| ผู้ตั้ง | 
ข้อความ | 
ดาวประกาย 
บัวพ้นดิน 
 
  
  
เข้าร่วม: 15 มิ.ย. 2005 
ตอบ: 53 
 
 
 | 
 ตอบเมื่อ:
26 มิ.ย.2005, 10:11 pm | 
   | 
 
 
 
การอบรมครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2005 ช่วงเช้า   
 
   
 
เมื่อเวลา 10.00-12.00 น. ณ.Home English ปิ่นเกล้า   
 
 | 
 
        
          |   | 
         
 | 
 
 
 | 
    | 
  | 
ดา 
ผู้เยี่ยมชม 
  
 
 
 
 
 | 
 ตอบเมื่อ:
27 มิ.ย.2005, 1:28 pm | 
   | 
 
 
 
การฝึกอบรมพัฒนาสติให้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น และผู้เบิกบาน ครั้งที่ 4 จะจัดให้มีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม 2548 ณ สถาบันสอนภาษา Home English Center ปิ่นเกล้า และ เนื่องจากสถานที่ฝึกอบรมสามารถรับผู้เข้าฝึกอบรมได้เพียงครั้งละ 30 คน อาตมาจึงจะเปิดการฝึกอบรมแบ่งเป็น 2 รอบ ๆ ละ 30 คน ดังนี้   
 
รอบที่ 1 เวลา 10.00  12.00 น.   
 
รอบที่ 2 เวลา 13.00 - 15.00 น.   
 
อนึ่ง ขอให้ท่านผู้สนใจได้กรุณาแจ้งความจำนงค์โดยสมัครเพื่อสำรองที่นั่ง   
 
ครั้งนี้ด้วย โดยการแจ้งชื่อ-นามสกุล และรอบเวลาที่ต้องการเข้าฝึกอบรม    
 
ส่งมาที่ wimoak@yahoo.comส่วนแผนที่ Home English Center กรุณาดูได้ในกระทู้ เชิญร่วมโครงการฝึกอบรมพัฒนาสติในการภาวนา ในสมาชิกสัมพันธ์    
 
ในความเห็นที่ 104 (นิวสมบูรณ์ ต.) หรือ คลิ๊กไปดูได้ที่   http://albums.photo.epson.com/j/ViewPhoto?u=4275026&a=31594700&p=72061327  
 
   
 
อนึ่ง สำหรับผู้เริ่มต้นที่ยังตามไม่ค่อยทัน หรือยังไม่แจ่มแจ้ง และรวมทั้ง   
 
ผู้ที่มีความตั้งใจมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติให้เกิดความต่อเนื่อง เพื่อที่เป็นการ   
 
เตรียมพร้อมในการมุ่งปฏิบัติในช่วงเข้าพรรษาที่จะมาถึงในเดือนกรกฎาคมนี้    
 
อาตมาจึงเพิ่มเวลาการฝึกอบรมรอบพิเศษ สอนเป็นการส่วนตัวหรือกลุ่มเล็กๆ   
 
ทุกวันอังคาร และพฤหัส เวลา 18.00-20.00 น. ณ สถาบันภาษา Home English    
 
Center ปิ่นเกล้า   
 
**********************************************************************************************   
 
การบ้านภาวนาครั้งที่ 3 คือ ดูการทำงานร่วมกันระหว่างพ่อ แม่ ลูก   
 
   
 
ธรรมชาติของจิตย่อมท่องเที่ยวไป อาทิ ท่องเที่ยวไหลไปกับรูปทางตา    
 
เสียงทางหู กลิ่นทางจมูก ลิ้มรสทางลิ้น สัมผัสทางกาย และธรรมารมณ์   
 
ทางใจและเมื่อเกิดการรับรู้ทางอายตนะทั้ง 6 ก็เกิดการปรุงแต่งเป็นความ   
 
คิดนึกและเป็นความรู้สึกต่างๆนานา จิตไหลไปกับความคิดหรือถูกครอบงำ   
 
ด้วยความคิด ถ้าพูดในเชิงวิทยาศาสตร์ จิตอันเป็นพลังงานได้สูญเสีย คือ    
 
ไหลออกตลอดเวลา กล่าวคือ ไหลไปกับอายตนะทัง 6 และความปรุงแต่ง   
 
คิดนึกถึงเรื่องในอดีตบ้าง เรื่องในอนาคตบ้าง คิดนึกจนเป็นความหวง ห่วง    
 
เยื่อใย อาลัยอาวรณ์ ทำให้จิตสูญเสียกำลัง เหลือจิตสำนึกหรือสำนึกรู้ที่อยู่   
 
กับตนเองเพียงไม่ถึง 10 % อันเป็นเหตุให้จิตสำนึกหรือสำนึกรู้ อยู่ภายใต้   
 
ความครอบงำของกิเลส อาทิ ความโลภ ความทะยานอยาก ความโกรธ    
 
ความหลงและสารพัดกิเลสที่จรเข้ามาตลอดเวลา ทำให้จิตไม่อาจจะมีพลัง   
 
เป็นสำนึกรู้ที่อยู่เหนือความครอบงำของกิเลสที่เปรียบเสมือนเมฆหมอก   
 
ที่ปกคลุมจิตได้ ทำให้ธรรมชาติเดิมแท้ของจิตไม่อาจจะฉายแสงออกมาได้    
 
แต่กระนั้น ก็ยังไม่ถึงกับหมดหนทางต่อสู้กับกิเลส เพราะนอกเหนือจากกิเลส   
 
อันเป็นเจตสิกฝ่ายอกุศลที่เกิด-ดับพร้อมกับจิต ที่เปรียบเสมือนกับแขนขา    
 
ที่พาเราลุยเดินไปข้างหน้าแบบไร้ทิศทางเหมือนคนตาบอด แต่จิตก็ยังมี   
 
องค์ธรรมคือสติ และ สัมปชัญญะที่เปรียบเสมือนดวงตาทั้งสองอันเป็น   
 
เครื่องนำทางแก่จิต ซึ่งสามารถฝ่าวงล้อมกิเลสออกมาอยู่เหนือเมฆหมอก   
 
คือกิเลสที่ปกคลุมบดบังจิตไว้ได้ หรือถ้าจะหากเปรียบกับครอบครัวหนึ่ง    
 
จิตก็เปรียบเหมือนลูก สติเปรียบเหมือนพ่อ สัมปชัญญะเปรียบเหมือนแม่    
 
เมื่อลูกถูกครอบงำด้วยกิเลส เหตุเพราะชอบท่องเที่ยวหรือไหลไปกับ   
 
อารมณ์ปรุงแต่งต่างๆนานาที่ผ่านเข้ามาทางอายตนะทั้ง 6 จึงมีแต่พ่อ   
 
และแม่เท่านั้นที่รักลูกอย่างแท้จริงและพอจะเป็นที่พึ่งของลูกได้ เมื่อพ่อ   
 
และแม่สามารถฝ่าวงล้อมของกิเลสออกมาได้ โดยอาศัยสติปัฏฐาน 4    
 
เป็นฐานเป็นกำลังเป็นเครื่องอาศัย กล่าวคือเริ่มต้นจากฐานกายหรือ   
 
กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็นฐานกำลังให้แก่พ่อแม่ฝ่าวงล้อมเมฆ   
 
หมอกของกิเลสออกมาได้ โดยเริ่มจากแม่ดูแลบ้านคือร่างกายด้วย   
 
ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม และพ่อคือสติก็อยู่รักใคร่กลมเกลียวกับแม่เป็น   
 
สติรู้ความรู้สึกของแม่อย่างทั่วถึง พ่อแม่รักใคร่กลมเกลียวเป็นอันหนึ่   
 
งอันเดียวกัน พร้อมกับคอยสอดส่องดูแลลูกอยู่ห่างๆ แต่ถ้าพ่อแม่   
 
ทะเลาะกัน ตบตีกัน ก็ไม่มีเวลาคอยสอดส่องดูแลลูกเลยแม้แต่น้อย    
 
ก็ปล่อยให้ลูกหนีไปเที่ยวเสพอารมณ์ต่างๆที่มากระทบจนลุ่มหลง   
 
โงหัวไม่ขึ้น มิหนำซ้ำพ่อแม่ก็พลอยเผลอไปเห็นดีเห็นงามกับลูก   
 
และไปร่วมเสพอารมณ์ต่างๆนั้นด้วย ฉะนั้น ครูบาอาจารย์จึงได้ให้   
 
อุบายล้อมกรอบลูกไม่ให้หนีท่องเที่ยวไป โดยผูกไว้กับลมหายใจ   
 
เข้าออกบ้าง ท้องพองยุบบ้าง คำบริกรรมพุทโธบ้าง และอื่นๆ เมื่อ   
 
ลูกอยู่กับอุบายข้างต้น ลูกก็จะเลิกซุกซนไม่ไหลท่องเที่ยวไปใน   
 
อารมณ์ต่างๆ พ่อแม่ก็โล่งใจเบาใจไม่ต้องคอยกระหนาบหรือประกบ   
 
ลูกแบบใกล้ชิด เพียงแต่คอยดูแลลูกอยู่ห่างๆ ไม่ต้องกังวลไปกับลูก   
 
มากนัก จึงมีเวลาที่จะดูแลเหย้าเรือนคือกายนี้ปัดกวาดเช็ดถูเรือนคือ   
 
กายนี้อยู่เนืองๆ ด้วยการที่แม่มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมเสมือนอาบน้ำ   
 
เรือนกายนี้ และพ่อก็คอยขัดสีฉวีวรรณเรือนกายนี้ไปพร้อมๆกับน้ำที่   
 
ชะโลมกายนี้อย่างทั่วถึง เกิดเป็นความสดชื่น ผ่องใส รู้ ตื่น เบิกบาน    
 
พร้อมๆกับทอดสายตา ชำเลืองดูแลลูกน้อง เห็นความเป็นไปของลูก   
 
ต่างๆนานา จนลูกเกิดความเป็นกลางๆ เลิกเที่ยวซุกซนไปในที่สุด    
 
พ่อแม่ก็เบาอกเบาใจไม่ต้องคอยกังวลกับบ้านช่อง เพียงแค่สักแต่ว่า   
 
รู้ๆๆ เห็นความเป็นไปของบ้านคือกายแบบทั่วพร้อม เมื่อเห็นแบบ   
 
ทั่วพร้อมว่าไม่มีความขัดข้องใดๆในบ้านคือกายนี้ พ่อแม่ก็โล่งใจ    
 
เบาใจ จนเกิดเป็นสำนึกรู้ที่รู้เองเห็นเอง ไม่ต้องคอยเคร่งเครียดกับ   
 
การดูแลบ้านหรือกายนี้อีกต่อไป พ่อแม่ก็เริ่มรู้จักละวางกายนี้ มีเวลา   
 
ที่จะไปอบรมสั่งสอนลูก ขัดเกลาจิตใจลูกให้ห่างไกลจากอนุสัยกิเลส   
 
ซึ่งคอยชักใยความประพฤติต่างๆนานาของลูกอยู่เบี้องหลัง ทำให้ลูก   
 
เริ่มมีปัญญารู้เท่าทันอนุสัยกิเลสที่คอยกำกับชักใยอยู่เบื้องหลัง ทำให้   
 
เยื่อใยที่ร้อยรัดจิตใจลูกด้วยตัณหาอุปาทานเริ่มคลายออก บางครั้งก็   
 
คลายออกได้มาก บางครั้งก็ยังหน่วงเหนี่ยวลูกน้อยเอาไว้ จนปมที่ผูกรัด   
 
ลูกเอาไว้เริ่มคลายออกๆ และค่อยๆขาดออกไปทีละเส้นๆ ๆ จนลูกเริ่ม   
 
เป็นไทเป็นอิสระจากกิเลสที่ร้อยรัดลูกเอาไว้ทีละเปราะ ทีละเปราะ    
 
ลูกก็เริ่มแสดงสภาวะเดิมแท้อันเป็นความบริสุทธิ์ (innocent) ความผ่องใส   
 
หรือความประภัสสร ปรากฏเป็นแสงจิตที่ค่อยๆฉายแสงเล็ดลอดผ่าน   
 
เมฆหมอกคือกิเลสออกมาได้ทีละน้อยๆ จนเกลียวปมของตัณหาอุปาทาน   
 
เริ่มขาดไปทีละเส้นๆๆ ลูกจึงเริ่มมีพละกำลังพอที่จะแสดงความบริสุทธิ์   
 
 ความกระจ่าง ผ่องใสของตนออกมา เป็นความโล่งใจ หxxxังวลแก่พ่อแม่    
 
จนเมฆหมอกคือกิเลสได้จางคลายไป เปิดประตูใจให้แก่พ่อ แม่ ลูกได้   
 
สวมกอดกันเป็นใจผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน อันอยู่เหนือความครอบงำของ   
 
กิเลสคืออวิชชา วิชชาคือความรู้แจ้งโลกตามความเป็นจริงจึงได้เกิดขึ้น   
 
แก่พ่อ แม่ ลูก ปีติปราโมทย์ก็ได้เกิดขึ้นแก่พ่อ แม่ ลูก เพราะเห็นแจ้ง   
 
สรรพสิ่งทั้งปวงตามความเป็นจริงอันได้แก่ สามัญญลักษณะและ   
 
ปัจจยาการในสิ่งทั้งปวง เกิดความจางคลาย ความคลายออกจาก   
 
ความทะยานอยากและความยึดมั่นถือมั่นไปโดยลำดับ จนกระทั่งปม   
 
อันร้อยรัดพ่อ แม่ ลูกด้วยตัณหา อุปาทาน ให้ต้องวนเวียนท่องเที่ยว   
 
ไปในวัฏฏของวิญญาณทั้ง 6 ไม่มีที่สิ้นสุดได้เริ่มคลาย หลุดออกไป   
 
ทีละเส้นๆ จนขาดสะบั้นไป ไม่มีเยื่อใยของการร้อยรัดด้วยตัณหา   
 
อุปาทานอีกต่อไป อันเป็นหนทางดำเนินสู่วิมุตติและความหลุดพ้น    
 
ได้ในที่สุด   
 
******************************************************************************************** | 
 
        
          |   | 
         
 | 
 
 
 | 
 | 
  | 
วิโมกข์ 
ผู้เยี่ยมชม 
  
 
 
 
 
 | 
 ตอบเมื่อ:
27 มิ.ย.2005, 6:51 pm | 
   | 
 
 
 
การบ้านภาวนาครั้งที่ 3  คือ ดูการทำงานร่วมกันระหว่างพ่อ แม่ ลูก   
 
   
 
                                 ธรรมชาติของจิตย่อมท่องเที่ยวไป อาทิ ท่องเที่ยวไหลไปกับรูปทางตา เสียงทางหู กลิ่นทางจมูก  ลิ้มรสทางลิ้น  สัมผัสทางกาย และธรรมารมณ์ทางใจและเมื่อเกิดการรับรู้ทางอายตนะทั้ง 6 ก็เกิดการปรุงแต่งเป็นความคิดนึกและเป็นความรู้สึกต่างๆนานา  จิตไหลไปกับความคิดหรือถูกครอบงำด้วยความคิด  ถ้าพูดในเชิงวิทยาศาสตร์   จิตอันเป็นพลังงานได้สูญเสีย คือ  ไหลออกตลอดเวลา  กล่าวคือ  ไหลไปกับอายตนะทัง 6 และความปรุงแต่งคิดนึกถึงเรื่องในอดีตบ้าง เรื่องในอนาคตบ้าง คิดนึกจนเป็นความหวง ห่วง เยื่อใย อาลัยอาวรณ์  ทำให้จิตสูญเสียกำลัง เหลือจิตสำนึกหรือสำนึกรู้ที่อยู่กับตนเองเพียงไม่ถึง 10 %  อันเป็นเหตุให้จิตสำนึกหรือสำนึกรู้อยู่ภายใต้ความครอบงำของกิเลส อาทิ ความโลภ ความทะยานอยาก ความโกรธ ความหลงและสารพัดกิเลสที่จรเข้ามาตลอดเวลา  ทำให้จิตไม่อาจจะมีพลังเป็นสำนึกรู้ที่อยู่เหนือความครอบงำของกิเลสที่เปรียบเสมือนเมฆหมอกที่ปกคลุมจิตได้  ทำให้ธรรมชาติเดิมแท้ของจิตไม่อาจจะฉายแสงออกมาได้  แต่กระนั้น ก็ยังไม่ถึงกับหมดหนทางต่อสู้กับกิเลส  เพราะนอกเหนือจากกิเลสอันเป็นเจตสิกฝ่ายอกุศลที่เกิด-ดับพร้อมกับจิต  ที่เปรียบเสมือนกับแขนขา   ที่พาเราลุยเดินไปข้างหน้าแบบไร้ทิศทางเหมือนคนตาบอด แต่จิตก็ยังมีองค์ธรรมคือสติ และ สัมปชัญญะที่เปรียบเสมือนดวงตาทั้งสองอันเป็นเครื่องนำทางแก่จิต ซึ่งสามารถฝ่าวงล้อมกิเลสออกมาอยู่เหนือเมฆหมอกคือกิเลสที่ปกคลุมบดบังจิตไว้ได้   หรือถ้าจะหากเปรียบกับครอบครัวหนึ่ง  จิตก็เปรียบเหมือนลูก สติเปรียบเหมือนพ่อ  สัมปชัญญะเปรียบเหมือนแม่  เมื่อลูกถูกครอบงำด้วยกิเลส เหตุเพราะชอบท่องเที่ยวหรือไหลไปกับอารมณ์ปรุงแต่งต่างๆนานาที่ผ่านเข้ามาทางอายตนะทั้ง 6  จึงมีแต่พ่อและแม่เท่านั้นที่รักลูกอย่างแท้จริงและพอจะเป็นที่พึ่งของลูกได้    เมื่อพ่อและแม่สามารถฝ่าวงล้อมของกิเลสออกมาได้ โดยอาศัยสติปัฏฐาน 4 เป็นฐานเป็นกำลังเป็นเครื่องอาศัย กล่าวคือเริ่มต้นจากฐานกายหรือกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็นฐานกำลังให้แก่พ่อแม่ฝ่าวงล้อมเมฆหมอกของกิเลสออกมาได้  โดยเริ่มจากแม่ดูแลบ้านคือร่างกายด้วยความรู้สึกตัวทั่วพร้อม และพ่อคือสติก็อยู่รักใคร่กลมเกลียวกับแม่เป็นสติรู้ความรู้สึกของแม่อย่างทั่วถึง  พ่อแม่รักใคร่กลมเกลียวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พร้อมกับคอยสอดส่องดูแลลูกอยู่ห่างๆ แต่ถ้าพ่อแม่ทะเลาะกัน ตบตีกัน ก็ไม่มีเวลาคอยสอดส่องดูแลลูกเลยแม้แต่น้อย ก็ปล่อยให้ลูกหนีไปเที่ยวเสพอารมณ์ต่างๆที่มากระทบจนลุ่มหลงโงหัวไม่ขึ้น มิหนำซ้ำพ่อแม่ก็พลอยเผลอไปเห็นดีเห็นงามกับลูกและไปร่วมเสพอารมณ์ต่างๆนั้นด้วย  ฉะนั้น ครูบาอาจารย์จึงได้ให้อุบายล้อมกรอบลูกไม่ให้หนีท่องเที่ยวไป โดยผูกไว้กับลมหายใจเข้าออกบ้าง ท้องพองยุบบ้าง คำบริกรรมพุทโธบ้าง  และอื่นๆ  เมื่อลูกอยู่กับอุบายข้างต้น ลูกก็จะเลิกซุกซนไม่ไหลท่องเที่ยวไปในอารมณ์ต่างๆ  พ่อแม่ก็โล่งใจเบาใจไม่ต้องคอยกระหนาบหรือประกบลูกแบบใกล้ชิด  เพียงแต่คอยดูแลลูกอยู่ห่างๆ  ไม่ต้องกังวลไปกับลูกมากนัก จึงมีเวลาที่จะดูแลเหย้าเรือนคือกายนี้ปัดกวาดเช็ดถูเรือนคือกายนี้อยู่เนืองๆ ด้วยการที่แม่มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมเสมือนอาบน้ำเรือนกายนี้ และพ่อก็คอยขัดสีฉวีวรรณเรือนกายนี้ไปพร้อมๆกับน้ำที่ชะโลมกายนี้อย่างทั่วถึง เกิดเป็นความสดชื่น  ผ่องใส รู้ ตื่น เบิกบาน  พร้อมๆกับทอดสายตา ชำเลืองดูแลลูกน้อง  เห็นความเป็นไปของลูกต่างๆนานา  จนลูกเกิดความเป็นกลางๆ เลิกเที่ยวซุกซนไปในที่สุด พ่อแม่ก็เบาอกเบาใจไม่ต้องคอยกังวลกับบ้านช่อง เพียงแค่สักแต่ว่ารู้ๆๆ  เห็นความเป็นไปของบ้านคือกายแบบทั่วพร้อม เมื่อเห็นแบบทั่วพร้อมว่าไม่มีความขัดข้องใดๆในบ้านคือกายนี้ พ่อแม่ก็โล่งใจ เบาใจ จนเกิดเป็นสำนึกรู้ที่รู้เองเห็นเอง ไม่ต้องคอยเคร่งเครียดกับการดูแลบ้านหรือกายนี้อีกต่อไป  พ่อแม่ก็เริ่มรู้จักละวางกายนี้  มีเวลาที่จะไปอบรมสั่งสอนลูก ขัดเกลาจิตใจลูกให้ห่างไกลจากอนุสัยกิเลสซึ่งคอบชักใยความประพฤติต่างๆนานาของลูกอยู่เบี้องหลัง  ทำให้ลูกเริ่มมีปัญญารู้เท่าทันอนุสัยกิเลสที่คอยกำกับชักใยอยู่เบื้องหลัง ทำให้เยื่อใยที่ร้อยรัดจิตใจลูกด้วยตัณหาอุปาทานเริ่มคลายออก  บางครั้งก็คลายออกได้มาก  บางครั้งก็ยังหน่วงเหนี่ยวลูกน้อยเอาไว้  จนปมที่ผูกรัดลูกเอาไว้เริ่มคลายออกๆ และค่อยๆขาดออกไปทีละเส้นๆ ๆ  จนลูกเริ่มเป็นไทเป็นอิสระจากกิเลสที่ร้อยรัดลูกเอาไว้ทีละเปราะ  ทีละเปราะ  ลูกก็เริ่มแสดงสภาวะเดิมแท้อันเป็นความบริสุทธิ์ (innocent) ความผ่องใส หรือความประภัสสร ปรากฏเป็นแสงจิตที่ค่อยๆฉายแสงเล็ดลอดผ่านเมฆหมอกคือกิเลสออกมาได้ทีละน้อยๆ จนเกลียวปมของตัณหาอุปาทานเริ่มขาดไปทีละเส้นๆๆ  ลูกจึงเริ่มมีพละกำลังพอที่จะแสดงความบริสุทธิ์ ความกระจ่าง ผ่องใสของตนออกมา เป็นความโล่งใจ หxxxังวลแก่พ่อแม่   จนเมฆหมอกคือกิเลสได้จางคลายไป เปิดประตูใจให้แก่พ่อ แม่ ลูกได้สวมกอดกันเป็นใจผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน  อันอยู่เหนือความครอบงำของกิเลสคืออวิชชา  วิชชาคือความรู้แจ้งโลกตามความเป็นจริงจึงได้เกิดขึ้นแก่พ่อ แม่ ลูก   ปีติปราโมทย์ก็ได้เกิดขึ้นแก่พ่อ แม่ ลูก เพราะเห็นแจ้งสรรพสิ่งทั้งปวงตามความเป็นจริงอันได้แก่ สามัญญลักษณะและปัจจยาการในสิ่งทั้งปวง เกิดความจางคลาย ความคลายออกจากความทะยานอยากและความยึดมั่นถือมั่นไปโดยลำดับ จนกระทั่งปมอันร้อยรัดพ่อ แม่ ลูกด้วยตัณหา อุปาทาน ให้ต้องวนเวียนท่องเที่ยวไปในวัฏฏของวิญญาณทั้ง 6 ไม่มีที่สิ้นสุดได้เริ่มคลาย หลุดออกไปทีละเส้นๆ จนขาดสะบั้นไป ไม่มีเยื่อใยของการร้อยรัดด้วยตัณหาอุปาทานอีกต่อไป อันเป็นหนทางดำเนินสู่วิมุตติและความหลุดพ้น ได้ในที่สุด   
 
******************************************************************************************************************   
 
   
 
การฝึกอบรมพัฒนาสติให้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น และผู้เบิกบาน ครั้งที่ 4 จะจัดให้มีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม 2548 ณ สถาบันสอนภาษา Home English Center ปิ่นเกล้า และ เนื่องจากสถานที่ฝึกอบรมสามารถรับผู้เข้าฝึกอบรมได้เพียงครั้งละ 30 คน อาตมาจึงจะเปิดการฝึกอบรมแบ่งเป็น 2 รอบ ๆ ละ 30 คน ดังนี้   
 
รอบที่ 1 เวลา 10.00  12.00 น.   
 
รอบที่ 2 เวลา 13.00 - 15.00 น.   
 
อนึ่ง ขอให้ท่านผู้สนใจได้กรุณาแจ้งความจำนงค์โดยสมัครเพื่อสำรองที่นั่งครั้งนี้ด้วย โดยการแจ้งชื่อ-นามสกุล และรอบเวลาที่ต้องการเข้าฝึกอบรม ส่งมาที่ wimoak@yahoo.comส่วนแผนที่ Home English Center กรุณาดูได้ในกระทู้ เชิญร่วมโครงการฝึกอบรมพัฒนาสติในการภาวนา ในสมาชิกสัมพันธ์ ในความเห็นที่ 104 (นิวสมบูรณ์ ต.) หรือ คลิ๊กไปดูได้ที่   http://albums.photo.epson.com/j/ViewPhoto?u=4275026&a=31594700&p=72061327  
 
                       
 
                         อนึ่ง สำหรับผู้เริ่มต้นที่ยังตามไม่ค่อยทัน หรือยังไม่แจ่มแจ้ง และรวมทั้งผู้ที่มีความตั้งใจมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติให้เกิดความต่อเนื่อง เพื่อที่เป็นการเตรียมพร้อมในการมุ่งปฏิบัติในช่วงเข้าพรรษาที่จะมาถึงในเดือนกรกฎาคมนี้  อาตมาจึงเพิ่มเวลาการฝึกอบรมรอบพิเศษ สอนเป็นการส่วนตัวหรือกลุ่มเล็กๆ  ทุกวันอังคาร และพฤหัส เวลา 18.00-20.00 น. ณ สถาบันภาษา Home English Center ปิ่นเกล้า   
 
************************************************************************************************************* | 
 
        
          |   | 
         
 | 
 
 
 | 
 | 
  | 
ดาวประกาย 
บัวพ้นดิน 
 
  
  
เข้าร่วม: 15 มิ.ย. 2005 
ตอบ: 53 
 
 
 | 
 ตอบเมื่อ:
30 มิ.ย.2005, 11:53 am | 
   | 
 
 
 
ผมนั่งสมาธิวันละครึ่งชั่วโมง มักตกสู่ภวังค์และง่วง เมื่อได้อ่านวิธีในเว็บและได้ลองปฏิบัติตามวิธีที่พระอาจารย์วิโมกข์ ทำให้ไม่ง่วงนั่งได้นาน และรู้สึกเหมือนมีแสงตรงกลางหน้าผากไม่รู้ว่า ปฏิบัติถูกรึเปล่าครับ   
 
จากคุณ : ไนท์ [ ตอบ: 29 มิ.ย. 48 20:21 ] | | | ip:203.113.56.10    
 
    
 
   
 
   
 
เก็บความคิดเห็นที่ 64 : (วิโมกข์) แจ้งลบ | อ้างอิง |    
 
   
 
   
 
เจริญพร   
 
   
 
                                   การที่ไม่ง่วง ตกภวังค์ แสดงว่าสำนึกรู้เริ่มมีกำลัง    ลอยอยู่ช่วงบน และไม่ไหลลงต่ำ อันจะทำให้ง่วงและตกภวังค์   สำนึกรู้นี้จะเริ่มพัฒนาไปเป็นใจผู้รู้  และเพราะมีสติต่อเนื่องจึงเริ่มเกิดมีแสงสว่างเกิดขึ้นตรงกลางหน้าผาก        อันนี้ ก็แสดงว่าปฏิบัติได้ก้าวหน้าไประดับหนึ่ง  แต่ข้อสำคัญระวังไม่ให้สำนึกรู้ที่กำลังพัฒนาไปเป็นใจผู้รู้ ไหลเข้าไปกับความสว่าง คือ ใช้วิธีให้สักแต่ว่ารู้ว่ามีความสว่างเกิดขึ้น ไม่เพ่งความสว่างและไม่อยากแต่อยากใด ให้สักแต่ว่ารู้เท่านั้น  สำนึกรู้จะได้พัฒนาต่อไปเป็นใจผู้รู้ยิ่งๆขึ้นไปได้โดยลำดับ   หากโยมมีเวลา ก็ลองมาเข้าคอร์สฝึกอบรมพัฒนาสติให้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ซึ่งเปิดอบรมในวันอาทิตย์และเปิดรอบพิเศษอีกต่างหากในเย็นวันอังคารและพฤหัส               การเปิดสอนในรอบพิเศษ เย็นวันอังคารและพฤหัสนี้  เป็นการเปิดสอนกลุ่มเล็กๆ  ซึ่งได้เริ่มเมื่อวานนี้  ดูแล้วผลเป็นที่น่าพอใจ   ทุกคนนั่งได้ดี แม้แต่ผู้มาใหม่ครั้งแรก  ็ก๊ได้สัมผัสใจผู้รู้  ผู้ตื่น ผู้เบิกบานทุกคน ไม่มีใครตกภวังค์  ฉะนั้น ถ้าผู้ใดที่มาฝึกอบรมกลุ่มใหญ่ในวันอาทิตย์ หากตามไม่ทัน  ก็สามารถมาร่วมฝึกกลุ่มเล็กในวันอังคารและพฤหัสได้    อนึ่ง นักปฏิบัติธรรมส่วนใหญ๋ที่ไม่ก้าวหน้าหรือถึงทางตันนั้น            เป็นเพราะว่าสำนึกรู้ไหลตกภวังค์หรือไหลเข้าไปกับการกำหนดเฉพาะที่หรือไหลเข้าไปแช่เย็นอยู่ในความนิ่ง จึงไม่สามารถพัฒนาต่อไปเป็นใจผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานได้   และการปฏิบัติเพื่อให้เกิดใจผู้รู้นี้ สามารถทำได้ทุกคน ไม่ใช่พรสวรรค์หรือเรื่องพิเศษแต่อย่างใด   อันเปรียบเหมือนเส้นผมบังภูเขา ที่ขวางกั้นทำให้นักปฏิบัติต้องเสียเวลาเนิ่นช้าอย่างยิ่ง  เรียกว่าถ้าท่านใด ยังไม่รู้ไม่เข้าใจถึงตัวภาวนาว่าคืออะไร? และจะพัฒนาให้เกิดใจผู้รู้อย่างไร?   ปฏิบัติไป ก็จอดนิ่งทุกราย  วิปัสสนาก็ไม่เกิด สมาธิก็เป็นสมาธิหัวตอ    หน้าตาก็ไม่สดชื่น ผ่องใส   จิตใจก็ทื่อๆ  ความคิดอ่านก็เชื่องช้า  ไม่ควรแก่การงาน         แถมยังเป็นคนอารมณ์ฉุนเฉียว  แลดูแปลกแยกจากสังคมเพราะทำอะไรดูจะผิดธรรมชาติ               ปฏิบัติธรรมเช่นนี้ ทำให้ประเทศชาติต้องสูญเสียทรัพยากรบุคคลที่มีค่าไปอย่างน่าเสียดาย   อาตมาเองเห็นความตั้งใจจริงของนักปฏิบัติธรรรมหลายๆท่าน และอดเป็นห่วงสงสารหลายๆท่านที่เที่ยวแสวงหากันไปต่างๆนานา  เพียรปฏิบัติกันอย่างเต็มที่ แต่หากใจผู้รู้ไม่เกิด  ก็เสียเวลาเปล่า เรียกว่าเสียเวลาทั้งชีวิต             และช่างน่าเสียดายที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แต่ก็ได้แค่เปลือกกระพี้ไปเท่านั้นเอง  ฉะนั้น โครงการฝึกอบรมฯครั้งนี้  คือ การฝึกเพื่อให้เกิดใจผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นอันดับแรก  เพราะเป็นเรื่องเส้นผมบังตานักปฏิบัติจริงๆ   อาตมาก็เป็นเพียงกัลยาณมิตรช่วยเขี่ยเส้นผมที่บังตาท่านออกเท่านั้น   ก็ขอให้ผู้ที่ยังไม่เข้าใจหรือตามไม่ทัน ให้มาต่อเนื่องสัก 2-3 ครั้ง หรือถ้ามีโอกาสก็ลองมาติวในกลุ่มเล็กดูบ้าง  แล้วเส้นผมที่บังตาท่าน จะปลิวหายไปเอง  โดยอาตมาจะเปิดรอบพิเศษกลุ่มเล็ก เย็นวันอังคารและพฤหัส ให้กับทุกท่านได้มาทบทวนปฏิบัติตลอดเดือนกรกฎาคมนี้   
 
**********************************************************************************************************   
 
การฝึกอบรมพัฒนาสติให้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น และผู้เบิกบาน ครั้งที่ 4 จะจัดให้มีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม 2548 ณ สถาบันสอนภาษา Home English Center ปิ่นเกล้า และ เนื่องจากสถานที่ฝึกอบรมสามารถรับผู้เข้าฝึกอบรมได้เพียงครั้งละ 30 คน อาตมาจึงจะเปิดการฝึกอบรมแบ่งเป็น 2 รอบ ๆ ละ 30 คน ดังนี้   
 
รอบที่ 1 เวลา 10.00  12.00 น.   
 
รอบที่ 2 เวลา 13.00 - 15.00 น.   
 
อนึ่ง ขอให้ท่านผู้สนใจได้กรุณาแจ้งความจำนงค์โดยสมัครเพื่อสำรองที่นั่งครั้งนี้ด้วย โดยการแจ้งชื่อ-นามสกุล และรอบเวลาที่ต้องการเข้าฝึกอบรม ส่งมาที่ wimoak@yahoo.comหรือโทร.05-8326441 (คุณหมอปิยะ) ส่วนแผนที่ Home English Center กรุณาดูได้ในกระทู้ เชิญร่วมโครงการฝึกอบรมพัฒนาสติในการภาวนา ในสมาชิกสัมพันธ์ ในความเห็นที่ 104 (นิวสมบูรณ์ ต.) หรือ คลิ๊กไปดูได้ที่   http://albums.photo.epson.com/j/ViewPhoto?u=4275026&a=31594700&p=72061327  
 
                       
 
                         อนึ่ง สำหรับผู้เริ่มต้นที่ยังตามไม่ค่อยทัน หรือยังไม่แจ่มแจ้ง และรวมทั้งผู้ที่มีความตั้งใจมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติให้เกิดความต่อเนื่อง เพื่อที่เป็นการเตรียมพร้อมในการมุ่งปฏิบัติในช่วงเข้าพรรษาที่จะมาถึงในเดือนกรกฎาคมนี้  อาตมาจึงเพิ่มเวลาการฝึกอบรมรอบพิเศษ สอนเป็นการส่วนตัวหรือกลุ่มเล็กๆ  ทุกวันอังคาร และพฤหัส เวลา 18.00-20.00 น. ณ สถาบันภาษา Home English Center ปิ่นเกล้า  (รอบวันธรรมดานี้ไม่ต้องสมัครจองล่วงหน้า  ท่านใดสะดวกที่จะมาร่วมก็มาได้เลย)    
 
    
 
 [url] Home English Map.doc (38.5 KB, 2 views [/url]    
 
http://www.palungjit.com/board/atta...achmentid=20531   
 
 http://www.vimokkhadhamma.com/ | 
 
        
          |   | 
         
 | 
 
 
 | 
    | 
  | 
ดาวประกาย 
ผู้เยี่ยมชม 
  
 
 
 
 
 | 
 ตอบเมื่อ:
02 ก.ค.2005, 12:51 pm | 
   | 
 
 
 
 http://albums.photo.epson.com/j/ViewPhoto?u=4257482&a=31502996&p=72143711   
 
เจริญพร   
 
   
 
ขออนุโมทนาโยมสมบูรณ์ ทำได้ดีมาก อาตมาจะได้ส่งแผนที่นี้ให้ชาวต่างประเทศที่สนใจมาอบรมได้ดู ซึ่งจะได้ประโยชน์ในการเผยแผ่ธรรมให้กับชาวต่างประเทศต่อไป   
 
   
 
สำหรับการอบรมกลุ่มเล็กวันนี้ ก็ค่อยๆเพิ่มจากวันก่อน 5 คน วันนี้ เพิ่มเป็น 10 ท่าน ก็ขออนุโมทนาที่นั่งปฏิบัติกันได้ดีทุกท่าน วันนี้ก็ให้อุบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเจริญสมาธิและการเจริญสติคู่กันไป เป็นการปฏิบัติตามนัยที่หลวงพ่อกัสสป มุนี ได้ให้อุบายกับอาตมาเสมอว่า สมาธิ และ สติ ให้เจริญไปพร้อมๆกัน คู่ขนานกันไป อันนี้ จะทำให้กระแสจิตและกระแสวิญญาณขนานแบบไม่แนบชิดกัน คือ ขนานแบบถอยห่างจากกัน กล่าวคือ สมาธิก็นิ่งไป แต่สติไม่ไปนิ่งแช่เย็นอยู่ในสมาธิด้วย คือให้สติทำงานของเขาไปด้วย เริ่มต้นจากการที่สติระลึกรู้อยู่ในความรู้สึกตัวทั่วพร้อมอันเป็นกำลังแก่สติ ขณะเดียวกันสติก็ชำเลืองดูจิตไปด้วย จิตนิ่งก็รู้ว่าจิตนิ่ง จิตคลายออกก็รู้ว่าจิตคลายออก จิตเคลื่อนไปก็รู้ว่าจิตเคลื่อนไป จนจิตตสังขารค่อยๆรำงับไป จากที่เคยนิ่งด้วยการกำกับด้วยสมถะ ก็จะเริ่มเป็นความนิ่งสงบอันเนื่องด้วยเกิดความเป็นกลางของจิตเอง โดยสติเห็นความเป็นไปของจิตโดยตลอด พร้อมๆกับ สติรู้อยู่ในความรู้สึกตัวทั่วพร้อมอันเป็นไปทั้งภายนอกทั่วสรรพางค์กาย และความรู้สึกตัวทั่วพร้อมอันเป็นไปในภายในต่างๆด้วย อาทิ ความเป็นไปของลมหายใจที่แผ่วเบาประณีต และความเป็นไปของอาการทางใจที่ค่อยๆคลายออก หรือบางครั้งยื้อๆยุดๆ และ คลายออกมากขึ้นไปตามลำดับ อันนี้ จึงเป็นการฝึกให้จิตเขาทำงานไปสู่ความนิ่ง สัมปชัญญะทำงานไปสู่ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม และสติทำงานไปสู่การระลึกรู้ในความรู้สึกตัวทั่วพร้อมอันเป็นไปทั้งภายในและภายนอก พร้อมๆกับรู้อาการความเป็นไปของจิตคู่กันไปด้วย โดยสติอยู่กลางๆสักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่ารู้รูปและนาม สักแต่ว่ารู้รูปและนามที่แยกกันแบบซ้อนๆกันอยู่ โดยสติไม่เผลอไปยึดรูปและไม่เผลอไปยึดนามนั้น ความเป็นกลางๆ สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่ารู้ ก็จะทำให้ตัวรู้สึกหรือสำนึกรู้ค่อยๆพัฒนาไปเป็นใจผู้รู้ที่มีความเป็นกลางๆมากขึ้น และถึงพร้อมด้วยปัญญาญาณหรือญาณทัสสนะไปโดยลำดับ อันนี้จึงเรียกว่าสัมปชัญญะเป็นตัวปัญญา ก็ด้วยนัยการระลึกรู้ด้วยสติดังกล่าว   
 
   
 
อนึ่ง สำหรับอุบายของครูบาอาจารย์ที่ให้จิตภาวนาพุทโธๆๆ อยู่เนืองๆ ก็จะเป็นการตัดสายพานลำเลียงกิเลสที่ฝังตัวอยู่ในอนุสัยกิเลสในจิตใต้สำนึกอยู่ลึกๆ ไม่ให้สามารถมีอิทธิพลต่อจิตสำนึกได้ เรียกว่าการภาวนาพุทโธๆๆ อยู่เนืองๆๆ จะสามารถลากกิเลสให้ไหลกลับไปสู่อนุสัยกิเลสที่ฝังตัวอยู่ในจิตใต้สำนึกหรือลากกิเลสกลับบ้านเก่านั่นเอง เมื่อกิเลสถูกลากลับบ้านเก่า หรือ ถูกตัดสายพานลำเลียงเสบียงด้วยการให้จิตภาวนาพุทโธอยู่เนืองๆๆๆ เมฆหมอกของกิเลส   
 
ที่เคยปกคลุมจิตก็จะค่อยๆจาง คลาย หายไปกลับบ้านเก่าในจิตใต้สำนึก ขณะเดียวกัน จิตสำนึกหรือสำนึกรู้ก็จะเป็นอิสระจากกิเลสและสามารถพัฒนาไปเป็นใจผู้รู้   
 
ที่อยู่เหนือความครอบงำของกิเลส เมื่อใจผู้รู้เริ่มเป็นอิสระอยู่เหนือความครอบงำของกิเลส การเห็นแจ้งตามความเป็นจริงหรือวิปัสสนาญาณ 9 หรือ ญาณ 16    
 
ก็จะเจริญงอกงามผลิดอกออกผลในที่สุด    
 
   
 
อาตมาจึงขอสรุปอย่างมั่นใจว่า การภาวนาพุทโธ ถ้าภาวนาเป็น ผลที่ได้จะได้ทั้งสมถะและวิปัสสนาไปในตัว แต่ถ้าภาวนาไม่เป็น คือ พุทโธๆๆๆ แล้วเอาทั้งสติและความรู้สึกไปกำหนดพุทโธ แบบตอกย้ำ ๆ แทนที่สติสัมปชัญญะจะพัฒนาต่อไปเป็นสำนึกรู้และใจผู้รู้ที่อยู่เหนือจิตอยู่เหนือกิเลส ตรงกันข้ามสำนึกรู้จะไหลลงไปเกาะยึดฝังตัวอยู่ในคำภาวนาพุทโธนั้น และพอนิ่งๆไปนานๆๆ มากเข้าๆ สติก็จะอ่อนกำลังลงไปอีก จนไหลลงสู่ภวังค์ในที่สุด ฉะนั้น การภาวนาพุทโธ ตามนัยดังกล่าวจึงเป็นอุบายที่ดีมากในการดึงเมฆหมอก คือกิเลสให้กลับคืนสู่อนุสัยกิเลสในจิตใต้สำนึก หรือ เท่ากับเป็นการตัดสายพานลำเลียงกิเลส ไม่ให้กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในสันดานหรืออนุสัยกิเลส ได้มีโอกาสไปแสดงฤทธิ์เดชต่อจิต หรือครอบงำจิตได้อีกต่อไป และเมื่อเมฆหมอกคือกิเลสจางคลายและหายไป สำนึกรู้ก็จะเกิดขึ้นแทนเมฆหมอกของกิเลส และสามารถพัฒนาต่อไปเป็นใจผู้รู้โดยลำดับ ส่วนอุบายในการปฏิบัติธรรมของอาตมาคือ การยกสำนึกรู้ให้อยู่เหนือกิเลส โดยอาศัยการทำความรู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่เนืองๆ พร้อมๆกับมีสติรู้ในความรู้สึกตัวทั่วพร้อมอันเป็นไปทั้งภายในและภายนอกอย่างทั่วถึง ผลของการเจริญสติในสัมปชัญญะ กล่าวคือ การระลึกรู้อยู่ในความรู้สึกตัวทั่วพร้อม จะทำให้เกิดสำนึกรู้หรือตัวรู้สึกที่ลอยอยู่เหนือกิเลส และเมื่อมีสติต่อเนื่องจนเกิดภาวะความเป็นกลางๆ อยู่เนืองๆ สำนึกรู้นี้ก็จะพัฒนาต่อไปเป็นใจผู้รู้ที่อยู่เหนือการครอบงำของกิเลส เกิดเป็นใจผู้รู้ที่ถึงพร้อมด้วยญาณปัญญาหรือญาณทัสสนะยิ่งๆขึ้นไป   
 
   
 
ฉะนั้น ในการเจริญภาวนา ถ้าผู้ปฏิบัติรู้จักใชัอุบายในการภาวนาพุทโธ (ลึกๆ แผ่วเบาแต่มีพลัง ด้วยจิตด้วยใจ) บ้าง หรือ บางครั้งฝึกเจริญสติสัมปชัญญะ คือ มีสติระลึกรู้ในความรู้สึกตัวทั่วพร้อมอันเป็นไปทั้งภายในและภายนอกอย่างทั่วถึงบ้าง หรือ อาจจะภาวนาพุทโธไปด้วย พร้อมๆกับการเจริญสติระลึกรู้ ในความรู้สึกตัวทั่วพร้อมดังกล่าวด้วย ก็จะได้รับอานิสงส์ของการใช้อุบายดึงกิเลสให้กลับบ้านเก่าคือกิเลสสันดานหรืออนุสัยกิเลสที่ฝังตัวอยู่ในจิตใต้สำนึก และพร้อมๆกันนั้นก็สามารถยกสำนึกรู้ให้อยู่เหนือกิเลส จนเกิดเป็นใจผู้รู้ที่ถึงพร้อมด้วยญาณปัญญาหรือญาณทัสสนะยิ่งๆขึ้นไป ท้ายนี้อาตมาต้องกราบน้อมระลึกในคุณครูบาอาจารย์ที่ได้ให้อุบายในการภาวนาพุทโธดังกล่าว อันเป็นอุบายในการเจริญสติ และ เจริญสมาธิคู่ขนานกันไปพร้อมๆกัน ตามนัยแห่งการทำงานประสานกันไปอย่างเหมาะเจาะพอดีตามบทบาทและหน้าที่ของพ่อคือสติ แม่คือสัมปชัญญะ และลูกคือจิต ดังที่ได้บรรยายมาก่อนหน้านี้   
 
************************************************************************************************   
 
   
 
การฝึกอบรมพัฒนาสติให้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น และผู้เบิกบาน ครั้งที่ 4 จะจัดให้มีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม 2548 ณ สถาบันสอนภาษา Home English Center ปิ่นเกล้า และ เนื่องจากสถานที่ฝึกอบรมสามารถรับผู้เข้าฝึกอบรมได้เพียงครั้งละ 30 คน อาตมาจึงจะเปิดการฝึกอบรมแบ่งเป็น 2 รอบ ๆ ละ 30 คน ดังนี้   
 
รอบที่ 1 เวลา 10.00  12.00 น.   
 
รอบที่ 2 เวลา 13.00 - 15.00 น.   
 
อนึ่ง ขอให้ท่านผู้สนใจได้กรุณาแจ้งความจำนงค์โดยสมัครเพื่อสำรองที่นั่งครั้งนี้ด้วย โดยการแจ้งชื่อ-นามสกุล และรอบเวลาที่ต้องการเข้าฝึกอบรม ส่งมาที่ wimoak@yahoo.comหรือโทร.05-8326441 (คุณหมอปิยะ) ส่วนแผนที่ Home English Center กรุณาดูได้ในกระทู้ เชิญร่วมโครงการฝึกอบรมพัฒนาสติในการภาวนา ในสมาชิกสัมพันธ์ ในความเห็นที่ 104 (นิวสมบูรณ์ ต.) หรือ คลิ๊กไปดูได้ที่   http://albums.photo.epson.com/j/ViewPhoto?  
 
u=4275026&a=31594700&p=72061327   
 
   
 
อนึ่ง สำหรับผู้เริ่มต้นที่ยังตามไม่ค่อยทัน หรือยังไม่แจ่มแจ้ง และรวมทั้งผู้ที่มีความตั้งใจมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติให้เกิดความต่อเนื่อง เพื่อที่เป็นการเตรียมพร้อมในการมุ่งปฏิบัติในช่วงเข้าพรรษาที่จะมาถึงในเดือนกรกฎาคมนี้ อาตมาจึงเพิ่มเวลาการฝึกอบรมรอบพิเศษ สอนเป็นการส่วนตัวหรือกลุ่มเล็กๆ ทุกวันอังคาร และพฤหัส เวลา 18.00-20.00 น. ณ สถาบันภาษา Home English Center ปิ่นเกล้า (รอบวันธรรมดานี้ไม่ต้องสมัครจองล่วงหน้า ท่านใดสะดวกที่จะมาร่วมก็มาได้เลย)   
 
 | 
 
        
          |   | 
         
 | 
 
 
 | 
 | 
  | 
ดาวประกาย 
บัวพ้นดิน 
 
  
  
เข้าร่วม: 15 มิ.ย. 2005 
ตอบ: 53 
 
 
 | 
 ตอบเมื่อ:
04 ก.ค.2005, 1:48 pm | 
   | 
 
 
 
การฝึกอบรมพัฒนาสติให้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น และผู้เบิกบาน ครั้งที่ 5    
 
จะจัดให้มีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม 2548 ณ สถาบันสอนภาษา    
 
Home English Center ปิ่นเกล้า และ เนื่องจากสถานที่ฝึกอบรมสามารถรับผู้เข้าฝึกอบรมได้เพียงครั้งละ 30 คน อาตมาจึงจะเปิดการฝึกอบรมแบ่งเป็น 2 รอบ ๆ ละ 30 คน ดังนี้    
 
รอบที่ 1 เวลา 10.00  12.00 น.    
 
รอบที่ 2 เวลา 13.00 - 15.00 น.    
 
อนึ่ง ขอให้ท่านผู้สนใจได้กรุณาแจ้งความจำนงค์โดยสมัครเพื่อสำรองที่นั่งครั้งนี้ด้วย โดยการแจ้งชื่อ-นามสกุล และรอบเวลาที่ต้องการเข้าฝึกอบรม ส่งมาที่ wimoak@yahoo.comหรือโทร.05-8326441 (คุณหมอปิยะ) ส่วนแผนที่ Home English Center สามารถคลิ๊กไปดูได้ที่    http://albums.photo.epson.com/j/ViewPhoto?u=4275026&a=31594700&p=72061327   
 
   
 
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------    
 
   
 
การบ้านภาวนาครั้งที่ 4 เจริญสติ เจริญปัญญากับความไม่เที่ยง    
 
   
 
โดยธรรมชาติ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่เคลื่อนไปสู่ความไม่เที่ยง อาทิ จากเด็ก ก็เคลื่อนไปสู่วัยหนุ่มสาว จากวัยหนุ่มสาวก็เคลื่อนไปสู่ความแก่ ความแก่ก็เคลื่อนไปสู่ความเจ็บและความตายในที่สุด มองไปเห็นฝูงชนหรือกลุ่มคนเบื้องหน้า ก็ไม่ต้องพิจารณาอะไรมากมายเลย พอเห็นเท่านั้น มันก็แยกแยะเสร็จไปในตัว ว่านี่เด็ก นี่หนุ่มสาว นี่ผู้ใหญ่ นี่คนแก่ ซึ่งล้วนแสดงภาพของความไม่เที่ยงอยู่เฉพาะหน้า ฉะนั้น การเห็นสิ่งใด จงเจริญสติให้เห็นความไม่เที่ยงในสิ่งนั้น เห็นความสวยงาม ก็มีสติเห็นความสวยงามที่ไม่จีรัง คือ ความสวยงามที่กำลังค่อยๆเคลื่อนไปสู่ความเสื่อมร่วงโรยไปในที่สุด มองดูตัวเราเอง เสื้อผ้าที่สวมใส่ เมื่อเริ่มใส่ก็สะอาดสะอ้าน พอตกเย็นก็เริ่มมอซอ ร่างกายอันสดชื่นก็เริ่มมีกลิ่นเหงื่อไคล อาบน้ำเสร็จ ก็สะอาด พอซักพักก็เริ่มเหนอะหนะเหนียวตัว แม้กระทั่งความคิด ก็ล้วนเคลื่อนไปสู่ความไม่เที่ยง เคลื่อนจากการคิดเรื่องหนึ่งไปสู่อีกเรื่องหนึ่ง และไปสู่อีกเรื่องหนึ่ง บางครั้งจนยั้งคิดไม่อยู่ หรือคิดข้ามวันข้ามคืน แม้ลมหายใจ ก็ต้องมีเข้า-มีออก ทุกอย่างที่กล่าวมาเป็นตัวอย่างในชีวิตประจำวันที่เคลื่อนไปสู่ความไมี่เที่ยงอยู่เนืองนิจ แต่เพราะโมหะหรืออวิชชา ทำให้เราเผลอใจขาดสติไปหลงยึดความสวยความงาม ความสดใส ต่างๆนานา จนคลุกคลีคลุกเคล้าจนพอใจ จนไม่รู้จักพอ ในที่สุด ก็เผลอสติขาดสัมปชัญญะ จนจิตสำนึกหรือสำนึกรู้มีแต่ไหลออก ไหลออก ตลอดเวลา คือ    
 
ไหลออกไปทางตาไปยึดรูปบ้าง    
 
ไหลออกทางหูไปยึดเสียงบ้าง    
 
ไหลออกทางจมูกไปยึดกลิ่นบ้าง    
 
ไหลออกทางลิ้นไปยึดรสชาดบ้าง    
 
ไหลออกทางกายไปยึดสัมผัสบ้าง    
 
ไหลออกทางใจไปยึดธรรมารมณ์หรือความรู้สึกในใจบ้าง    
 
และที่ไหลออกมากที่สุด เห็นจะเป็นการไหลออกรั่วออกไปกับความคิด อันเป็นไปในอดีตบ้าง ความคิดอันเป็นไปในอนาคตบ้าง ต่างๆนานา    
 
จนจิตสำนึกหรือสำนึกรู้ (conscious) อยู่กับตัวเองไม่ถึง 10 % แม้จะนั่งหลับตาภาวนา ก็ยังไม่แคล้วไหลออกไปความคิดฟุ้งซ่าน หรือ แม้แต่ไหลไปกับมโนวิญญาณไปหลงไหลใน นิมิต ปีติสุข หรือธรรมารมณ์ต่างๆที่ใจเจ้าของเป็นผู้หลอกตัวเจ้าของเอง ฉะนั้น เมื่อธรรมทั้งหลายล้วนแต่แสดงความไม่เที่ยง หากเรามีความสุขจอมปลอมจนเคยชิน จิตสำนึกหรือสำนึกรู้ ก็จะรั่วไหลออกดังกล่าว แต่หากเรารู้จักใช้ความไม่เที่ยงของสิ่งทั้งปวงให้เกิดประโยชน์ จะเห็นว่าการเห็นความไม่เที่ยงอยู่เนืองๆ จะเอื้ออำนวยต่อการพัฒนาสติได้อย่างดียิ่ง ตรงกันข้ามความนิ่งเฉยกลับทำให้สติถอยกำลังลง เพราะเหตุสำนึกรู้ไหลไปเกาะยึดตัวตนจนสำคัญมั่นหมายผิดว่าเที่ยงคงทนและน่าใคร่น่าหลงใหลเพลิดเพลิน    
 
   
 
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ความนิ่งเฉยแม้จะเป็นประโยชน์ให้จิตเกิดความสงบ แต่เมื่อสงบนานๆ จนนิ่งเฉย จนจิตสำนึกหรือสำนึกรู้หลงเข้าไปยึดเกาะจนอยู่ภายใต้การครอบงำของความสุขสงบนั้น สติก็จะถอยกำลังอ่อนกำลังลงไปในทันที สติก็จะไม่พัฒนาต่อ แต่หากจิตสำนึกหรือสำนึกรู้เห็นความจริงในสิ่งทั้งปวงนั้นว่าล้วนกำลังเคลื่อนไปสู่ความไม่เที่ยง สติก็จะทำงานเองไปโดยปริยาย เพราะเห็นแล้วปล่อย เห็นแล้ววางในความจอมปลอมหลอกลวงของสิ่งทั้งปวงนั้น แต่บุคคลนั้นจำเป็นต้องฉลาดในอุบายเช่นกัน คือ ต้องมีปัญญาเห็นความจริงในความไม่เที่ยงของสิ่งทั้งปวง ความที่อาจจะเคยยึด ก็จะเกิดการปล่อย และแม้จะเผลอไปยึดอีก ก็จะเกิดการปล่อยอีก เมื่อรู้แล้วปล่อย เพราะเหตุมีปัญญา คือสัมมาทิฏฐิเห็นความไม่เที่ยงในสิ่งเหล่านั้น อันความไม่เที่ยงในสิ่งทั้งปวงก็จะแสดงความแตกต่างหรือเปรียบเทียบให้ใจเจ้าของเห็นไปโดยปริยาย อาทิ การสัมผัสในสิ่งที่หยาบ ไปสู่สัมผัสในสิ่งที่นุ่มนวล สัมผัสในสิ่งที่เย็นไปสู่สัมผัสในสิ่งที่อุ่นหรือเย็นน้อยกว่า และอื่นๆ ซึ่งอาการแตกต่างหรือเปรียบเทียบเช่นนี้ ก็แสดงภาวะของความไม่เที่ยงในตัวของมันนั่นเอง และจะเห็นว่าเป็นประโยชน์มากในการกระตุ้นเตือนความรู้สึกที่แตกต่างกันในสัมผัสนี้นๆ โดยไม่ต้องเสียเวลาหยุดคิดหรือพิจารณาด้วยความคิดนึกปรุงแต่งแต่อย่างใด ตรงกันข้ามก็จะมีสติรู้ความรู้สึกสัมผัสนั้น และเกิดปัญญาอันเนื่องมาจากการมีสติรู้ความรู้สึกในสัมผัสนั้น การมีสติรู้ในสัมปชัญญะ ก็จะเป็นเหตุให้สัมปชัญญะเป็นตัวปัญญาได้ ตามนัยที่อรรถกถาจารย์ทั้งหลายได้อธิบายว่าสัมปชัญญะก็คือตัวปัญญา ก็ด้วยเหตุมีสติรู้ในความรู้สึกตัวทั่วพร้อม หรือมีสติรู้ในสัมปชัญญะด้วยเหตุดังนี้แล และเมื่อเรามีสติเรียนรู้โดยการรู้ถึงความรู้สึกสัมผัสของสิ่งรอบกาย จนเกิดเป็นสัมปชัญญะคือความรู้สึกตัวทั่วพร้อม เชื่อมประสานการรับรู้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ ให้เป็นหนึ่งเดียวด้วยสัมปชัญญะหรือความรู้สึกตัวทั่วพร้อม จนเกิดเป็นแต่ว่าสักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่ารู้ โดยไม่แบ่งแยกการรับรู้ในแต่ละทวารซึ่งผู้ปฏิบัตโดยมากมักเคยชินกับการรับรู้แบบจรดจ้องเพื่อรู้ความเป็นไปในแต่ละทวารจนเกิดการแบ่งแยกอันหนีไม่พ้นจากสมมติบัญญัติ มาเป็นการรับรู้แบบธรรมชาติคือรู้ทั่วถึงทุกๆทวารแบบองค์รวม อันเป็นการรับรู้ที่เป็นหนึ่งเดียว คือ เป็นการรับรู้ของวิญญาณธาตุ ที่เชื่อมประสานต่อเนื่องกันด้วยสัมปชัญญะเป็นหนึ่งเดียว และมีสติรู้หรือสักแต่ว่ารู้อันเกิดจากวิญญาณธาตุทางอายตนะทั้ง 6 ที่เชื่อมประสานกลมกลืนกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหรือเป็นผืนเดียวกันด้วยสัมปชัญญะหรือความรู้สึกตัวทั่วพร้อมอันเป็นไปทั้งภายนอกและภายในนั้น พร้อมๆกับทิ้งสมมติบัญญัติทั้งหลายอันเกิดจากการแบ่งแยกทางตา หู จมุก ลิ้น กาย และใจ สติก็จะพัฒนาเป็นสำนึกรู้ที่รู้แบบถอยห่างหรืออยู่เหนือการรับรู้ของวิญญาณธาตุที่เชื่อมสานเป็นหนึ่งเดียวกันดังกล่าว จนเกิดเป็นใจผู้รู้ที่อยู่เหนือวิญญาณขันธ์ อันเป็นหัวใจสำคัญของการยกจิตอยู่เหนือขันธ์ 5 หรือยกใจผู้รู้ขึ้นสู่อายตนะทั้ง 6 ด้วยอุบายดังที่ได้บรรยายมาข้างต้น อันเป็นการพ้นจากวัฏฏของวิญญาณทั้ง 6 ที่ร้อยรัดใจผู้รู้นี้ให้อยู่ภายใต้อำนาจของขันธ์ 5 ไม่สามารถแหวกว่ายหรือมีใจผู้รู้ที่เป็นอิสระคืออยู่เหนือวัฏฏของวิญญาณทั้ง 6 ได้ การมีสติเรียนรู้หรือรู้สัมปชัญญะคือความรู้สึกตัวทั่วพร้อมอันเป็นไปในกาย เวทนา จิต และธรรมโดยลำดับ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือมีสติรู้ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมอันเป็นไปในรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณนั้น เมื่อเจริญอยู่เนืองๆ ความหมดจด ความผ่องใสของจิตก็จะเกิดขึ้นโดยลำดับ จนจิตเดิมแท้เริ่มพ้นจากเมฆหมอกของกิเลสตัณหาที่ปกคลุมจิตเอาไว้ จนในที่สุดเป็นอิสระอยู่เหนือการครอบงำของกิเลสทั้งหลายจนสามารถฉายแสงจิตเดิมแท้หรือจิตประภัสสรให้ปรากฏ อันเป็นผลมาจากผู้ปฏิบัติเริ่มเกิดใจผู้รู้ที่อยู่เหนือขันธ์ 5 อีกนัยหนึ่งก็คือเกิดใจผู้รู้ที่เริ่มอยู่เหนือสมมติบัญญัติทั้งหลาย จนเกิดเป็นญาณทัสสนะ เบื้องต้นก็คือยถาภูตญาณทัสสนะ คือเห็นโลกและสิ่งทั้งปวงตามความเป็นจริง ด้วยเหตุใจผู้รู้อยู่เหนือโลกคือขันธ์ 5 อันเป็นการปฏิบัติเข้าสู่ท่างอริยมรรค ส่วนผลนั้นก็ขึ้นอยู่กับผู้บำเพ็ญว่าเมื่อรถวิ่งเข้าสู่รันเวย์แล้ว จะจอดแช่นิ่ง หรือจะขับไปบ้างจอดไปบ้าง หรือจะขับเคลื่อนไปเดินหน้าไปด้วยความเพียรคือเจริญเนืองๆ อย่างต่อเนื่อง จนถึงที่สุดแห่งทุกข์ อันเป็นไปตามกำลังแห่งการบำเพ็ญ กล่าวคือความเพียรของผู้ปฏิบัติ อันถึงพร้อมด้วย อาตาปี สัมปชาโน สติมา คือ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ ดังที่ได้ทรงตรัสไว้ในที่สุดแห่งการปฏิบัติโดยย่อ คือ สรุปการเจริญสติปัฏฐาน 4 ขมวดปมเหลือเพียงการปฏิบัติ 3 ประการ คือ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ และมีสติ    
 
   
 
ฉะนั้น การบ้านภาวนาครั้งที่ 4 นี้ ก็คือ อาศัยความไม่เที่ยงของสิ่งรอบข้างเป็นเครื่องเจริญสติ เจริญปัญญาเพื่อนำพาทุกท่านเข้าสู่อริยมรรค เมื่อเข้าสู่อริยมรรค และพึงเจริญด้วยความเพียร ด้วยสติ ด้วยสัมปชัญญะดังกล่าว ผลก็ย่อมเกิดตามมาเอง คือถึงมรรคผลได้ตามนัยดังที่ได้อธิบายมาข้างต้น    
 
   
 
*************************************************************************************************    
 
   
 
   
 
:- หมายเหตุ     
 
(1) สำหรับผู้เริ่มต้นที่ยังตามไม่ค่อยทัน หรือยังไม่แจ่มแจ้ง และรวมทั้งผู้ที่มีความตั้งใจมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติให้เกิดความต่อเนื่อง เพื่อที่เป็นการเตรียมพร้อมในการมุ่งปฏิบัติในช่วงเข้าพรรษาที่จะมาถึงในเดือนกรกฎาคมนี้ อาตมาจึงเพิ่มเวลาการฝึกอบรมรอบพิเศษ สอนเป็นการส่วนตัวหรือกลุ่มเล็กๆ ทุกวันอังคาร และพฤหัส เวลา 18.00-20.00 น. ณ สถาบันภาษา Home English Center ปิ่นเกล้า (รอบวันธรรมดานี้ไม่ต้องสมัครจองล่วงหน้า ท่านใดสะดวกที่จะมาร่วมก็มาได้เลย)   
 
   
 
(2) สำหรับผู้ที่มีความประสงค์จะพาเด็กมาร่วมฝึกนั่งสมาธิด้วยนั้น  อาตมาจะสอนสมาธิสำหรับเด็กเล็ก ( ป.3 ขึ้นไป) ในช่วงพักเที่ยงถึงบ่ายโมง โดยขอให้ผู้ปกครองนำการบ้าน สมุดวาดระบายสี หรืออื่นๆ ให้เด็กๆได้มีกิจกรรมทำ ในช่วงขณะอบรมผู้ใหญ่ เพื่อที่ผู้ปกครองที่นำเด็กมาด้วยจะได้ไม่ต้องคอยเป็นกังกลกับการดูแลเด็ก  | 
 
        
          |   | 
         
 | 
 
 
 | 
    | 
  | 
ดาวประกาย 
ผู้เยี่ยมชม 
  
 
 
 
 
 | 
 ตอบเมื่อ:
05 ก.ค.2005, 4:31 pm | 
   | 
 
 
 
ความคิดเห็นที่ 157 : (wit)   
 
แจ้งลบ | อ้างอิง |   
 
หลวงพ่อครับ ถ้าผมจะแค่รู้สึกตัวทั่วพร้อมคอยสังเกตุความรู้สึกที่เกิดขึ้นภายในกายไปเรื่อยๆ ควบคู่ไปกับการมีสติอยู่กับการเคลื่อนไหวของร่างกายทั่วพร้อมบ้างเป็นส่วนๆบ้าง อย่างนี้จะได้รึเปล่าครับ เพราะผมรู้สึกถูกจริตกับการปฎิบัติลักษณะนี้ และเห็นว่าปฎิบัติง่ายได้ทุกอิริยาบถ และเป็นธรรมชาติดีครับ   
 
   
 
ความรู้สึกภายในกายนั้นบางทีผมก็รู้สึกถึงชีพจรที่เต้นไปทั่วร่างกายนะครับ เหมือนกับตอนที่เราจดจ่ออยู่ภายในกายนั้น แรกๆลมหายใจจะถี่และก็หายใจเข้าออกสั้นและถ้าพยายามจะไปเพ่งหรือจดจ่อให้สติอยู่ที่กาย ก็จะรู้สึกว่าลมหายใจเริ่มติดขัด แต่พอผมเปลี่ยนความจดจ่อให้ไปอยู่กับความรู้สึกทั่วกายที่ไม่ใช่ลม สักพักก็จะมีความรู้สึกที่เป็นชีพจรนี่แหล่ะครับเต้นขึ้นมาทั่วร่างกาย แล้วผมก็จะไปจอจ่ออยู่กับชีพจรที่เต้นเหล่านั้นแทน พอไปสังเกตุความรู้สึกที่เหมือนชีพจรที่เต้นนั้นแล้ว ความอึดอัดของการที่ลมหายใจถี่และเหมือนกับหายใจไม่ค่อยออกนั้นก็ค่อยๆหายไป กลายเป็นความสบายเกิดขึ้นมาแทน และลมหายใจก็ผ่อนคลายและไม่อึดอัดแล้ว แต่ก็ยังแผ่วเบาเข้าสั้นออกสั้นอยู่ โดยที่เรามีสติจดจ่อความรู้สึกที่เต้นนั้นอยู่ทั่วร่างกายครับ   
 
   
 
เจริญพร   
 
ตอบคุณWit   
 
                              การมีสติอยู่กับการเคลื่อนไหวของร่างกายทั่วพร้อมเป็นองค์รวมบ้าง เป็นส่วนๆบ้าง  อันนี้เป็นเรื่องปกติ  เพราะจิตของเรายังชอบกินอาหารหลายๆประเภท จะไปบังคับให้เค้ากินนั่นกินนี่อย่างใดอย่างหนึ่ง จะเป็นการฝืนธรรมชาติไป   ข้อสำคัญคือเมื่อทานอาหารประเภทไหนก็ให้ทานด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ    คือต้องมีทั้งสติและสัมปชัญญะ  คือ ความรู้สึกตัวในการกิน  ค่อยๆตักกินเข้าปาก พร้อมๆกับมีสติรู้อาการความรู้สึกของการเคลื่อนไหวอันเนื่องจากการยกช้อน ตักอาหารเข้าไปในปาก และกำลังเคี้ยวอาหาร  ( ถ้ารู้เฉพาะส่วนก็รู้เพียงเท่านี้ แต่ถ้ารู้ทั่วพร้อมก็ต้องรู้ถึงรูปนั่ง อิริยาบทและการรับรู้สัมผัสของร่างกายทุกส่วนแบบเคร่าๆสบายๆด้วย ) สรุปให้มีสติระลึกรู้ในสัมปชัญญะของกายที่กำลังเคลื่อนไหว และสติจะเป็นผู้รู้การเคลื่อนไหวนั้น  และเกิดเป็นความรู้ว่า นี่กายเคลื่อนไหวคล่องตัวดี หรือติดขัดอย่างไร ดังที่กล่าวว่าสัมปชัญญะเป็นตัวปัญญา  ก็เป็นตัวปัญญาด้วยเหตุที่มีสติไปรู้ในสัมปชัญญะอีกทีหนึ่ง ลำพังสัมปฃัญญะโดยไม่มีสติ(ระลึก)รู้ก็จะเป็นแค่ความรู้สึก แต่เมื่อมีสติรู้ในความรู้สึกของสัมปชัญญะนั้น อันนี้จึงจะเกิดปัญญา เพราะฉะนั้น ต้องเจริญทั้งสติและสัมปชัญญะคู่กันไปจึงจะเกิดปัญญา ดังที่พระพุทธองค์ทรงแนะนำว่า อาตาปี สัมปชาโน สติมา คือ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ แต่เดี๋ยวนี้ นักปฏิบัติไปตีความสติและสัมปชัญญะว่าเป็นอย่างเดียวกัน  ทำให้การเจริญสติปัฏฐาน 4 จึงไม่ค่อยละเอียด  ไปๆมาๆ ก็สอนกันว่าเจริญสติให้ดูอิริยาบถย่อย ก็ไปเข้าใจผิดว่าไปเอาสติไปกำหนดๆๆๆ ซึ่งเป็นอาการของการไปจิกเอาๆๆ ทำให้ตึงเกินไป ฝึกไปก็มีแต่เครียด ไม่ผ่องใส  เพราะไปตีความความหมายของครูบาอาจารย์เพี้ยนไป  เพราะจริงๆแล้ว สติ ก็คืออาการรู้  และรู้อย่างเบาๆ จึงเรียกว่าระลึกรู้   การปฏิบัติก็เพียง(ระลึก)รู้ในสัมปชัญญะคือรู้อาการความรู้สึกที่เป็นไปในกาย  รู้อาการความรู้สึกที่เป็นไปในเวทนา รู้อาการความรู้สึกที่เป็นไปในจิต และรู้อาการความรู้สึกที่เป็นไปในธรรมตามแต่ว่าจะรู้สึกสภาวะธรรมอันใดชัด   แต่ถ้าจะเรียกว่ากำหนดก็ได้  แต่ให้พึงกำหนดแบบเบาๆ คือ กำหนดรู้แบบห่างๆ หรือถอยห่าง หรือบางท่านใช้คำว่า กำหนดแบบแตะแล้วปล่อย  สรุป ก็คือกำหนดแบบปล่อยวาง คือสักแต่ว่ารู้ด้วยใจที่เป็นกลางๆ  อันนี้ ก็จะได้ชื่อว่าเป็นการกำหนดที่ถูกต้องตามเจตนาวัตถุประสงค์ของครูบาอาจารย์  แต่เดี๋ยวนี้ ไปกำหนดแบบตั้งใจจรดจ่อจริงจังเกินไป หรือจริงจังเอาเป็นเอาตายแบบเค้นเอา ผลออกมาก็คือความเครียด และไม่สดชื่นผ่องใส   
 
                          มาถึงคำถามของคุณWit ว่า จะกำหนดโดยการมีสติอยู่กับการเคลื่อนไหวของร่างกายทั่วพร้อมบ้างหรือเป็นส่วนๆบ้างจะได้ไหม  อันนี้อย่างที่อาตมาได้อธิบายข้างต้นว่าจิตของปุถุชนนั้นยังต้องการกินอาหารหลายๆประเภท  แต่อยู่ที่คนกินว่าจะต้องฉลาดในอุบาย คือ ต้องไม่ไปคอยมีความคิดวิตกกังวลว่าจะต้องรู้ตัวทั่วพร้อมแบบองค์รวม หรือ รู้แบบเฉพาะส่วนอย่างใดอย่างหนี่งอย่างเดียว  ถ้าไปกังวลหรือตั้ง concept  ไว้ในใจว่าจะต้องรู้แบบทั่วพร้อมเป็นองค์รวมเท่านั้นอย่างเดียว หรือ รู้แบบเป็นส่วนๆอย่างเดียว อันนี้จะทำให้อาหารที่ทานเข้าไปไม่เกิดประโยชน์ และอาจจะกลับกลายเป็นโทษได้  แต่ขอให้เปลี่ยน concept เสียใหม่ว่า อาหารทุกประเภทล้วนแต่มีประโยชน์เหมือนกับการฝึกกรรมฐานทุกแบบที่สอนๆกันอยู่นี้ล้วนมีประโยชน์ อยู่ที่ผู้รับประทานอาหารจะฉลาดในการกินหรือไม่ ถ้าผู้รับประทานกินด้วยอาการที่มีสติและสัมปฃัญญะก็จะเกิดประโยชน์และเกื้อกูลกันทั้งนั้น      
 
   
 
 ฉะนั้น หลักสำคัญจึงไม่ได้อยู่ที่ว่าจะมีสติแบบรู้ตัวทั่วพร้อมแบบองค์รวม หรือ มีสติรู้เป็นส่วนๆ อย่างใดอย่างหนึ่งอย่างเดียว แต่อยู่ที่ว่าการรู้นั้น ใจเป็นกลางๆหรือไม่  เพราะบางครั้งการรู้ตัวทั่วพร้อม บางทีผู้ปฏิบัติก็ไปเผลอรู้แบบตั้งใจเกินไป ทำให้ใจไม่เป็นกลางๆ  ซึ่งความจริงแล้ว การฝึกรู้ตัวทั่วพร้อมนั้นจะง่ายต่อการที่จะทำให้ใจเป็นกลางๆ และเมื่อรู้ตัวทั่วพร้อมด้วยใจเป็นกลางๆ จะเกิดสำนึกรู้ที่ลอยหรือแยกส่วนถอยห่างออกจากการรู้ตัวทั่วพร้อมนั้น และสำนึกรู้นี้เองจึงเป็น indicator หรือเครื่องชี้ว่าการรู้ตัวทั่วพร้อมนั้นรู้แบบไปจรดจ่อเกินไปจนเกิดการยึดหรือรู้ด้วยใจที่ปล่อยวางและเกิดภาวะใจที่เป็นกลางๆ    เพราะหากรู้ตัวทั่วพร้อมก็จริงแต่รู้แบบจรดจ่อตั้งใจเกินไป ใจก็ไม่เกิดความเป็นกลาง สำนึกรู้ก็จะไม่เกิด  แต่ถ้ารู้ตัวทั่วพร้อมด้วยด้วยใจที่ปล่อยวางสบายๆ ใจก็จะเป็นกลาง สำนึกรู้ก็จะเกิด และจะพัฒนาต่อไปเป็นใจผู้รู้ที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้นไปโดยลำดับ    เช่นเดียวกัน การรู้ทีละส่วนๆ อันนี้ถ้ารู้แบบตั้งใจจรดจ่อไปกำหนดแบบจิกเอาๆ อันนี้ใจก็จะไม่เกิดความเป็นกลาง แถมเกิดความเครียดตามมาต่างหาก แต่ถ้ารู้ทีละส่วนๆ โดยมีเทคนิคการรู้แบบถอยห่างออกมานิดนึง หรือจะรู้แบบแตะๆ หรือ รู้แล้วปล่อย อะไรทำนองนี้  ใจก็จะเกิดภาวะความเป็นกลางได้ สำนึกรู้ก็จะเกิด และจะพัฒนาต่อไปเป็นใจผู้รู้ได้เช่นกัน   แต่จากสภาวะธรรมที่คุณ Wit เล่าให้ฟังนั้น  อาตมาก็ขออนุโมทนาด้วยที่คุณ Wit ก็ปฏิบัติได้ถูกต้อง  แม้แต่การรู้สึกถึงการเต้นของชีพจรที่แผ่วเบาไปทั่วร่างกาย  อันนี้เป็นอุบายที่ดีทำให้ใจเป็นกลางๆได้เร็ว เพราะอาการรู้สึกถึงการเต้นของชีพจรนั้น เป็นอาการที่ละเอียดและไม่มีกิเลสมาปรุงแต่ง  ทำให้เมื่อมีสติรู้ถึงอาการเต้นของชีพจรนั้น สติก็จะละเอียดไปทันทีและใจก็จะเกิดความเป็นกลางๆด้วย  แต่อย่างไรก็อยากจะแนะนำคุณWitให้สังเกตุถึงสภาวะของการเกิดสำนึกรู้ที่ลอยหรือถอยห่างจากการรู้ตัวทั่วพร้อมด้วย เพราะอันนี้เป็นพัฒนาการต่อไปของการฝึกรู้ตัวทั่วพร้อม ซึ่งจะพัฒนาไปเป็นใจผู้รู้ที่ถึงพร้อมด้วยญาณทัสสนะต่อไป   
 
   
 
 ตอบคุณjukapun :  ตกภวังค์ก็คืออาการที่เผลอหลับไปในระหว่างนั่งสมาธิ  หรือ แม้แต่บางครั้งมีสมาธินิ่งมากๆ แต่พอสักพักก็อาจจะเผลอตกภวังค์ได้เช่นกัน เพราะกำลังของสติและสมาธิไม่เสมอกัน  สติจะพัฒนาถ้าสติรู้อาการความเป็นไปของสภาวะธรรมที่เกิดขึ้น  แต่สติจะถอยกำลัง ถ้าสติเข้าไปแช่นิ่งอยู่ในอาการของการนิ่งนานๆ  และอาการที่บรรยายมาว่า มีสติรู้ตลอดเหมือนกับว่าร่างกายมันนอนหลับ  อันนี้ แสดงว่าได้ผ่านการเผลอตกภวังค์มาแล้ว และมารู้สึกมีสติภายหลังว่าร่างกายมันนอนหลับ  วิธีการแก้การตกภวังค์ก็คือ อย่าจ้อง อย่าเพ่ง เพียงแต่มีสติรู้แบบปล่อยวาง ก็จะเกิดสำนึกรู้หรือตัวรู้สึกที่ลอยหรือแยกส่วนเป็นอิสระถอยห่างจากสิ่งที่ถูกกำหนด  อาจจะแก้โดยการกำหนดแบบวางๆ คือ ดูอยู่ห่างๆ   อย่าไปกำหนดแบบประชั้นชิด  ตัวรู้สึกก็จะเกิดขึ้นและพัฒนาต่อไปเป็นสำนึกรู้โดยลำดับ  ขอให้โยมลองอ่านเนื้อความในกระทู้อานาปานสตินี้ถึงวิธีการปฏิบัติซึ่งอาตมาได้อธิบายไว้แล้วโดยละเอียด   
 
   
 
ตอบคุณเปียกๆ  :   อันนี้ คุณเปียกๆ หรือใครก็ตามที่ยังไม่ได้ทดลองปฏิบัติ ก็ต้องงงแน่ๆ เป็นเรื่องธรรมดา โดยเฉพาะในเรื่องความคิด ถ้าไม่ได้ลองฝึกปฏิบัติมีสติแบบรู้ตัวทั่วพร้อมจนเห็นความคิดของตัวเอง  ก็จะทำไม่ได้  ฉะนั้น เบื้องต้น ต้องฝึกให้รู้จักหยุดคิดเมื่อต้องการหยุดคิดให้ได้ก่อน  และขณะเดียวกันฝึกความรู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่เนืองๆ  ต่อไป คุณเปียกๆ ก็จะสามารถอ่านหนังสือ คิดนึกไปด้วย รู้อาการการคิดนึก และ/หรือรู้ตัวทั่วพร้อมไปด้วยแบบสบายๆโดยลำดับ  พอทำชำนาญๆ มันเหมือนความรู้สึกตัวทั่วพร้อมนี้เห็นได้รอบทิศ 360 องศา  แต่ต้องให้ใจเป็นกลางๆเนืองๆ จนเคยชิน แล้วเค้าก็จะเป็นไปเอง ไม่เพียงเท่านั้น ต่อไป จะแปลกใจด้วยว่า เมื่อก่อนนี้เราเคลื่อนไหวไป แต่ไม่รู้สึกถึงลมหายใจเข้าออก แต่มาเดี๋ยวนี้ ทำไมจึงสามารถรู้สึกถึงลมหายใจไปพร้อมกับอิริยาบถการเคลื่อนไหวได้ด้วย กลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสบายๆ  ทั้งนี้ เป็นเพราะเกิดภาวะที่ใจเป็นกลาง ๆ  ทำให้อะไรๆที่มันละเอียดอยู่ในย่านความถี่เดียวกัน สติอันเหมือนเรด้าร์ก็จะสามารถสัมผัสถึงความถี่นั้นได้รอบทิศแบบเป็นไปเอง ซึ่งผู้ทดลองฝึกปฏิบัติตามนี้จะรู้ได้ทุกคน ไม่ใช่ต้องอาศัยบุญวาสนา แต่เป็นผลจากการปฏิบัติจริงๆ เหมือนกับว่า ตอนนี้สติยังหยาบ ต้องเดินแรงๆ หรือ มีใครพูดดังๆ ถึงจะรู้สึก และตอนที่สติหยาบๆนี้ ก็จะไม่สามารถรู้สึกถึงความรู้สึกและความนึกคิดของตนเองได้เป็นปัจจุบัน จึงยังมีอาการคิดฟุ้งซ่านอยู่เนืองๆ และไม่สามารถรู้ทันความรู้สึกของตน จึงทำให้คุมอารมณ์ของตนไม่ค่อยอยู่  แต่พอสติละเอียดขึ้นมาอีกนิด ก็จะรู้ได้โดยที่ไม่ต้องเดินแรงหรือมาพูดดังๆ ก็รู้สึกได้ และขณะเดียวกันจะเริ่มรู้ถึงความคิดความรู้สึก ความยินดีความยินร้าย ความดีใจเสียใจของตนได้ และพอจะมีกำลังควบคุมอารมณ์ของตนเองได้   และพอสติละเอียดมากขึ้นๆๆ  ในที่สุดก็สามารถรู้ถึงอิริยาบถและสัมผัสต่างๆได้เป็นปัจจุบันมากขึ้น รู้สึกถึงความกำหนัด ความทะยานอยากที่เป็นเหตุให้เกิดความยินดียินร้ายนั้น  และเมื่อสติละเอียดๆมากๆ  ก็จะสามารถรู้สึกถึงอาการทางใจที่ละเอียดยิ่งๆขึ้นไป อาทิ อาการค่อยคลายออก อาการดึงหรือยื้อยุดอยู่ในใจ หรือแม้แต่อาการความรู้สึกของชีพจร ไออุ่นไอเย็นที่แผ่ซ่านไปในกายหรือแม้แต่ลมหายใจเข้าออกแผ่วเบาได้ด้วย  รู้ได้เพราะใจเกิดภาวะความเป็นกลางๆ  จนเหมือนคล้ายๆกับว่ารู้ได้รอบทิศ 360 องศา คือรู้ได้ทั่วถึงถึงอาการที่เป็นไปทั้งภายนอกและภายในได้ทั่วพร้อม  และเมื่อรู้ด้วยความมีสติและความรู้สึกตัวทั่วพร้อมเช่นนี้อยู่เนืองๆ  ก็จะเกิดสำนึกรู้ที่ลอยหรือแยกถอยห่างจากกาย และพัฒนาต่อไปเป็นใจผู้รู้ที่ถึงพร้อมด้วยญาณทัสสนะโดยลำดับ   
 
 | 
 
        
          |   | 
         
 | 
 
 
 | 
 | 
  | 
fดาวประกาย 
ผู้เยี่ยมชม 
  
 
 
 
 
 | 
 ตอบเมื่อ:
11 ก.ค.2005, 3:28 pm | 
   | 
 
 
	
  
	
 
ตอบ โยมเปา   
 
    
 
                    ให้ทบทวนการเจริญสติและสมาธิคู่กันไป ด้วยอุบายการภาวนาพุทโธลึกๆเบาๆในใจเพื่อพาให้สมาธิดิ่งไปเรื่อยๆคู่กันไป      พร้อมกับการเจริญสติและความรู้สึกตัวพร้อม (แต่เป็นความรู้สึกตัวทั่วพร้อมที่ไม่ต้องมีกาย)       การเจริญสติและความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ให้ใช้เทคนิคทำในใจขณะภาวนาว่า รู้ในรู้ รู้ในรู้ รู้ในรู้ ไปเรื่อยๆ พร้อมๆกับพุทโธพาเค้าดิ่งไปเรื่อย แต่ดิ่งไปก็รู้ในรู้คู่กันไปคือมีสติรู้ด้วยสำนึกรู้หรือรู้ในความรู้สึกตัวทั่วพร้อมแบบเป็นกลางๆ พร้อมกับพุทโธๆๆ (ไม่ต้องสัมพันธ์กับลมหายใจเข้าออก คือ พุทโธ เร็วนิดนึงแต่ เบาและลึก ลึก ลึก แต่รู้ในรู้ในสำนึกรู้ที่ลอยอยู่เป็นสำนึกรู้อยู่ช่วงบนคู่กันไปด้วย)   
 
    
 
                   พร้อมกันให้เพิ่มการเจริญปัญญาด้วยการพิจารณาให้เห็นเป็นอสุภกรรมฐานในชีวิตประจำวันเนืองๆ คือ เมื่อเกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมทั่วสรรพางค์กายแล้ว    ก็ให้ใช้ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมนี้สัมผัสลึกเข้าไปในภายด้วย เป็นความรู้สึกตัวทั่วพร้อมที่เป็นไปทั้งภายในกายและภายนอกกายอย่างทั่วถึง  และให้ใช้ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมที่เป็นไปในภายในกายนี้ ไปสัมผัสหรือรู้สึกอวัยวะต่างๆภายใน อาทิ หัวใจ กระเพาะอาหาร ตับ ไต ไส้พุง และซึ่โครงกระดูก จนสัมผัสในความรู้สึกเหมือนกับเห็นในความรู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้แบบลางๆ และค่อยๆชัดขึ้น และใจก็เกิดการปลงสลดสังเวชเห็นสภาวะความสกปรกของกาย เน่า เปื่อย ผุ พังไป  อนึ่ง การพิจารณาอสุภะนี้ให้ทำเน้นในชีวิตประจำวัน  พอทำจนเกิดสัญญาทางปัญญานี้  เมื่อเรานั่งภาวนาด้วยการรธู้ในรู้ๆๆๆ พอติดขัด คือ จิตไม่ลงดิ่งลึกไปอีก ก็ให้น้อมเอาความรู้สึกถึงอสุภกรรมฐานที่เราฝึกไว้ในชีวิตประจำวัน มาทำลายอุปสรรค กิเลส และเครื่องกางกั้นทั้งหลายที่กีดขวางไม่ให้จิตดำดิ่งต่อไปได้ แต่ขณะดำดิ่ง ก็ให้มีสติและความรู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่ตามประกบคู่กันไปด้วยแบบดูอยู่ห่างๆ (ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมนี้เป็นความรู้สึกทั่วถึงที่ไม่มีกาย) อันนี้ ก็จะเป็นการฝึกเจริญทั้งสมาธิและสติคู่กันไป และเป็นการถึงพร้อมด้วยการดูจิตในจิต จิตในจิต ด้วยการประคองรู้ในรู้และทำลายสิ่งกีดขวามด้วยการน้อมไตรล้กษณ์และ/หรือปัจจยาการตามหลักปฏิจจสมุปบาทสลับกันไป คือ ดิ่ง ปล่อยวางและวิปัสสนา คู่กันไป อีกนัยหนึ่งดิ่งด้วยสมาธิ ปล่อยวางด้วยสติสัมปชัญญะ และน้อมไตรลักษณ์เป็นตัววิปัสสนาไปตลอดสาย   
 
วิโมกข์   
 
 | 
 
        
          |   | 
         
 | 
 
 
 | 
 | 
  | 
ดาวประกาย 
บัวพ้นดิน 
 
  
  
เข้าร่วม: 15 มิ.ย. 2005 
ตอบ: 53 
 
 
 | 
 ตอบเมื่อ:
11 ก.ค.2005, 3:30 pm | 
   | 
 
 
 
  การฝึกอบรมพัฒนาสติให้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น และผู้เบิกบาน ครั้งที่ 6     
 
   
 
จะจัดให้มีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม 2548 ณ สถาบันสอนภาษา Home English Center ปิ่นเกล้า และ เนื่องจากสถานที่ฝึกอบรมสามารถรับผู้เข้าฝึกอบรมได้เพียงครั้งละ 30 คน อาตมาจึงจะเปิดการฝึกอบรมแบ่งเป็น 2 รอบ ๆ ละ 30 คน ดังนี้   
 
รอบที่ 1 เวลา 10.00  12.00 น.   
 
รอบที่ 2 เวลา 13.00 - 15.00 น.   
 
อนึ่ง ขอให้ท่านผู้สนใจได้กรุณาแจ้งความจำนงค์โดยสมัครเพื่อสำรองที่นั่งครั้งนี้ด้วย โดยการแจ้งชื่อ-นามสกุล และรอบเวลาที่ต้องการเข้าฝึกอบรม ส่งมาที่ wimoak@yahoo.comหรือโทร.05-8326441 (คุณหมอปิยะ) ส่วนแผนที่ Home English Center สามารถคลิ๊กไปดูได้ที่   http://albums.photo.epson.com/j/ViewPhoto?u=4275026&a=31594700&p=72061327  
 
   
 
หมายเหตุ   
 
(1) สำหรับผู้เริ่มต้นที่ยังตามไม่ค่อยทัน หรือยังไม่แจ่มแจ้ง และรวมทั้งผู้ที่มีความตั้งใจมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติให้เกิดความต่อเนื่อง เพื่อที่เป็นการเตรียมพร้อมในการมุ่งปฏิบัติในช่วงเข้าพรรษาที่จะมาถึงในเดือนกรกฎาคมนี้ อาตมาจึงเพิ่มเวลาการฝึกอบรมรอบพิเศษ สอนเป็นการส่วนตัวหรือกลุ่มเล็กๆ ทุกวันอังคาร และพฤหัส เวลา 18.00-20.00 น. ณ สถาบันภาษา Home English Center ปิ่นเกล้า (รอบวันธรรมดานี้ไม่ต้องสมัครจองล่วงหน้า ท่านใดสะดวกที่จะมาร่วมก็มาได้เลย)   
 
   
 
(2)สำหรับผู้ที่มีความประสงค์จะพาเด็กมาร่วมฝึกนั่งสมาธิด้วยนั้น  อาตมาจะสอนสมาธิสำหรับเด็กเล็ก ( ป.3 ขึ้นไป) ในช่วงพักเที่ยงถึงบ่ายโมง โดยขอให้ผู้ปกครองนำการบ้าน สมุดวาดระบายสี หรืออื่นๆ ให้เด็กๆได้มีกิจกรรมทำ ในช่วงขณะอบรมผู้ใหญ่ เพื่อที่ผู้ปกครองที่นำเด็กมาด้วยจะได้ไม่ต้องคอยเป็นกังกลกับการดูแลเด็ก   
 
   การฝึกอบรมพัฒนาสติให้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น และผู้เบิกบาน ครั้งที่ 6   | 
 
        
          |   | 
         
 | 
 
 
 | 
    | 
  | 
ดาวประกาย 
บัวพ้นดิน 
 
  
  
เข้าร่วม: 15 มิ.ย. 2005 
ตอบ: 53 
 
 
 | 
 ตอบเมื่อ:
19 ก.ค.2005, 12:20 pm | 
   | 
 
 
 
การฝึกอบรมพัฒนาสติให้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น และผู้เบิกบาน ครั้งที่ 7    
 
   
 
จะจัดให้มีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม 2548 ณ สถาบันสอนภาษา Home English Center ปิ่นเกล้า และ เนื่องจากสถานที่ฝึกอบรมสามารถรับผู้เข้าฝึกอบรมได้เพียงครั้งละ 30 คน อาตมาจึงจะเปิดการฝึกอบรมแบ่งเป็น 2 รอบ ๆ ละ 30 คน ดังนี้    
 
รอบที่ 1 เวลา 10.00  12.00 น.    
 
รอบที่ 2 เวลา 13.00 - 15.00 น.    
 
อนึ่ง ขอให้ท่านผู้สนใจได้กรุณาแจ้งความจำนงค์โดยสมัครเพื่อสำรองที่นั่งครั้งนี้ด้วย โดยการแจ้งชื่อ-นามสกุล และรอบเวลาที่ต้องการเข้าฝึกอบรม ส่งมาที่ wimoak@yahoo.comหรือโทร.05-8326441 (คุณหมอปิยะ) ส่วนแผนที่ Home English Center สามารถคลิ๊กไปดูได้ที่    http://albums.photo.epson.com/j/ViewPhoto?u=4275026&a=31594700&p=72061327   
 
   
 
หมายเหตุ    
 
   
 
(1) สำหรับผู้เริ่มต้นที่ยังตามไม่ค่อยทัน หรือยังไม่แจ่มแจ้ง และรวมทั้งผู้ที่มีความตั้งใจมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติให้เกิดความต่อเนื่อง เพื่อที่เป็นการเตรียมพร้อมในการมุ่งปฏิบัติในช่วงเข้าพรรษาที่จะมาถึงในเดือนกรกฎาคมนี้ อาตมาจึงเพิ่มเวลาการฝึกอบรมรอบพิเศษ สอนเป็นการส่วนตัวหรือกลุ่มเล็กๆ ทุกวันอังคาร และพฤหัส เวลา 18.00-20.00 น. ณ สถาบันภาษา Home English Center ปิ่นเกล้า (รอบวันธรรมดานี้ไม่ต้องสมัครจองล่วงหน้า ท่านใดสะดวกที่จะมาร่วมก็มาได้เลย) อนึ่ง วันพฤหัสที่ 21 กรกฎาคม 2548 หยุด 1 วันเนื่องในวันอาสาฬหบูชา สำหรับในช่วงเข้าพรรษา ยังคงมีสอนปกติตามเดิม    
 
   
 
(2) สำหรับผู้มาเป็นครั้งแรก และ ผู้ที่อาจจะยังตามไม่ค่อยทัน อาตมาอยากจะแนะนำให้มาเป็นวันอาทิตย์รอบบ่าย จะได้เริ่มต้นปูพื้นฐานให้ตั้งแต่ต้น และ ผู้ที่เคยมาแล้ว อยากจะแนะนำให้มาวันอาทิตย์รอบเช้า จะได้เน้นการปฏิบัติที่ยิ่งๆขึ้นไป แต่ถ้าหากจะมาในรอบบ่ายเพื่อฟังทบทวนกับผู้ที่เิริ่มต้น ก็มาร่วมได้ตามความสะดวก    
 
*********************************************************    
 
   
 
   
 
เจริญพร    
 
   
 
เรื่องต้นไม้นั้น หากปลูกให้เกิดความร่มรื่นภายในวัด อาตมาก็เห็นดีด้วยทั้งนั้น ไม่ว่าจะปลูกต้นอะไร ขอเพียงปลูกแล้ว อย่าไปตัดทิ้งภายหลัง อาตมาทราบมาว่า ในต่างจังหวัดที่เป็นท้องถิ่นทุรกันดาร วัดหลายแห่งเริ่มจะกลายเป็นวัดร้า่ง พระเณรอยู่กันอย่างลำบาก เพราะชาวบ้านในระแวกนั้นยากจน หลายวัดจึงเหลือพระเณรเฝ้าวัดอยู่รูปสองรูป เสนาสนะสงฆ์ก็ทรุดโทรมไปตามกาลเวลา พระเณรโดยมากก็ต้องเร่ร่อนไปอยู่ที่วัดในเมืองที่มีอาหารการกินอยู่อุดมสมบูรณ์ เรื่องเกี่ยวกับอาหารบิณฑบาตนี่ บางวัดก็มีเหลือเฟือจนแทบทิ้งๆขว้างๆ บางวัดก็อดๆยากๆ ลำพังเรื่องอาหารบิณฑบาตนี่ น่าจะมีหน่วยงาน อพปร. หรือมูลนิธิต่างๆ มาบริหารเป็นอาสาสมัครขับรถบรรทุกอาหารจากบางวัดที่มีอย่างเหลือเฟือไปแจกจ่ายให้กับบางวัดที่อยู่อย่างแร้นแค้นอดๆยากๆ หรือไม่ก็นำไปกระจายแบ่งปันแจกจ่ีายให้กับสถานสงเคราะห์หรือแหล่งสลัม คนยากจนทั้งหลายในท้องที่ของตนและใกล้เคียง เป็นการช่วยเหลือสังคมไปในทางอ้อม โดยเฉพาะในยุคเศรษฐกิจน้ำมันแพงนี่ อาตมาอดนึกถึงคนยากจนไม่ได้ว่าจะอยู่กันอย่างแร้นแค้นยิ่งขึ้นเพียงใด เรื่องต้นไม้กฤษณานี้ เท่าที่ทราบก็เริ่มมีหลายวัด เริ่มปลูกกันมาก เพราะไม่ต้องตัดต้นทิ้งเหมือนต้นยางพาราที่ปลูกไปได้ไม่ถึง 10 ปีั พอหมดยาง ก็ต้องตัดต้นทิ้ง แต่ไม้กฤษณานี้ ยิ่งอายุมากๆเป็นสิบๆปี น้ำมันก็ยิ่งมาก จึงสามารถให้ทั้งร่มเงา ความร่มรื่น และกลิ่นหอมโชยภายในวัด พร้อมๆกับให้รายได้แก่วัด โดยไม่ต้องไปคิดตัดต้นขาย แต่ทั้งนี้ก็อีกแหละ เกรงว่าเจ้าอาวาสจะเกิดความโลภ เพราะอายุยิ่งนานเป็นสิบๆปี ราคาต้นกฤษณาแพงมากๆ ราคาต้นละหลายๆหมื่นหรือเป็นหลักแสนก็มี แต่ถ้ามองการณ์ไกลเพื่อเป็นรายได้เลี้ยงดูพระเณร ซ่อมแซมเสนาสนะสงฆ์ที่เสื่อมโทรมไปทุกปีตามกาลเวลา และเห็นแก่ประโยชน์ในแง่ของร่มเงาแล้ว ก็ไม่ควรไปตัดต้นขาย แต่ก็นั่นแหละ นานาจิตตัง เพราะเรื่องกิเลสความโลภนี่มันไม่เข้าใครออกใคร แต่ถ้ามองในอีกแง่หนึ่ง ซึ่งน่าวิตกว่า ต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้ จะมีวัดร้างหรือเกือบร้าง เกิดขึ้นมาก เพราะแม้แต่ในปัจจุบัน หลายวัดเริ่มจะขาดแคลนพระเณร โดยเฉพาะวัดในท้องถิ่นทุรกันดาร และโดยเฉพาะถ้าญาติโยมยังยึดติดกับครูบาอาจารย์ แห่ไปทำบุญกับวัดที่มีครูบาอาจารย์ดังๆ โดยลืมนึกถึงวัดเล็กๆน้อยๆที่ไม่ค่อยมีใครไปทำบุญในท้องถิ่นทุรกันดาร ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะเำกิดวัดร้างหรือเกือบร้างขึ้นอีกมากในอนาคต แต่ทั้งนี้ อาตมาก็เห็นด้วยและสนับสนุนการปลูกต้นไม้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นไม้มงคล ไม้เศรษฐกิจหรือไม้ที่ให้ความร่มเงาทั่วไป (แต่ถ้าปลูกไม้เศรษฐกิจประเภทที่ตัดต้นขาย อันนี้คงไม่ค่อยจะเห็นด้วย) แต่ต้องมีวัตถุประสงค์หลักคือปลูกเพื่อร่มเงาและความร่มรื่นภายในวัด ส่วนเรื่องรายได้จากไม้นั้นควรเป็นผลพลอยได้ แต่ทั้งนี้ การจะปลูกไม้อะไร ก็ขึ้นอยู่กับสภาพดินฟ้าอากาศ การดูแลรักษาและต้นทุนในการปลูกด้วย สำหรับไม้กฤษณานี้ เป็นไม้ป่าที่ปลูกง่ายและทนกับความแห้งแล้งได้ดี และพันธ์ไม้ก็มีราคาถูกคือต้นละประมาณ +-10 บาท (ราคาขึ้นอยู่กับขนาดความสูงของต้น)    
 
   
 
เอ! เปลี่ยนเรื่องสนทนาดีกว่านะ ลองมาสนทนากันเรื่องการฝึกมวยไทเก๊กหรือฝ่ามือ 8 ทิศ กับการเจริญสติและความรู้สึกตัวทั่วพร้อมดูบ้าง.........    
 
   
 
กราบเรียนหลวงพ่อวิโมกข์    
 
   
 
หนูและเพื่อนๆมีความสนใจในแนวทางการปฏิบัติการเจริญสติ โดยใช้หลักการเคลื่อนไหวของมวยจีนโดยเฉพาะมวยภายในเป็นหลัก แต่ปัญหาที่พบก็คือ ความรู้ที่สอนกันจากอาจารย์ชาวจีนที่สอนให้กับลูกศิษย์คนไทย ซึ่งคำว่าอาจารย์ในภาษาจีนเรียกว่า "เหล่าซือ"    
 
   
 
ปัญหาประมาณ 90 % มาจากเหล่าซือส่วนใหญ่เป็นชาวจีนจากจีนแผ่นดินใหญ่ที่ระบบศาสนาแยกออกจากปรัชญาและการดำเนินชีวิต ทำให้มีการสอนเรื่องของ "มวย" แยกออกจากหลักของ "เต๋าและพุทธ" ถึงแม้คนส่วนใหญ่จะพูดกันว่าฝึกมวยไท่เก๊กเพื่อความเป็นหนึ่งเดียวกับเต๋า หรือเข้าถึงธรรม แต่พอเอาเข้าจริงๆกลับไม่มีใครพบรอยต่อของ 2 สิ่งนี้ จนกระทั่งมีเหล่าซือคนหนึ่งที่สอนมวยปากัวหรือฝ่ามือ 8 ทิศ เดินทางมาสอนมวย 8 ทิศในประเทศไทย เหล่าซือคนนี้เติบโตมาทางตอนเหนือของจีนที่ยังมีพุทธธิเบต เต๋าอยู่ เหล่าซือคนนี้ได้สอนการเชื่อมต่อกันระหว่างมวยจีนกับหนทางการปฏิบัติในสายพุทธได้อย่างสนิท แต่ปัญหาอย่างหนึ่ง คือ การสื่อสารทางภาษาที่ไม่สามารถถ่ายทอดภาษาธรรมแบบจีนมาสู่ภาษาธรรมของไทยได้    
 
   
 
ปริศนาธรรมของเหล่าซือท่านนี้มาถูกเฉลยโดยหลวงพ่อวิโมกข์ ที่สามารถอธิบายทุกๆอย่างที่เหล่าซือท่านนี้ได้เคยพูดมา เพียงแต่สื่อสารในูปแบบของภาษาจีนและความเชื่อแบบชาวจีนอย่างสนิท    
 
*************************************   
 
   
 
การบ้านภาวนาครั้งที่ 6    
 
การเจริญาสติ สมาธิ และปัญญา ในช่วงเข้าพรรษา    
 
   
 
นอกเหนือจาการเจริญภาวนาด้วยการนั่งสมาธิที่แต่ละท่านได้หมั่นทำกันอยู่แล้วมากบ้างน้อยบ้าง แต่สิ่งที่ควรเจริญให้มีมากขึ้นก็คือ การเจริญสติและปัญญา ในชีวิตประจำวัน เพื่อเพิ่มอินทรีย์ 5 และพละ 5 อันได้แก่ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิและปัญญาให้ได้สมดุลกัน การบ้านภาวนาครั้งที่ 6 นี้ ก็คือการเจริญสติในห้องน้ำ และ การเจริญปัญญาก่อนนอน ฉะนั้น หลายๆคนที่แม้จะมีชีวิตที่ยุ่งเหยิง มีภาระกิจ หน้าที่ต่างๆ หรือการงานต่างๆมากมาย แต่ก็คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า ตนเองยุ่งจนไม่มีเวลาอาบน้ำ หรือ ยุ่งจนไม่มีเวลานอน ในเมื่อเราก็ต้องอาบน้ำและหลับนอน หลวงพ่อจึงอยากจะให้อุบายแก่นักปฏิบัติได้ใช้เวลาในขณะอาบน้ำเพื่อการเจริญสติ และ เวลาขณะหลับนอนในการเจริญปัญญา โดย...    
 
   
 
   
 
(1) การเจริญสติในขณะอาบน้ำ เป็นเวลาที่เหมาะที่สุดในการเจริญสติ เพราะเวลาอาบน้ำถือว่าเป็นเวลาส่วนตัวที่สุดของเรา ที่ไม่มีใครมารบกวน ขอให้ทุกท่านบอกกับตนเองว่า ขณะอาบน้ำนั้น เราจะมีชีวิตอยู่กับการอาบน้ำจริงๆ โดยไม่ให้ความคิดแล่นหนีเล็ดลอดออกนอกห้องน้ำไปได้ โดยขอให้อาบน้ำไปด้วยพร้อมกับการมีสติและความรู้สึกตัวทั่วพร้อมไปด้วย ค่อยๆจับขันน้ำ ยกขันน้ำ ตักน้ำ อาบน้ำชะโลมร่างกายอย่างช้าๆ และให้รู้สึกถึงความอุ่นหรือเย็นของน้ำที่ค่อยๆไหลรินรดทั่วสรรพางค์กาย ด้วยความสดชื่นอิ่มเอิบ ร่างกายมีความสดชื่นและตื่นตัว รู้เนื้อรู้ตัว ทุกๆขณะที่น้ำไหลรินรดทั่วสรรพางค์กาย หากใช้ฝักบัวก็ยิ่งจะเห็นชัดถึงสายน้ำจากฝักบัวที่ค่อยๆไหลรินทั่วร่างกาย จนเข้าใจและรู้สึกได้ถึงความรู้สึกตัวทั่วพร้อมจริงๆ พร้อมกับมีสติรู้ถึงความรู้สึกตัวทั่วพร้อมทุกๆอณูของผิวกายที่สัมผัสกับความอุ่นหรือความเย็นของสายน้ำที่ไหลรินรดทั่วผิวกายนั้น จนรู้สึกตื่นเนื้อตื่นตัวเป็นความรู้สึกตัวทั่วพร้อมและมีความสุขสดชื่นกับการอาบน้ำจริงๆ โดยค่อยๆอาบน้ำ มือลูบผิวกาย ถูสบู่อย่างช้าๆ ด้วยสัมผัสเบาๆ สบายๆ เป็นธรรมชาติ และเวลาถูฟัน ก็ให้รู้สึกสัมผัสตั้งแต่การจับแปรง บีบยาสีฟัน ยกแปรง ถูฟันอย่างช้าๆ โดยไม่ต้องกำหนดแต่อย่างใด เพียงแต่รู้สึกๆๆ คือรู้สึกเบาๆ ผ่อนคลายและเป็นไปด้วยอาการที่เป็นธรรมชาติจริงๆ ไม่มีการเกร็ง หรือ ตั้งใจเกินไป คือให้เพียงรู้ถึงรู้สึกของอาการการเคลื่อนไหวต่างๆ อย่างนิ่มนวล ด้วยความสดชื่นเบิกบานใจ หรือมีสติ ตื่น รู้ เบิกบานนั่นเอง พร้อมกับรู้สึกตัวทั่วพร้อมถึงอิริยาบถท่าทางการเคลื่อนไหวของกายแบบองค์รวมที่เป็นไปอย่างช้าๆ สบายๆ ขอให้มีสติตื่นรู้เบิกบานและสดชื่นอยู่กับการอาบน้ำเช่นนี้ จะพบว่าไม่มีความคิดอันใดเกิดขึ้นแทรกได้ หรือจะเกิดขึ้นแทรกได้ก็เพียงชั่วขณะ ไม่ปล่อยให้เป็นความคิดฟุ้งซ่านหนีออกไปเที่ยวนอกห้องน้ำ การอาบน้ำ ปกติ เราอาบน้ำวันละ 2 เวลา เช้า-ก่อนนอน ก็เท่ากับว่าเราได้ฝึกเจริญภาวนาทุกวันๆละ 2 เวลาอย่างต่อเนื่อง จะเห็นว่าภายในเวลาอันรวดเร็ว ไม่เกิน 2 สัปดาห์ ถ้าเราอาบน้ำด้วยการเจริญสติเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง สติสัมปชัญญะจะเริ่มพัฒนาไปเป็นสำนึกรู้ที่เริ่มแยกส่วนอยู่เหนือกาย และเห็นอิริยาบถการเคลื่อนไหวของกายเนืองๆ และหากหมั่นทำเช่นนี้อยู่เนืองๆจนเป็นกิจวัตรประจำวัน ในที่สุด สำนึกรู้นี้ก็จะพัฒนาต่อไปเป็นใจผู้รู้ ที่ถึงพร้อมด้วยญาณทัสสนะโดยลำดับ    
 
   
 
   
 
(2) การเจริญปัญญาในขณะหลับนอน ให้ทำความรู้สึกตัวทั่วพร้อมในอิริยาบถท่านอนอย่างสบายๆ รู้สึกสัมผัสถึงผิวกายที่นอนสัมผัสพื้นและรู้สึกสัมผัสอันอ่อนนุ่มของหมอน ผ้าห่มหรือผ้านวมที่ปกคลุมกาย จากนั้น ค่อยๆประคองสติหรือสำนึกรู้ให้ค่อยๆอยู่เหนือศีรษะ และใช้สติหรือสำนึกรู้นี้ มองดูร่างกายที่กำลังนอนอยู่ โดยทำในใจว่า ร่างกายนี้ก็เปรียบเสมือนท่อนไม้และท่อนฟืน ที่นอนแน่นิ่งและต้องแตกสลายไปในที่สุด มีสติหรือสำนึกรู้ที่ลอยอยู่เหนือกายหรือลอยอยู่เหนือศีรษะนี้ มองเห็นร่างกายว่าเป็นสักแต่ว่าธาตุ โดยให้พิจารณาไปทีละส่วน ตั้งแต่เริ่มต้นจากการพิจารณาให้เห็นร่างกายเป็นสักแต่ว่าธาตุดิน ไปตั้งแต่กะโหลกศีรษะไปจรดปลายเท้า เห็นเส้นผมที่เริ่มขาวเป็นหย่อมๆ หรือขาวมากขึ้นๆไปทั่วศีรษะ เห็นหนังหุ้มศีรษะ และถูกเจาะเป็นช่องตา ช่องหู ช่องจมูก ช่องปาก เห็นลึกลงไปถึงกะโหลกศีรษะและมันสมอง พร้อมๆกับเห็นความเสื่อมไปเน่าเปื่อยผุพังไป ความเสื่อมเน่าเปื่อยผุพังไปนี้ ได้ขยายวงกว้างออกไปถึงร่างกาย ลำตัว แขนขา จนจรดปลายเท้า และเห็นความสกปรกของกายอันเป็นไปในภายใน อาทิ หัวใจ กระเพาะน้อย กระเพาะใหญ่ ลำไส้ ปอด ตับ ไต ไส้พุงเป็นต้น ซึ่งล้วนกำลังเคลื่อนสู่ไปสู่ความเสื่อมสลายไป แม้แต่กระดูกซี่โครงแต่ละท่อนๆ ก็มีแต่ความแตกสลาย และ เสื่อมสลายกลับคืนสู่ธาตุดินปลิวกระจายคืนสู่ธาตุดินในธรรมชาติ เมื่อพิจารณาธาตุดินเสร็จ ก็มาพิจารณาธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ไปตามลำดับในลักษณะเดียวกัน สติหรือสำนึกรู้นี้ เมื่อพิจารณาไปก็ค่อยๆน้อมเข้าสู่ใจไป จนเกิดการปลงสลดสังเวช อยู่ทุกคืนๆ ๆ จนใจเจ้าเข้าเห็นแต่โทษ ความสกปรกหรือความเป็นทุกข์ ของร่างกายนี้ และเกิดการปล่อยวางไปโดยลำดับ    
 
   
 
                              *************************************   
 
   
 
 | 
 
        
          |   | 
         
 | 
 
 
 | 
    | 
  | 
ดาวประกาย 
บัวพ้นดิน 
 
  
  
เข้าร่วม: 15 มิ.ย. 2005 
ตอบ: 53 
 
 
 | 
 ตอบเมื่อ:
25 ก.ค.2005, 11:30 am | 
   | 
 
 
 
การเจริญสติเพื่อพัฒนาความรู้สึกตัวทั่วพร้อมและสำนึกรู้ ให้เป็นใจผู้รู้ อันถึงพร้อมด้วยการรู้และการเห็น   
 
***********************************************************************************************   
 
เจริญพร   
 
   
 
                              การเจริญสติเพื่อพัฒนาสำนึกรู้ให้เป็นใจผู้รู้นี้ เป็นกระบวนการพัฒนาสติในภารภาวนาลำดับต่อไปที่มีความสำคัญยิ่งสำหรับผู้มุ่งหวังเจริญเข้าสู่ทางอริยมรรค  เพราะเมื่อสำนึกรู้ได้รับการพัฒนาให้เป็นใจผู้รู้แล้ว  ในเบื้องต้นจะเกิดศักยภาพที่เหนือจากสำนึกรู้อันเป็นเรื่องของการรู้ด้วยตัวรู้สึกล้วนๆ  ไปสู่การทั้งรู้และเห็นด้วยใจผู้รู้ไปพร้อมๆกัน กล่าวคือ การฝึกพัฒนาสำนึกรู้ให้เป็นใจผู้รู้ ก็คือการฝึกพัฒนาสติให้เป็นผู้รู้ที่มีศักยภาพทั้งรู้และเห็นไปพร้อมๆกัน อันทำให้ถึงพร้อมด้วยญาณทัสสนะไปตามลำดับตามกำลังความแจ่มแจ้งของการเป็นผู้รู้นั้น   
 
   
 
   
 
                              ฉะนั้น สำหรับผู้ที่ได้ผ่านการฝึกอบรมจนเกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมและสำนึกรู้ในระดับหนึ่งแล้ว  หากมีความประสงค์ที่จะพัฒนาความรู้สึกตัวทั่วพร้อมและสำนึกรู้ให้เป็นใจผู้รู้ต่อไปนั้น  พึงหมั่นอบรมทบทวนการบ้านที่อาตมาได้เคยให้ไว้ในแต่ละบทอีกครั้งตั้งแต่ต้น เพื่อให้เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมและสำนึกรู้ที่มีพละกำลัง   พร้อมที่จะพัฒนาต่อไปเป็นใจผู้รู้อันถึงพร้อมด้วยการรู้และการเห็นไปพร้อมๆกันในลำดับการพัฒนาสติในการภาวนาขั้นต่อไป   ทั้งนี้ เพื่อความต่อเนื่อง หากผู้ปฏิบัติที่มีความสนใจในการพัฒนาสำนึกรู้นี้ให้เป็นใจผู้รู้ดังกล่าว สามารถมาเข้ารับการฝึกอบรมต่อในวันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม นี้ในรอบเช้า 10.00-12.00 น.  และเพื่อความสะดวกในเรื่องสถานที่ที่รับได้เพียง 30 ท่านต่อครั้งเท่านั้น อยากรบกวนช่วยแสดงความจำนงสมัครเข้ารับการฝึกอบรมครั้งต่อไปนี้ โดย email ให้อาตมาทราบเพื่อจะได้สำรองที่นั่งให้  อนึ่ง ท่านที่เคยเข้ารับการฝึกอบรมแล้ว แต่ขาดความต่อเนื่อง ทำให้สำนึกรู้ที่เกิดไม่มีกำลังหรือแข็งแรงพอ  ควรจะสมัครเข้าฝึกอบรมในรอบบ่ายเวลา 13.00-15.00  เพื่อทบทวนการปฏิบัติสร้างความรู้สึกตัวทั่วพร้อมให้เกิดขึ้นจนเป็นสำนึกรู้ที่มีกำลังอีกครั้ง  เพื่อที่จะพร้อมในการเข้าฝึกอบรมพัฒนาสำนึกรู้ให้เป็นใจผู้รู้ในอาทิตย์ต่อๆไป   
 
   
 
ขอให้ทุกท่านหมั่นขยันภาวนาให้มากๆในช่วงเข้าพรรษานี้   
 
วิโมกข์   
 
   
 
*********************************************************************************************   
 
กำหนดการฝึกอบรมพัฒนาสติในการภาวนาให้เป็น ผู้รู้   ผู้ตื่น และ ผู้เบิกบาน ในชีวิตประจำวัน ประจำเดือนสิงหาคม 2548       
 
   
 
จะจัดให้มีการฝึกอบรม ณ สถาบันสอนภาษา Home English Center ปิ่นเกล้าทุกวันอาทิตย์ โดยเปิดการฝึกอบรมแบ่งเป็น 2 รอบ ดังนี้   
 
   
 
   
 
รอบที่ 1 ทุกวันอาทิตย์  เวลา 10.0012.00 น. (สำหรับผู้ที่ได้ฝึกอบรมพื้นฐานมาแล้ว 2 ครั้ง)   
 
             เรื่อง  การฝึกภาวนาเพื่อพัฒนาความรู้สำตัวทั่วพร้อมและสำนึกรู้ให้เป็นใจผู้รู้   
 
รอบที่ 2 ทุกวันอาทิตย์  เวลา 13.00 -15.00 น. (ผู้เริ่มต้นควรเข้าฝึกอบรมพื้นฐานนี้ 2 ครั้ง)   
 
             เรื่อง   การฝึกภาวนาเพื่อพัฒนาสติให้เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมและสำนึกรู้   
 
            อนึ่ง ขอให้ท่านผู้สนใจเข้ารับการฝึกอบรมฯ  ได้กรุณาแจ้งความจำนง   โดยสมัครเพื่อสำรองที่นั่ง พร้อมแจ้งชื่อ-นามสกุล ระบุวันและรอบเวลาที่ต้องการเข้าฝึกอบรม ส่งมาที่ wimoak@yahoo.comหรือโทร.05-8326441 (คุณหมอปิยะ) ส่วนแผนที่ Home English Center สามารถคลิ๊กไปดูได้ที่   HOME ENGLISH CENTER และรถเมล์ที่ผ่าน..มีดังนี้ รถเมล์สาย19,42,57,68,80,124,127,146,203,507,509,511 (ผ่านหน้าห้างพาต้า ปิ่นเกล้า) หรือ เข้าไปดูแผนที่ Home English Center พร้อมเส้นทางรถเมล์ได้ในไฟล์ที่แนบมานี้   
 
หมายเหตุ :   
 
(1) สำหรับผู้เริ่มต้นที่ยังตามไม่ค่อยทัน หรือยังไม่แจ่มแจ้ง และรวมทั้งผู้ที่มีความตั้งใจมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติให้เกิดความต่อเนื่อง สามารถเข้ารับการฝึกอบรมรอบพิเศษ    ทุกวันอังคาร และพฤหัส เวลา 18.00-20.00 น. ณ สถาบันภาษา Home English Center ปิ่นเกล้า  อนึ่ง รอบวันธรรมดานี้ไม่ต้องสมัครจองล่วงหน้า  ท่านใดสะดวกที่จะมาร่วม ก็มาได้เลย   
 
(2) สำหรับผู้มาเข้าฝึกอบรมฯเป็นครั้งแรก และ ผู้ที่เคยเข้าฝึกอบรมแล้ว แต่ยังตามไม่ค่อยทันหรือยังไม่แจ่มแจ้ง ควรจะสมัครเข้าฝึกอบรมในวันอาทิตย์รอบบ่าย ซึ่งจะมีการสอนหลักปฏิบัติโดยบรรยายให้ความรู้ตั้งแต่พื้นฐานและทบทวนการปฏิบัติเพื่อพัฒนาสติให้เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมและสำนึกรู้    ส่วนผู้ที่เคยมาเข้าฝึกอบรมขั้นพื้นฐานมาแล้วจนสามารถเจริญสติด้วยความรู้สึกตัวทั่วพร้อมและสำนึกรู้   ควรจะสมัครเข้าฝึกอบรมต่อในวันอาทิตย์รอบเช้า จะได้เน้นการปฏิบัติเจริญสติเพื่อพัฒนาความรู้สึกตัวทั่วพร้อมและสำนึกรู้ให้เป็นใจผู้รู้ อันเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินเข้าสู่ทางอริยมรรค   ทั้งนี้ อาตมาเป็นเพียงผู้ช่วยแนะนำร่นระยะเวลาการเดินทางและนำพาทุกท่านให้เข้าสู่อริยมมรรค ส่วนการบรรลุอริยผล ทุกท่านต้องเพียรปฏิบัติเอง   หนทางนี้มีอยู่ อยู่ที่เดินให้ถูกทางด้วยความเพียรของแต่ละท่านเอง   
 
********************************************************************************************   
 
 | 
 
        
          |   | 
         
 | 
 
 
 | 
    | 
  | 
ดาวประกาย 
บัวพ้นดิน 
 
  
  
เข้าร่วม: 15 มิ.ย. 2005 
ตอบ: 53 
 
 
 | 
 ตอบเมื่อ:
31 ก.ค.2005, 10:43 pm | 
   | 
 
 
 
การบ้านภาวนาครั้งที่ 8  การพัฒนาสำนึกรู้ไปสู่การรู้กายและใจอย่างทั่วถึง   
 
   
 
                           การละเริ่มที่การเห็น กล่าวคือ จะละในสิ่งใดได้ จำเป็นต้องเริ่มจากการเห็นในสิ่งนั้น  เมื่อเริ่มเห็น เมื่อนั้นการละก็เริ่มต้น  ฉะนั้น การจะละกิเลส ความคิดปรุงแต่ง อารมณ์ความรู้สึก  เป็นความทุกข์ก็ดี  ความเสียใจก็ดี  ความเศร้าโศกใดๆก็ดี  ขอให้เริ่มต้นจากการเห็น ในสิ่งนั้นๆ   พอเริ่มเห็นเท่านั้น  การละก็จะเริ่มขึ้นทันทีที่เริ่มเห็นนั่นเอง   ไม่ต้องไปฝึกอะไรมากมาย ไม่ต้องไปตั้งใจจะละ และก็ไม่ต้องไปค้นหาว่าจะละที่ไหน  เพราะการละเริ่มต้นที่การเห็นนั่นเอง      หลายๆคน  ได้ศึกษาวงจร ปฏิจจสมุปบาท  บางคนก็พยายามจะละตรงสังขารหรือความคิดปรุงแต่งบ้าง  บางคนก็พยายามละตรงวิญญาณบ้าง ( วิญญาณทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ) บางคนก็พยายามละตรงนามรูปบ้าง บางคนก็พยายามละตรงสฬายตนะบ้าง(อายตนะภายใน 6 และภายนอก 6) บางคนก็พยายามละตรงผัสสะหรือการกระทบบ้าง  บางคนก็พยายามละตรงเวทนาบ้าง  บางคนก็พยายามละตรงตัณหาบ้าง  บางคนก็พยายามละตรงอุปาทานบ้าง เป็นต้น    ปรากฏว่า หลายๆท่านที่พยายามละโดยการไปละตรงๆในจุดนั้น ก็เหนื่อยเปล่า  เพราะการละไม่ใช่ดั่งจะเนรมิตด้วยคำพูดว่า พึงละโลภ โกรธ หลง  แล้วความโลภ โกรธ หลงจะถูกละหรือถูกทำลายไปได้ง่ายๆดั่งใจนึก  ตราบใด ที่ผู้ปฏิบัติไม่เริ่มจากการเห็นในสิ่งที่จะละก่อน ดังอุบายที่พระพุทธองค์ทรงให้ไว้ว่า การละทุกข์ในอริยสัจจ์ ก็ต้องเริ่มต้นจากการเห็นทุกข์ในอริยสัจจ์ เสียก่อน จึงทรงแนะนำการละทุกข์ว่า ต้องเริ่มจากการกำหนดรู้ทุกข์หรือทุกข์เป็นสิ่งที่ต้องกำหนดรู้ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ต้องเริ่มต้นจากการเห็นทุกข์ก่อนนั่นเอง   ทุกวันนี้ ไม่ปฏิบัติตามที่ทรงแนะนำ วันทั้งวัน เดือนทั้งเดือน ปีทั้งปี  ก็ไม่เคยคิดจะกำหนดรู้ทุกข์ กล่าวคือ มองให้เห็นโทษเห็นทุกข์ในสิ่งทั้งปวง เพราะความเคยชินที่อยู่กับความทุกข์ทั้งหลายจนไม่ได้รู้สึกว่าเป็นความทุกข์  ตรงกันข้ามกลับมองเห็นเป็นความน่าเพลิดเพลินยินดีจนเกิดความลุ่มหลงหรือหลงผิดยึดติดในเสน่หาของทุกข์เหล่านั้นว่าเป็นความสุข จนเกิดความรักใคร่ ทะนุถนอม หวงแหน เกิดเป็นเยื่อใย อาลัยอาวรณ์ ผูกพันใจกับสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น จนกลายเป็นแรงผูกพันใจกับกายเจ้าของนี้อย่างเหนียวแน่น   
 
   
 
   
 
                              ฉะนั้น การบ้านในการภาวนานี้ คือ การพัฒนาสำนึกรู้ไปสู่การรู้กายและใจอย่างทั่วถึง โดยการฝึกให้รู้จักการเห็นในสิ่งทั้งปวงทั้งที่เป็นไปในภายนอกและภายในอย่างทั่วถึง   อนึ่ง การเห็นด้วยตาเนื้อนี้ จะเห็นได้แต่ภายนอกอย่างเดียว   แต่การเห็นด้วยความรู้สึกตัวทั่วพร้อมที่เป็นไปทั้งภายนอกและภายใน โดยมีสติรู้ในความรู้สึกตัวทั่วพร้อมที่เป็นไปทั้งภายนอกและภายในนั้น จะเกิดเป็นใจผู้รู้ที่เป็นกลางๆ  ใจผู้รู้ที่เป็นกลางๆนี้จะเป็นประหนึ่งตาที่ไม่ใช่ตาเนื้อ ซึ่งจะสามารถทั้งรู้และทั้งเห็นความเป็นไปทั้งภายนอกและภายในได้อย่างทั่วถึง   เมื่อผู้ได้ฝึกสมาธิจนเกิดความปลอดโปร่ง เบาสบาย และความสงบอันเป็นพลังงานของจิตที่เข้าไปสู่ความสงบ    ถ้าพอใจเพียงแค่ความปลอดโปร่ง เบาสบายและความสงบ ก็จะได้อานิสงส์ของการได้สัมผัสพลังงานของจิตที่เข้าไปสู่สมถะ  แต่ยังไม่อาจรู้วิธีนำเอาพลังงานของจิตที่เป็นความปลอดโปร่ง เบาสบายและความสงบนี้มาใช้ให้เกิดปัญญาได้  ต่อเมื่อเจริญสติในความรู้สึกตัวทั่วพร้อมอันเป็นไปในกาย เวทนา จิต และธรรมอยู่เนืองๆตามอุบายที่อาตมาได้ให้ไว้  จึงจะสามารถพัฒนาพลังงานของจิตที่เป็นความสงบนี้ ไปสู่จิตสำนึกหรือสำนึกรู้ได้ อันเป็นการพัฒนาพลังงานของจิตที่เป็นความปลอดโปร่ง เบาสบายและความสงบนี้ ไปสู่การรู้ ซึ่งเป็นการรู้ที่สามารถรู้ทั้งภายนอกและภายในได้อย่างทั่วถึง  ฉะนั้น เมื่อผู้ที่ได้มาเข้าคอร์สฝึกอบรมกับอาตมาจนเกิดสำนึกรู้นี้แล้ว พึงหมั่นเดินหน้าต่อ ด้วยการนำไปใช้สำนึกรู้นี้ให้เกิดเป็นการรู้ทั้งภายนอกและภายในอย่างทั่วถึง กล่าวคือ เมื่อตาเห็นนอก สำนึกรู้ก็ไม่เพียงแต่รู้นอก ขณะเดียวกันสำนึกรู้ก็รู้ในพร้อมๆกันไปด้วย  การรู้ในก็คือการรู้ความเป็นไปของกายและใจเจ้าของอย่างทั่วถึง  การพัฒนาสำนึกรู้ไปสู่การรู้ดังกล่าวอยู่เนืองๆ  สำนึกรู้ก็จะพัฒนาต่อไปเป็นใจผู้รู้ที่ถึงพร้อมด้วยการรู้และการเห็นไปพร้อมๆกัน  แต่หากไม่พัฒนาสำนึกรู้ไปสู่การรู้กายและใจเจ้าของอยู่เนืองๆ สำนึกรู้นี้ก็จะถอยกำลังลงเป็นเพียงแค่ความปลอดโปร่ง เบาสบายและความสงบ  อันเป็นเพียงพลังงานของจิตที่รวมตัวกัน และไม่ได้พัฒนาต่อไปเป็นการรู้การเห็น  ก็จะได้อานิสงส์เพียงแค่การพักผ่อนเพื่อเป็นพละกำลังแก่จิตเท่านั้น  อาตมาจึงขอให้คำแนะนำการพัฒนาสำนึกรู้นี้ไปใช้เข้าสู่ชีวิตประจำวันทีละน้อยๆ  กล่าวคือเมื่อตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายสัมผัส ก็ให้ใช้สำนึกรู้นี้ให้รู้ความเป็นไปทั้งกายและใจเจ้าของอย่างทั่วถึงด้วย  หากพัฒนาสำนึกรู้นี้ให้กลมกลืนเข้าสู่กิจวัตรประจำวันในชีวิตประจำวันเนืองๆ   ในที่สุด สำนึกรู้นี้ก็จะพัฒนาตัวเองไปสู่การเป็นใจผู้รู้ที่ทั้งรู้และเห็นไปพร้อมๆกัน อันถึงพร้อมด้วยญาณทัสสนะไปตามลำดับ   
 
*****************************************************************************************   
 
   กำหนดการฝึกอบรมพัฒนาสติในการภาวนาให้เป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น และ ผู้เบิกบาน ในชีวิตประจำวัน ครั้งที่ 9 วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม 2548     
 
   
 
จะจัดให้มีการฝึกอบรม ณ สถาบันสอนภาษา Home English Center ปิ่นเกล้า โดยเปิดการฝึกอบรมแบ่งเป็น 2 รอบ ดังนี้   
 
รอบที่ 1 เวลา 10.0012.00 น.(สำหรับผู้ที่ได้ฝึกอบรมพื้นฐานมาแล้ว 2 ครั้ง)   
 
เรื่อง การฝึกภาวนาเพื่อพัฒนาความรู้สำตัวทั่วพร้อมและสำนึกรู้ให้เป็นใจผู้รู้   
 
   
 
รอบที่ 2 เวลา 13.00 -15.00 น. (ผู้เริ่มต้นควรเข้าฝึกอบรมพื้นฐานนี้ 2 ครั้ง)   
 
เรื่อง การฝึกภาวนาเพื่อพัฒนาสติให้เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมและสำนึกรู้   
 
   
 
           อนึ่ง ขอให้ท่านผู้สนใจเข้ารับการฝึกอบรมฯ ได้กรุณาแจ้งความจำนง โดยสมัครเพื่อสำรองที่นั่ง พร้อมแจ้งชื่อ-นามสกุล      ระบุวันและรอบเวลาที่ต้องการเข้าฝึกอบรม ส่งมาที่ wimoak@yahoo.comหรือโทร.05-8326441 (คุณหมอปิยะ) ส่วนแผนที่ Home English Center สามารถคลิ๊กไปดูได้ที่http://albums.photo.epson.com/j/ViewPhoto?u=4275026&a=31594700&p=72061327  
 
และรถเมล์ที่ผ่าน..มีดังนี้รถเมล์สาย19,42,57,68,80,124,127,146,203,507,509,511 (ผ่านหน้าห้างพาต้า ปิ่นเกล้า)   
 
   
 
หมายเหตุ :   
 
(1) สำหรับผู้เริ่มต้นที่ยังตามไม่ค่อยทัน หรือยังไม่แจ่มแจ้ง และรวมทั้งผู้ที่มีความตั้งใจมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติให้เกิดความต่อเนื่อง สามารถเข้ารับการฝึกอบรมรอบพิเศษ ทุกวันอังคาร และพฤหัส เวลา 18.00-20.00 น. ณ สถาบันภาษา Home English Center ปิ่นเกล้า อนึ่ง รอบวันธรรมดานี้ไม่ต้องสมัครจองล่วงหน้า ท่านใดสะดวกที่จะมาร่วม ก็มาได้เลย   
 
   
 
(2) สำหรับผู้มาเข้าฝึกอบรมฯเป็นครั้งแรก และ ผู้ที่เคยเข้าฝึกอบรมแล้ว แต่ยังตามไม่ค่อยทันหรือยังไม่แจ่มแจ้ง ควรจะสมัครเข้าฝึกอบรมในวันอาทิตย์รอบบ่าย ซึ่งจะมีการสอนหลักปฏิบัติโดยบรรยายให้ความรู้ตั้งแต่พื้นฐานและทบทวนการปฏิบัติเพื่อพัฒนาสติให้เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมและสำนึกรู้ ส่วนผู้ที่เคยมาเข้าฝึกอบรมขั้นพื้นฐานมาแล้วจนสามารถเจริญสติด้วยความรู้สึกตัวทั่วพร้อมและสำนึกรู้ ควรจะสมัครเข้าฝึกอบรมต่อในวันอาทิตย์รอบเช้า จะได้เน้นการปฏิบัติเจริญสติเพื่อพัฒนาความรู้สึกตัวทั่วพร้อมและสำนึกรู้ให้เป็นใจผู้รู้ อันเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินเข้าสู่ทางอริยมรรค ทั้งนี้ อาตมาเป็นเพียงผู้ช่วยแนะนำร่นระยะเวลาการเดินทางและนำพาทุกท่านให้เข้าสู่อริยมมรรค ส่วนการบรรลุอริยผล ทุกท่านต้องเพียรปฏิบัติเอง หนทางนี้มีอยู่ อยู่ที่เดินให้ถูกทางด้วยความเพียรของแต่ละท่านเอง   
 
******************************************************************************************  | 
 
        
          |   | 
         
 | 
 
 
 | 
    | 
  | 
ดาวประกาย 
บัวพ้นดิน 
 
  
  
เข้าร่วม: 15 มิ.ย. 2005 
ตอบ: 53 
 
 
 | 
 ตอบเมื่อ:
08 ส.ค. 2005, 3:36 pm | 
   | 
 
 
 
เจริญพร   
 
   
 
ดวงตานั้นเห็นได้แต่ภายนอก แต่ผู้รู้นี้เห็นได้ทั้งนอกและเห็นได้ทั้งใน เห็นนอก ก็คือ เห็นรูปที่มากระทบ ได้ยินเสียงที่มากระทบ เห็นในก็คือเห็นกายและใจตัวเองอย่างทั่วถึง กล่าวคือ เมื่อตาเห็นรูป ผู้รู้ก็เห็นรูปนั้นด้วย ขณะเดียวกันต้องฝึกไม่ให้ผู้รู้เห็นนอกอย่างเดียว เพราะจะทำให้ผู้รู้ไหลไปกับรูปที่เห็น จึงควรจะฝึกให้ผู้รู้เห็นในคือเห็นใจหรืออาการทางใจที่เป็นไปในภายในอย่างทั่วถึงด้วย เพื่อว่าผู้รู้จะได้เป็นกลางๆ ไม่ไหลไปกับรูปภายนอก และ ไม่ไหลเข้าไปอยู่ภายใต้อิทธิพลของอาการทางใจอันปรุงแต่งด้วยอนุสัยกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน สิ่งภายนอกนั้นล้วนแต่เป็นมายาของจิต ดังจะเห็นได้จากนักปฏิบัติหลายท่าน เห็นนิมิตต่างๆบ้าง ในขณะภาวนา แล้วเผลอหรือลืมตัวปล่อยให้สติหรือผู้รู้ไหลไปกับนิมิตที่เห็นนั้น โดยลืมดูจิตดูใจของตัวเอง ผู้รู้ก็หลงเที่ยวไปในนิมิตที่เห็นนั้นจนหลงตัวเองว่าได้ตาทิพย์ หรือเป็นผู้รู้เหตุการณ์ล่วงหน้าหรือเป็นผู้วิเศษไป หรือเป็นผู้ไปถึงฝั่งคือพระนิพพานแล้ว ทำนองนี้ ซึ่งหารู้ไม่ว่ากำลังโดนจิตของตนเองหลอกตนเอง เพราะภาพหรือสิ่งที่เห็นในขณะภาวนานั้น ล้วนแต่เป็น Duplicate หรือ Copy ที่สะท้อนมาจากจิตใต้สำนึกอันปรุงแต่งไปด้วยกิเลสสารพัด ฉะนั้น เมื่อนักปฏิบัติเห็นนิมิตต่างๆ ก็พึงเห็นใจหรืออาการทางใจของตนไปพร้อมกันด้วย เพราะคำว่าDuplicate หรือ Copy นั้น ก็คือ มายาของจิตนั่นเอง อันนี้จึงเป็นตัวอย่างให้เราอุทาหรณ์ไว้อยู่เสมอว่า อะไรที่เราเห็นนั้น อาจจะเห็นจริง แต่สิ่งที่เห็นนั้นไม่จริง หรือ เป็นมายาของจิตนั่นเอง ฉะนั้น ผู้รู้อาจจะสูญเสียความเป็นผู้รู้เพราะมายาของจิตไปโดยไม่รู้ตัว เราจึงควรตรวจสอบความรู้ความเห็นของตนเองโดยการเห็นทั้งนอกพร้อมๆไปกับการเห็นทั้งในด้วยอยู่เสมอ เพราะการเห็นนอกโดยขาดการเห็นใน ผู้รู้จะเสียสมดุล และในที่สุดก็สูญเสียการเป็นผู้รู้ กลายเป็นโมหะหรืออวิชชาบังตาผู้รู้ แต่ผู้รู้จะเป็นผู้รู้ยิ่งๆขึ้นไปด้วยการเป็นผู้รู้ที่อยู่ตรงกลางๆระหว่างรูปและนาม คือ เห็นนอกและเห็นในด้วยไปพร้อมๆกัน อันนี้เป็นอุทาหรณ์ให้นักปฏิบัติภาวนาหลายๆท่าน พึงวางนิมิตที่เห็น ด้วยการมองด้านในให้เห็นใจหรืออาการทางใจ(จิตตสังขาร)ที่ไปสร้างตัวตนเป็นนิมิตอันเป็นเพียงมายาของจิตเท่านั้น เมื่อมองด้านในดังกล่าวนิมิตนั้นก็จะหายไป และ อาจจะไปเจอนิมิตที่เป็นมายาที่แยบยลกว่าแทน ก็พึงให้สำนึกรู้หรือใจผู้รู้มองด้านในเนืองๆ จนเค้าหยุดเล่นกับเราเพราะเรารู้เท่าทัน แต่หากเรามัวหลงเพลินยินดีปราโมทย์กับนิมิตต่างๆที่เห็นนั้น เราก็จะรู้ไม่เท่าทันในมายาของจิต จนผู้รู้สูญเสียความเป็นผู้รู้โดยที่เราไม่ทันเฉลียวใจ ฉะนั้น นักปฏิบัติหลายๆท่าน พึงไม่ควรประมาท เพราะความไม่ประมาทเท่านั้น ที่จะทำให้ท่านถอยกลับมาก้าวหนึ่งแล้วตรวจสอบความเป็นผู้รู้ของตนอยู่เนืองๆ ด้วยความไม่ประมาทนั่นเอง   
 
   
 
*************************************************************************   
 
   
 
กำหนดการฝึกอบรมพัฒนาสติในการภาวนาให้เป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น และ ผู้เบิกบาน    
 
ในชีวิตประจำวัน ครั้งที่ 10    
 
   
 
วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม 2548 จะจัดให้มีการฝึกอบรม ณ สถาบันสอนภาษา Home English Center ปิ่นเกล้า โดยเปิดการฝึกอบรมแบ่งเป็น 2 รอบ ดังนี้   
 
   
 
รอบที่ 1 เวลา 10.0012.00 น.(สำหรับผู้ที่ได้ฝึกอบรมพื้นฐานมาแล้ว 2 ครั้ง)   
 
เรื่อง การฝึกภาวนาเพื่อพัฒนาความรู้สำตัวทั่วพร้อมและสำนึกรู้ให้เป็นใจผู้รู้   
 
   
 
รอบที่ 2 เวลา 13.00 -15.00 น. (ผู้เริ่มต้นควรเข้าฝึกอบรมพื้นฐานนี้ 2 ครั้ง)   
 
เรื่อง การฝึกภาวนาเพื่อพัฒนาสติให้เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมและสำนึกรู้   
 
   
 
อนึ่ง ขอให้ท่านผู้สนใจเข้ารับการฝึกอบรมฯ ได้กรุณาแจ้งความจำนง โดยสมัครเพื่อสำรองที่นั่ง พร้อมแจ้งชื่อ-นามสกุล ระบุวันและรอบเวลาที่ต้องการเข้าฝึกอบรม ส่งมาที่ wimoak@yahoo.comหรือโทร.05-8326441 (คุณหมอปิยะ) ส่วนแผนที่ Home English Center สามารถคลิ๊กไปดูได้ที่   
 
 http://albums.photo.epson.com/j/ViewPhoto?u=4275026&a=31594700&p=72423772   
 
   
 
และรถเมล์ที่ผ่าน..มีดังนี้รถเมล์สาย19,42,57,68,80,124,127,146,203,507,509,511 (ผ่านหน้าห้างพาต้า ปิ่นเกล้า)   
 
หมายเหตุ :   
 
   
 
(1) สำหรับผู้เริ่มต้นที่ยังตามไม่ค่อยทัน หรือยังไม่แจ่มแจ้ง และรวมทั้งผู้ที่มีความตั้งใจมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติให้เกิดความต่อเนื่อง สามารถเข้ารับการฝึกอบรมรอบพิเศษ ทุกวันอังคาร และพฤหัส เวลา 18.00-20.00 น. ณ สถาบันภาษา Home English Center ปิ่นเกล้า อนึ่ง รอบวันธรรมดานี้ไม่ต้องสมัครจองล่วงหน้า ท่านใดสะดวกที่จะมาร่วม ก็มาได้เลย   
 
   
 
(2) สำหรับผู้มาเข้าฝึกอบรมฯเป็นครั้งแรก และ ผู้ที่เคยเข้าฝึกอบรมแล้ว แต่ยังตามไม่ค่อยทันหรือยังไม่แจ่มแจ้ง ควรจะสมัครเข้าฝึกอบรมในวันอาทิตย์รอบบ่าย ซึ่งจะมีการสอนหลักปฏิบัติโดยบรรยายให้ความรู้ตั้งแต่พื้นฐานและทบทวนการปฏิบัติเพื่อพัฒนาสติให้เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมและสำนึกรู้ ส่วนผู้ที่เคยมาเข้าฝึกอบรมขั้นพื้นฐานมาแล้วจนสามารถเจริญสติด้วยความรู้สึกตัวทั่วพร้อมและสำนึกรู้ ควรจะสมัครเข้าฝึกอบรมต่อในวันอาทิตย์รอบเช้า จะได้เน้นการปฏิบัติเจริญสติเพื่อพัฒนาความรู้สึกตัวทั่วพร้อมและสำนึกรู้ให้เป็นใจผู้รู้ อันเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินเข้าสู่ทางอริยมรรค ทั้งนี้ อาตมาเป็นเพียงผู้ช่วยแนะนำร่นระยะเวลาการเดินทางและนำพาทุกท่านให้เข้าสู่อริยมมรรค ส่วนการบรรลุอริยผล ทุกท่านต้องเพียรปฏิบัติเอง หนทางนี้มีอยู่ อยู่ที่เดินให้ถูกทางด้วยความเพียรของแต่ละท่านเอง   
 
   
 
****************************************************************************   
 
  | 
 
        
          |   | 
         
 | 
 
 
 | 
    | 
  | 
ดาวประกาย 
บัวพ้นดิน 
 
  
  
เข้าร่วม: 15 มิ.ย. 2005 
ตอบ: 53 
 
 
 | 
 ตอบเมื่อ:
15 ส.ค. 2005, 12:26 am | 
   | 
 
 
 
การบ้านภาวนาครั้งที่ ๑๐ ฝึกรู้ความรู้สึกที่เป็นตัวเรา เพื่อไปละความรู้สึกที่เป็นของ ๆ เรา    
 
*********************************************************    
 
หัวใจสำคัญของหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา ก็คือ การละความยึดมั่นถือมั่นในตัวเรา ของเรา การละความยึดมั่นถือมั่นในตัวเรา ของเรา นั้นฟังดูเข้าใจไม่ยาก แต่เวลาถึงภาคปฏิบัติทีไร มักจะล้มเหลวหรือทำไม่เป็นผลสำเร็จ วันนี้อาตมาจึงอยากจะให้การบ้านหรืออุบายธรรมในการละตัวเรา ของเรา เพราะการที่เราตั้งหน้าตั้งตาฝึกเจริญภาวนานั้น เป้าหมายหลักก็คือ การละตัณหาอุปาทานนั่นเอง อุบายธรรมที่อาตมาอยากจะให้เป็นการบ้านสำหรับนักภาวนาทั้งหลาย ก็คือ การฝึกรู้ความรู้สึกที่เป็นตัวเรา เพื่อไปละความรู้สึกที่เป็นของเรา อันหมายถึงการละตัวเรา ของเราให้เป็นผลสำเร็จ ตามอุบายธรรมนี้ ต้องเริ่มต้นที่การฝึกละความรู้สึกว่าเป็นของๆเรา ไปสู่การฝึกละความรู้สึกว่าเป็นตัวเรา หรืออีกนัยหนึ่ง ในเบื้องต้น เรายึดตัวเราก่อน เพื่อไปละของๆเรา นั่นเอง การยึดตัวเราก็คือ รู้ในความรู้สึกที่เป็นตัวเราด้วยความรู้สึกตัวทั่วพร้อม อิ่มเอิบ ปีติปราโมทย์ กับความรู้สึกที่เป็นตัวเราด้วยความรู้สึกที่รู้ ตื่น เบิกบาน อยู่เป็นปัจจุบันขณะกับจิต วิญญาณ และกายของเราอย่างทั่วพร้อม ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสแนะนำว่ามีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม หรือ สัมปชัญญะอันเป็นในภายใน ภายนอก และทั้งภายในภายนอก อันหมายถึงรู้สึกตัวทั่วพร้อมอย่างทั่วถึงทั้งกายและใจนั่นเอง จนเกิดใจผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานที่รู้เห็นโลกคือกายอันยาววาหนาคืบนี้รวมทั้งโลกภายนอกตามความเป็นจริง (ยถาภูตญาณทัสสนะ) แต่ข้อสังเกตในหนทางการหลุดพ้นตามธรรมชาตินั้น จะเกิดความสงบรำงับ และ ความปราโมทย์ (ความบันเทิงใจในธรรม)ก่อน จึงจะเกิดเป็นใจผู้รู้ที่รู้เห็นโลกตามความเป็นจริงดังกล่าว อันหมายถึง หนทางการบรรลุธรรมแบบธรรมชาติโดยอาศัยความสงบรำงับ จนเกิดความปราโมทย์ (ความบันเทิงใจในธรรม) อันมีตัวเราเป็นที่ตั้ง หรือมีความปราโมทย์ ความสุขในธรรมอันเกิดจากตัวเราก่อนนั่นเอง กล่าวโดยสรุป การปฏิบัติธรรมที่ให้ได้ผลเกิดความก้าวหน้านั้น ผู้ปฏิบัติธรรมต้องมีความสุขในการปฏิบัติธรรม เมื่อมีความสุขในการปฏิบัติธรรม ก็จะเกิดฉันทะในการปฏิบัติธรรมเอง จนเกิดวิริยะ จิตตะ วิมังสา อันถึงพร้อมด้วยอิทธิบาทภาวนานั่นเอง การที่ผู้ปฏิบัติธรรมแล้วจะมีความสุขในการปฏิบัติธรรมได้นั้น ผู้ปฏิบัติต้องเห็นประโยชน์ของการปฏิบัติธรรมจริงๆ อาทิ เห็นว่า การปฏิบัติธรรมคือ การมีสติอยู่กับปัจจุบัน และการมีสติอยู่กับปัจจุบัน ก็คือการได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ทั้งหลายอยู่เนืองๆ เพราะสิ่งต่างๆในวันพรุ่งนี้ วันมะรืนนี้ ก็จะเคลื่อนมาสู่ปัจจุบันเป็นสิ่งใหม่ๆให้เราได้เรียนรู้ ในปัจจุบัน ทีละขณะๆ อยู่เนืองๆ และการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ในปัจจุบันนั้น เป็นการเรียนรู้ที่เห็นแจ้งเข้าไปถึงใจเจ้าของอันเป็นภาวนามยปัญญา ต่างกับจินตามยปัญญาที่ไปติดอยู่กับการคิดการนึก แต่ไม่สามารถเห็นแจ่มแจังเข้าไปถึงจิตถึงใจจนทำลายความยึดมั่นถือมั่นหรือทำลายกิเลสให้เบาบางไปจากใจเจ้าของได้    
 
   
 
มาถึงประเด็นการฝึกรู้ความรู้สึกที่เป็นตัวเรา เพื่อไปละความรู้สึกที่เป็นของ ๆ เรา นั้น ก็คือ การใช้ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมที่เป็นปัจจุบันจนเกิดความสงบรำงับและปราโมทย์ในใจเนือง ๆ เพื่อไปละความรู้สึกในสิ่งภายนอกทั้งหลายว่าเป็นของ ๆ เรานั่นเอง ทั้งนี้ความรู้สึกหลงยึดมั่นในสิ่งภายนอกว่าเป็นของๆเรานั้น จัดว่าเป็นความรู้สึกจรที่แปลกปลอมและเป็นโทษเป็นภัยจนทำให้เกิดการความรู้สึกยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของๆเราและเป็นตัวเราอย่างเหนียวแน่นมากขึ้น แต่เพราะเหตุที่ผู้ปฏิบัติเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยสติอันมีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมเป็นฐานกำลังแก่สติอยู่เนืองๆ สติอันผู้ปฏิบัติเจริญดีแล้วนั้นจะคอยตรวจสอบสกัดกั้นความรู้สึกที่แปลกปลอมและเห็นโทษภัยของความรู้สึกที่หลงยึดมั่นถือมั่นว่าสิ่งนั้น สี่งนี้เป็นของ ๆ เรา โดยตระหนักเห็นความจริงว่าลำพังตัวเราเองก็ไม่สามารถที่จะบังคับให้เป็นไปดั่งใจนึกปรารถนา นับประสาอะไรกับสิ่งภายนอกที่เราไปหลงยึดมั่นว่าเป็นของๆเราจะไปสามารถควบคุมจัดแจงหรือ จัดการให้เป็นไปดังใจปรารถนาได้อย่างไร? ฉะนั้น ผู้หมั่นเจริญสติ และสัมปชัญญะด้วยความรู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่เนืองๆ ก็จะเห็นความจริงอันนี้ได้โดยไม่ยากและพร้อมที่จะสลัดคืนสิ่งแปลกปลอมอันเป็นความรู้สึกที่ยึดว่าเป็นของๆเราได้โดยง่าย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการเพียรปฏิบัติเนืองๆ จนสามารถรู้และละ อยู่ที่ละได้ช้าหรือเร็วมากน้อยอย่างไรเท่านั้นเอง    
 
อาตมาอยากจะชี้ให้เห็นว่า การฝึกละตัวเรา ของเรา นั้น ถ้าเราไปพยายามละตัวเราก่อน มันจะยากลำบากเพราะเหตุเยื่อใยอาลัยอาวรณ์ที่ร้อยรัดความรู้สึกว่าของๆเรามากเท่าไร หากเทียบเยื่อใยอาลัยอาวรณ์ที่มัดความรู้สึกว่าเป็นตัวเรานั้นยิ่งมากกว่ามากนัก อุบายธรรมนี้ จึงมีเป้าหมายในการฝึกละความรู้สึกว่าเป็นตัวเรา และของๆเราให้ได้ในที่สุด โดยเริ่มจากการฝึกละความรู้สึกว่าเป็นของๆเราก่อน คือ ค่อยๆละวางปลดเปลื้องเครื่องพันธนาการในสิ่งทั้งหลายภายนอกที่เราไปหลงยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของๆเรา เช่น เกียรติยศของเรา ชื่อเสียงของเรา ลูกของเรา ภรรยาของเรา สามีของเรา ทรัพย์สมบัติของเรา อะไรทำนองนี้ เมื่อเครื่องร้อยรัดอันเป็นพันธนาการที่ร้อยรัดตัวเราด้วยของๆเรา ได้ถูกปลดเปลื้องออกไปโดยลำดับ เราจะรู้สึกโล่งเบา โปร่งเบาสบาย เพราะความที่เราสามารถลดละความรู้สึกยึดมั่นถื่อมั่นว่าเป็นของๆเรา อันเป็นเครื่องพันธนาการร้อยรัดจิตใจของเราได้โดยลำดับนั่นเอง ความสำเร็จในการที่จะละวางปลดเปลื้องเครื่องพันธนาการอันเป็นความรู้สึกว่าเป็นของๆเรานี้ จะสัมฤทธิ์ผลได้ก็ต้องอาศัยความรู้สึกตัวทั่วพร้อมเป็นเครื่องอาศัยให้ใจเจ้าของมีความสุขสงบรำงับและ ปราโมทย์คือความบันเทิงในธรรมอันเกิดจากความยินดีปรีดากับการมีความสุขอยู่กับปัจจับันขณะด้วยความรู้สึกตัวทั่วพร้อมเนืองๆ จนไม่อยากจะเหลียวแลไปยึดเอาสิ่งทั้งหลายภายนอกว่าเป็นของๆเรา เพราะระอากับความทุกข์รำเค็ญที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอันเนื่องมาจากความหลงยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของๆเราเป็นเหตุนั่นเอง เพราะเมื่อความรู้สึกว่าเป็นของๆเราเริ่มรุนแรงขึ้น ก็จะส่งผลสะท้อนให้ความรู้สึกว่าเป็นตัวเรารุนแรงขึ้นเช่นกัน หรือในทางตรงกันข้าม หากสามารถลดละความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งหลายภายนอกว่าเป็นของๆเราได้ ก็จะส่งผลสะท้อนให้ความรู้สึกยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเราอ่อนกำลังลงหรือคลายความหลงทั้งในตัวเรา และของๆเราได้ไปพร้อม ๆ กันโดยปริยาย    
 
   
 
ลำดับต่อไปเมื่อผู้ปฏิบัติได้ฝึกรู้ความรู้สึกที่เป็นตัวเรา เพื่อไปละความรู้สึกที่เป็นของๆเราได้ผลเป็นที่น่าพึงพอใจในระดับหนึ่งแล้ว จะเห็นได้ว่าความรู้สึกที่หลงยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเรานั้นก็จะบรรเทาเบาบางลงไปโดยปริยายเช่นกัน เพราะเหตุไม่มีความรู้สึกที่เป็นของๆเรามาคอยกระตุ้นให้ตัวเราหลงผิดในตัวเราอยู่เนืองๆ อุบายธรรมต่อไปเพื่อให้สามารถละความหลงผิดยึดมั่นถือมั่นทั้งตัวเรา และของๆ เราได้ไปโดยลำดับก็คือ การเจริญปัญญา ควบคู่ไปกับการเจริญสติ เพื่อให้สามารถละความยินดียินร้ายเพราะเหตุเห็นโทษความยินดียินร้ายทั้งในความรู้สึกยึดมั่นหลงว่าเป็นของ ๆ เราและความรู้สึกยึดมั่นหลงว่าเป็นตัวเราที่เข้าไปเสวยอารมณ์ หรือ พึงพอใจในความยินดียินร้ายนั้น หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ก็คือ เมื่อละความรู้สึกยึดมั่นว่าสิ่งนั้น สิ่งนี้ เป็นของๆเราได้ในระดับหนึ่งแล้ว ต่อไปก็ค่อย ๆ ฝึกหัดละความรู้สึกที่หลงยึดมั่นว่าเป็นตัวเราผู้เข้าไปเสวยอารมณ์ในความรู้สึกที่ยึดมั่นว่าเป็นของๆเรานั้น อีกชั้นหนึ่ง โดยการรู้สักแต่ว่ารู้ความรู้สึกว่าเป็นตัวเราจนเกิดรู้ที่เป็นกลางๆ ที่อยู่เหนืออุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ ที่เป็นตัวเราได้ในที่สุด    
 
   
 
*********************************************************    
 
   
 
color=orange]กำหนดการฝึกอบรมพัฒนาสติในการภาวนาให้เป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น และ ผู้เบิกบาน ในชีวิตประจำวัน ครั้งที่ 11 วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม 2548     
 
   
 
จะจัดให้มีการฝึกอบรม ณ สถาบันสอนภาษา Home English Center ปิ่นเกล้า โดยเปิดการฝึกอบรมแบ่งเป็น 2 รอบ ดังนี้    
 
รอบที่ 1 เวลา 10.0012.00 น.(สำหรับผู้ที่ได้ฝึกอบรมพื้นฐานมาแล้ว 2 ครั้ง)    
 
เรื่องการฝึกภาวนาเพื่อพัฒนาความรู้สำตัวทั่วพร้อมและสำนึกรู้ให้เป็นใจผู้รู้    
 
รอบที่ 2 เวลา 13.00 -15.00 น. (ผู้เริ่มต้นควรเข้าฝึกอบรมพื้นฐานนี้ 2 ครั้ง)    
 
เรื่องการฝึกภาวนาเพื่อพัฒนาสติให้เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมและสำนึกรู้    
 
   
 
อนึ่ง ขอให้ท่านผู้สนใจเข้ารับการฝึกอบรมฯ ได้กรุณาแจ้งความจำนง โดยสมัครเพื่อสำรองที่นั่ง พร้อมแจ้งชื่อ-นามสกุล ระบุวันและรอบเวลาที่ต้องการเข้าฝึกอบรม ส่งมาที่ wimoak@yahoo.comหรือโทร.05-8326441 (คุณหมอปิยะ) ส่วนแผนที่ Home English Center สามารถคลิ๊กไปดูได้ที่    http://albums.photo.epson.com/j/ViewPhoto?u=4275026&a=31594700&p=72423772   
 
และรถเมล์ที่ผ่าน..มีดังนี้รถเมล์สาย19,42,57,68,80,124,127,146,203,507,509,511 (ผ่านหน้าห้างพาต้า ปิ่นเกล้า)    
 
   
 
หมายเหตุ :    
 
(1) สำหรับผู้เริ่มต้นที่ยังตามไม่ค่อยทัน หรือยังไม่แจ่มแจ้ง และรวมทั้งผู้ที่มีความตั้งใจมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติให้เกิดความต่อเนื่อง สามารถเข้ารับการฝึกอบรมรอบพิเศษ ทุกวันอังคาร และพฤหัส เวลา 18.00-20.00 น. ณ สถาบันภาษา Home English Center ปิ่นเกล้า อนึ่ง รอบวันธรรมดานี้ไม่ต้องสมัครจองล่วงหน้า ท่านใดสะดวกที่จะมาร่วม ก็มาได้เลย    
 
   
 
(2) สำหรับผู้มาเข้าฝึกอบรมฯเป็นครั้งแรก และ ผู้ที่เคยเข้าฝึกอบรมแล้ว แต่ยังตามไม่ค่อยทันหรือยังไม่แจ่มแจ้ง ควรจะสมัครเข้าฝึกอบรมในวันอาทิตย์รอบบ่าย ซึ่งจะมีการสอนหลักปฏิบัติโดยบรรยายให้ความรู้ตั้งแต่พื้นฐานและทบทวนการปฏิบัติเพื่อพัฒนาสติให้เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมและสำนึกรู้ ส่วนผู้ที่เคยมาเข้าฝึกอบรมขั้นพื้นฐานมาแล้วจนสามารถเจริญสติด้วยความรู้สึกตัวทั่วพร้อมและสำนึกรู้ ควรจะสมัครเข้าฝึกอบรมต่อในวันอาทิตย์รอบเช้า จะได้เน้นการปฏิบัติเจริญสติเพื่อพัฒนาความรู้สึกตัวทั่วพร้อมและสำนึกรู้ให้เป็นใจผู้รู้ อันเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินเข้าสู่ทางอริยมรรค ทั้งนี้ อาตมาเป็นเพียงผู้ช่วยแนะนำร่นระยะเวลาการเดินทางและนำพาทุกท่านให้เข้าสู่อริยมมรรค ส่วนการบรรลุอริยผล ทุกท่านต้องเพียรปฏิบัติเอง หนทางนี้มีอยู่ อยู่ที่เดินให้ถูกทางด้วยความเพียรของแต่ละท่านเอง    
 
   
 
*********************************************************    
 
   
 
   
 
  อนึ่ง การฝึกอบรมครั้งที่ 12 จะขอเลื่อนกำหนดการมาฝึกในวันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม 2548 แทน เนื่องจากในวันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม 2548 นั้นหลวงพ่อติดกิจนิมนต์ไปฝึกอบรมแก่นักศึกษาสถาบันราชภัฏ       
 
   
 
 | 
 
        
          |   | 
         
 | 
 
 
 | 
    | 
  | 
ดาวประกาย 
บัวพ้นดิน 
 
  
  
เข้าร่วม: 15 มิ.ย. 2005 
ตอบ: 53 
 
 
 | 
 ตอบเมื่อ:
29 ส.ค. 2005, 11:18 am | 
   | 
 
 
 
การบ้านภาวนาครั้งที่ ๑๒ : การทวนกระแสปฏิจจสมุปบาทด้วยการมีสติรู้ความรู้สึก    
 
   
 
*********************************************************    
 
ความรู้สึกเกิดจากอะไร ? ความรู้สึกเกิดจากการกระทบของสิ่ง ๒ สิ่ง ได้แก่อายตนะภายนอก กระทบ กับอายตนะภายใน อาทิ ตากระทบกับรูป หูกระทบเสียง 
.กายกระทบสัมผัสทางกาย เราเคยสังเกตไหมว่า จากความรู้สึกกระทบสัมผัส ณ ที่ใดที่หนึ่ง จะนำไปสู่ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมอันเป็นไปเองตามธรรมชาติ อาทิ การเดินจงกรม บางท่านเดินจงกรมโดยกำหนดที่เท้ายก ย่าง เหยียบ บางท่านกำหนดที่อาการเคลื่อนไหวของเท้าที่กำลังยก ย่าง เหยียบ การกำหนดทั้ง ๒ กรณีข้างต้น ยังยึดติดกับรูป คือ ดูรูปที่เคลื่อนไหว การกำหนดลักษณะนี้ จะกลายเป็นสมถะไป เพราะเป็นการกำหนดเฉพาะที่ อันได้แก่ ที่เท้าหรือที่อาการเคลื่อนไหวของเท้า แม้การกำหนดอาการเคลื่อนไหวดูเหมือนว่าน่าจะเป็นวิปัสสนา แต่ก็ไม่เป็นวิปัสสนา เพราะยังต้องประคองเท้าให้ค่อยๆเคลื่อนไหว อันเป็นเรื่องของการบังคับด้วยสมถะ แต่ถ้าหากนักปฏิบัติกำหนดรู้โดยการมีสติระลึกรู้ความรู้สึกของเท้าทึ่กำลังเคลื่อนไหว อันนี้จะเป็นธรรมชาติ เพราะไม่ต้องประคองเท้าให้ค่อยๆเคลื่อนไหวแบบจิกอาการเคลื่อนไหวของเท้าทีละขยักๆๆ การไม่ประคอง ก็ไม่ได้หมายความว่าเดินจ้ำเอาจ้ำเอาเร็วเกินไป แต่เป็นการเดินช้าอย่างสบายๆ ด้วยความรู้สึกเบาสบายเป็นธรรมชาติ จนรู้สึกความรู้สึกของอาการเคลื่อนไหวของเท้าที่เคลื่อนไหวต่อเนื่องกันแบบนุ่มนวล เบาสบาย เสมือนหนึ่งคลื่นท้องทะเล ที่ผ่านเข้ามา และผ่านพ้นไป ระลอกแล้วระลอกเล่า โดยไม่ต้องไปหยุดทีละขยักๆๆ ทำให้ไม่รู้สึกของอาการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง หรือแทนที่จะรู้ความรู้สึกของอาการการเคลื่อนไหวของเท้าอย่างต่อเนื่อง แต่กลับไปประคองยก ประคองย่าง ประคองเหยียบที่ตั้งใจเกินไป จนรู้สึกเมื่อยเท้า และเสียการทรงตัว ทั้งนี้ การดูความรู้สึกของอาการเคลื่อนไหวของเท้านั้นจะพบว่า จะผ่อนคลาย สบายๆ เป็นธรรมชาติ และจะค่อยๆเกิดเป็นความรู้สึกตัวทั่วพร้อมที่เป็นไปเอง กล่าวคือ จากการดูความรู้สึก ณ ที่ใดที่หนึ่ง จะเกิดอาการความรู้สึกโปร่งเบาและเชื่อมโยงกันเกิดเป็นความรู้สึกตัวทั่วพร้อมที่เป็นไปเอง ตรงกันข้าม หากผู้ปฏิบัติกำหนดดูเฉพาะที่โดยยึดติดกับรูป กล่าวคือ กำหนดรู้เฉพาะเท้าที่เคลื่อนไหว หรือกำหนดรู้อาการความเคลื่อนไหวของเท้า โดยไม่สังเกตหรือระลึกรู้ความรู้สึกของเท้าที่กำลังเคลื่อนไหวนั้น จะเกิดเป็นการรู้เฉพาะที่ที่ยึดติดกับรูปหรือรูปแบบ อันเป็นอุปสรรคบังความรู้สึกของเท้าที่กำลังเคลื่อนไหว ผลก็คือเดินเท่าไรๆ ก็ไม่เคยโปร่งเบา และไม่เคยเกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมที่เป็นไปเอง อาตมาขอย้ำอีกครั้งว่า หากผู้ปฏิบัติกำหนดรู้ด้วยการระลึกรู้ความรู้สึก ณ ที่ใดที่หนึ่งของกายที่เคลื่อนไหว จะผสานเชื่อมโยงทำให้เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมที่เป็นไปเอง หรือนัยกลับกัน หากผู้ปฏิบัติมีสติเป็นกลางๆ ระลึกรู้ในความรู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่เนืองๆ ก็จะสามารถรู้สึกถึงความแตกต่างของสัมผัสหนักเบาของกายแต่ละส่วนที่เคลื่อนไหว หรือพูดให้เข้าใจง่าย ก็คือสามารถรู้ความรู้สึกเฉพาะที่ของการเคลื่อนไหวนั้นได้ในความรู้สึกตัวทั่วพร้อมเช่นกัน จึงสรุปได้ว่า จากความรู้สึกเฉพาะที่นำไปสู่ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม และความรู้สึกตัวทั่วพรัอมก็ทำให้เห็นความรู้สึกเฉพาะที่ได้เช่นเดียวกัน และที่สำคัญก็คือ การกำหนดรู้ด้วยการระลึกรู้ความรู้สึก อันเป็นผลของสิ่ง ๒ สิ่งกระทบกัน (แม้การเคลื่อนไหวของเท้าขณะยก ขณะย่าง ก็เป็นการกระทบระหว่างเท้ากับอากาศ) จะทำให้ผู้ปฏิบัติเห็นสิ่ง ๒ สิ่งกระทบกัน( ผัสสะ ) ด้วย แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ถ้าผู้ปฏิบัติไปดูรูปที่กระทบตรงๆ จะไม่ค่อยเห็นความรู้สึกเบาๆที่เกิดจากการกระทบได้ชัด แต่หากผู้ปฏิบัติกำหนดรู้โดยการระลึกรู้ความรู้สึกที่เกิดจากการกระทบเนืองๆ ผู้ปฏิบัติจะสามารถรู้เห็นสิ่ง ๒ สิ่งที่กระทบกันอันเป็นไปเองโดยไม่ต้องไปตั้งท่าหรือตั้งใจดูแต่อย่างใด และการที่เห็นสิ่ง ๒ สิ่งกระทบกัน ก็จะทำให้ผู้ปฏิบัติรู้เห็นเองว่านั่นเป็นการกระทบระหว่างอายตนะภายนอก กับอายตนะภายใน และในที่สุดก็จะนำไปสู่การรู้เห็นรูปนาม แยกรูปแยกนาม เห็นว่ารูปกระทบกับรูป ( อาทิ กายกระทบสัมผัสทางกาย ) หรือรูปกระทบกับนาม ( อาทิ รูปที่เห็นบาดตาบาดใจ ) หรือนามกระทบกับนาม ( อาทิ คิดนึกจนกลุ้มใจ ) การเห็นรูปนาม หรือแยกรูปแยกนามในลักษณะนี้ เป็นการเห็นที่เกิดจากการกำหนดรู้ด้วยการระลึกรู้ในสัมปชัญญะหรือความรู้สึกอันเป็นผลจากสิ่ง ๒ สิ่งกระทบกัน แล้วทวนกระแสปฏิจจสมุปบาท จนไปเห็นผัสสสะ เห็นอายตนะภายนอกภายในกระทบกัน และเห็นรูปนาม เกิดการแยกรูปแยกนามที่เป็นไปเอง ไม่ใช่ไปทำให้แยกรูปแยกนามด้วยการไปตั้งใจกำหนดดูรูปนามด้วยสมถะ ฉะนั้น การกำหนดรู้ด้วยการมีสติระลึกรู้ความรู้สึกของการเคลื่อนไหวของเท้าในขณะเดินจงกรม จึงเป็นวิปัสสนา ด้วยเหตุว่าจะทำให้เกิดการทวนกระแสไปจนเห็นรูปนาม แยกรูปแยกนามที่เป็นไปเองดังกล่าว ฉะนั้น ผู้ปฏิบัติพึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ ด้วยอาตาปี สัมปชาโน สติมา คือ มีสัปชัญญะหรือความรู้สึกตัวทั่วพร้อมอันเป็นไปทั้งภายใน ภายนอก และภายในภายนอก และมีสติระลึกรู้ในความรู้สึกตัวทั่วพร้อมนั้น เนืองๆ เสมอๆ จึงจะเป็นไปเพื่อวิปัสสนาด้วยนัยดังที่อาตมาได้อธิบายมาข้างต้น    
 
   
 
อนึ่ง ทุกข์เป็นสิ่งที่พึงกำหนดรู้ ดังที่พระพุทธองค์ได้ทรงอธิบายไว้ในอริยสัจ ๔ การกำหนดรู้ทุกข์ บางครั้งเราก็กำหนดรู้ทุกข์ตรงๆ แต่บางครั้ง ทุกข์ไม่เกิดหรือไม่เห็นทุกข์ เราก็สามารถกำหนดรู้ทุกข์ได้โดยการไปกำหนดรู้ความสุขแทน เพราะเหตุเมื่อความสุขหายไป นั่นก็หมายถึงว่าทุกข์กำลังมาเยือน กล่าวคือ เราสามารถกำหนดรู้ทุกข์ได้ในความสุขเช่นกัน หรือบางครั้งไม่สุขไม่ทุกข์ (อทุกขมสุขเวทนา) เราก็สามารถกำหนดรู้ทุกข์ได้ในความไม่สุขไม่ทุกข์เช่นกัน เพราะไม่มีสิ่งใดที่จะคงอยู่ได้นาน เปรียบได้กับอารมณ์ของมนุษย์ที่เปลี่ยนไปอยู่ทุกเมื่อตลอดเวลา บางครั้ง อารมณ์ของมนุษย์ก็แกว่งไปทางซ้ายบ้าง แกว่งผ่านตรงกลางบ้าง และแกว่งไปทางขวาบ้าง และก็กลับมาตรงกลางบ้าง แล้วตีกลับไปทางซ้ายอีกบ้าง 
..อันแสดงให้เห็นถึงความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน ตามหลักไตรลักษณ์นั่นเอง คำว่า ตรงกลาง นี้ เป็นเรื่องที่น่าพิจารณาว่า ตรงกลางนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมก็ทำให้เกิดตรงกลาง ความสงบอันเกิดจากสมาธิก็ทำให้เกิดตรงกลาง ความว่างหรือสุญญตาก็ทำให้เกิดตรงกลาง และสัมมาทิฏฐิ อันเป็นตัวปัญญา คือ เห็นความทุกข์ในความไม่เที่ยง และเห็นความไม่เที่ยงในความเป็นทุกข์ ในที่สุดก็จะเห็นอนัตตา คือความไม่มีตัวตน เมื่อไม่มีตัวตนก็จะไม่มีคำว่าซ้ายสุด หรือ ขวาสุด ภาวะกลางๆ หรือ ตรงกลางก็จะเกิดขึ้นเองด้วยปัญญาคือสัมมาทิฏฐินี้ อันเป็นไปเอง เพราะเมื่อเห็นแจ้งแก่ใจเจ้าของในความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และความไม่มีตัวตนแล้ว ก็จะทำให้มีสติรู้เท่าทันและเกิดการปล่อยวาง ภาวะกลางๆ หรือ ตรงกลาง ก็จะเกิดขึ้นเอง และเป็นไปเอง ซึ่งต่างจากภาวะกลางๆ หรือ ตรงกลางอันเกิดจากการตั้งใจ จงใจทำ หรือทำให้เกิดด้วยสมถะ หรือ แม้แต่ภาวะกลางๆ หรือ ตรงกลางอันเกิดจากความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ซึ่งก็มีได้ ๒ ประการเช่นเดียวกัน คือ ประการแรกเป็นความรู้สึกตัวทั่วพร้อมอันเกิดจากการตั้งใจ จงใจทำ หรือทำให้เกิดด้วยการทำจิตให้ว่าง หรือด้วยสมถะ และความรู้สึกตัวทั่วพร้อมอันเกิดจากการมีสติรู้เท่าทันและเกิดการปล่อยวาง ซึ่งเป็นผลจากการมีปัญญาหรือสัมมาทิฏฐิเห็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ และความไม่มีตัวตน อันเป็นการทวนกระแสด้วยปัญญาจนเกิดภาวะกลางๆ ซึ่งเป็นไปเอง เรียกได้ว่าเป็นการเข้าถึงภาวะกลางๆ อย่างแท้จริง อันเป็นไปเพื่อวิมุตติความหลุดพ้นโดยลำดับ    
 
   
 
*********************************************************    
 
กำหนดการฝึกอบรมพัฒนาสติในการภาวนาให้เป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น และ ผู้เบิกบาน ในชีวิตประจำวัน ครั้งที่ 13 วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน 2548    
 
   
 
จะจัดให้มีการฝึกอบรม ณ สถาบันสอนภาษา Home English Center ปิ่นเกล้า โดยเปิดการฝึกอบรมแบ่งเป็น 2 รอบ ดังนี้    
 
รอบที่ 1 เวลา 10.0012.00 น.(สำหรับผู้ที่ได้ฝึกอบรมพื้นฐานมาแล้ว 2 ครั้ง)    
 
เรื่องการฝึกภาวนาเพื่อพัฒนาความรู้สำตัวทั่วพร้อมและสำนึกรู้ให้เป็นใจผู้รู้    
 
รอบที่ 2 เวลา 13.00 -15.00 น. (ผู้เริ่มต้นควรเข้าฝึกอบรมพื้นฐานนี้ 2 ครั้ง)    
 
เรื่องการฝึกภาวนาเพื่อพัฒนาสติให้เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมและสำนึกรู้    
 
   
 
อนึ่ง ขอให้ท่านผู้สนใจเข้ารับการฝึกอบรมฯ ได้กรุณาแจ้งความจำนง โดยสมัครเพื่อสำรองที่นั่ง พร้อมแจ้งชื่อ-นามสกุล ระบุวันและรอบเวลาที่ต้องการเข้าฝึกอบรม ส่งมาที่ wimoak@yahoo.comหรือโทร.05-8326441 (คุณหมอปิยะ) ส่วนแผนที่ Home English Center สามารถคลิ๊กไปดูได้ที่    
 
   
 
[url]http://albums.photo.epson.com/j/ViewPhoto?u=4275026&a=31594700&p=72423772 [/url]    
 
และรถเมล์ที่ผ่าน..มีดังนี้รถเมล์สาย19,42,57,68,80,124,127,146,203,507,509,511 (ผ่านหน้าห้างพาต้า ปิ่นเกล้า)    
 
หมายเหตุ :    
 
(1) สำหรับผู้เริ่มต้นที่ยังตามไม่ค่อยทัน หรือยังไม่แจ่มแจ้ง และรวมทั้งผู้ที่มีความตั้งใจมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติให้เกิดความต่อเนื่อง สามารถเข้ารับการฝึกอบรมรอบพิเศษ ทุกวันอังคาร และพฤหัส เวลา 18.00-20.00 น. ณ สถาบันภาษา Home English Center ปิ่นเกล้า อนึ่ง รอบวันธรรมดานี้ไม่ต้องสมัครจองล่วงหน้า ท่านใดสะดวกที่จะมาร่วม ก็มาได้เลย    
 
(2) สำหรับผู้มาเข้าฝึกอบรมฯเป็นครั้งแรก และ ผู้ที่เคยเข้าฝึกอบรมแล้ว แต่ยังตามไม่ค่อยทันหรือยังไม่แจ่มแจ้ง ควรจะสมัครเข้าฝึกอบรมในวันอาทิตย์รอบบ่าย ซึ่งจะมีการสอนหลักปฏิบัติโดยบรรยายให้ความรู้ตั้งแต่พื้นฐานและทบทวนการปฏิบัติเพื่อพัฒนาสติให้เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมและสำนึกรู้ ส่วนผู้ที่เคยมาเข้าฝึกอบรมขั้นพื้นฐานมาแล้วจนสามารถเจริญสติด้วยความรู้สึกตัวทั่วพร้อมและสำนึกรู้ ควรจะสมัครเข้าฝึกอบรมต่อในวันอาทิตย์รอบเช้า จะได้เน้นการปฏิบัติเจริญสติเพื่อพัฒนาความรู้สึกตัวทั่วพร้อมและสำนึกรู้ให้เป็นใจผู้รู้ อันเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินเข้าสู่ทางอริยมรรค ทั้งนี้ อาตมาเป็นเพียงผู้ช่วยแนะนำร่นระยะเวลาการเดินทางและนำพาทุกท่านให้เข้าสู่อริยมมรรค ส่วนการบรรลุอริยผล ทุกท่านต้องเพียรปฏิบัติเอง หนทางนี้มีอยู่ อยู่ที่เดินให้ถูกทางด้วยความเพียรของแต่ละท่านเอง    
 
   
 
   
 
อนึ่ง ขอเชิญรับหนังสือการพัฒนาสติในการภาวนา ได้ในวันและเวลาที่มาอบรมดังกล่าว หรือ ดูรายละเอียดได้ที่    
 
   
 
  [url]http://larndham.net/index.php?showtopic=16219&st=20 [/url]    | 
 
        
          |   | 
         
 | 
 
 
 | 
    | 
  | 
ดาวประกาย 
บัวพ้นดิน 
 
  
  
เข้าร่วม: 15 มิ.ย. 2005 
ตอบ: 53 
 
 
 | 
 ตอบเมื่อ:
05 ก.ย. 2005, 1:54 pm | 
   | 
 
 
 
ประชาสัมพันธ์การฝึกอบรมภาวนา ( รอบพิเศษ อบรม 1 วันเต็ม ) เปิดอบรมแก่ผู้สนใจในวันเสาร์ที่ 17 กันยายน 2548 (ทั้งวัน) ที่บุญนิเวศน์สถาน ถนนบางนา-ตราด ตรงข้ามมหาวิทยาลัยหัวเฉียว รับจำนวนจำกัดเพียง 30 ท่านเท่านั้น กรุณาดูรายละเอียดได้ที่     
 
http://larndham.net/index.php?showtopic=16438&st=2   
 
*********************************************************************************   
 
การบ้านภาวนาครั้งที่ ๑๓ : การทวนกระแสปฏิจจสมุปบาทด้วยการมีสติอยู่เหนือความรู้สึก   
 
ดูการบ้านภาวนาครั้งที่ ๑ - ครั้งที่ ๑๒ ได้ที่     
 
http://larndham.net/index.php?showtopic=16275&st=4   
 
   
 
ธรรมชาติเดิมแท้ของจิต นั้นประภัสสร คือ กระจ่าง ผ่องใส สว่างและบริสุทธ์ จนทำให้ผู้ที่ได้เข้าถึงจิตเดิมแท้ หรือแม้แต่ได้สัมผัสจิตเดิมแท้บ้าง จะมีอาการรู้ ตื่น เบิกบาน หากดูจากหน้าตาใบหน้าภายนอก ก็จะอิ่มเอม เบิกบาน ผ่องใส และเป็นผู้ตื่นอยู่เสมอ ทำให้เป็นผู้คล่องแคล่ว ว่องไว มีจิตอันควรแก่การงานทั้งปวง อันนี้ จึงเป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า หากผู้ใดปฏิบัติธรรมแล้วไม่ผ่องใส ไม่เบิกบาน ไม่ตื่น อันเป็นจิตที่ควรแก่การงานแล้วไซร้ คือ ปฏิบัติธรรมแล้วกลายเป็นคนเชื่องช้า ช้าไปหมด ไม่ตื่น รู้ เบิกบาน ไม่คล่องแคล่ว ว่องไวอันเป็นลักษณะของจิตที่ควรแก่การทำงานทั้งปวง ก็สามารถสรุปได้ว่ากำลังเดินหรือปฏิบัติผิดทาง ผลก็คือปฏิบัติธรรมแล้วก็ตึงๆ หนักๆ หน่วงๆ เพราะผลพวงของการจรดจ่อ จรดจ้อง กำกับ บังคับจิตให้นิ่ง ให้ว่าง ให้ตั้งใจรู้แบบจรดจ่อ แบบจิกรู้ อันทำให้สภาพจิตใจเสียสมดุลไปโดยไม่รู้ตัว และเมื่อสภาพจิตเสียสมดุล ก็จะมีผลให้เห็นแสดงออกภายนอก คือ เริ่มผิดมนุษย์ การพูดการจา หรือการกระทำ หรือการงานก็เชื่องช้าไปหมด บางครั้งก็เบื่อกับการงานจนเห็นการงานเป็นสิ่งที่น่ารำคาญ หรือวุ่นวาย เริ่มแปลกแยกจากสังคมแวดล้อม เพราะเหตุว่าไม่รู้ว่าอะไรควรในสิ่งไม่ควร และอะไรไม่ควรในสิ่งที่ควร อันนี้ก็เป็นสิ่งที่น่าเสียดายว่าหลายๆท่านที่มาศึกษาปฏิบัติธรรม จริงจังกับการปฏิบัติธรรม จนยึดติดในรูปแบบต่างๆนานา เพราะเหตุไม่เข้าใจว่านั่นเป็นการฝึกหัดหรือเรียนรู้ในห้องเรียน เป็นเพียงการเรียนรู้สภาวะในช่วงที่มาปฏิบัติในชั้นเรียน หาได้เป็นการเข้าถึงไม่ แต่การเข้าถึงนั้นจะต้องเข้าถึงจากประสบการณ์ในชีวิตจริงๆ เป็นบทเรียนให้เราได้เข้าถึงสภาวะที่เป็นไปเอง จนหมดจด แจ่มแจ้ง และหลุดพ้นไปโดยลำดับ ดังคำกล่าวของปรมาจารย์จีนที่สอนแก่ลูกศิษย์ว่า การเรียนรู้จนเจนจบวิชาหรือวิทยายุทธนั้น ก็คือ เมื่อเรียนจนสูงสุดแล้ว ต้องกลับสู่สามัญ คือปรับกระบวนการฝึกปฏิบัติเข้าสู่วิถีชีวิตจริงๆในชีวิตประจำวันได้อย่างกลมกลืนเป็นธรรมชาติ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ฝึกจนเชี่ยวชาญชำนาญ จนไร้รูปแบบหรือไม่ยึดติดในรูปแบบแต่อย่างใด อันนี้จึงถือได้ว่าเป็นผู้รู้จักปรับการเรียนรู้การฝึกปฏิบัติ อันเป็นการเรียนรู้สภาวะในชั้นเรียน ไปสู่การเข้าถึงสภาวะนั้นๆ ในชีวิตจริง จนเกิดความแจ่มแจ้งไปตามลำดับโดยอาศัยประสบการณ์ในชีวิตจริงๆ ในชีวิตประจำวันเป็นบทเรียน เป็นเครื่องทดสอบ ขัดเกลา ค่อยๆเลื่อนชั้น หรือภูมิจิตภูมิธรรมไปโดยลำดับ ซึ่งเป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นว่า นักปฏิบัติธรรมในยุคสมัยนี้มักด่วนได้ คือ เรียนรู้สภาวะจนแจ่มแจ้ง เห็นรูปนาม จนแยกรูปแยกนาม และเห็นไตรลักษณ์ ก็เลยประมาทนึกว่าตัวเองรู้ธรรมหรือใกล้หลุดพ้นแล้ว แต่ในที่สุดก็มาหลุดในชีวิตประจำวัน แต่แทนที่จะมาหลุดพ้น กลายเป็นมาหลุดหรือโพล่งไปด้วยความโกรธบ้าง ความโลภบ้าง ความหลงบ้าง ความอยากอันพัวพันไปด้วยกามทั้งหลายบ้างโดยเผลอสติ ไม่รู้สึกตัว ไม่ทันยั้งคิด บางครั้งเผลอสติมากๆ ก็หลุดโลกไปเลย จนผิดมนุษย์ หรือไม่ก็หลงตัวเองคิดว่า ตัวเองใกล้จะหลุดพ้นหรือหลุดพ้นแล้วบ้าง เป็นผู้ที่มีอะไรวิเศษเหนือมนุษย์บ้าง จนอวดอุตริเพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่ต้องอวดแก่ชาวโลก   
 
   
 
   
 
เหตุที่เป็นดังนี้ ก็เพราะธรรมชาติของจิตมนุษย์ชอบไหล ชอบท่องเที่ยวไป คือ ไหลท่องเที่ยวไปกับความคิดนึกบ้าง ไหลท่องเที่ยวไปกับความรู้สึกบ้าง ทำให้เรารู้จัก จิต ได้โดยการรู้ถึง อาการของจิต คือ ความคิดนึกและความรู้สึก นั่นเอง แต่ก็นับว่ายังโชคดี ที่จิตยังมีเครื่องมือที่มีอุปการะมาก นั่นก็คือ สติ แต่น่าเสียดายที่ทุกวันนี้ นักปฏิบัติหลายๆท่านฝึกเจริญภาวนา จะเป็นสมถกรรมฐานก็ดี วิปัสสนากรรมฐานก็ดี แต่ก็ยังไม่เข้าใจในการเจริญสติและพัฒนาสติเพื่อให้เป็นอุปการะคุณอันยิ่งแก่การเจริญสมถและวิปัสสนากรรมฐานนั้น กล่าวคือ ยังคงเจริญสมถะด้วยการปล่อยให้สติไหลไปกับจิตที่เสวยคลอเคลียกับอารมณ์ความนิ่งบ้าง จนสติถอยกำลัง ไม่พัฒนาต่อ ทำให้ไม่รู้ว่าจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร? หรือ เจริญวิปัสสนาโดยการปล่อยให้สติไหลไปกับจิตที่รู้สึกเคลื่อนไหว กระทบ สัมผัส ตามส่วนต่างๆของร่างกาย หรืออายตนะทั้ง ๖ โดยขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องว่า ธรรมชาติของจิตนั้นชอบไหลและท่องเที่ยวไป ฉะนั้นจิตจึงต้องมีพระเอกขี่ม้าขาวคือสติอันเป็นเจตสิกหรือเครื่องมือของจิตเพื่อเป็นตัวเหนี่ยวรั้งจิตไม่ให้ไหลไปกับอารมณ์ต่างๆ รวมทั้งอารมรณ์ของความสงบนิ่งในสมถะ และรวมทั้งอารมณ์ของจิตที่เข้าไปเห็นรูปนามในวิปัสสนาด้วย การที่เราปล่อยให้สติไหลไปแช่นิ่งอยู่ในความสงบ หรือ ปล่อยสติให้ไหลไปกับรูปนามที่เรากำหนดรู้สึกเคลื่อนไหว กระทบ สัมผัส ทำให้สติไม่อาจจะอยู่เหนืออารมณ์สมถะของความสงบนิ่งและอารมณ์วิปัสสนาที่จิตกำลังรู้สึกเคลื่อนไหว กระทบ สัมผัสในรูปนามนั้น กล่าวคือ สติก็ตกไปอยู่ภายใต้อิทธิพลของอารมณ์สมถะของความสงบนิ่งหรืออารมณ์วิปัสสนาที่จิตกำลังรู้สึกเคลื่อนไหว กระทบ สัมผัสในรูปนามนั้น อาทิ การเดินจงกรม ขณะยก ย่าง เหยียบ จิตก็ไหลไปเป็นความรู้สึกเคลื่อนไหว กระทบ สัมผัสของอาการยก อาการย่าง อาการเหยียบ ปรากฏว่าผู้ปฏิบัติโดยส่วนมากจะพยายามตั้งใจให้สติไปแนบแน่นกับจิตที่รู้สึก เคลื่อนไหว กระทบ สัมผัสอาการ ยก ย่าง เหยียบ อย่างกระชั้นชิดนั้น ผลที่ได้แทนที่จะเป็นวิปัสสนาก็กลายเป็นสมถะ และที่ร้ายไปกว่านั้น ก็คือสติซึ่งเป็นภาวะตื่น รู้ เบิกบาน นั้น ไหลลงไปสู่เท้า พอภาวะของสติที่เป็นภาวะตื่น รู้ เบิกบาน ไหลลงเบื้องล่างไปสู่เท้ามากๆ ผลที่ตามมาก็คือ จิตตกภวังค์และวนเวียนอยู่ในภวังคจิต ทำให้การเดินจงกรมไม่สดชื่น ไม่โปร่งเบา แทนที่จะเดินแล้วเบา กลายเป็นยิ่งเดินยิ่งหนัก เพราะเหตุเอาสติไปจิกกับการเดินจงกรมทีละขยักๆ พอเดินจงกรมเสร็จแล้วไปนั่งภาวนาต่อ จะพบว่า ผู้ปฏิบัติโดยส่วนมากจะนั่งภาวนาแล้วตกภวังค์โดยไม่รู้ตัว เพราะเหตุที่ขณะเดินจงกรมไปพยายามตั้งใจเดินจงกรมแบบให้สติไหลไปแนบแน่นกับความรู้สึกเคลื่อนไหว กระทบ สัมผัสที่เท้า ทำให้ภาวะของสติที่รู้ ตื่น เบิกบานแต่เดิม ซึ่งรู้สึกตื่น รู้ชัดและสดชื่นเบิกบานบริเวณช่วงบนของร่างกาย คือตั้งแต่ช่วงเหนืออกขึ้นไปหรือเหนือไหล่ขึ้นไป อันปรากฏความสดชื่น ตื่นรู้ เบิกบานอยู่บริเวณใบหน้าแต่เดิมนั้น ผลกลับกลายเป็นว่าภาวะตื่นรู้ สดชื่น เบิกบานได้หายไปจากความรู้สึกในใจอันอิ่มเอมเบิกบานในทรวงอกขึ้นไปจนปรากฏความรู้สึกตื่น รู้ เบิกบาน อันปรากฏให้รู้สึกได้ชัดบริเวณใบหน้านั้นอันตรธานหายไป เพราะเหตุภาวะตื่นรู้เบิกบานนี้ ไหลไปกับสติที่ไปพยายามตั้งใจรู้สึก เคลื่อนไหว กระทบ สัมผัสการยก การย่าง การเหยียบ อย่างแนบแน่นเอาจริงเอาจังเกินไปนั่นเอง ข้ออุทาหรณ์เตือนใจง่ายๆ ขอให้ถามตนเองว่า คนเรารู้ ตื่น เบิกบาน บริเวณหน้าอกจนถึงใบหน้า หรือ คนเรารู้ตื่น เบิกบาน บริเวณท้องลงมาไปจนถึงเท้า???   
 
   
 
การเจริญสติในหมวดสัมปชัญญะบรรพนั้น พระพุทธเจ้าทรงเพียงแต่แนะนำในหมวดอิริยาบถ ว่า ภิกษุ เมื่อเดินก็รู้ว่าเราเดิน เมื่อยืนก็รู้ชัดว่าเรายืน เมื่อนั่งก็รู้ชัดว่าเรานั่ง เมื่อนอนก็รู้ชัดว่าเรานอน ภิกษุนั้น เมื่อดำรงกายอยู่โดยอาการใด ก็รู้ชัดกายที่ดำรงอยู่โดยอาการนั้น (ม.มู ๑๒/๑๐๘/๑๐๔ ฉบับมหาจุฬา) และในหมวดสัมปชัญญะ ก็ได้ทรงแนะนำว่า ภิกษุ ทำความรู้สึกตัวในการก้าวไป การถอยกลับ ทำความรู้สึกตัวในการแลดู การเหลียวดู ทำความรู้สึกตัวในการคู้เข้า การเหยียดออก ทำความร้สึกตัวในการฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม ทำความรู้สึกตัวในการถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ ทำความรู้สึกตัวในการเดิน การยืน การนั่ง การนอน การดื่ม การพูด การนิ่ง (ม.มู ๑๒/๑๐๙/๑๐๕
..ซึ่งเป็นอาการที่รู้สึกตัวอย่างสบายๆ เป็นธรรมชาติ ยกตัวอย่าง ขณะที่ท่านกำลังอ่านการบ้านภาวนานี้ อาตมาถามท่านว่าท่านรู้สึกถึงปลายเท้าของท่านที่สัมผัสกับพื้นได้ไหม โดยที่ไม่ต้องไปจรดจ่อหรือตั้งใจรู้สึกที่ปลายเท้า ท่านรู้สึกถึงกายของท่านได้ไหม โดยที่ไม่ต้องไปจรดจ่อหรือตั้งใจรู้ที่กาย ทุกท่านจะพบว่า พอแค่เพียงระลึกถึงปลายเท้าก็สามารถรู้สึกได้ถึงปลายเท้าทันที พอแค่เพียงระลึกถึงกายก็รู้สึกได้ถึงกายทันที พอกายโยกไปมา ก็รู้สึกถึงการโยกไปมาของกายได้ทันทีโดยที่ไม่ต้องไปจรดจ่อหรือตั้งใจรู้แต่อย่างใด กล่าวคือ จิตไปรู้สึกถึงปลายเท้าหรือกายได้ โดยที่สติไม่ต้องไหลแนบแน่นไปกับจิตหรือความรู้สึกเคลื่อนไหว กระทบ สัมผัสนั้นๆโดยตรง แต่ขณะเดียวกันสติหรือภาวะรู้ ตื่น เบิกบาน นั้น จะรู้ ตื่น เบิกบานได้ที่ใจผู้รู้ จนเกิดเป็นความโปร่งเบาสบายตั้งแต่เหนืออกไปจนถึงเหนือไหล่ จนแสดงอาการสดชื่น อิ่มเอม ผ่องใสบริเวณใบหน้า เป็นอาการของสติที่ตื่นรู้เอง เป็นเองทีละว๊าบๆ โดยไม่ต้องไปเพ่ง จรดจ่อหรือตั้งใจทำให้เกิดแต่อย่างใด และเมื่อสติเกิดขึ้นเองทีละว๊าบๆ ในขณะที่รู้สึกถึงอิริยาบถต่างๆที่เคลื่อนไป เปลี่ยนแปลงไป ก็จะทำให้เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมที่เป็นไปเอง พร้อมๆกับเกิดสำนึกรู้จนเกิดเป็นใจผู้รู้ที่เป็นไปเอง    
 
   
 
เหมือนดังที่ทรงแนะนำในการเจริญอานาปานสติว่า ภิกษุนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า มีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก (ม.มู ๑๒/๑๐๗/๑๐๒ ฉบับมาจุฬา)
 คำว่าดำรงสติไว้เฉพาะหน้าหมายถึงสติไม่ไหลไปกับลมหายใจ หรือ อีกนัยหนึ่ง จิตรู้สึกเคลื่อนไหว กระทบ สัมผัสของลมหายใจเข้า หายใจออก ว่ายาว-สั้นอย่างไร หนัก-เบาอย่างไร หยาบ-ละเอียดอย่างไร แต่สติยังคงตื่น รู้ เบิกบานอยู่เฉพาะหน้าจริงๆ คือไม่ไหลไปกับความรู้สึกเคลื่อนไหว กระทบ สัมผัสของลมหายใจนั้น เช่นเดียวกันการภาวนาพุทโธ จิตอยู่กับคำภาวนาพุทโธ โดยที่สติตื่นรู้ เบิกบาน อยู่เฉพาะหน้า (คำว่าเฉพาะหน้าไม่ได้หมายความว่าไปตั้งใจตั้งสติไว้ตรงบริเวณหน้า แต่เพียงให้รู้ ตื่น เบิกบาน จนรูสึกโปร่งเบา สดชื่น อยู่ช่วงบนตั้งแต่เหนือจิตใต้สำนึกบริเวณฐานจิตตรงหทัยหรือกลางอก ขึ้นไปจนถึงบริเวณใบหน้าหรือศีรษะ อันเป็นภาวะของจิตที่ขึ้นสู่วิถีเป็นวิถีจิตหรือจิตสำนึกที่มาทำงานสัมพันธ์กับสมอง แต่หากการที่นักปฏิบัติพยายามตั้งใจให้สติไปแนบแน่นกับจิตที่รู้สึกเคลื่อนไหว กระทบ สัมผัสของอารมณ์กรรมฐานนั้นๆ จะเป็นลมหายใจก็ดี พองยุบก็ดี พุทโธก็ดี หรือการเดินจงกรมก็ดี จะทำให้สติที่เป็นจิตสำนึกที่ขึ้นสู่วิถีถูกดึงลงกลับสู่ภวังคจิตเนืองๆ อันเป็นอาการของการตกภวังค์เนืองๆ ทำให้นั่งหลับ โงกไปมา รู้ตัวบ้างไม่รู้ตัวบ้าง และไปเจอภาพหลอนหรือหูแว่วในภวังคจิตต่างๆนานา ทำให้เป็นผลเสียแก่การปฏิบัติทั้งเนิ่นช้า หรือหลงทางในการปฏิบัติ ฉะนั้น การเจริญอานาปานสติก็ดี พอง-ยุบก็ดี พุทโธก็ดี รวมทั้งการเดินจงกรม ก็มีเคล็ดอยู่ตรงที่ให้จิตรู้สึกการเคลื่อนไหว กระทบ สัมผัสของอารมณ์กรรมฐานนั้น โดยที่สติไม่ต้องไหลลงไปแนบแน่นกับจิตที่รู้สึกการเคลื่อนไหว กระทบ สัมผัสนั้น หรือแม้แต่การภาวนาพุทโธ ก็ให้จิตภาวนาพุทโธก้อง นุ่ม เบาอยู่ในความรู้สึกในกลางอก (ไม่ใช่ก้องอยู่ในสมองอันเป็นอาการนึกคิดพุทโธ) แต่สติเพียงสักแต่ว่ารู้ความเป็นไปของจิตที่ภาวนาพุทโธนั้น ด้วยอาการที่รู้ ตื่น เบิกบานอยู่เหนือจิตนั้น จนเกิดภาวะรู้ ตื่น เบิกบาน โปร่งเบา สบายๆอยู่กับจิตสำนึกที่เป็นสำนึกรู้ที่อาตมาได้เคยให้อุบายในการพัฒนาสติในการภาวนาด้วยการพัฒนาสติให้เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมและสำนึกรู้ และการพัฒนาสติในการภาวนาด้วยการพัฒนาสำนึกรู้ให้เป็นใจผู้รู้ ดังที่อาตมาได้เปิดอบรมอย่างต่อเนื่องในทุกๆวันอาทิตย์   
 
   
 
อนึ่ง ในรายละเอียดเกี่ยวกับการทวนกระแสปฏิจจสมุปบาทด้วยการมีสติอยู่เหนือความรู้สึก ที่เป็นธรรมะในส่วนละเอียดยิ่งๆขึ้นไปนั้น ยังมีรายละเอียดอีกมาก ซึ่งอาตมาจะทะยอยบรรยายให้ความรู้ในโอกาสต่อๆไป   
 
   
 
*********************************************************************************   
 
กำหนดการฝึกอบรมพัฒนาสติในการภาวนาให้เป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น และ ผู้เบิกบาน ในชีวิตประจำวัน ครั้งที่ 14 วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน 2548 จะจัดให้มีการฝึกอบรม ณ สถาบันสอนภาษา Home English Center ปิ่นเกล้า โดยเปิดการฝึกอบรมแบ่งเป็น 2 รอบ ดังนี้   
 
   
 
รอบที่ 1 เวลา 10.0012.00 น.(สำหรับผู้ที่ได้ฝึกอบรมพื้นฐานมาแล้ว 2 ครั้ง)   
 
เรื่องการฝึกภาวนาเพื่อพัฒนาความรู้สำตัวทั่วพร้อมและสำนึกรู้ให้เป็นใจผู้รู้   
 
รอบที่ 2 เวลา 13.00 -15.00 น. (ผู้เริ่มต้นควรเข้าฝึกอบรมพื้นฐานนี้ 2 ครั้ง)   
 
เรื่องการฝึกภาวนาเพื่อพัฒนาสติให้เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมและสำนึกรู้   
 
อนึ่ง ขอให้ท่านผู้สนใจเข้ารับการฝึกอบรมฯ ได้กรุณาแจ้งความจำนง โดยสมัครเพื่อสำรองที่นั่ง พร้อมแจ้งชื่อ-นามสกุล ระบุวันและรอบเวลาที่ต้องการเข้าฝึกอบรม ส่งมาที่ wimoak@yahoo.comหรือโทร.05-8326441 (คุณหมอปิยะ) ส่วนแผนที่ Home English Center สามารถคลิ๊กไปดูได้ที่   
 
http://albums.photo.epson.com/j/ViewPhoto?u=4275026&a=31594700&p=72423772   
 
และรถเมล์ที่ผ่าน..มีดังนี้รถเมล์สาย19,42,57,68,80,124,127,146,203,507,509,511 (ผ่านหน้าห้างพาต้า ปิ่นเกล้า)   
 
หมายเหตุ :   
 
(1) สำหรับผู้เริ่มต้นที่ยังตามไม่ค่อยทัน หรือยังไม่แจ่มแจ้ง และรวมทั้งผู้ที่มีความตั้งใจมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติให้เกิดความต่อเนื่อง สามารถเข้ารับการฝึกอบรมรอบพิเศษ ทุกวันอังคาร และพฤหัส เวลา 18.00-20.00 น. ณ สถาบันภาษา Home English Center ปิ่นเกล้า อนึ่ง รอบวันธรรมดานี้ไม่ต้องสมัครจองล่วงหน้า ท่านใดสะดวกที่จะมาร่วม ก็มาได้เลย   
 
(2) สำหรับผู้มาเข้าฝึกอบรมฯเป็นครั้งแรก และ ผู้ที่เคยเข้าฝึกอบรมแล้ว แต่ยังตามไม่ค่อยทันหรือยังไม่แจ่มแจ้ง ควรจะสมัครเข้าฝึกอบรมในวันอาทิตย์รอบบ่าย ซึ่งจะมีการสอนหลักปฏิบัติโดยบรรยายให้ความรู้ตั้งแต่พื้นฐานและทบทวนการปฏิบัติเพื่อพัฒนาสติให้เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมและสำนึกรู้ ส่วนผู้ที่เคยมาเข้าฝึกอบรมขั้นพื้นฐานมาแล้วจนสามารถเจริญสติด้วยความรู้สึกตัวทั่วพร้อมและสำนึกรู้ ควรจะสมัครเข้าฝึกอบรมต่อในวันอาทิตย์รอบเช้า จะได้เน้นการปฏิบัติเจริญสติเพื่อพัฒนาความรู้สึกตัวทั่วพร้อมและสำนึกรู้ให้เป็นใจผู้รู้ อันเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินเข้าสู่ทางอริยมรรค ทั้งนี้ อาตมาเป็นเพียงผู้ช่วยแนะนำร่นระยะเวลาการเดินทางและนำพาทุกท่านให้เข้าสู่อริยมมรรค ส่วนการบรรลุอริยผล ทุกท่านต้องเพียรปฏิบัติเอง หนทางนี้มีอยู่ อยู่ที่เดินให้ถูกทางด้วยความเพียรของแต่ละท่านเอง   
 
   
 
อนึ่ง ขอเชิญรับหนังสือการพัฒนาสติในการภาวนา ได้ในวันและเวลาที่มาอบรมดังกล่าว หรือ ดูรายละเอียดได้ที่   
 
         
 
 http://larndham.net/index.php?showtopic=16219&st=22    
 
   
 
 | 
 
        
          |   | 
         
 | 
 
 
 | 
    | 
  | 
ดาวประกาย 
บัวพ้นดิน 
 
  
  
เข้าร่วม: 15 มิ.ย. 2005 
ตอบ: 53 
 
 
 | 
 ตอบเมื่อ:
05 ก.ย. 2005, 1:54 pm | 
   | 
 
 
 
ประชาสัมพันธ์การฝึกอบรมภาวนา ( รอบพิเศษ อบรม 1 วันเต็ม ) เปิดอบรมแก่ผู้สนใจในวันเสาร์ที่ 17 กันยายน 2548 (ทั้งวัน) ที่บุญนิเวศน์สถาน ถนนบางนา-ตราด ตรงข้ามมหาวิทยาลัยหัวเฉียว รับจำนวนจำกัดเพียง 30 ท่านเท่านั้น กรุณาดูรายละเอียดได้ที่     
 
http://larndham.net/index.php?showtopic=16438&st=2   
 
*********************************************************************************   
 
การบ้านภาวนาครั้งที่ ๑๓ : การทวนกระแสปฏิจจสมุปบาทด้วยการมีสติอยู่เหนือความรู้สึก   
 
ดูการบ้านภาวนาครั้งที่ ๑ - ครั้งที่ ๑๒ ได้ที่     
 
http://larndham.net/index.php?showtopic=16275&st=4   
 
   
 
ธรรมชาติเดิมแท้ของจิต นั้นประภัสสร คือ กระจ่าง ผ่องใส สว่างและบริสุทธ์ จนทำให้ผู้ที่ได้เข้าถึงจิตเดิมแท้ หรือแม้แต่ได้สัมผัสจิตเดิมแท้บ้าง จะมีอาการรู้ ตื่น เบิกบาน หากดูจากหน้าตาใบหน้าภายนอก ก็จะอิ่มเอม เบิกบาน ผ่องใส และเป็นผู้ตื่นอยู่เสมอ ทำให้เป็นผู้คล่องแคล่ว ว่องไว มีจิตอันควรแก่การงานทั้งปวง อันนี้ จึงเป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า หากผู้ใดปฏิบัติธรรมแล้วไม่ผ่องใส ไม่เบิกบาน ไม่ตื่น อันเป็นจิตที่ควรแก่การงานแล้วไซร้ คือ ปฏิบัติธรรมแล้วกลายเป็นคนเชื่องช้า ช้าไปหมด ไม่ตื่น รู้ เบิกบาน ไม่คล่องแคล่ว ว่องไวอันเป็นลักษณะของจิตที่ควรแก่การทำงานทั้งปวง ก็สามารถสรุปได้ว่ากำลังเดินหรือปฏิบัติผิดทาง ผลก็คือปฏิบัติธรรมแล้วก็ตึงๆ หนักๆ หน่วงๆ เพราะผลพวงของการจรดจ่อ จรดจ้อง กำกับ บังคับจิตให้นิ่ง ให้ว่าง ให้ตั้งใจรู้แบบจรดจ่อ แบบจิกรู้ อันทำให้สภาพจิตใจเสียสมดุลไปโดยไม่รู้ตัว และเมื่อสภาพจิตเสียสมดุล ก็จะมีผลให้เห็นแสดงออกภายนอก คือ เริ่มผิดมนุษย์ การพูดการจา หรือการกระทำ หรือการงานก็เชื่องช้าไปหมด บางครั้งก็เบื่อกับการงานจนเห็นการงานเป็นสิ่งที่น่ารำคาญ หรือวุ่นวาย เริ่มแปลกแยกจากสังคมแวดล้อม เพราะเหตุว่าไม่รู้ว่าอะไรควรในสิ่งไม่ควร และอะไรไม่ควรในสิ่งที่ควร อันนี้ก็เป็นสิ่งที่น่าเสียดายว่าหลายๆท่านที่มาศึกษาปฏิบัติธรรม จริงจังกับการปฏิบัติธรรม จนยึดติดในรูปแบบต่างๆนานา เพราะเหตุไม่เข้าใจว่านั่นเป็นการฝึกหัดหรือเรียนรู้ในห้องเรียน เป็นเพียงการเรียนรู้สภาวะในช่วงที่มาปฏิบัติในชั้นเรียน หาได้เป็นการเข้าถึงไม่ แต่การเข้าถึงนั้นจะต้องเข้าถึงจากประสบการณ์ในชีวิตจริงๆ เป็นบทเรียนให้เราได้เข้าถึงสภาวะที่เป็นไปเอง จนหมดจด แจ่มแจ้ง และหลุดพ้นไปโดยลำดับ ดังคำกล่าวของปรมาจารย์จีนที่สอนแก่ลูกศิษย์ว่า การเรียนรู้จนเจนจบวิชาหรือวิทยายุทธนั้น ก็คือ เมื่อเรียนจนสูงสุดแล้ว ต้องกลับสู่สามัญ คือปรับกระบวนการฝึกปฏิบัติเข้าสู่วิถีชีวิตจริงๆในชีวิตประจำวันได้อย่างกลมกลืนเป็นธรรมชาติ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ฝึกจนเชี่ยวชาญชำนาญ จนไร้รูปแบบหรือไม่ยึดติดในรูปแบบแต่อย่างใด อันนี้จึงถือได้ว่าเป็นผู้รู้จักปรับการเรียนรู้การฝึกปฏิบัติ อันเป็นการเรียนรู้สภาวะในชั้นเรียน ไปสู่การเข้าถึงสภาวะนั้นๆ ในชีวิตจริง จนเกิดความแจ่มแจ้งไปตามลำดับโดยอาศัยประสบการณ์ในชีวิตจริงๆ ในชีวิตประจำวันเป็นบทเรียน เป็นเครื่องทดสอบ ขัดเกลา ค่อยๆเลื่อนชั้น หรือภูมิจิตภูมิธรรมไปโดยลำดับ ซึ่งเป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นว่า นักปฏิบัติธรรมในยุคสมัยนี้มักด่วนได้ คือ เรียนรู้สภาวะจนแจ่มแจ้ง เห็นรูปนาม จนแยกรูปแยกนาม และเห็นไตรลักษณ์ ก็เลยประมาทนึกว่าตัวเองรู้ธรรมหรือใกล้หลุดพ้นแล้ว แต่ในที่สุดก็มาหลุดในชีวิตประจำวัน แต่แทนที่จะมาหลุดพ้น กลายเป็นมาหลุดหรือโพล่งไปด้วยความโกรธบ้าง ความโลภบ้าง ความหลงบ้าง ความอยากอันพัวพันไปด้วยกามทั้งหลายบ้างโดยเผลอสติ ไม่รู้สึกตัว ไม่ทันยั้งคิด บางครั้งเผลอสติมากๆ ก็หลุดโลกไปเลย จนผิดมนุษย์ หรือไม่ก็หลงตัวเองคิดว่า ตัวเองใกล้จะหลุดพ้นหรือหลุดพ้นแล้วบ้าง เป็นผู้ที่มีอะไรวิเศษเหนือมนุษย์บ้าง จนอวดอุตริเพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่ต้องอวดแก่ชาวโลก   
 
   
 
   
 
เหตุที่เป็นดังนี้ ก็เพราะธรรมชาติของจิตมนุษย์ชอบไหล ชอบท่องเที่ยวไป คือ ไหลท่องเที่ยวไปกับความคิดนึกบ้าง ไหลท่องเที่ยวไปกับความรู้สึกบ้าง ทำให้เรารู้จัก จิต ได้โดยการรู้ถึง อาการของจิต คือ ความคิดนึกและความรู้สึก นั่นเอง แต่ก็นับว่ายังโชคดี ที่จิตยังมีเครื่องมือที่มีอุปการะมาก นั่นก็คือ สติ แต่น่าเสียดายที่ทุกวันนี้ นักปฏิบัติหลายๆท่านฝึกเจริญภาวนา จะเป็นสมถกรรมฐานก็ดี วิปัสสนากรรมฐานก็ดี แต่ก็ยังไม่เข้าใจในการเจริญสติและพัฒนาสติเพื่อให้เป็นอุปการะคุณอันยิ่งแก่การเจริญสมถและวิปัสสนากรรมฐานนั้น กล่าวคือ ยังคงเจริญสมถะด้วยการปล่อยให้สติไหลไปกับจิตที่เสวยคลอเคลียกับอารมณ์ความนิ่งบ้าง จนสติถอยกำลัง ไม่พัฒนาต่อ ทำให้ไม่รู้ว่าจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร? หรือ เจริญวิปัสสนาโดยการปล่อยให้สติไหลไปกับจิตที่รู้สึกเคลื่อนไหว กระทบ สัมผัส ตามส่วนต่างๆของร่างกาย หรืออายตนะทั้ง ๖ โดยขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องว่า ธรรมชาติของจิตนั้นชอบไหลและท่องเที่ยวไป ฉะนั้นจิตจึงต้องมีพระเอกขี่ม้าขาวคือสติอันเป็นเจตสิกหรือเครื่องมือของจิตเพื่อเป็นตัวเหนี่ยวรั้งจิตไม่ให้ไหลไปกับอารมณ์ต่างๆ รวมทั้งอารมรณ์ของความสงบนิ่งในสมถะ และรวมทั้งอารมณ์ของจิตที่เข้าไปเห็นรูปนามในวิปัสสนาด้วย การที่เราปล่อยให้สติไหลไปแช่นิ่งอยู่ในความสงบ หรือ ปล่อยสติให้ไหลไปกับรูปนามที่เรากำหนดรู้สึกเคลื่อนไหว กระทบ สัมผัส ทำให้สติไม่อาจจะอยู่เหนืออารมณ์สมถะของความสงบนิ่งและอารมณ์วิปัสสนาที่จิตกำลังรู้สึกเคลื่อนไหว กระทบ สัมผัสในรูปนามนั้น กล่าวคือ สติก็ตกไปอยู่ภายใต้อิทธิพลของอารมณ์สมถะของความสงบนิ่งหรืออารมณ์วิปัสสนาที่จิตกำลังรู้สึกเคลื่อนไหว กระทบ สัมผัสในรูปนามนั้น อาทิ การเดินจงกรม ขณะยก ย่าง เหยียบ จิตก็ไหลไปเป็นความรู้สึกเคลื่อนไหว กระทบ สัมผัสของอาการยก อาการย่าง อาการเหยียบ ปรากฏว่าผู้ปฏิบัติโดยส่วนมากจะพยายามตั้งใจให้สติไปแนบแน่นกับจิตที่รู้สึก เคลื่อนไหว กระทบ สัมผัสอาการ ยก ย่าง เหยียบ อย่างกระชั้นชิดนั้น ผลที่ได้แทนที่จะเป็นวิปัสสนาก็กลายเป็นสมถะ และที่ร้ายไปกว่านั้น ก็คือสติซึ่งเป็นภาวะตื่น รู้ เบิกบาน นั้น ไหลลงไปสู่เท้า พอภาวะของสติที่เป็นภาวะตื่น รู้ เบิกบาน ไหลลงเบื้องล่างไปสู่เท้ามากๆ ผลที่ตามมาก็คือ จิตตกภวังค์และวนเวียนอยู่ในภวังคจิต ทำให้การเดินจงกรมไม่สดชื่น ไม่โปร่งเบา แทนที่จะเดินแล้วเบา กลายเป็นยิ่งเดินยิ่งหนัก เพราะเหตุเอาสติไปจิกกับการเดินจงกรมทีละขยักๆ พอเดินจงกรมเสร็จแล้วไปนั่งภาวนาต่อ จะพบว่า ผู้ปฏิบัติโดยส่วนมากจะนั่งภาวนาแล้วตกภวังค์โดยไม่รู้ตัว เพราะเหตุที่ขณะเดินจงกรมไปพยายามตั้งใจเดินจงกรมแบบให้สติไหลไปแนบแน่นกับความรู้สึกเคลื่อนไหว กระทบ สัมผัสที่เท้า ทำให้ภาวะของสติที่รู้ ตื่น เบิกบานแต่เดิม ซึ่งรู้สึกตื่น รู้ชัดและสดชื่นเบิกบานบริเวณช่วงบนของร่างกาย คือตั้งแต่ช่วงเหนืออกขึ้นไปหรือเหนือไหล่ขึ้นไป อันปรากฏความสดชื่น ตื่นรู้ เบิกบานอยู่บริเวณใบหน้าแต่เดิมนั้น ผลกลับกลายเป็นว่าภาวะตื่นรู้ สดชื่น เบิกบานได้หายไปจากความรู้สึกในใจอันอิ่มเอมเบิกบานในทรวงอกขึ้นไปจนปรากฏความรู้สึกตื่น รู้ เบิกบาน อันปรากฏให้รู้สึกได้ชัดบริเวณใบหน้านั้นอันตรธานหายไป เพราะเหตุภาวะตื่นรู้เบิกบานนี้ ไหลไปกับสติที่ไปพยายามตั้งใจรู้สึก เคลื่อนไหว กระทบ สัมผัสการยก การย่าง การเหยียบ อย่างแนบแน่นเอาจริงเอาจังเกินไปนั่นเอง ข้ออุทาหรณ์เตือนใจง่ายๆ ขอให้ถามตนเองว่า คนเรารู้ ตื่น เบิกบาน บริเวณหน้าอกจนถึงใบหน้า หรือ คนเรารู้ตื่น เบิกบาน บริเวณท้องลงมาไปจนถึงเท้า???   
 
   
 
การเจริญสติในหมวดสัมปชัญญะบรรพนั้น พระพุทธเจ้าทรงเพียงแต่แนะนำในหมวดอิริยาบถ ว่า ภิกษุ เมื่อเดินก็รู้ว่าเราเดิน เมื่อยืนก็รู้ชัดว่าเรายืน เมื่อนั่งก็รู้ชัดว่าเรานั่ง เมื่อนอนก็รู้ชัดว่าเรานอน ภิกษุนั้น เมื่อดำรงกายอยู่โดยอาการใด ก็รู้ชัดกายที่ดำรงอยู่โดยอาการนั้น (ม.มู ๑๒/๑๐๘/๑๐๔ ฉบับมหาจุฬา) และในหมวดสัมปชัญญะ ก็ได้ทรงแนะนำว่า ภิกษุ ทำความรู้สึกตัวในการก้าวไป การถอยกลับ ทำความรู้สึกตัวในการแลดู การเหลียวดู ทำความรู้สึกตัวในการคู้เข้า การเหยียดออก ทำความร้สึกตัวในการฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม ทำความรู้สึกตัวในการถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ ทำความรู้สึกตัวในการเดิน การยืน การนั่ง การนอน การดื่ม การพูด การนิ่ง (ม.มู ๑๒/๑๐๙/๑๐๕
..ซึ่งเป็นอาการที่รู้สึกตัวอย่างสบายๆ เป็นธรรมชาติ ยกตัวอย่าง ขณะที่ท่านกำลังอ่านการบ้านภาวนานี้ อาตมาถามท่านว่าท่านรู้สึกถึงปลายเท้าของท่านที่สัมผัสกับพื้นได้ไหม โดยที่ไม่ต้องไปจรดจ่อหรือตั้งใจรู้สึกที่ปลายเท้า ท่านรู้สึกถึงกายของท่านได้ไหม โดยที่ไม่ต้องไปจรดจ่อหรือตั้งใจรู้ที่กาย ทุกท่านจะพบว่า พอแค่เพียงระลึกถึงปลายเท้าก็สามารถรู้สึกได้ถึงปลายเท้าทันที พอแค่เพียงระลึกถึงกายก็รู้สึกได้ถึงกายทันที พอกายโยกไปมา ก็รู้สึกถึงการโยกไปมาของกายได้ทันทีโดยที่ไม่ต้องไปจรดจ่อหรือตั้งใจรู้แต่อย่างใด กล่าวคือ จิตไปรู้สึกถึงปลายเท้าหรือกายได้ โดยที่สติไม่ต้องไหลแนบแน่นไปกับจิตหรือความรู้สึกเคลื่อนไหว กระทบ สัมผัสนั้นๆโดยตรง แต่ขณะเดียวกันสติหรือภาวะรู้ ตื่น เบิกบาน นั้น จะรู้ ตื่น เบิกบานได้ที่ใจผู้รู้ จนเกิดเป็นความโปร่งเบาสบายตั้งแต่เหนืออกไปจนถึงเหนือไหล่ จนแสดงอาการสดชื่น อิ่มเอม ผ่องใสบริเวณใบหน้า เป็นอาการของสติที่ตื่นรู้เอง เป็นเองทีละว๊าบๆ โดยไม่ต้องไปเพ่ง จรดจ่อหรือตั้งใจทำให้เกิดแต่อย่างใด และเมื่อสติเกิดขึ้นเองทีละว๊าบๆ ในขณะที่รู้สึกถึงอิริยาบถต่างๆที่เคลื่อนไป เปลี่ยนแปลงไป ก็จะทำให้เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมที่เป็นไปเอง พร้อมๆกับเกิดสำนึกรู้จนเกิดเป็นใจผู้รู้ที่เป็นไปเอง    
 
   
 
เหมือนดังที่ทรงแนะนำในการเจริญอานาปานสติว่า ภิกษุนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า มีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก (ม.มู ๑๒/๑๐๗/๑๐๒ ฉบับมาจุฬา)
 คำว่าดำรงสติไว้เฉพาะหน้าหมายถึงสติไม่ไหลไปกับลมหายใจ หรือ อีกนัยหนึ่ง จิตรู้สึกเคลื่อนไหว กระทบ สัมผัสของลมหายใจเข้า หายใจออก ว่ายาว-สั้นอย่างไร หนัก-เบาอย่างไร หยาบ-ละเอียดอย่างไร แต่สติยังคงตื่น รู้ เบิกบานอยู่เฉพาะหน้าจริงๆ คือไม่ไหลไปกับความรู้สึกเคลื่อนไหว กระทบ สัมผัสของลมหายใจนั้น เช่นเดียวกันการภาวนาพุทโธ จิตอยู่กับคำภาวนาพุทโธ โดยที่สติตื่นรู้ เบิกบาน อยู่เฉพาะหน้า (คำว่าเฉพาะหน้าไม่ได้หมายความว่าไปตั้งใจตั้งสติไว้ตรงบริเวณหน้า แต่เพียงให้รู้ ตื่น เบิกบาน จนรูสึกโปร่งเบา สดชื่น อยู่ช่วงบนตั้งแต่เหนือจิตใต้สำนึกบริเวณฐานจิตตรงหทัยหรือกลางอก ขึ้นไปจนถึงบริเวณใบหน้าหรือศีรษะ อันเป็นภาวะของจิตที่ขึ้นสู่วิถีเป็นวิถีจิตหรือจิตสำนึกที่มาทำงานสัมพันธ์กับสมอง แต่หากการที่นักปฏิบัติพยายามตั้งใจให้สติไปแนบแน่นกับจิตที่รู้สึกเคลื่อนไหว กระทบ สัมผัสของอารมณ์กรรมฐานนั้นๆ จะเป็นลมหายใจก็ดี พองยุบก็ดี พุทโธก็ดี หรือการเดินจงกรมก็ดี จะทำให้สติที่เป็นจิตสำนึกที่ขึ้นสู่วิถีถูกดึงลงกลับสู่ภวังคจิตเนืองๆ อันเป็นอาการของการตกภวังค์เนืองๆ ทำให้นั่งหลับ โงกไปมา รู้ตัวบ้างไม่รู้ตัวบ้าง และไปเจอภาพหลอนหรือหูแว่วในภวังคจิตต่างๆนานา ทำให้เป็นผลเสียแก่การปฏิบัติทั้งเนิ่นช้า หรือหลงทางในการปฏิบัติ ฉะนั้น การเจริญอานาปานสติก็ดี พอง-ยุบก็ดี พุทโธก็ดี รวมทั้งการเดินจงกรม ก็มีเคล็ดอยู่ตรงที่ให้จิตรู้สึกการเคลื่อนไหว กระทบ สัมผัสของอารมณ์กรรมฐานนั้น โดยที่สติไม่ต้องไหลลงไปแนบแน่นกับจิตที่รู้สึกการเคลื่อนไหว กระทบ สัมผัสนั้น หรือแม้แต่การภาวนาพุทโธ ก็ให้จิตภาวนาพุทโธก้อง นุ่ม เบาอยู่ในความรู้สึกในกลางอก (ไม่ใช่ก้องอยู่ในสมองอันเป็นอาการนึกคิดพุทโธ) แต่สติเพียงสักแต่ว่ารู้ความเป็นไปของจิตที่ภาวนาพุทโธนั้น ด้วยอาการที่รู้ ตื่น เบิกบานอยู่เหนือจิตนั้น จนเกิดภาวะรู้ ตื่น เบิกบาน โปร่งเบา สบายๆอยู่กับจิตสำนึกที่เป็นสำนึกรู้ที่อาตมาได้เคยให้อุบายในการพัฒนาสติในการภาวนาด้วยการพัฒนาสติให้เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมและสำนึกรู้ และการพัฒนาสติในการภาวนาด้วยการพัฒนาสำนึกรู้ให้เป็นใจผู้รู้ ดังที่อาตมาได้เปิดอบรมอย่างต่อเนื่องในทุกๆวันอาทิตย์   
 
   
 
อนึ่ง ในรายละเอียดเกี่ยวกับการทวนกระแสปฏิจจสมุปบาทด้วยการมีสติอยู่เหนือความรู้สึก ที่เป็นธรรมะในส่วนละเอียดยิ่งๆขึ้นไปนั้น ยังมีรายละเอียดอีกมาก ซึ่งอาตมาจะทะยอยบรรยายให้ความรู้ในโอกาสต่อๆไป   
 
   
 
*********************************************************************************   
 
กำหนดการฝึกอบรมพัฒนาสติในการภาวนาให้เป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น และ ผู้เบิกบาน ในชีวิตประจำวัน ครั้งที่ 14 วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน 2548 จะจัดให้มีการฝึกอบรม ณ สถาบันสอนภาษา Home English Center ปิ่นเกล้า โดยเปิดการฝึกอบรมแบ่งเป็น 2 รอบ ดังนี้   
 
   
 
รอบที่ 1 เวลา 10.0012.00 น.(สำหรับผู้ที่ได้ฝึกอบรมพื้นฐานมาแล้ว 2 ครั้ง)   
 
เรื่องการฝึกภาวนาเพื่อพัฒนาความรู้สำตัวทั่วพร้อมและสำนึกรู้ให้เป็นใจผู้รู้   
 
รอบที่ 2 เวลา 13.00 -15.00 น. (ผู้เริ่มต้นควรเข้าฝึกอบรมพื้นฐานนี้ 2 ครั้ง)   
 
เรื่องการฝึกภาวนาเพื่อพัฒนาสติให้เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมและสำนึกรู้   
 
อนึ่ง ขอให้ท่านผู้สนใจเข้ารับการฝึกอบรมฯ ได้กรุณาแจ้งความจำนง โดยสมัครเพื่อสำรองที่นั่ง พร้อมแจ้งชื่อ-นามสกุล ระบุวันและรอบเวลาที่ต้องการเข้าฝึกอบรม ส่งมาที่ wimoak@yahoo.comหรือโทร.05-8326441 (คุณหมอปิยะ) ส่วนแผนที่ Home English Center สามารถคลิ๊กไปดูได้ที่   
 
http://albums.photo.epson.com/j/ViewPhoto?u=4275026&a=31594700&p=72423772   
 
และรถเมล์ที่ผ่าน..มีดังนี้รถเมล์สาย19,42,57,68,80,124,127,146,203,507,509,511 (ผ่านหน้าห้างพาต้า ปิ่นเกล้า)   
 
หมายเหตุ :   
 
(1) สำหรับผู้เริ่มต้นที่ยังตามไม่ค่อยทัน หรือยังไม่แจ่มแจ้ง และรวมทั้งผู้ที่มีความตั้งใจมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติให้เกิดความต่อเนื่อง สามารถเข้ารับการฝึกอบรมรอบพิเศษ ทุกวันอังคาร และพฤหัส เวลา 18.00-20.00 น. ณ สถาบันภาษา Home English Center ปิ่นเกล้า อนึ่ง รอบวันธรรมดานี้ไม่ต้องสมัครจองล่วงหน้า ท่านใดสะดวกที่จะมาร่วม ก็มาได้เลย   
 
(2) สำหรับผู้มาเข้าฝึกอบรมฯเป็นครั้งแรก และ ผู้ที่เคยเข้าฝึกอบรมแล้ว แต่ยังตามไม่ค่อยทันหรือยังไม่แจ่มแจ้ง ควรจะสมัครเข้าฝึกอบรมในวันอาทิตย์รอบบ่าย ซึ่งจะมีการสอนหลักปฏิบัติโดยบรรยายให้ความรู้ตั้งแต่พื้นฐานและทบทวนการปฏิบัติเพื่อพัฒนาสติให้เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมและสำนึกรู้ ส่วนผู้ที่เคยมาเข้าฝึกอบรมขั้นพื้นฐานมาแล้วจนสามารถเจริญสติด้วยความรู้สึกตัวทั่วพร้อมและสำนึกรู้ ควรจะสมัครเข้าฝึกอบรมต่อในวันอาทิตย์รอบเช้า จะได้เน้นการปฏิบัติเจริญสติเพื่อพัฒนาความรู้สึกตัวทั่วพร้อมและสำนึกรู้ให้เป็นใจผู้รู้ อันเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินเข้าสู่ทางอริยมรรค ทั้งนี้ อาตมาเป็นเพียงผู้ช่วยแนะนำร่นระยะเวลาการเดินทางและนำพาทุกท่านให้เข้าสู่อริยมมรรค ส่วนการบรรลุอริยผล ทุกท่านต้องเพียรปฏิบัติเอง หนทางนี้มีอยู่ อยู่ที่เดินให้ถูกทางด้วยความเพียรของแต่ละท่านเอง   
 
   
 
อนึ่ง ขอเชิญรับหนังสือการพัฒนาสติในการภาวนา ได้ในวันและเวลาที่มาอบรมดังกล่าว หรือ ดูรายละเอียดได้ที่   
 
         
 
 http://larndham.net/index.php?showtopic=16219&st=22    
 
   
 
 | 
 
        
          |   | 
         
 | 
 
 
 | 
    | 
  | 
ดาวประกาย 
บัวพ้นดิน 
 
  
  
เข้าร่วม: 15 มิ.ย. 2005 
ตอบ: 53 
 
 
 | 
 ตอบเมื่อ:
05 ก.ย. 2005, 1:54 pm | 
   | 
 
 
 
ประชาสัมพันธ์การฝึกอบรมภาวนา ( รอบพิเศษ อบรม 1 วันเต็ม ) เปิดอบรมแก่ผู้สนใจในวันเสาร์ที่ 17 กันยายน 2548 (ทั้งวัน) ที่บุญนิเวศน์สถาน ถนนบางนา-ตราด ตรงข้ามมหาวิทยาลัยหัวเฉียว รับจำนวนจำกัดเพียง 30 ท่านเท่านั้น กรุณาดูรายละเอียดได้ที่     
 
http://larndham.net/index.php?showtopic=16438&st=2   
 
*********************************************************************************   
 
การบ้านภาวนาครั้งที่ ๑๓ : การทวนกระแสปฏิจจสมุปบาทด้วยการมีสติอยู่เหนือความรู้สึก   
 
ดูการบ้านภาวนาครั้งที่ ๑ - ครั้งที่ ๑๒ ได้ที่     
 
http://larndham.net/index.php?showtopic=16275&st=4   
 
   
 
ธรรมชาติเดิมแท้ของจิต นั้นประภัสสร คือ กระจ่าง ผ่องใส สว่างและบริสุทธ์ จนทำให้ผู้ที่ได้เข้าถึงจิตเดิมแท้ หรือแม้แต่ได้สัมผัสจิตเดิมแท้บ้าง จะมีอาการรู้ ตื่น เบิกบาน หากดูจากหน้าตาใบหน้าภายนอก ก็จะอิ่มเอม เบิกบาน ผ่องใส และเป็นผู้ตื่นอยู่เสมอ ทำให้เป็นผู้คล่องแคล่ว ว่องไว มีจิตอันควรแก่การงานทั้งปวง อันนี้ จึงเป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า หากผู้ใดปฏิบัติธรรมแล้วไม่ผ่องใส ไม่เบิกบาน ไม่ตื่น อันเป็นจิตที่ควรแก่การงานแล้วไซร้ คือ ปฏิบัติธรรมแล้วกลายเป็นคนเชื่องช้า ช้าไปหมด ไม่ตื่น รู้ เบิกบาน ไม่คล่องแคล่ว ว่องไวอันเป็นลักษณะของจิตที่ควรแก่การทำงานทั้งปวง ก็สามารถสรุปได้ว่ากำลังเดินหรือปฏิบัติผิดทาง ผลก็คือปฏิบัติธรรมแล้วก็ตึงๆ หนักๆ หน่วงๆ เพราะผลพวงของการจรดจ่อ จรดจ้อง กำกับ บังคับจิตให้นิ่ง ให้ว่าง ให้ตั้งใจรู้แบบจรดจ่อ แบบจิกรู้ อันทำให้สภาพจิตใจเสียสมดุลไปโดยไม่รู้ตัว และเมื่อสภาพจิตเสียสมดุล ก็จะมีผลให้เห็นแสดงออกภายนอก คือ เริ่มผิดมนุษย์ การพูดการจา หรือการกระทำ หรือการงานก็เชื่องช้าไปหมด บางครั้งก็เบื่อกับการงานจนเห็นการงานเป็นสิ่งที่น่ารำคาญ หรือวุ่นวาย เริ่มแปลกแยกจากสังคมแวดล้อม เพราะเหตุว่าไม่รู้ว่าอะไรควรในสิ่งไม่ควร และอะไรไม่ควรในสิ่งที่ควร อันนี้ก็เป็นสิ่งที่น่าเสียดายว่าหลายๆท่านที่มาศึกษาปฏิบัติธรรม จริงจังกับการปฏิบัติธรรม จนยึดติดในรูปแบบต่างๆนานา เพราะเหตุไม่เข้าใจว่านั่นเป็นการฝึกหัดหรือเรียนรู้ในห้องเรียน เป็นเพียงการเรียนรู้สภาวะในช่วงที่มาปฏิบัติในชั้นเรียน หาได้เป็นการเข้าถึงไม่ แต่การเข้าถึงนั้นจะต้องเข้าถึงจากประสบการณ์ในชีวิตจริงๆ เป็นบทเรียนให้เราได้เข้าถึงสภาวะที่เป็นไปเอง จนหมดจด แจ่มแจ้ง และหลุดพ้นไปโดยลำดับ ดังคำกล่าวของปรมาจารย์จีนที่สอนแก่ลูกศิษย์ว่า การเรียนรู้จนเจนจบวิชาหรือวิทยายุทธนั้น ก็คือ เมื่อเรียนจนสูงสุดแล้ว ต้องกลับสู่สามัญ คือปรับกระบวนการฝึกปฏิบัติเข้าสู่วิถีชีวิตจริงๆในชีวิตประจำวันได้อย่างกลมกลืนเป็นธรรมชาติ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ฝึกจนเชี่ยวชาญชำนาญ จนไร้รูปแบบหรือไม่ยึดติดในรูปแบบแต่อย่างใด อันนี้จึงถือได้ว่าเป็นผู้รู้จักปรับการเรียนรู้การฝึกปฏิบัติ อันเป็นการเรียนรู้สภาวะในชั้นเรียน ไปสู่การเข้าถึงสภาวะนั้นๆ ในชีวิตจริง จนเกิดความแจ่มแจ้งไปตามลำดับโดยอาศัยประสบการณ์ในชีวิตจริงๆ ในชีวิตประจำวันเป็นบทเรียน เป็นเครื่องทดสอบ ขัดเกลา ค่อยๆเลื่อนชั้น หรือภูมิจิตภูมิธรรมไปโดยลำดับ ซึ่งเป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นว่า นักปฏิบัติธรรมในยุคสมัยนี้มักด่วนได้ คือ เรียนรู้สภาวะจนแจ่มแจ้ง เห็นรูปนาม จนแยกรูปแยกนาม และเห็นไตรลักษณ์ ก็เลยประมาทนึกว่าตัวเองรู้ธรรมหรือใกล้หลุดพ้นแล้ว แต่ในที่สุดก็มาหลุดในชีวิตประจำวัน แต่แทนที่จะมาหลุดพ้น กลายเป็นมาหลุดหรือโพล่งไปด้วยความโกรธบ้าง ความโลภบ้าง ความหลงบ้าง ความอยากอันพัวพันไปด้วยกามทั้งหลายบ้างโดยเผลอสติ ไม่รู้สึกตัว ไม่ทันยั้งคิด บางครั้งเผลอสติมากๆ ก็หลุดโลกไปเลย จนผิดมนุษย์ หรือไม่ก็หลงตัวเองคิดว่า ตัวเองใกล้จะหลุดพ้นหรือหลุดพ้นแล้วบ้าง เป็นผู้ที่มีอะไรวิเศษเหนือมนุษย์บ้าง จนอวดอุตริเพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่ต้องอวดแก่ชาวโลก   
 
   
 
   
 
เหตุที่เป็นดังนี้ ก็เพราะธรรมชาติของจิตมนุษย์ชอบไหล ชอบท่องเที่ยวไป คือ ไหลท่องเที่ยวไปกับความคิดนึกบ้าง ไหลท่องเที่ยวไปกับความรู้สึกบ้าง ทำให้เรารู้จัก จิต ได้โดยการรู้ถึง อาการของจิต คือ ความคิดนึกและความรู้สึก นั่นเอง แต่ก็นับว่ายังโชคดี ที่จิตยังมีเครื่องมือที่มีอุปการะมาก นั่นก็คือ สติ แต่น่าเสียดายที่ทุกวันนี้ นักปฏิบัติหลายๆท่านฝึกเจริญภาวนา จะเป็นสมถกรรมฐานก็ดี วิปัสสนากรรมฐานก็ดี แต่ก็ยังไม่เข้าใจในการเจริญสติและพัฒนาสติเพื่อให้เป็นอุปการะคุณอันยิ่งแก่การเจริญสมถและวิปัสสนากรรมฐานนั้น กล่าวคือ ยังคงเจริญสมถะด้วยการปล่อยให้สติไหลไปกับจิตที่เสวยคลอเคลียกับอารมณ์ความนิ่งบ้าง จนสติถอยกำลัง ไม่พัฒนาต่อ ทำให้ไม่รู้ว่าจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร? หรือ เจริญวิปัสสนาโดยการปล่อยให้สติไหลไปกับจิตที่รู้สึกเคลื่อนไหว กระทบ สัมผัส ตามส่วนต่างๆของร่างกาย หรืออายตนะทั้ง ๖ โดยขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องว่า ธรรมชาติของจิตนั้นชอบไหลและท่องเที่ยวไป ฉะนั้นจิตจึงต้องมีพระเอกขี่ม้าขาวคือสติอันเป็นเจตสิกหรือเครื่องมือของจิตเพื่อเป็นตัวเหนี่ยวรั้งจิตไม่ให้ไหลไปกับอารมณ์ต่างๆ รวมทั้งอารมรณ์ของความสงบนิ่งในสมถะ และรวมทั้งอารมณ์ของจิตที่เข้าไปเห็นรูปนามในวิปัสสนาด้วย การที่เราปล่อยให้สติไหลไปแช่นิ่งอยู่ในความสงบ หรือ ปล่อยสติให้ไหลไปกับรูปนามที่เรากำหนดรู้สึกเคลื่อนไหว กระทบ สัมผัส ทำให้สติไม่อาจจะอยู่เหนืออารมณ์สมถะของความสงบนิ่งและอารมณ์วิปัสสนาที่จิตกำลังรู้สึกเคลื่อนไหว กระทบ สัมผัสในรูปนามนั้น กล่าวคือ สติก็ตกไปอยู่ภายใต้อิทธิพลของอารมณ์สมถะของความสงบนิ่งหรืออารมณ์วิปัสสนาที่จิตกำลังรู้สึกเคลื่อนไหว กระทบ สัมผัสในรูปนามนั้น อาทิ การเดินจงกรม ขณะยก ย่าง เหยียบ จิตก็ไหลไปเป็นความรู้สึกเคลื่อนไหว กระทบ สัมผัสของอาการยก อาการย่าง อาการเหยียบ ปรากฏว่าผู้ปฏิบัติโดยส่วนมากจะพยายามตั้งใจให้สติไปแนบแน่นกับจิตที่รู้สึก เคลื่อนไหว กระทบ สัมผัสอาการ ยก ย่าง เหยียบ อย่างกระชั้นชิดนั้น ผลที่ได้แทนที่จะเป็นวิปัสสนาก็กลายเป็นสมถะ และที่ร้ายไปกว่านั้น ก็คือสติซึ่งเป็นภาวะตื่น รู้ เบิกบาน นั้น ไหลลงไปสู่เท้า พอภาวะของสติที่เป็นภาวะตื่น รู้ เบิกบาน ไหลลงเบื้องล่างไปสู่เท้ามากๆ ผลที่ตามมาก็คือ จิตตกภวังค์และวนเวียนอยู่ในภวังคจิต ทำให้การเดินจงกรมไม่สดชื่น ไม่โปร่งเบา แทนที่จะเดินแล้วเบา กลายเป็นยิ่งเดินยิ่งหนัก เพราะเหตุเอาสติไปจิกกับการเดินจงกรมทีละขยักๆ พอเดินจงกรมเสร็จแล้วไปนั่งภาวนาต่อ จะพบว่า ผู้ปฏิบัติโดยส่วนมากจะนั่งภาวนาแล้วตกภวังค์โดยไม่รู้ตัว เพราะเหตุที่ขณะเดินจงกรมไปพยายามตั้งใจเดินจงกรมแบบให้สติไหลไปแนบแน่นกับความรู้สึกเคลื่อนไหว กระทบ สัมผัสที่เท้า ทำให้ภาวะของสติที่รู้ ตื่น เบิกบานแต่เดิม ซึ่งรู้สึกตื่น รู้ชัดและสดชื่นเบิกบานบริเวณช่วงบนของร่างกาย คือตั้งแต่ช่วงเหนืออกขึ้นไปหรือเหนือไหล่ขึ้นไป อันปรากฏความสดชื่น ตื่นรู้ เบิกบานอยู่บริเวณใบหน้าแต่เดิมนั้น ผลกลับกลายเป็นว่าภาวะตื่นรู้ สดชื่น เบิกบานได้หายไปจากความรู้สึกในใจอันอิ่มเอมเบิกบานในทรวงอกขึ้นไปจนปรากฏความรู้สึกตื่น รู้ เบิกบาน อันปรากฏให้รู้สึกได้ชัดบริเวณใบหน้านั้นอันตรธานหายไป เพราะเหตุภาวะตื่นรู้เบิกบานนี้ ไหลไปกับสติที่ไปพยายามตั้งใจรู้สึก เคลื่อนไหว กระทบ สัมผัสการยก การย่าง การเหยียบ อย่างแนบแน่นเอาจริงเอาจังเกินไปนั่นเอง ข้ออุทาหรณ์เตือนใจง่ายๆ ขอให้ถามตนเองว่า คนเรารู้ ตื่น เบิกบาน บริเวณหน้าอกจนถึงใบหน้า หรือ คนเรารู้ตื่น เบิกบาน บริเวณท้องลงมาไปจนถึงเท้า???   
 
   
 
การเจริญสติในหมวดสัมปชัญญะบรรพนั้น พระพุทธเจ้าทรงเพียงแต่แนะนำในหมวดอิริยาบถ ว่า ภิกษุ เมื่อเดินก็รู้ว่าเราเดิน เมื่อยืนก็รู้ชัดว่าเรายืน เมื่อนั่งก็รู้ชัดว่าเรานั่ง เมื่อนอนก็รู้ชัดว่าเรานอน ภิกษุนั้น เมื่อดำรงกายอยู่โดยอาการใด ก็รู้ชัดกายที่ดำรงอยู่โดยอาการนั้น (ม.มู ๑๒/๑๐๘/๑๐๔ ฉบับมหาจุฬา) และในหมวดสัมปชัญญะ ก็ได้ทรงแนะนำว่า ภิกษุ ทำความรู้สึกตัวในการก้าวไป การถอยกลับ ทำความรู้สึกตัวในการแลดู การเหลียวดู ทำความรู้สึกตัวในการคู้เข้า การเหยียดออก ทำความร้สึกตัวในการฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม ทำความรู้สึกตัวในการถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ ทำความรู้สึกตัวในการเดิน การยืน การนั่ง การนอน การดื่ม การพูด การนิ่ง (ม.มู ๑๒/๑๐๙/๑๐๕
..ซึ่งเป็นอาการที่รู้สึกตัวอย่างสบายๆ เป็นธรรมชาติ ยกตัวอย่าง ขณะที่ท่านกำลังอ่านการบ้านภาวนานี้ อาตมาถามท่านว่าท่านรู้สึกถึงปลายเท้าของท่านที่สัมผัสกับพื้นได้ไหม โดยที่ไม่ต้องไปจรดจ่อหรือตั้งใจรู้สึกที่ปลายเท้า ท่านรู้สึกถึงกายของท่านได้ไหม โดยที่ไม่ต้องไปจรดจ่อหรือตั้งใจรู้ที่กาย ทุกท่านจะพบว่า พอแค่เพียงระลึกถึงปลายเท้าก็สามารถรู้สึกได้ถึงปลายเท้าทันที พอแค่เพียงระลึกถึงกายก็รู้สึกได้ถึงกายทันที พอกายโยกไปมา ก็รู้สึกถึงการโยกไปมาของกายได้ทันทีโดยที่ไม่ต้องไปจรดจ่อหรือตั้งใจรู้แต่อย่างใด กล่าวคือ จิตไปรู้สึกถึงปลายเท้าหรือกายได้ โดยที่สติไม่ต้องไหลแนบแน่นไปกับจิตหรือความรู้สึกเคลื่อนไหว กระทบ สัมผัสนั้นๆโดยตรง แต่ขณะเดียวกันสติหรือภาวะรู้ ตื่น เบิกบาน นั้น จะรู้ ตื่น เบิกบานได้ที่ใจผู้รู้ จนเกิดเป็นความโปร่งเบาสบายตั้งแต่เหนืออกไปจนถึงเหนือไหล่ จนแสดงอาการสดชื่น อิ่มเอม ผ่องใสบริเวณใบหน้า เป็นอาการของสติที่ตื่นรู้เอง เป็นเองทีละว๊าบๆ โดยไม่ต้องไปเพ่ง จรดจ่อหรือตั้งใจทำให้เกิดแต่อย่างใด และเมื่อสติเกิดขึ้นเองทีละว๊าบๆ ในขณะที่รู้สึกถึงอิริยาบถต่างๆที่เคลื่อนไป เปลี่ยนแปลงไป ก็จะทำให้เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมที่เป็นไปเอง พร้อมๆกับเกิดสำนึกรู้จนเกิดเป็นใจผู้รู้ที่เป็นไปเอง    
 
   
 
เหมือนดังที่ทรงแนะนำในการเจริญอานาปานสติว่า ภิกษุนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า มีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก (ม.มู ๑๒/๑๐๗/๑๐๒ ฉบับมาจุฬา)
 คำว่าดำรงสติไว้เฉพาะหน้าหมายถึงสติไม่ไหลไปกับลมหายใจ หรือ อีกนัยหนึ่ง จิตรู้สึกเคลื่อนไหว กระทบ สัมผัสของลมหายใจเข้า หายใจออก ว่ายาว-สั้นอย่างไร หนัก-เบาอย่างไร หยาบ-ละเอียดอย่างไร แต่สติยังคงตื่น รู้ เบิกบานอยู่เฉพาะหน้าจริงๆ คือไม่ไหลไปกับความรู้สึกเคลื่อนไหว กระทบ สัมผัสของลมหายใจนั้น เช่นเดียวกันการภาวนาพุทโธ จิตอยู่กับคำภาวนาพุทโธ โดยที่สติตื่นรู้ เบิกบาน อยู่เฉพาะหน้า (คำว่าเฉพาะหน้าไม่ได้หมายความว่าไปตั้งใจตั้งสติไว้ตรงบริเวณหน้า แต่เพียงให้รู้ ตื่น เบิกบาน จนรูสึกโปร่งเบา สดชื่น อยู่ช่วงบนตั้งแต่เหนือจิตใต้สำนึกบริเวณฐานจิตตรงหทัยหรือกลางอก ขึ้นไปจนถึงบริเวณใบหน้าหรือศีรษะ อันเป็นภาวะของจิตที่ขึ้นสู่วิถีเป็นวิถีจิตหรือจิตสำนึกที่มาทำงานสัมพันธ์กับสมอง แต่หากการที่นักปฏิบัติพยายามตั้งใจให้สติไปแนบแน่นกับจิตที่รู้สึกเคลื่อนไหว กระทบ สัมผัสของอารมณ์กรรมฐานนั้นๆ จะเป็นลมหายใจก็ดี พองยุบก็ดี พุทโธก็ดี หรือการเดินจงกรมก็ดี จะทำให้สติที่เป็นจิตสำนึกที่ขึ้นสู่วิถีถูกดึงลงกลับสู่ภวังคจิตเนืองๆ อันเป็นอาการของการตกภวังค์เนืองๆ ทำให้นั่งหลับ โงกไปมา รู้ตัวบ้างไม่รู้ตัวบ้าง และไปเจอภาพหลอนหรือหูแว่วในภวังคจิตต่างๆนานา ทำให้เป็นผลเสียแก่การปฏิบัติทั้งเนิ่นช้า หรือหลงทางในการปฏิบัติ ฉะนั้น การเจริญอานาปานสติก็ดี พอง-ยุบก็ดี พุทโธก็ดี รวมทั้งการเดินจงกรม ก็มีเคล็ดอยู่ตรงที่ให้จิตรู้สึกการเคลื่อนไหว กระทบ สัมผัสของอารมณ์กรรมฐานนั้น โดยที่สติไม่ต้องไหลลงไปแนบแน่นกับจิตที่รู้สึกการเคลื่อนไหว กระทบ สัมผัสนั้น หรือแม้แต่การภาวนาพุทโธ ก็ให้จิตภาวนาพุทโธก้อง นุ่ม เบาอยู่ในความรู้สึกในกลางอก (ไม่ใช่ก้องอยู่ในสมองอันเป็นอาการนึกคิดพุทโธ) แต่สติเพียงสักแต่ว่ารู้ความเป็นไปของจิตที่ภาวนาพุทโธนั้น ด้วยอาการที่รู้ ตื่น เบิกบานอยู่เหนือจิตนั้น จนเกิดภาวะรู้ ตื่น เบิกบาน โปร่งเบา สบายๆอยู่กับจิตสำนึกที่เป็นสำนึกรู้ที่อาตมาได้เคยให้อุบายในการพัฒนาสติในการภาวนาด้วยการพัฒนาสติให้เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมและสำนึกรู้ และการพัฒนาสติในการภาวนาด้วยการพัฒนาสำนึกรู้ให้เป็นใจผู้รู้ ดังที่อาตมาได้เปิดอบรมอย่างต่อเนื่องในทุกๆวันอาทิตย์   
 
   
 
อนึ่ง ในรายละเอียดเกี่ยวกับการทวนกระแสปฏิจจสมุปบาทด้วยการมีสติอยู่เหนือความรู้สึก ที่เป็นธรรมะในส่วนละเอียดยิ่งๆขึ้นไปนั้น ยังมีรายละเอียดอีกมาก ซึ่งอาตมาจะทะยอยบรรยายให้ความรู้ในโอกาสต่อๆไป   
 
   
 
*********************************************************************************   
 
กำหนดการฝึกอบรมพัฒนาสติในการภาวนาให้เป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น และ ผู้เบิกบาน ในชีวิตประจำวัน ครั้งที่ 14 วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน 2548 จะจัดให้มีการฝึกอบรม ณ สถาบันสอนภาษา Home English Center ปิ่นเกล้า โดยเปิดการฝึกอบรมแบ่งเป็น 2 รอบ ดังนี้   
 
   
 
รอบที่ 1 เวลา 10.0012.00 น.(สำหรับผู้ที่ได้ฝึกอบรมพื้นฐานมาแล้ว 2 ครั้ง)   
 
เรื่องการฝึกภาวนาเพื่อพัฒนาความรู้สำตัวทั่วพร้อมและสำนึกรู้ให้เป็นใจผู้รู้   
 
รอบที่ 2 เวลา 13.00 -15.00 น. (ผู้เริ่มต้นควรเข้าฝึกอบรมพื้นฐานนี้ 2 ครั้ง)   
 
เรื่องการฝึกภาวนาเพื่อพัฒนาสติให้เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมและสำนึกรู้   
 
อนึ่ง ขอให้ท่านผู้สนใจเข้ารับการฝึกอบรมฯ ได้กรุณาแจ้งความจำนง โดยสมัครเพื่อสำรองที่นั่ง พร้อมแจ้งชื่อ-นามสกุล ระบุวันและรอบเวลาที่ต้องการเข้าฝึกอบรม ส่งมาที่ wimoak@yahoo.comหรือโทร.05-8326441 (คุณหมอปิยะ) ส่วนแผนที่ Home English Center สามารถคลิ๊กไปดูได้ที่   
 
http://albums.photo.epson.com/j/ViewPhoto?u=4275026&a=31594700&p=72423772   
 
และรถเมล์ที่ผ่าน..มีดังนี้รถเมล์สาย19,42,57,68,80,124,127,146,203,507,509,511 (ผ่านหน้าห้างพาต้า ปิ่นเกล้า)   
 
หมายเหตุ :   
 
(1) สำหรับผู้เริ่มต้นที่ยังตามไม่ค่อยทัน หรือยังไม่แจ่มแจ้ง และรวมทั้งผู้ที่มีความตั้งใจมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติให้เกิดความต่อเนื่อง สามารถเข้ารับการฝึกอบรมรอบพิเศษ ทุกวันอังคาร และพฤหัส เวลา 18.00-20.00 น. ณ สถาบันภาษา Home English Center ปิ่นเกล้า อนึ่ง รอบวันธรรมดานี้ไม่ต้องสมัครจองล่วงหน้า ท่านใดสะดวกที่จะมาร่วม ก็มาได้เลย   
 
(2) สำหรับผู้มาเข้าฝึกอบรมฯเป็นครั้งแรก และ ผู้ที่เคยเข้าฝึกอบรมแล้ว แต่ยังตามไม่ค่อยทันหรือยังไม่แจ่มแจ้ง ควรจะสมัครเข้าฝึกอบรมในวันอาทิตย์รอบบ่าย ซึ่งจะมีการสอนหลักปฏิบัติโดยบรรยายให้ความรู้ตั้งแต่พื้นฐานและทบทวนการปฏิบัติเพื่อพัฒนาสติให้เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมและสำนึกรู้ ส่วนผู้ที่เคยมาเข้าฝึกอบรมขั้นพื้นฐานมาแล้วจนสามารถเจริญสติด้วยความรู้สึกตัวทั่วพร้อมและสำนึกรู้ ควรจะสมัครเข้าฝึกอบรมต่อในวันอาทิตย์รอบเช้า จะได้เน้นการปฏิบัติเจริญสติเพื่อพัฒนาความรู้สึกตัวทั่วพร้อมและสำนึกรู้ให้เป็นใจผู้รู้ อันเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินเข้าสู่ทางอริยมรรค ทั้งนี้ อาตมาเป็นเพียงผู้ช่วยแนะนำร่นระยะเวลาการเดินทางและนำพาทุกท่านให้เข้าสู่อริยมมรรค ส่วนการบรรลุอริยผล ทุกท่านต้องเพียรปฏิบัติเอง หนทางนี้มีอยู่ อยู่ที่เดินให้ถูกทางด้วยความเพียรของแต่ละท่านเอง   
 
   
 
อนึ่ง ขอเชิญรับหนังสือการพัฒนาสติในการภาวนา ได้ในวันและเวลาที่มาอบรมดังกล่าว หรือ ดูรายละเอียดได้ที่   
 
         
 
 http://larndham.net/index.php?showtopic=16219&st=22    
 
   
 
 | 
 
        
          |   | 
         
 | 
 
 
 | 
    | 
  | 
รุ่งลลิดา สกุลงาม 
บัวพ้นดิน 
 
 
  
เข้าร่วม: 21 ก.ค. 2007 
ตอบ: 53 
ที่อยู่ (จังหวัด): 75/8 ม.3 ม.จามจุรี 2 ต.ท่ามะกา อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี 71120 
 
 | 
 ตอบเมื่อ:
06 ก.ย. 2007, 6:35 pm | 
   | 
 
 
 
ขออนุโมทนาในกุศลจิต...การให้ธรรมะชนะการให้ทั้งปวง.........   ขออนุญาตแจ้งด้วยจิตกัลยาณมิตร...คำว่า<หมายกำหนดการ>เขาใช้กับสำนักราชวัง.....ส่วนบุคคลทั่วไปใช้คำว่ากำหนดการ.....   | 
 
        
          |   | 
         
 _________________ มีสติไว้ | 
 
 
 | 
     | 
  | 
| 
 |