ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
คนเล็กเทวดา
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
08 มิ.ย.2005, 3:33 pm |
  |
เกมส์ออนไลน์ย่ำยีชาวพุทธ เท้าเหยียบเศียรพระ
ชาวพุทธโวยเกมออนไลน์มะกันหมิ่นศาสนา ทำภาพโมเดลหญิงสาวเหยียบเศียรพระพุทธรูปผ่านทางเวบไซต์ ขณะที่กระทรวงวัฒนธรรมส่งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ อัดทำไม่เหมาะสม จี้สถานทูตอเมริกาสั่งบริษัทผู้ผลิตยับยั้งแพร่ภาพ พร้อมประสานกระทรวงไอซีทีสกัดกั้นเวบฉาวเข้าไทย
การแข่งขันเชิงธุรกิจเกี่ยวกับเกมออนไลน์ในปัจจุบันนับวันจะทวีความเข้มข้นขึ้นทุกขณะ ซึ่งรูปแบบเกมออนไลน์ในปัจจุบันนั้น สวนใหญ่จะเน้นไปที่ความรุนแรง หรือลักษณะการเล่นที่ผิดแปลกออกไป เพื่อให้โดนใจกลุ่มเป้าหมายที่นิยมเล่นเกม โดยไม่สนใจว่ารูปแบบของเกมจะกระทบ หรือหมิ่นเหม่ต่อศาสนาของชนชาติใด ล่าสุดได้มีผู้ร้องเรียนกระทรวงวัฒนธรรมให้ตรวจสอบบริษัทเกมออนไลน์ ชื่ออีเล็คตร้า (Elektra) ที่มีการนำภาพโมเดลของหญิงสาวถือดาบคู่และใช้เท้าเหยียบบนเศียรพระพุทธรูปผ่านทางเวบไซต์
เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน น.ส.ลัดดา ตั้งสุภาชัย ผู้อำนวยการศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เปิดเผยว่า หลังได้รับเรื่องร้องเรียน ได้ตรวจสอบไปยังเวบไซต์ www.sideshowtoy.com ซึ่งเป็นเวบที่นำภาพดังกล่าวมาเผยแพร่ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า มีรูปภาพโมเดลกระทำท่าทางดังกล่าวอยู่หน้าเวบไซต์จริง จึงแจ้งไปยังเจ้าหน้าที่กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ และทราบว่า เป็นเวบไซต์มาจากรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
ผู้อำนวยการศูนย์เฝ้าระวัง กล่าวอีกว่า จากการประสานได้ข้อสรปุว่ากระทรวงการต่างประเทศ จะทำหนังสือไปถึงสถานทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา เพื่อขอความร่วมมือไปยังบริษัทผู้ผลิตเกมและเวบไซต์ดังกล่าวให้ยับยั้งการเผยแพร่ภาพ เพราะการกระทำเช่นนี้ถือเป็นการแสดงความไม่เหมาะสมต่อศาสนาพุทธ ทั้งนี้ แม้ว่าภาพเศียรพระดังกล่าวจะเป็นพระพุทธรูปนิกายชินโต ของประเทศญี่ปุ่น แต่ถือว่าเป็นการลบหลู่ทางจิตใจและขัดกับความรู้สึกของชาวพุทธอย่างแรง นอกจากนี้กระทรวงวัฒนธรรมยังได้ประสานไปยังกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ให้ทำการสกัดกั้นเวบไซต์นี้ไม่ให้แพร่หลายในบรรดานักเล่นเกมของไทย
นอกจากนี้ กระทรวงวัฒนธรรมจะส่งหนังสือ "สิ่งที่ควรทำ และไม่ควรทำ" ซึ่งเป็นข้อควรปฏิบัติและไม่ควรปฏิบัติในวัฒนธรรมไทย และศาสนา ภาคภาษาอังกฤษมอบให้สถานทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกานำไปให้บริษัทผู้ผลิตและเผยแพร่ให้ต่างชาติรู้และเข้าใจ เพื่อเตือนชาวต่างชาติให้ปฏิบัติตามประเพณีของศาสนาพุทธ โดยเฉพาะข้อปฏิบัติต่อพระพุทธรูป เช่น ห้ามปีนป่าย นั่ง หรือพิงพระพุทธรูป ไม่ว่าจะเป็นองค์เล็กหรือองค์ใหญ่ ชำรุดหรือไม่ชำรุด องค์จริงหรือองค์จำลอง เพราะถือว่าเป็นการกระทำที่แสดงถึงความไม่เคารพวัตถุทางศาสนา
น.ส.ลัดดา กล่าวต่อว่า อยากให้ชาวต่างชาติรับรู้ถึงวัฒนธรรมของชาวพุทธ ทั้งนี้หากชาวต่างชาติต้องการถ่ายรูปกับพระพุทธรูป ผู้ถ่ายควรอยู่ในกิริยาที่สงบ และให้ความเคารพต่อพระพุทธรูป รวมทั้งห้ามนำพระพุทธรูปไปเป็นเครื่องหมายทางการค้า หรือมีภาพพระพุทธรูปไปปรากฏอยู่ในรองเท้า ถุงเท้า ชุดว่ายน้ำ ชุดชั้นใน เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ หากฝ่าฝืนต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนด
"ที่ผ่านมาประเทศเดนมาร์กเคยนำกางเกงในไปวางขายใกล้กับพระพุทธรูป ซึ่งผู้ประกอบการบอกว่าเป็นการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โดยในกรณีนี้ได้ตั้งข้อสันนิษฐานไว้เช่นเดียวกันว่า อาจกระทำการไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เนื่องจากไม่รับรู้บริบททางวัฒนธรรมของพุทธศาสนา เพราะแต่ละศาสนาจะรู้ข้อปฏิบัติเฉพาะในส่วนของศาสนาที่ตนเองนับถือ ดังนั้น ในการดำเนินการคงไม่ถึงกับต่อต้าน แต่จะข้อความร่วมมือในเชิงสมานฉันท์ เพื่อเป็นการแสดงจุดยืนว่าชาวพุทธไม่อยากให้ภาพในลักษณะนี้ ปรากฏสู่สายตาชาวโลก" น.ส.ลัดดา กล่าว
สนับสนุนนโดย น.ส.พ.คมชัดลึก |
|
|
|
|
 |
นายประแจ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
08 มิ.ย.2005, 10:28 pm |
  |
ใครเหยียบเศียรพระพุทธอยู่หรอ ผมเห็นแต่คนยืนอยู่บนก้อนอิฐ ก้อนหิน |
|
|
|
|
 |
ความคิดเห็นหนึ่ง
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
09 มิ.ย.2005, 6:12 am |
  |
เห็นด้วยกับความเห็นที่หนึ่งเป็นอย่างยิ่งครับ ไม่เคยเห็นในหลักคำสอนใดในพุทธศาสนาให้เคารพบูชาก้อนหินหรือรูปสมมุติใดใดทั้งสิ้นมาก่อนเลย แต่คนไม่ได้ศึกษาธรรมมะโดยเฉพาะที่ไม่ได้นับถือพุทธศาสนาก็ชอบเข้าใจว่าพุทธศาสนิกชนต้องเคารพรูปปั้นต่างต่างอยู่เรื่อย ผมเองก็กราบรูปพระแต่คิดว่าทำด้วยความรู้สึกของวัฒนธรรมไทยที่สืบทอดการให้เกียรติต่อสิ่งทดแทนผู้ที่เราควรเคารพตามแบบของคนไทยเพราะถูกปลูกฝังมาแต่ไม่เคยคิดว่าเคารพรูปต่างต่างเพราะนับถือพุทธศาสนา หากว่ามีอารมณ์โกรธก็คงเป็นเพราะจิตใจของความเป็นคนไทยมากกว่า คงไม่ต่างจากรูปบิดามารดาของเรา |
|
|
|
|
 |
ทิดแฉ่ง
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
09 มิ.ย.2005, 8:29 am |
  |
เห็นด้วยกับทั้งสองค.ห. น่าจะมีกระทู้เรื่องสร้างรูปเปรียบพระพุทธรูปมาไว้กราบไหว้กัน โดยยึดมั่นทึกทักในรูปปั้นสมมติ เป็นจริงเป็นจังกันแค่ไหน อย่างไร....ขอแถมอีกนิด.... การเหยียบย่ำรูปปั้นเปรียบพระพุทธเจ้า ชาวต.ต. นิยมใช่เป็นอุบายล่อให้ชาวพุทธออกมาโวยเป็นข่าว เพื่อโฆษณาสินค้า รายนี้มิใช่รายแรก โวยไปก็เท่ากับช่วยโปรโมทสินค้าให้เค้าฟรีๆ ตกหลุมพรางที่เค้าขุดล่ออีกตามเคย กฏแห่งกรรมมีโปรแกรมทำงานอัตโนมัต คุณภาพสูง หายห่วงหxxxังวล คิดว่า...นะ ปล่อยให้ ก.ห.ก.ทำงานตามกลไกทีมีอยู่ดีแล้ว เถิด |
|
|
|
|
 |
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
09 มิ.ย.2005, 12:57 pm |
  |
โอ๊ะโอ๋ อย่างนี้คงต้องบอกกล่าวกันหน่อยแล้วล่ะครับว่า ผู้หxxxิเลสจริงๆ เขาไม่ได้ปลงแบบนั้นครับ ยกตัวอย่างพระสารีบุตร เวลาท่านนอน ท่านชอบไหว้ไปทางประตูบ้าง หน้าต่างบ้าง ไหว้มั่วไปหมด บางคนเก่งกว่านั้น รู้ว่า ท่านไม่ได้ไหว้ประตูแน่นอน แต่ท่านกำลังไหว้ทิศ จึงโวยวาย ไปหาพระพุทธเจ้าว่า สาวกพระองค์ไหว้ทิศ พระพุทธเจ้าให้พระสารีบุตร (หxxxิเลสแล้ว) อธิบาย พระสารีบุตร บอกว่า ไม่ได้ไหว้ประตู หน้าต่าง หรือไหว้ทิศอะไร แต่ก่อนนอน ท่านจะสอดญานไปดูว่า พระอัสสชิอยู่ทิศไทน ท่านจะไหว้ไปทางทิศนั้น เพราะพระอัสสชีถือว่า มีบุญคุณให้ท่านมารู้จักพระศาสนา ดังนั้น ท่านจึงเคารพพระอัสสชิครับ
ส่วนพระพุทธรูป ที่อยู่ตามวัดต่างๆ เขาถือเป็นสัญลักษณ์แทนตัวพระพุทธเจ้าครับ เช่น ผู้ปลงอย่างแท้จริง เขาจะไหว้ครับ ยกอีกตัวอย่างหนึ่ง พระอรหันต์รูปหนึ่งสมัยพระเจ้าอโศก ได้แสดงฤทธิ์ ปราบเทวดาที่เป็นมาร พอปราบได้แล้ว เทวดาก็รำพึงว่า พระพุทธเจ้ายังไม่ปราบเขาถึงขนาดนี้เลย พระอรหันต์เลยถามเทวดาว่า พระพุทธเจ้าหน้าตาเป็นอย่างไร ท่านเห็นแต่พระธรรมกาย แต่พระรูปกายไม่เคยเห็น (พระอรหันต์รูปนี้ เกิดหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว) เทวดามาร ก็เลยแปลงร่างเป็นพระพุทธเจ้าให้ดู พระอรหันต์เห็นแล้ว ก็เลยกราบ เทวดามารตกใจ บอกว่า เขาไม่ใช่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์บอกว่า ไม่ได้ไหว้ท่าน แต่ไหว้สัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้า
เทวดามาร รู้สึกว่า พระพุทธเจ้าช่างยิ่งใหญ่ แค่ตนแปลงตัวไป พระอรหันต์ยังไหว้ ดังนั้น จึงอธิษฐานตั้งความปรารถนา ขอเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตครับ
ดังนั้น เรื่องนี้ต้องชี้แจง และผมก็ได้เมล์ไปแล้ว ด้วยครับ มีหลายๆ เรื่อง ที่ภัตตาคาร นำพระพุทธเจ้าไปวางหน้าร้าน โชว์ในตู้ปลา ทำเป็นสินค้า พอชาวพุทธเมล์ไปมากๆ เจ้าของก็เลิกทำครับ เขาเรียกว่า โยนหินถามทาง ถ้าชาวพุทธดูดาย ยิ่งๆ กว่านี้ ก็จะมีออกมาเรื่อยๆ
|
|
|
|
|
 |
มารศาสนา
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 18 พ.ค. 2005
ตอบ: 18
|
ตอบเมื่อ:
09 มิ.ย.2005, 1:49 pm |
  |
ในเปลือกมีเนื้อ
ในเนื่อมีกระดูก
ในกระดูกมีเยื่อกระดูก
ถ้าผลไม้ไม่มีเปลือกคงเน่าเสียตั้งแต่อยู่บนต้น จะไม่กลายเป็นต้นไม้ให้เราเห็น
มองหินเป็นพุทธเจ้า
มองรูปพุทธเจ้าเป็นแค่หิน
ต่างมีความสำคัญทั้งสิ้น
ถ้าหินที่เป็นรูปพุทธเจ้าทำให้คนทำความดีเพื่มขึ้น มันก็เป็นหินที่ดีก้อนหนึ่ง
ดีกว่าคนบางคนที่ไม่เคยคิดที่จะทำความดี
การที่มีคนออกมาปกป้องศาสนา เป็นการปกป้องความศรัทธาที่มีต่อศาสนา
มันไม่ได้เป็นสิ่งที่เลวร้ายอะไร
มาศาสนา  |
|
|
|
   |
 |
ความคิดเห็นส่วนตัว
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
09 มิ.ย.2005, 6:36 pm |
  |
ความเห็นส่วนตัวประเด็นของปัญหานี้เป็นเรื่องการประกาศให้ผู้นับถือศาสนาพุทธให้เข้าใจว่า รูปปั้นเป็นสัญญลักษณ์ของพระพุทธเจ้าโดยความคิดของคนทั่วไปมากกว่า จากตัวอย่างพระอรหันต์กราบขนาดไม่ใช่การกราบรูปปั้นจำลองพระพุทธเจ้าก็ยังทำให้ผู้เห็นเข้าใจผิดได้เลยก็เลยคิดว่าเป็นสาเหตอย่างหนึ่งที่พระพุทธเจ้าไม่สอนให้กราบไหว้เคารพรูปสัญญลักษณ์ต่างต่าง
ผมคิดว่าการให้ผู้นับถือยอมรับรูปปั้นเป็นสัญญลักษณ์ของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องความรู้สึกส่วนตัวของผู้นับถือซึ่งเกิดหลังพระพุทธเจ้านิพพานแล้ว จึงไม่อาจระบุได้ว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ที่คนนับถือบางคนเกิดความรู้สึกไม่ดีเพราะยังติดกับสมมุติพื้นฐานว่าสิ่งนั้นคือสิ่งที่ตนบูชาอยู่ตลอดเวลา ไม่ต่างจากการเห็นกระดาษเป็นเงิน เห็นรูปผู้หญิงบางคนว่าสวย ตัวอย่างหากผมเอาเงินไปซึ้อข้าวจากชาวป่าเขาก็คงหัวเราะผมเพราะเขาไม่รู้ว่าเงินคือสมมุติของผมและคนเมือง หรือบางคนขโมยเงินที่ผมหามาได้ผมคงต้องคิดว่าเขามีเจตนาร้ายต่อผมเพราะเขารู้แก่ใจว่าเงินเป็นสมมุติว่าเป็นสิ่งมีค่าสำหรับผมอยู่ก็มาเอาไปได้ แต่ในทางตรงข้ามหากผมหลุดจากสมมุตินั้นได้ผมก็คงไม่รู้สึกยินร้ายกับเขาเพราะไม่รู้สึกว่าตนเองสูญเสียอะไรไป
คิดว่าในการปฏิบัติอย่าติดกับรูปเลยครับขนาดภาพที่นำมาให้ดูยังบ่งบอกผู้ที่ยืนบนก้อนหินนั้นไม่ได้ยึดติดว่าเป็นสิ่งที่ต้องเคารพบูชาเลย เพราะเขาไม่มีสมมุติตรงนั้นขนาดว่าไม่ได้นับถือพุทธด้วยซ้ำ แต่เราพยายามจะบังคับให้เขายอมรับว่ารูปนั้นคือพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งกราบไหว้บูชาของเรา สำหรับการกราบรูปปั้นผมก็ยังทำอยู่แต่ไม่ได้รู้สึกว่าผมจะสมมติให้เป็นสิ่งเคารพอยู่ตลอดเวลา ผมใช้เป็นสิ่งเริ่มกระตุ้นถึงพระพุทธเจ้าช่วงสั้นสั้นพออยู่ในใจแล้วผมก็เริ่มลงกราบซึ่งขณะนั้นหากใครจะยกรูปปั้นไปไหนผมก็คงจะไม่หันตามกราบหรือรูปปั้นจะพังทลายหรือใครจะยืนอยู่บนรูปปั้นนั้นผมก็คงจะไม่สนใจแล้วครับเพราะผมกราบสิ่งที่อยู่ในใจผมเท่านั้นเอง แต่แน่นอนคนเห็นก็คงไม่เข้าใจว่าผมกราบอะไร ซึ่งผมก็คงไม่ใส่ใจหากไม่มีใครถาม หากทางการจะทำหน้าที่ปกป้องศาสนาโดยว่าตักเตือนก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีเพราะเป็นการทำหน้าที่ของตนทางโลกให้สมบูรณ์ แต่เนื้อแท้ในคำสอนยังไงผมก็ยังมีความเชื่อส่วนตัวว่าการละการยึดติดในสมมุตินั้นเป็นพื้นฐานสำคัญอย่างนึงในการที่จะลดกิเลสตัณหาของจิตใจ
|
|
|
|
|
 |
บุตรเทวี
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
10 มิ.ย.2005, 9:26 am |
  |
ความรู้สึกเรามองว่าไม่เหมาะครับ แต่คนเราหลายเชื้อชาติ หลายความคิด หลายศาสนา ครับ เราชาวพุทธ ก็วางเฉยดีกว่าครับ พระพุทะเจ้าเคยตรัสว่า เมื่อมีคนรบหลูศาสนา ให้เราวางเฉย และอธิบายเขาให้เข้าใจศาสนาด้วยความถูกต้อง หากเราใส่อารมณ์ ความรู้สึกลงไปมาก เราก็ทุกข์ เข้าหลักไตรลักษ์อีก เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป (ผิดพลาดประการใดโปรดชี้แนะครับ) |
|
|
|
|
 |
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
10 มิ.ย.2005, 12:32 pm |
  |
ถูกต้องครับ เราควรอธิบายโดยไม่ได้ใช้อารมณ์ แต่ไม่ใช่ไม่ควรอธิบายอะไรเลย เพราะการกราบไหว้สัญลักษณ์ตัวแทนของพระพุทธเจ้า มีผู้เข้าใจว่าพระพุทธเจ้าห้ามนั้น ผมฟังมาอีกอย่างหนึ่งครับ
ในสมัยพุทธกาล ครั้งหนึ่ง พระอานนท์ (อุปฐาก) เคยถามพระพุทธเจ้าว่า เวลาที่พระองค์เสด็จไปโปรดญาติโยม เมืองนั้นเมืองนี้ เป็นเวลาหลายๆ เดือน แล้วเมืองที่พระพุทธองค์ไม่อยู่อยากจะเคารพบูชาพระองค์บ้างจะทำอย่างไร
พระพุทธองค์ตอบว่า สามารถบูชา สัญลักษณ์แทนตัวของพระองค์ได้ เช่น ต้นโพธิ์ เพราะเป็นต้นไม้ที่พระองค์ตรัสรู้ ตั้งแต่นั้นมาชาวเมืองที่พระองค์ไม่อยู่ก็บูชาต้นโพธิ์แทนพระองค์ เพื่อจะได้ระลึกนึกถึงพระองค์ เมื่อระลึกนึกถึงแล้ว ก็จะได้ปฏิบัติตามคำสอนพระองค์ และเมื่อพระองค์ปรินิพพานไปแล้ว ก็มีการสร้างพระพุทธรูปเป็นสัญลักษณ์แทนตัวพระองค์ขึ้นนั่นเองครับ
การมีสัญลักษณ์ ของผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่ มีผลดีหลายประการ ที่ผมนึกได้ก็ 2 ประการครับ
1. เป็นการยืนยันว่า ท่านผู้นั้นมีตัวตนจริง คำสอนของท่านดีจริง แม้เวลาผ่านไปเนิ่นนาน หากไม่มีสัญลักษณ์ยืนยัน ธรรมะของพระองค์ย่อมเสื่อมเร็วกว่าที่ควรจะเป็นอีกมากๆ เพราะคนรุ่นหลัง จะปฏิบัติธรรมไป ลังเลไป หากผลก้าวหน้าก็ดีไป แต่หากผลไม่ก้าวหน้า จะพากันคิดว่า วิธีที่ว่านี้ ทำได้จริงเหรอ มีใครเคยทำได้ การหxxxิเลสมีจริงเหรอ ในที่สุดการปฏิบัติเพื่อไปนิพพานก็จะหมดไป (คำพันคำ ไม่เท่ากับภาพภาพเดียว)
2. การเคารพบูชาในตัวท่านผู้หxxxิเลสจริง แม้แต่เคารพในสัญลักษณ์อย่างมีปัญญา คือ เคารพ เพราะเห็นว่าท่านมีพระคุณอันยิ่งใหญ่ เป็นการยืนยันว่าเราซาบซึ้งในพระคุณท่านจริง ย่อมทำให้เราปฏิบัติตามคำสอนของท่านได้ก้าวหน้า หากเรารู้สึกเฉยๆ กับผู้สอน เราก็ย่อมไม่ตั้งใจปฏิบัติในวิชาที่สอนเท่าที่ควร แล้วสุดท้ายก็ไม่ก้าวหน้าครับ
วิธีปฏิบัติตีที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็น มีสติดูใจ รู้อารมณ์ หรือ อะไรก็ตาม ไม่มีใครคิดขึ้นมาเองครับ ทุกคนได้มาจากครู ทุกคนต้องมีครู และครูของเราก็ได้มาจากพระบรมครู คือ พระพุทธเจ้า ถ้าไม่มีพระบรมครู ไม่มีทางที่ใครจะหxxxิเลสได้ด้วยการคิดขึ้นมาเอง (ยกเว้นคนคนนั้นจะเป็นพระพุทธเจ้าครับ) ดังนั้น ผู้ที่เข้าถึงธรรมะที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้จริง จะซาบซึ้งในพระคุณของพระองค์อย่างสุดประมาณ และบูชาสัญลักษณ์แทนตัวพระองค์ได้อย่างซาบซึ้งครับ
อ้อแล้วเมื่อผมเมล์ไปแล้ว เขาก็เมล์ว่าจะดำเนินการให้ด้วยนะครับ |
|
|
|
|
 |
Ae
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 26 เม.ย. 2005
ตอบ: 38
|
ตอบเมื่อ:
11 มิ.ย.2005, 1:15 pm |
  |
ใครเหยียบเศียรพระพุทธอยู่หรอ ผมเห็นแต่คนยืนอยู่บนก้อนอิฐ ก้อนหิน
..........คุณความเห็นที่ 1 ครับ คุณแน่ใจเหรอครับว่านั่นเป็นคน......คุณแน่ใจเหรอครับว่านั่นเป็นก้อนอิฐ ก้อนหิน..........แล้วคุณแน่ใจเหรอครับว่าคุณเห็นคนยืนอย่บนก้อนอิฐ ก้อนหิน......อย่าพึ่งด่วนสรุปนะครับ..... |
|
|
|
    |
 |
นายประแจ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
11 มิ.ย.2005, 10:22 pm |
  |
ก็ผมเห็นแค่นั้นจริงๆ ง่ะ คุณเห็นเป็นอะไรล่ะ
มันก็แค่ความคิดเห็นของคน ๆ หนึ่งอะนะ ... อย่าถือสาผมเลยครับ
คนที่เขาเหยียบ เขาก็คงคิดว่าเป็นแค่ก้อนหิน.....ถ้าเราคนดูเห็นไปมากกว่านั้น ใจเราเอาไปปรุงแต่งเอง จิตก็คงร้อนรุ่ม ไฟจากความโกรธ ความโมโห ไม่ได้ไปเผาคนเหยียบ.....แต่มันจะมาเผาใจคนดูเช่นเรา ใจเราจะบาป ซะเปล่า ๆ
นี่ก็เป็นแค่ความคิดเห็นของผม ถ้ามันไม่ถูกก็มองข้ามมันไปเถอะนะครับ
แต่ถ้าจะสอนผมให้เห็นความจริง ก็จะเป็นความกรุณายิ่ง แต่เอาที่มันพิสูจน์ได้นะครับ ขอบคุณครับ
|
|
|
|
|
 |
หนูขิด
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
11 มิ.ย.2005, 11:22 pm |
  |
ที นกกา ขึ้รดเศียนพระพุทธรูป หมาแมวฉี่รดพระพุทรูป ปล่อยให้ฝนฟ้ชะล้างกันไป ไม่เห็นโวยกัน เลยนี่!!
ท่านทั้งหลาย จงเชื่อถือความสามารถและภูมิปัญญา ของหน่วยงานนี้ เถอดนะ ท่านทำงานกันอย่างเต็มที่ แล้ว::::::::::::::::::::องค์การพุธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก เลขที่ 616 อุทธยานเบญจสิริ ถนน สุขุมวิท ระหว่างซอย 22 -24 คลองเตอย กรุงเทพ .............http://www.wfb-hq.org.................................. สัญญลักษณ์แห่งชาติ ศาสนา นั้น ปราชญ์ ท่านสร้างขึ้นมา ไว้ให้ ถือเอาประโยชน์ จากสิ่งนั้น มองให้ ดีในนั้น มีธรรมะซ่อนอยู่ บอกอยู่ เป็นนัยๆ มากมาย ถอดรหัสกันให้ ออก จิ  |
|
|
|
|
 |
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
12 มิ.ย.2005, 7:09 pm |
  |
และด้วยความปราถนาดีของชาวพุทธทั่วโลก ที่ทั้งโทรศัพท์ไป ส่งจดหมายไป และส่งอีเมล์ไป ตอนนี้เขาได้นำรูปภาพพระพุทธรูปออกจากเท้า Model รูปผู้หญิงเรียบร้อยแล้วครับ อนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่มีส่วนในบุญนี้ด้วยกันนะครับ
เพราะเมื่อเขาไม่รู้ มีคนชี้แจงให้เขารู้ เขาก็เรียนรู้ขึ้นได้ครับ
เช่นเดียวกับเมื่อ 2500 กว่าปีที่แล้ว ที่คนทั่วหลายไม่รู้ พระพุทธเจ้าสอนธรรมะให้รู้ คนทั้งหลายก็รู้ขึ้นได้ครับ ถ้าพระพุทธเจ้า คิดเพียงว่า คนทั้งหลายย่อมไม่รู้ ดังนั้น เราอย่าสอนเลย พุทธศาสนาคงไม่ได้เป็นศาสนาแห่งการแก้ความทุกข์ ยั่งยืนต่อมา จนถึง 2500 กว่าปีนี้แล้วล่ะครับ |
|
|
|
|
 |
Ae
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 26 เม.ย. 2005
ตอบ: 38
|
ตอบเมื่อ:
13 มิ.ย.2005, 9:21 am |
  |
ในความคิดเห็นส่วนตัวนะครับสิ่งที่เห็นคือ....อะไรก็ไม่รู้ที่ปรากฏอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ผมเปิดและประกอบด้วยสมมติคือสีต่าง ๆ เช่น สีแดงสีขาว สีดำ...) ลองคิดดูว่าถ้าไม่มีสีคุณจะเห็นอะไรหรือเปล่าครับ....หลับตาสิครับ เห็นสีอะไร อย่าบอกนะว่าเป็นสีดำครับ....
ในที่นี้ก็เหมือนกันครับ หลายคนหลายแง่มุมหลายความคิดเห็น ใครจะพูดอะไร ยังไง แล้วแต่คือความคิดเห็นของคุณครับ.... |
|
|
|
    |
 |
ang
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
13 มิ.ย.2005, 9:46 am |
  |
การลบหลู่พุทธศาสนานั้นเป็นสิ่งที่ไม่สมควรกระทำ การที่มีประชาชนออกมาปกป้องพุทธศาสนาก็นับว่าเป็นสิ่งที่ดี เปรียบเสมือนกับว่าตำรวจก็ต้องดูแลประชาชนหากมีผู้ร้ายก็ต้องปราบ ดีกว่าอยู่เฉยๆไม่ทำอะไรแต่อ้างตัวเองว่ามีจิตใจสูงส่งโดยการเอาธรรมะมาปกปิดบังหน้าตนเอง |
|
|
|
|
 |
ความคิดเห็นหนึ่ง
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
13 มิ.ย.2005, 10:24 am |
  |
เห็นด้วยกับทุกความคิดครับ อย่างน้อยเป็นเรื่องที่ดีที่ทุกคนในที่นี้ไม่ได้ยึดติดกับรูปดังกล่าวกันเลย เพราะตอนนี้ก็ทราบกันดีว่าผู้เริ่มสร้างปัญหาได้แก้ไขรูปดังกล่าวแล้ว แต่ในเวปนี้มากี่ครั้งก็ยังอยู่เหมือนเดิม โดยไม่มีใครทักท้วงให้เอาออกใครเข้ามาอ่านก็เห็นทุกครั้งแสดงว่าทุกคนมีจิตใจที่หลุดจากการยึดติดกับสมมุติกันดีแต่บางท่านมีสำนึกที่ดีขึ้นไปกว่านั้นอีกคือสามารถปกป้องพุทธศาสนาเหมือนพระเจ้าอะไรหนาผมก็สติปัญญาไม่ดีจำไม่ได้เสียด้วยซึ่งถึงท่านจะไม่ได้บวชแต่ท่านก็บำรุงและปกป้องรักษาศาสนาให้คงอยู่มาถึงเราทุกวันนี้ก็ขอกราบขอบพระคุณแทนผู้นับถือศาสนาพุทธทุกคนรวมไปถึงในอนาคตด้วยครับลำพังพระท่านที่มุ่งนิพพานคงมิอาจจะไปเจรจาต่อรองกับปถุชนคนหลงผิดที่คิดทำลายศาสนาได้ อย่างอัฟกานิสถาน ระเบิดรูปแกะพระพุทธเจ้าก็เกินกำลังที่ใครจะไปห้ามปรามได้เป็นต้น
การที่มีคนเข้ามาแสดงความเห็นที่แตกต่างเป็นเรื่องดีสำหรับผมครับเป็นการเปิดโลกทัศน์ให้แง่มุมที่ผมอาจไม่ได้มอง หรือมองแล้วแต่ไม่เห็นด้วยก็ตามแต่ผู้ชมท่านอื่นได้เห็นก็จะได้ข้อมูลไปคิดหลายด้านซึ่งดีกว่าได้แง่คิดเพียงด้านเดียว ผมจึงอยากให้เกิดการถกด้วยการยกเหตผลที่ตนเองเข้าใจแบบนี้กันเยอะเยอะ และไม่อยากให้มีการปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นกันนอกเสียจากเป็นการก่อกวนกัน จึงน่าจะเป็นบรรยากาศที่ดี ครับ  |
|
|
|
|
 |
นายประแจ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
13 มิ.ย.2005, 10:49 pm |
  |
คุณAeมองในระดับจุลภาคเลยหรอครับ...ที่จริงสีที่หน้าจอคอมพิวเตอร์มีอยู่สามสีครับคือ สีแดง สีเขียว สีน้ำเงิน สีอื่น ๆ เกิดจากการผสมกันของแสงสีทั้งสามครับ สีขาว ๆ ที่เห็นที่หน้าจอคอมฯ ความจริงไม่ขาวนะครับ เพ่งดูให้ดี จะเห็นจุดสีเล็กๆมากมาย และจะมีสี แดง เขียว น้ำเงินเรียงคละกันอยู่ครับ ส่วนสีดำที่หน้าจอจะเป็นสีของจอภาพเองครับ ถ้าเพ่งแล้วยังมองไม่เห็นใช้แว่นขยายส่องดูจะเห็นได้ชัดขึ้น
เหมือนคุณ Ae ครับ "หลายคนหลายแง่มุมหลายความคิดเห็น ใครจะพูดอะไร ยังไง แล้วแต่คือความคิดเห็นของคุณครับ...."
|
|
|
|
|
 |
ความคิดจากสมองคนนึง
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
14 มิ.ย.2005, 6:15 am |
  |
ขอเล่นด้วยคนครับ ไหนไหนกระทู้ก็ใกล้จะดับอีกไม่นานแล้ว ผมคิดว่าจิตของผมรับอะไรบางอย่างโดยผ่านประสาทสัมผัสทางตาซึ่งรับอนุภาคของแสงที่วิ่งเข้ามาหาเป็นphotonหรืออะไรก็แล้วแต่มากระทบเข้ากับแต่ละจุดเซล์ในลูกตาของผม แต่เนื่องจากอนุภาคเหล่านั้นมีคุณสมบัติของคลื่นจึงมีความถี่ที่แตกต่างกันไป ทำให้แต่ละเซลล์นั้นสัมผัสอนุภาคที่พุ่งชนได้เป็นจุดสีที่แตกต่างกันขึ้นมา ความถี่ต่ำก็ได้เป็นสีแดงควาถี่สูงก็เป็นสีม่วงตรงไหนเซลรับไม่ได้ก็เป็นสีดำ พอจุดที่มีสีเดียวกันหรือความถี่ใกล้เคียงกันเกิดเรียงต่อเนื่องกันก็กลายเป็นเส้นแล้วก็กลายเป็นรูปร่าง อนุภาคที่มาจากแหล่งเดียวกันพอวิ่งมากระทบด้วยความเร็วที่ช้าลงหรือเร็วขึ้นก็เกิดเป็นความลึกหรือระยะทางที่แตกต่างขึ้นมา เหมือนรถที่วิ่งหนีจากเราไปหากคิดอีกอย่างคืออนุภาคแสงมันวิ่งออกมาจากรถมากระทบตาเราช้าลง ก็กลายเป็นโลกสามมิติที่หลอกผู้คนให้คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างว่ามีตัวตนได้สำเร็จแล้วครับ ลองสมมุติดูหากมีใครเปลี่ยนแปลงแสงที่วิ่งเข้าตาให้ช้าเร็วได้เหมือนกล้องส่องทางไกลที่ทำให้แสงวิ่งเข้ามาหาได้เร็วขึ้นแล้วควบคุมความถี่ทุกอนุภาคแสงได้ดั่งใจ เขาก็คงทำให้คนผู้คิดว่าตาของมนุษย์คือสิ่งที่น่าเชือถือได้ที่สุดคิดว่ามีสิ่งของอยู่ตรงนั้นได้ดั่งที่ผู้นั้นต้องการ -
ดังนั้นปรมัตถ์ของประสาทสัมผัสทางตาจึงไม่น่าเป็นสิ่งใดอื่นนอกไปเสียจากการแปรเปลี่ยนสภาพของสิ่งที่เราคิดว่าเห็น ไม่ว่ารูปสมมุติ ดิน น้ำ ลม ไฟ กว้าง ยาว สูง หรือมิติต่างต่างแม้กระทั่งเวลา ล้วนแล้วเกิดจากสมมุติที่สั่งสมมาโดยสมองทั้งสิ้น เราไม่อาจเห็นมันด้วยตาได้เนื่องจากจิตเราที่ห่างไกลจากจิตของพระอาริยะเกินกำลังที่จะสร้างสภาพรู้ให้ทันเห็นความเปลี่ยนแปลงของมันได้ ปรมัตถ์จึงน่าจะเป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่อธิบายให้สิ่งมีชีวิตทุกอย่างเข้าใจธรรมชาติได้ตรงกัน หากกบหรือสัตว์ที่ตาบอดสีพูดได้ก็คงโต้เถียงกับมนุษย์กันน่าดู ว่าโลกนี้มีกี่สี แต่ถ้าให้ไอสไตน์ของกบมาคุยกับไอสไตน์ของมนุษย์ก็คงเข้าใจตรงกันเพราะโลกนี้มีปรมัตถ์เท่านั้นที่เป็นสิ่งเดียวกันยังมีประสาทสัมผัสอีกหลายอย่างที่สร้างมายาให้มนุษย์เราได้ไหลหลง จึงอย่าไปยึดติดกับสิ่งที่สมองจำมาจากประสาทสัมผ้สกันนักเลยครับหันมาค้นคว้าที่ตัวเราเองกันดีกว่าแยกแยะกันออกบ้างหรือยังว่าอะไรคือจิตอะไรคือการทำงานของสมองโดยไม่ต้องคิดคำพูดออกมาอธิบายให้คนอื่นฟังก็ได้แค่ทำให้ตนเองเข้าใจว่าทำอย่างไรจะเข้าถึงจิตตนเองได้โดยไม่ต้องให้สมองคิดแต่มีสติรับรู้เป็นไปได้หรือไม่ แล้วทำได้หรือยังครับ ส่วนผมขณะนี้ยังครับมีแต่ความคิดสมองทั้งนั้นเลย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองจะเขียนบรรยายลงมาทำไมเสียยาวเลย เป็นอันว่าขอให้เจริญก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมทุกท่านครับ
 |
|
|
|
|
 |
ฐิต ฯ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
14 มิ.ย.2005, 2:03 pm |
  |
.........แต่ละศาสนา ก็มีสัญญลักษณ์ไว้ระลึกนึกถึง ศาสดา ของศาสนา นั้น ๆ
.........วันสำคัญทางศาสนาพุทธ หรือ ในคราวประกอบพิธีบุญต่าง ๆ จะพบว่ามีการ
........ตั้งโต๊ะหมู่บูชา เพื่อบูชาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
........แม้ที่สวดในบท อิติปิโส....ก็เป็นคำบูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
........หรือที่ประดิษฐานที่วัด ในโบสถ์ ทั่วไทย ก็จะมีพระประทานที่เสมือนองค์แทน
พระพุทธเจ้า มีรูปลักษณ์ประการใด
........แม้เป็นชาวพุทธ แต่ส่วนใหญ่ยังติดอยู่กับอัตตา ยังไม่บรรลุรู้แจ้งเห็นจริง
ในหลักอนัตตากันทุกคน (ยังต้องใช้เวลาอีกนาน) จึงยากที่จะปลงใจ ปล่อยวาง
ไม่ให้ขุ่นข้องขัดใจ แม้แต่ผู้ใหญ่ยังทำใจไม่ได้ ประสาอะไร เด็ก ๆ ในโรงเรียน
ที่เขาศรัทธา เคารพพระพุทธองค์ จะทำใจได้เล่า
........จริงอยู่ อย่าว่าแต่รูปภาพเลย อย่าว่าแต่ก้อนหินเลย อย่าว่าแต่คัมภีร์เลย
ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งสมมติทั้งสิ้น เพราะเหตุใดหรือ......
...........ก็เพราะ สิ่งที่ถูกเห็น(รูป ภาพ) อาการที่เห็น(รูป สัมผัสกระทบ ตา) และ
สิ่งที่ใช้ไปมองเห็น(ตา) ความเป็นจริงแล้วล้วนเป็นไตรลักษณ์ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์
เกิดขึ้นแว่บหนึ่งแล้วดับไป เป็นอนัตตา ไร้ตัวไร้ตน (เป็นสมมติทั้งสิ้น)
...รูป จริง ๆ ไม่มี อาการที่เห็น จริง ๆ ไม่มี และ ตาจริง ๆ ก็ไม่มี
...แต่ชาวพุทธ ทั้งที่ผ่านมา และในขณะนี้ และต่อๆ ไป ได้ตรัสรู้หลุดพ้นทุกท่าน
แล้วหรือ
..... ท่านจะวางเฉยอย่างไรล่ะ ...เฉยเมย หรือ เฉยเชื่อย หรือ
... .. หรือรอให้เขานำภาพดังกล่าวมาแปะไว้ทั่วบ้าน ทั่วเมืองก่อน แล้วจึงค่อย
ขยับตัว ขยับใจ ขยับความคิด
กัมมุนา วัตตะตี โลโก "สัตว์โลก ย่อมเป็นไปตามกรรม"
ท่านประมาทแล้วหนอ ได้ก่อกรรมทำชั่วแล้วหนอ ต้องไปสู่อบายภูมิ เสวยผล
แห่งกรรมชั่วแล้วหนอ
เจริญธรรม |
|
|
|
|
 |
ฐิต ฯ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
14 มิ.ย.2005, 2:14 pm |
  |
บางคนก็เห็นได้ว่าไม่มีอะไร เขาไปถึงเรื่อง อนัตตา แล้ว
บางคนเขายังไม่เห็น และยังมีความจำเป็น เพื่อไว้เป็นสิ่งระลึกบูชา
ถ้าเคยไปวัด ไปโบสถ์ จะพบพระพุทธรูป อยู่ทั่วบ้านทั่วเมือง
เมื่อยังอ่อน ก็ยังต้องมีที่พึ่ง ที่เป็นอัตตา อยู่ก่อน
แข็งแรงดีแล้ว จึงค่อยไปย้ายใจไปที่ อนัตตา
ใจเย็น ๆ เมื่อเขาไม่เป็นเช่นอย่างใจเรา..... |
|
|
|
|
 |
|