงไม่มีกาลเวลา มาฝากค่ะ  |
|
|
|
  |
 |
วรากร
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
09 ธ.ค.2005, 10:14 am |
  |
กระทู้นี้ดีนะครับ คือ
หากผู้ที่ประกาศตนบรรลุอรหันต์จริง เขาผู้นั้นจะได้รับการปฏิบัติให้ถูกต้องเพราะเขาเป็นเนื้อนาบุญโลก เราควรกราบไหว้ ประกาศให้คนอื่นรู้ และควรจะให้ไปสอนให้ลูกศิษย์ พบทางนิพพานโดยไว้ เป็นมหากุศลอย่างยิ่ง เราก็จะได้เป็นไม่เป็นบาป ไปล่วงเกินอรหันต์
หากผู้ที่ประกาศตนบรรลุอรหันต์ไม่จริง เขาก็ได้จะได้รับผลกรรมของเขาเอง แต่ไม่ได้เกิดจากเรา เพราะตัวเขาเป็นคนกระทำเอง เหมือนอ้างตัวเป็นพระราชาทั้งๆเป็นปุถุชน คนอื่นก็จะบอกว่า บ้านี้ว่า ประมาณนี้
สำหรับผม หากผู้ที่ประกาศตนบรรลุอรหันต์จริง หรือไม่จริงนั้น ก็ไม่ทำให้ผมบรรลุธรรมใดที่ท่านได้บรรลุ ผลก็ยังคงหาทางของผมต่อไป เพราะบุญกุศล บารมีผมยังไม่พอที่จะนิพพาน
แต่หากใครต้องการทราบว่าผมจะเดินทางไปพบนิพพานอย่างไรนั้น ก็ถามกันได้
|
|
|
|
|
 |
ตุ๋ย
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
09 ธ.ค.2005, 10:19 am |
  |
ถามเลยนะครับ ไปนิพพานได้งัยครับ และนิพพานที่ว่าน่ะเปนนิพพานของใคร
|
|
|
|
|
 |
tanawat30
บัวบาน

เข้าร่วม: 15 พ.ย. 2005
ตอบ: 256
|
ตอบเมื่อ:
09 ธ.ค.2005, 10:38 am |
  |
ความเห็นที่ 7 ผู้เจริญ คำตอบของคุณนั้น คือข้อดีของการใช้หลักการและเหตุผล ถ้าเราคิดจะเอาชนะเหตุผลของผู้อื่น เราต้องมีเหตุผลที่เหนือกว่าผู้อื่น ถ้าไม่มีก็จะเป็นเช่นนี้
ความเห็นที่ 9 ผู้เจริญ เมื่อเหตุดี ผลที่ได้ย่อมดี ฉลาดหรือโง่ขึ้นอยู่กับผลที่ผู้ปฏิบัติแต่ละคนที่ได้รับว่าดีหรือไม่ ซึ่งทุกคนรวมทั้งตัวผม ย่อมต้องรู้อยู่แก่ใจว่าในระยะ 6 ปีที่ผ่านมามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง
ความเห็นที่ 10 เป็นความเห็นที่ถูกต้อง ทุกคนก็หาทางกันไปด้วยกันหมด คำพิสูจน์มีอยู่ว่า ถ้าผมเป็นของผมจริง ๆ แล้วคนที่ให้ร้ายผมจริง จะมีคนรับกรรมหรือไม่ คำตอบคือมีอยู่แล้วจริง ๆ ด้วยเหตุที่มีคนเอาผมไปนินทาทั่วเมือง จนถูกคนร้ายยิงตาย แล้วจนบัดนี้ผ่านไป 4 ปียังหาตัวคนร้ายไม่ได้ เพราะคนที่ว่าเป็นคนดีไม่เคยมีศตรูกับใคร มีแต่เอาเรื่องของผมไปนินทาให้ร้ายตลอดเวลา กรรมนั้นจึงส่งผลแก่ผู้นั้น เป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณะชน
ดังนั้น ความเห็นที่ 10 อย่ามองในด้านเดียว ต้องมองทั้ง 2 ด้าน จึงจะได้เหตุผลที่ถูกต้อง |
|
|
|
    |
 |
วรากร
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
09 ธ.ค.2005, 10:48 am |
  |
|
|
 |
เฟ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
09 ธ.ค.2005, 11:47 am |
  |
วุนวายจริงหนอโลก
เราว่า คนที่สำเร็จอรหันต์ ได้ก็ด้วยธรรมที่ประกาศแล้วของพระพุทธเจ้า
ฉะนั้น คนที่ประกาศธรรมโดยการคิดเองน่ะ ไม่ใช่แน่ๆๆๆๆๆๆ  |
|
|
|
|
 |
สิจัง
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
09 ธ.ค.2005, 3:09 pm |
  |
พระอรหันต์ที่ยังมีกิจต้องทำอยู่ ไม่จบกิจก็ต้องเหนื่อยหน่อยครับ เพราะต้องตอบโต้ผู้ที่แสดงความเห็นไม่ตรงกับตน เหนื่อยหน่อยนะครับพระอรหันต์ |
|
|
|
|
 |
ตุ๋ย
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
09 ธ.ค.2005, 8:05 pm |
  |
นิพพานมีทั้งของมหายานเถรวาท นอกจากนั้นยังมีนิพพานของพวกนิครนถ์อีก |
|
|
|
|
 |
บัวเบลอ
บัวพ้นดิน

เข้าร่วม: 18 ต.ค. 2005
ตอบ: 86
|
ตอบเมื่อ:
09 ธ.ค.2005, 8:27 pm |
  |
สงสัยยังอยู่สวนลุม อีกกะเดี๋ยวก็กลับมาสวนรุมน่า คิดถึงเร๋อ สิจัง  |
|
|
|
  |
 |
new
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532
|
ตอบเมื่อ:
09 ธ.ค.2005, 9:22 pm |
  |
ความเห็นที่ 7 ผู้เจริญ คำตอบของคุณนั้น คือข้อดีของการใช้หลักการและเหตุผล ถ้าเราคิดจะเอาชนะเหตุผลของผู้อื่น เราต้องมีเหตุผลที่เหนือกว่าผู้อื่น ถ้าไม่มีก็จะเป็นเช่นนี้
ครับ ท่านธะนะวัติ ผมไม่มีเหตุผลผมเลยต้องอึ้งกิ้มกี่เลยยยย ท่านเล่นซะผมอึ้งเลย ไม่รู้จะหาวิธีแก้ไข อาการนี้อย่างไงเลย เหตุผลของท่านเยอะเหลือเกิน  |
|
|
|
  |
 |
โก๋อ่อน
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
09 ธ.ค.2005, 9:46 pm |
  |
เป็นพระอรหันต์แล้ว ยังอยากกินข้าวมื้อเย็น ยากกินอะไรก็ซื้อกินได้ ไม่ขาดของอร่อย ใส่เสื้อผ้า หวีผม ส่องกระจกดูตนเองแล้วพอใจอย่างชาวโลก โกไม่หยอกเลย
แถมนอนบนฟูกอีก ดูทีวี ดูละคร ได้อีก เล่นคอมพ์อีก เดินช้อปในห้างก็ได้ แถมพกเงินใช้เงิน หาเงินทำงานอีก อรหันต์ก็ยังทำงาน ชีวิตเหมือนชาวบ้าน เป็นอรหันต์แบบนี้ได้ประโยชน์อะไร
อย่าบอกว่ามีลูกเมียอีกนะ |
|
|
|
|
 |
|