Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 มนุษย์เราอยากไปสู่นิพพานจริงๆหรอครับ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
นายประแจ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 20 พ.ค.2005, 10:56 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อยากทราบความคิดเห็นของชาวธรรมจักรครับ
 
โมฆบุรุษ
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 17 ธ.ค. 2004
ตอบ: 38

ตอบตอบเมื่อ: 21 พ.ค.2005, 12:55 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เห็นทุกข์จริงๆและรู้สึกเบื่อหน่ายในการเวียนว่ายตายเกิดจริงๆ มานานกว่า ๑ อสงไขยกับแสนกัป

และมั่นใจว่าไม่อยากที่จะอยู่ต่อไปเพื่อรื้อยกขนสัตว์ให้ข้ามพ้นวัฏฏสงสาร

สุดท้าย ก็อยากไปนิพพานจริงๆแหละครับ



เห็นทุกข์ไม่ถึง ๑ อสงไขยกับแสนกัป อย่างไรก็ยังไม่ได้อยากไปจริงๆหรอกครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 21 พ.ค.2005, 7:33 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มนุษย์ทุกคนอยากไปสู่นิพพานจริงๆ ครับ เพียง ศัพท์ ที่ใช้เรียก นิพพาน อาจจะแตกต่างกัน แต่ความที่แท้จริงคือ มนุษย์ทุกคน อยากไปสู่สภาวะที่มีความสุขที่สุด ไม่มีความทุกข์อีกเลย เป็นสภาวะสูงสุดของชีวิต ทุกคนอยากเป็นอย่างนี้หมดครับ

Maslow นักจิตวิทยา ชื่อดัง เคยตั้งทฤษฎี ความต้องการของมนุษย์ไว้ว่า มนุษย์เรามีความต้องการเป็นขั้นๆ ดังนี้

1. ความต้องการปัจจัย 4 อาหาร ที่อยู่ เสื้อผ้า ยา เป็นความต้องการพื้นฐาน

2. ความต้องการความปลอดภัย พอมีปัจจัย 4 พร้อม ก็กลัวที่จะสูญเสียปัจจัย 4 หรือ กลัวที่จะเสียชีวิตไปจากสิ่งที่มี

3. ความต้องการการยอมรับ พอได้ 2 ขั้นแรก ที่นี่ก็ต้องการเพื่อนแล้ว ต้องการให้เพื่อนๆ ยอมรับตัวเข้าเป็นสมาชิก

4. ความต้องการการนับถือ พอมีเพื่อน อยู่ไปนาน ก็ต้องการให้เพื่อนๆ น้องๆ นับถือ ชื่นชมว่าตนเอง เก่งอย่างนั้น ดีอย่างนี้ ฯลฯ

5. ความต้องการความสำเร็จสูงสุดในชีวิต พอได้ทุกอย่างพร้อมแล้ว ตอนนี้ก็แสวงหา อะไรบางอย่างที่ขาดอยู่ในใจ ถ้าไม่รู้วิธีก็หาผิดที่ บางคนไปปีนเขาสูงๆ, ทำสถิติบินรอบโลก, หรือมาลองสมัครเป็นนายกรัฐมนตรี ฯลฯ นี่แหละครับ ในความเห็นของผม เรียกว่า เขากำลังพยายามหาความสุขสูงสุดในชีวิต หรือ หานิพพานนั่นเอง แต่เมื่อยังหาไม่ถูกที่ หามาได้แล้ว ก็กลายเป็นไม่ใช่ ต้องแสวงหาใหม่เรื่อยๆไป พิชิตภูเขาลูกนี้ได้แล้ว ต้องไปหาลูกใหม่ ฯลฯ

ดังนั้น การอยากไปพบ "นิพพาน" จึงอยู่ในใจทุกคนตลอดเวลาครับ เพียงแต่ใครจะได้ไปอย่างแท้จริงเท่านั้นเอง



 
ASAN
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 21 พ.ค.2005, 8:10 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ุถ้าเข้าใจคำว่านิพพานมากระดับหนึ่ง ก็อยากจะนิพพานนะ หนทางมีแต่กาลเวลาไม่มีปฏิบัติสุด ๆ เมื่อไร บวกกับบารมี ก็ถึงถ้าตั้งใจจริง
 
มารศาสนา
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 18 พ.ค. 2005
ตอบ: 18

ตอบตอบเมื่อ: 21 พ.ค.2005, 4:45 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คำว่านิพพาน นั้นสำคัญอย่างไร นิพพานคือความสุขชั่วกาลจริงหรือ นิพพานคืออะไรเราเข้าใจว่าคืออะไรกันแน่ ทำดีมามากมาย อยู่ในธรรมมายาวนานอาจไม่ถึงนิพพานเพราะชั่วขณะจิตที่คิดไปถึง...นิพพานนั้นเอง รักษาธรรมเพื่อธรรมหรือเพื่อนิพพาน นิพพานอาจอยู่ไกลแสนไกล หรืออยู่ที่ตัวเราอยู่ในทุกขณะจิต ติดดี ทำดี มีสติ มีสุขทุกเวลาไม่ต้องรอ นิพพาน





จากใจ มารศาสนา
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
นายประแจ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 22 พ.ค.2005, 12:20 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็น



ผมเข้าใจว่าถ้าคนเรายังรู้สึกว่ามีความสุข..ก็คงจะหนีไม่พ้นจากความทุกข์

ถ้าจิตเราเข้าถึงนิพพานจริง..ก็จะต้องไม่รู้สึกว่ามีความสุข และไม่รู้สึกว่ามีความทุกข์ด้วย นิพพานคือสภาวะกลางๆ ใช่หรือไม่

นิพพานคืออะไรกันแน่

สภาวะที่มีความสุขที่สุดใช่นิพพานหรือไม่

 
โมฆบุรุษ
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 17 ธ.ค. 2004
ตอบ: 38

ตอบตอบเมื่อ: 22 พ.ค.2005, 1:24 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมว่า อย่าเพิ่งไปสนใจแต่"ผล"อย่างเดียวเลยนะครับ



ไม่มีใครตอบได้ว่า นิพพานเป็นสุขอย่างไรได้ นอกจากพระอรหันต์นะครับ

(พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันตปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันตสาวก)



ลองเริ่มทำ"เหตุ"ให้ถึง"ผล"นั้นไม่ดีกว่าหรือครับ



เอาแค่รักษาศีล ๕ ให้ได้อย่างแท้จริงเสียก่อน

คุณก็จะเริ่มรู้สึกถึงสุขได้ส่วนหนึ่งแล้วครับ



พอกำลังใจในการทำความดีเพิ่มมากขึ้น

ก็ค่อยขยายขอบเขตของการปฏิบัติออกไป



นิพพานอยู่แค่เอื้อมครับ

แต่คนที่จะไปถึงนั้น ต้องมีกำลังใจในการทำความดีเต็มแล้วเท่านั้นครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 22 พ.ค.2005, 8:43 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

นิพพานัง ปะรัง สุขขัง

นิพพาน เป็นสุขอย่างยิ่ง ครับ



นิพพาน แปลว่า เย็น

เมื่อใจสงบเย็นก็เป็นสุขครับ เพียงแต่ ยังมีข้อแตกต่างกันระหว่าง สงบเย็นชั่วคราว กับสงบเย็นตลอดไป



ปัจจุบันนี้ คนจำนวนมากไม่เชื่อว่า จะมีสภาวะสงบเย็นตลอดไป (นั่นคือ ไม่มั่นใจในการตรัสรู้ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง) ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะสภาวะนี้ไม่ใช่เพียงการทำง่ายๆ เพียงแค่การอ่านหนังสือ แล้วไปสอบ สอบได้ไปเรื่อยๆ ก็จบปริญญาตรี,โท,เอก กัน แต่จะสามารถรับรู้และเข้าถึงได้ด้วยการปฏิบัติธรรมเท่านั้นครับ

 
Ae
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 26 เม.ย. 2005
ตอบ: 38

ตอบตอบเมื่อ: 24 พ.ค.2005, 12:39 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

" นิพพานคืออะไร นิพพานเป็นอย่างไร ทำยังไงจะถึงนิพพาน "

ล้วนเป็นคำถามที่มาจากชาวพุทธศาสนาทุกท่านที่ต้องการเข้าถึงความสุขที่แท้จริง แต่ใครจะรู้ว่า" ความอยาก" ที่จะเข้าถึงนิพพานนั้นจะเป็นตัวสกัดกั้นไม่ให้เข้าถึงนิพพาน

ขอแค่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ และละ " อัตตา " แค่นี่นิพพานก็อยู่ในโลกมนุษย์น้เองแหละ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
นายประแจ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 24 พ.ค.2005, 10:09 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อยากไปนิพพาน ก็ไปไม่ได้......แล้วถ้าไม่อยาก ไม่ยิ่งไปไม่ได้ใหญ่หรือ



นิพพานคืออะไร หมายความว่าอะไร สำคัญไหมที่จะต้องรู้ มีแต่คนบอกว่าวิเศษ เป็นความสุขสูงสุด เป็นความสุขอยางยิ่ง ในสภาวะเช่นนั้นเป็นอย่างไร

ดีอย่างไร จะดำรงชีวิตอย่างไร



ถ้าคนไทยทุกคนบรรลุนิพพาน ประเทศไทยจะเป็นอย่างไรหนอ

 
ควาญช้าง
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 25 พ.ค.2005, 12:36 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตาบอดคลำช้าง ใครคลำถูกอวัยวะส่วนใดของช้างก็อธิบายว่า ช้างเป็นอย่างนั้น..... ทำให้ถูก ทำให้ถึง .....แล้วจะเห็นเองว่า ช้างตัวจริงเป็นอย่างไร....สอนตนเอง อิ อิ
 
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 25 พ.ค.2005, 12:30 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เล่าสู่กันฟังกับคุณ "นายประแจ" ในความคิดเห็นที่ 9 นะครับ คือ พอดีผมรู้อะไรมา ก็อยากนำมาเล่าสู่กันฟังน่ะครับ ตรงที่คุณถามว่า ถ้าคนบรรลุนิพพานกันหมดประเทศไทยจะเป็นอย่างไร พอดีมีข้อมูลที่เคยอ่านๆ มาในพระไตรปิฎก (ฉบับแปล และขยายความ) นะครับ



ว่า ยังไม่ต้องถึงกับนิพพานหรอก แค่ถ้าทุกคนในโลกมีศีล 5 จะเกิดสิ่งมหัศจรรย์มากมายเลยครับ แต่เนื่องจากสภาพแบบนั้น ไกลเกินกว่าประสบการณ์ในปัจจุบันของเราๆ ท่านๆ กันอย่างมาก จนอาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องเพ้อฝัน แต่ก็รับรู้ข้อมูลไว้ก่อนแล้วกันนะครับ



ในยุคที่คนทั้งโลกจะมีศีล 5 ได้ จะต้องเป็นยุคที่ผู้มีบุญลงมาเกิดกันมากๆ (ลองสังเกตุดูสมัยนี้ บางคนเกิดมา ก็มีพร้อมทุกอย่าง ที่ผมเคยได้ยินก็มีเด็กบางคนเคยถามแม่ว่า "หิวมันเป็นยังไงหรือแม่" นั่นคือ แม่ให้กินจนไม่รู้จักความหิวเลย เป็นต้น) ในยุคนั้น อากาศจะดี ฤดูจะมีฤดูเดียวคือ ฤดูสบาย อายุมนุษย์ มลภาวะต่างๆ ไม่มี ก็จะยืนจนเราคาดไม่ถึงเลยทีเดียว คือ เป็นหมื่นเป็นแสนปี อาหารจะเกิดขึ้นเอง ด้วยกำลังบุญ คนในโลกไม่ต้องทำมาหากิน การเดินทาง ก็จะมีสิ่งวิเศษ มาช่วยเดินทาง ฯลฯ

ซึ่งก็แน่นอนว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า บางพระองค์ที่มาตรัสรู้ในยุคนั้น พระองค์สอนคนให้บรรลุธรรมได้ง่ายมาก กฏระเบียบก็ไม่ต้องเข้มงวดมาก พระพุทธเจ้าบางองค์ สอนคนให้รักษาศีล 5 ก็พอ ในขณะที่ยุคของเรา พระต้องรักษาศีล 227 เป็นต้นครับ



แต่ทั้งหมดนี้จะวนเป็นวัฏจักร พอผู้มีบุญมากตายลงไป ผู้มีบุญน้อยกว่า มาเกิดแทน มนุษย์เริ่มผิดศีล 5 ตอนเริ่มต้นใหม่ๆ มนุษย์จะถือว่า การผิดศีล 5 ที่เรื่องผิดปกติที่ร้ายแรงมาก แต่เมื่อผิดกันมากขึ้นๆ มนุษย์ในยุคปัจจุบัน จึงผิดศีล 5 เป็นเรื่องปกติ เหตุการณ์จะแย่ลงไปเรื่อยๆ จนพุทธศาสนา(ชองเรา) เสื่อมลง แล้วคนจะผิดศีลทั้ง 5 ข้อเลย และเข่นฆ่ากันทั้งโลก ถึงตอนนั้น คนที่เหลืออยู่ จะย้อนกลับมารักษาศีลใหม่ ชีวิตก็จะดีขึ้นใหม่ วนเวียนขึ้นและลงเช่นนี้ จนถึงกาลที่โลกแตกดับ แล้วก็กลับคืนมาเป็นโลกใหม่ บังเกิดชีวิตใหม่ วนเป็นวัฏสังสาร เช่นนี้ มานานแสนนานแล้วล่ะครับ
 
นายประแจ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 26 พ.ค.2005, 12:56 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอบคุณคุณเกียรติครับที่เล่าให้ฟังแต่ผมไม่เชื่อหรอกครับ(ตามหลักศาสนาครับ) แต่ก็รับรู้ไว้ครับ



ผมเชื่อในหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า การทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แต่ผมไม่เชื่อในเรื่องอภินิหารต่าง ๆ ในพุทธศาสนา
 
มารศาสนา
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 18 พ.ค. 2005
ตอบ: 18

ตอบตอบเมื่อ: 26 พ.ค.2005, 1:15 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถ้าคนบรรลุนิพพานกันหมดประเทศไทยจะเป็นอย่างไร ลองตั้งเป็นกระทู้สิ จะได้ดูว่าความคิดเห็นของคนอื่นๆเป็นเช่นไร







มารศาสนา
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
เปิ้ล
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 26 พ.ค.2005, 7:13 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถึงแม้ว่าจะไม่เข้าใจว่านิพพานเป็นอย่างไร แต่คิดว่าคนที่คิดจะไปคงจะต้องเป็นคนที่เข้าใจธรรมดาของชีวิตมากกว่าคนที่ไม่คิดจะไปค่ะ เขาเข้าใจกฎธรรมดา และเบื่อหน่ายกับการเวียนว่ายอยู่กับกฎธรรมดา หากมีที่ที่ไม่ต้องทนอยู่กับ ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ความไม่ได้ดั่งใจ ความสุขชั่วครั้งชั่วคราว ไม่เคยเห็นใครมีความสุขติดต่อกันได้นานเลย ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกใดๆ ก็ไม่เคยอยู่กับเราได้นาน คนที่คิดอย่างนี้ได้ก็จะเอาเปรียบผู้อื่น และเห็นแก่ตัวน้อยลง อย่างน้อยก็จะไม่ทำให้คนรอบข้างเป็นทุกข์เพราะเรา ยังไม่ต้องพูดถึงการเวียนว่ายตายเกิดหรอกค่ะ เพราะคนที่ไม่เชื่อเรื่องนี้อ่านแล้วจะเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ เอาเป็นว่าคนที่รักพระนิพพานเป็นภัยต่อผู้อื่นน้อยกว่าคนที่ไม่รักพระนิพพานคะ
 
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 27 พ.ค.2005, 12:08 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

จริงอย่างที่คุณ "นายประแจ" ว่ามาแหละครับ ว่าเรื่องอิทธิปาฏิหารย์นี้ ต้องรู้ได้เฉพาะตน ไม่ควรเชื่อในสิ่งที่ผู้อื่นเล่ามาในทันที่ แต่ต้องรู้และเห็นได้ด้วยตัวเอง



เอาเป็นว่า จากคนธรรมดา เราๆ ท่านๆ ทั่วๆไป ที่ในใจยังมีรัก โลภ โกรธ หลงอยู่ มากบ้างน้อยมาก แล้วเปลี่ยนมากลายเป็นผู้ที่ไร้รัก ไร้โลภ ไร้โกรธ ไร้หลง กิเลสทั้งหมด ไม่เหลืออยู่ในใจ มีใจอยู่ในสภาวะนิพพาน สงบเย็นตลอดเวลา สำหรับผมถือว่า มันคือ อิทธิปาฏิหาริย์แล้วล่ะครับ ที่จะมีใครทำได้เช่นนี้



และใครที่ทำได้ สำหรับผม เขาคือ คนอัศจรรย์ ครับ

 
นพรัตน์_โพธิ์แก้ว
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 26 พ.ค. 2005
ตอบ: 1

ตอบตอบเมื่อ: 27 พ.ค.2005, 12:24 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถ้ามีคำว่าอยาก ก็คงไปไม่ได้หรอก เพราะถ้าจะไปนิพพานต้องไม่มีความอยากอีกแล้ว!
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 27 พ.ค.2005, 5:05 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ที่คุณ นพรัตน์ กล่าวมาก็ถูกครับ แต่นั่นเป็นขั้นตอนสุดท้ายครับ แต่ขั้นตอนเริ่มแรก เราต้องมีความอยากก่อนครับ ความอยากมีทั้งทางดี และทางไม่ดี ความอยากทางไม่ดี พระธรรมปิฎกท่านเรียกว่า ตัณหาฉันทะ แต่ความอยากในทางดี ท่านเรียก กุศลฉันทะ ครับ



เช่น ที่เราเข้ามาศึกษา และปฏิบัติธรรม ก็เพราะมีความอยากที่จะเจริญในธรรมเป็นพื้นก่อนใช่มั้ยครับ เราถึงมีใจจะปฏิบัติ แต่เมื่อเวลาปฏิบัติจริงก็ต้องละความอยากทั้งปวงใช่แล้วครับ



หรือ เหมือนกับ เราอยู่ลอยแพอยู่ในทะเล จะเข้าไปหาฝั่ง เราต้องแสวงหาเรือ (ความอยากปฏิบัติธรรม) เพื่อจะไปที่ฝั่งก่อน เมื่อแล่นไปจะถึงฝั่งแล้ว เราก็ต้องทิ้งเรือ (ความอยาก) ไป มิฉะนั้น เราก็ขึ้นฝั่งไม่ได้ ถ้ามีเรีออยู่ (เราเข้าถึงนิพพานไม่ได้ ถ้ามีความอยากอยู่)
 
นายประแจ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 27 พ.ค.2005, 11:50 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอบคุณ คุณเกียรติ สำหรับความคิดเห็นที่ดีมากครับ





ผมได้อ่านกระทู้หลายกระทู้ มีการพูดถึงอภินิหารต่าง ๆ หรือเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ เช่น ชาตินี้ฆ่าสัตว์ ชาติหน้าสัตว์นั้นจะกลับมาฆ่าเรา ผมว่า เรื่องเหล่านี้ไม่มีใครพิสูจน์ได้ มันทำให้พุทธศาสนาดูไม่ทันสมัยน่ะครับ ผมว่ายังมีเรื่องที่ดี พิสูจน์ได้ อีกมากมายในพุทธศาสนาที่น่าพูดถึง เช่น ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว การไม่ยึดมั่นถือมั่นทำให้พ้นทุกข์ ฯลฯ





ผมเคยอ่านหนังสือของท่าน พุทธทาส รู้สึกจะเป็นเรื่อง นิพพาน ....ท่านจะไม่พูดถึงเรื่องอภินิหารเลย และหลักธรรมที่ท่านกล่าวถึงก็ล้วนแต่พิสูจน์ได้ .. ทำให้ผมรู้สึกศรัทธาต่อพระพุทธศาสนามากขึ้น หลังจากที่นับถือพุทธศาสนาแต่ในนามเท่านั้น ... ผมจึงคิดว่าการพูดถึงสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ให้น้อย ๆ หน่อย จะเป็นผลดีกับศาสนาพุทธของเรามากกว่าผลเสียครับ
 
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 28 พ.ค.2005, 8:29 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมเข้าใจครับ เหตุที่เราไม่ค่อยยอมรับในสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ เพราะปัจจุบันเราได้รับอิทธิพลมาจากวิทยาศาสตร์ ว่าวิทยาศาสตร์จะเชื่อเฉพาะสิ่งที่พิสูจน์ได้ แต่อยากจะให้ข้อมูลกับคุณ "นายประแจ" เพิ่มเติมว่า วิทยาศาสตร์ที่เป็นวิทยาศาสตร์ชั้นสูงจริงๆ ก็เชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ครับ อ้าวทำไมผมบอกอย่างนั้น เพราะวิทยาศาสตร์ชั้นสูงอย่างหนึ่งที่เรียกว่า ทฤษฎีสัมพันธภาพ ค้นพ้บโดย นักวิทยาศาสตร์ชื่อก้องโลก คือ อัลเบริต์ ไอสไตน์ ปัจจุบันเป็นทฤษฎีที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ แต่นักวิทยาศาสตร์ทั้งโลกเชื่อว่า ทฤษฎีนี้เป็นจริง (ไม่รู้เป็นเพราะไอสไตน์เก่ง หรือเพราะมีเหตุมีผลน่าเชื่อถือนะครับ) ทฤษฎีนี้เขาว่าอย่างไร เขามีสมการที่มีชื่อก้องโลกว่า E = mc ยกกำลัง 2 หมายความว่าอย่างไร ไอสไตน์ให้ความหมายของสมการว่า ถ้ามวลวัตถุใดๆ (m) ก็ตาม เร่งความเร็วของตนเองให้มีความเร็วยิ่งกว่าความเร็วแสง (c) ยกกำลังสอง มวลวัตถุนั้นจะกลายร่างเป็นพลังงาน (E) ปัจจุบันวิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์ทฤษฎีนี้ได้ เพราะยังไม่มีใครสร้างยานที่เร็วเท่ากับแสง (ยังไม่ต้องยกกำลังสอง) ได้ แต่วิทยาศาสตร์เชื่อ ว่าเป็นจริง



ด้วยเหตุนี้พอตอนหลังไอสไตน์มาศึกษาพระพุทธศาสนา จึงเกิดความศรัทธา เพราะสิ่งที่เร็วกว่าแสงในโลกนี้ มีอยู่ สิ่งนั้นคือ ใจของเราทุกคน ไม่เชื่อลองคิดถึงดวงอาทิตย์สิครับ ใช้เวลาชั่วกระพริบตา แต่กว่าแสงจะเดินทางจากดวงอาทิตย์มายังโลกเรา ใช้เวลา 8 นาทีครับ ภาพดวงอาทิตย์ที่เราเห็นอยู่ทุกวัน คือ ภาพดวงอาทิตย์เมื่อ 8 นาทีที่แล้วครับ ใจของเราเร็วกว่าแสง แต่ใจที่ยังไม่ฝึกย่อมไม่มีพลัง ใจที่ฝึกดีแล้ว ถึงจะเปล่งอานุภาพ มีพลังเกิดขึ้น และทำสิ่งที่เหลือเชื่อได้ ไม่ว่าจะเป็นล่องหนหายตัว เดินบนน้ำ ดำดิน หูทิพย์ ตาทิพย์ ระลึกชาติ เพราะใจที่ฝึกดีแล้ว จะเปลี่ยนสภาพกาย (มวล) กลายเป็นทำอะไรก็ได้ (เป็นพลังงาน) กายล่องหนหายตัวได้ เดินบนน้ำ ดำดินได้ (เพราะพลังงานย่อมทำได้) หูทิพย์ ตาทิพย์ เพราะใจเร็วกว่าแสง ไปเห็นได้หมดไม่ว่าที่ไหน นี่แค่เบื้องต้น ยังมีมากกว่านี้อีกที่วิทยาศาสตร์เชื่อ แต่พิสูจน์ยังไม่ได้ เช่น สภาวะมิติที่ 4 เป็นมิติที่ไม่อาจวัดได้ด้วย กว้าง x ยาว x สูง เช่น ทฤษฎีหลุมดำ จะคอยดูดกลืนทุกสรรพสิ่งให้หายไปในหลุมดำ ซึ่งปัจจุบันเชื่อว่า เป็นประตูข้ามมิติ โดยไม่มีปัญหาเรื่องระยะทาง (นึกถึงประตูโดเรมอน) ดังนั้น สิ่งที่อยู่เหนือมิติที่ 3 เช่น นรก สวรรค์ นิพพาน จึงไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ครับ



เมื่อใดก็ตาม ที่วิทยาศาสตร์ ติดตามพระพุทธศาสนาจนทัน เมื่อนั้น มนุษย์จะรู้ความจริง (ของชีวิต) และสันติสุขที่แท้จริงจะเกิดขึ้นกับโลก

 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง