ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
03 มิ.ย.2005, 12:36 pm |
  |
เรื่องราวของการปฏิบัติธรรมเพื่อจะไปนิพพาน ย่อมเป็นที่เข้าใจดีอยู่แล้ว สำหรับผู้ปฏิบัติธรรมนะครับ แต่สำหรับผู้เริ่มต้น และคนรุ่นใหม่ นิพพาน ย่อมยังเป็นที่สงสัยว่า จะดีจริงหรือไม่ และผู้ปฏิบัติธรรมมีมุมมองเรื่องนนี้อย่างไร ถึงเกิดแรงบันดาลใจจะไป ก็ต้องเล่าจากประสบการณ์ของผม (เป็นเพียงประสบการณ์หนึ่งนะครับ)
ตัวผมเอง หลังจากเริ่มสะดุดใจแล้วว่า แท้จริงแล้ว ชีวิตคนเราเกิดมาเพื่ออะไร ก็เริ่มศึกษา หนังสือที่ให้แรงบันดาลใจผมมากที่สุดคือ ธรรมธารา จากธรรมโฆษก์ ต่อมาเป็นเรื่อง ธรรมลีลา ผมขอนำส่วนหนึ่งของหนังสือ ธรรมลีลา มาถ่ายทอดกัน ในตอนที่ชื่อว่า "นักโทษประหาร" นะครับ เราจะได้เห็นในมุมมองของผู้ปฏิบัติธรรมว่า แรงบันดาลใจที่จะไปนิพพานเกิดขึ้นมาตอนไหน (แต่ดัดแปลงเนื้อเรื่องนิดหน่อยครับ)
มีชายหนุ่มคนหนึ่ง เป็นคนมีการศึกษาสูง มีการมีงานดี เขากำลังจะแต่งงานกับผู้หญิงที่น่ารัก อนาคตกำลังจะไปได้สวย ทุกอย่างลงตัวสมบูรณ์แบบ ขีวิตที่ใครต่อใครล้วนอิจฉา แต่แล้ววันหนึ่ง เหตุการณ์พลักผันชีวิตทั้งหมดของเขาก็เกิดขึ้น
เย็นวันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังเดินกลับไปที่รถ หลังจากซื้อของชิ้นหนึ่ง เตรียมจะไปฝากให้คู่หมั่น ทันใดนั้นเอง ก็มีชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ 3 คน วิ่งปราดเข้ามาอย่างเร็ว จับตัวเขาไว้ คนเหล่านั้นแรงเยอะมาก จับเขาจนดิ้นไม่หลุดทีเดียว และแล้วหนึ่งในชายฉกรรจ์ ก็ใช้ผ้าที่โปะยาสลบ มาโปะหน้าเขาไว้ เขาดิ้นสักพัก ทุกอย่างก็ดับวูบลง
เขารู้สึกตัวอีกทีอยู่บนเตียงในห้องๆหนึ่ง รอบๆ ตัวเขามีชายฉกรรจ์ 3 คน ตรงหน้าเขามีชายผู้หนึ่ง ยืนรออยู่ ท่าทางดูมีอำนาจ ชายทั้ง 3 เรียกเขาว่า ท่านผู้คุม ชายหนุ่มค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างงงๆ ถามไปว่า "คุณเป็นใคร จับผมมาทำอะไร" ผู้คุมตอบว่า ตอนนี้คุณตกเป็นนักโทษประหารในเรือนจำผมแล้ว"
ชายหนุ่มตกใจ ลุกขึ้นทันที แต่ชายทั้ง 3 ก็ปรี่เข้ามาล็อคตัวเขาไว้ ดิ้นไม่หลุด ชายหนุ่มถามว่า "ผมมีความผิดข้อหาอะไร" ผู้คุมบอกว่า "ไม่มีความผิดอะไร ผมพอใจจะจับใครผมก็จับ" ชายหนุ่มงงมาก "มีเรื่องบ้าๆ แบบนี้ด้วยหรือ คุณทำแบบนี้ไม่ได้นะ มันผิดกฏหมาย" ผู้คุมตอบกลับว่า "ผมทำได้ เพราะผมอยู่เหนือกฏหมาย และกฏทั้งปวง คุณไม่อยู่ในฐานะจะมาต่อรองอะไรเท่านั้น สงบใจไว้ดีกว่า อย่าไม่อยากตายอย่างทรมาณ"
ชายหนุ่มเป็นคนฉลาด เขาเริ่มได้สติ วิเคราะห์สถานการณ์ เห็นว่า ตอนนี้คงทำอะไรไม่ได้ แล้วเขาก็สงบลง ชายฉกรรจ์ ก็ปล่อยตัวเขา
"ป่านนี้คนรักเขาจะเป็นอย่างไร ครอบครัวจะเป็นอย่างไร เขาต้องหาทางหนีให้ได้" ชายหนุ่มคิดในใจ พลันได้ยินเสียงผู้คุมดังว่า "ในฐานะที่คุณเป็นคนพิเศษ อีกสักพัก ผมจะมาพาคุณไปชมเรือนจำของเรา ตอนนี้ให้คุณพักก่อน" แล้วผู้คุมก็ออกไป
ต่อมาผู้คุม พร้อมกับสมุน 3 คน ก็เดินกลับเข้ามา ชายหนุ่มพร้อมแล้ว เขาบอกกับตัวเองว่า เขาต้องมีสติ หาโอกาสหลบหนีให้ได้ เมื่อผู้คุมพาเขาออกไปภายนอก สภาพเรือนจำกว้างขวางใหญ่โตมาก เขาไม่เคยเห็นเรือนจำที่ไหนใหญ่ขนาดนี้มาก่อนเลย เขามองไปรอบๆ เห็นผู้คนจำนวนมากมาย บ้างกำลังอ่านหนังสือ บ้างกำลังทำงานง่วนอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ บ้างก็กำลังเล่นอินเตอร์เน็ต บ้างก็กำลังประดิษฐ์สิ่งของ บ้างก็กำลังโทรศัพท์ บ้างก็กำลังเล่นกีฬา เสียงผู้คุมดังขึ้น "คนเหล่านี้เป็นนักโทษประหารของผมทั้งหมด" ชายหนุ่มถามขึ้น คนเหล่านี้เหรอ แล้วทำไมคุณไม่ล่ามโซ่" ผู้คุมตอบว่า "ไม่จำเป็น จะไปดูใกล้ๆ มั้ยล่ะ" ชายหนุ่มงงๆ ว่า แปลกดี เรือนจำนี้ ไม่ต้องล่ามโซ่ แต่ก็ดีโอกาสหนีจะง่ายขึ้น แล้วเดินตามผู้คุมเข้าไปดู กลุ่มนักโทษดีกำลังเล่นกีฬาอยู่ ระหว่างที่ใกล้จะถึงนั้นเอง มีชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ วิ่งเข้าไปอย่างเร็ว ใช้ขวานฟันคอนักโทษคนหนึ่งขาดกระจุย นักโทษที่เหลือตกใจเป็นอันมาก วิ่งเข้ามาดู ร้องไห้เสียใจ ชายหนุ่มตกตะลึง ฉับพลัน ด้านหลังเขา ก็ได้ยินเสียงร้อง นักโทษที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ ถูกชายฉกรรจ์ ใช้ค้อนเหล็กทุบหัวตายคาที่
"นี่คือ วิธีการประหารชีวิตของเรือนจำเรา" เสียงผู้คุมดังขึ้น ชายหนุ่มถามว่า "คุณไม่แจ้งนักโทษก่อนหรือ จะประหารเมื่อไหร่ ทำแบบนี้ได้ยังไง" ผู้คุมพูดต่อ "เราไม่เคยแจ้งล่วงหน้า เรานึกจะประหารที่ไหน เมื่อไหร่ เวลาใด วิธีการแบบใด เราก็ดำเนินการประหารทันที" ชายหนุ่มตะโกน "โหดร้ายมาก คุณทำแบบนี้ได้อย่างไร มีเรือนจำแบบนี้ด้วยหรือ คุณมันไม่ต่างอะไรกับฆาตกรเลือดเย็น เห็นชีวิตคนเป็นผักปลา ผม..." ชายหนุ่มถูก ชายทั้ง 3 เข้ามาล็อคตัว และเอามืออุดปากไว้
เหตุการณ์จะเป็นอย่างไร ต่อไป หมดเวลาพักเที่ยงพอดี เดี๋ยวช่วงเย็นผมจะมาพิมพ์ต่อภาคสอง ตอนจบนะครับ
|
|
|
|
|
 |
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
03 มิ.ย.2005, 5:39 pm |
  |
ต่อภาค 2 กันเลยนะครับ
พอชายหนุ่มสงบลง ชายฉกรรจ์ทั้ง 3 ก็ปล่อยตัวเขา ชายจึงพูดต่อว่า "อย่างนี้เรือนจำของคุณก็มีแต่เรื่องน่ากลัว นักโทษย่อมต้องหวาดผวา ว่าตนเองจะถูกประหารเมื่อไหร่ เวลาใด ไม่มีความสงบสุขแน่นอน" แต่ผู้คุมกลับตอบว่า "ตรงข้าม ทุกคนอาจจะร้องไห้เสียใจนิดหน่อยที่เห็นเพื่อนตาย แล้วสักพัก เขาก็จะลืมเรื่องราวทั้งหมด หันไปสนุกสนาน หรือ คร่ำเคร่งกับการงานของเขาต่อไป ไม่เชื่อคุณลองดูสิ"
ชายหนุ่มมองตามผู้คุมไป จริงดังว่า เพื่อนๆ นักโทษที่เข้ามามุงดู ร้องไห้เสียใจอยู่สักพัก แล้วก็กลับไปเล่นกีฬาสนุกสนานเหมือนเดิม บางคนก็ไปทำงานที่ค้างไว้ต่อ ราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร
"โอ้ ทำไมนักโทษประหารเหล่านี้ เป็นอย่างนั้นนะ" ชายหนุ่มคิด "ไม่กังวลหรือไง ว่าจะถูกประหารเมื่อไหร่ เวลาใด หรือว่า ชินชะแล้ว" จากนั้น ชายหนุ่มก็ถามขึ้นว่า "แล้วเรือนจำของคุณมีเนื้อที่ขนาดไหน มีนักโทษประมาณเท่าไหร่" ผู้คุมตอบว่า คุณนี่ไม่เบานะ เรือนจำผมมีเนื้อที่สุดลูกหูลูกตาเลยทีเดียว จำนวนนักโทษนะเหรอ ผมจะพาคุณไปดู ที่สวนใหญ่ของเรา แล้วเขาก็เดินนำไป ถึงประตูหน้าสวนใหญ่ของเรือนจำ พอประตูหน้าสวนเปิดขึ้นเท่านั้น ชายหนุ่มตกตะลึง ภาพที่เห็น ทั้งพระราชา เศรษฐี นักธุรกิจ คนทั่วๆไป มากมายนับไม่ถ้วน ทุกคนล้วนเป็นนักโทษในเรือนจำทั้งสิ้น เป็นไปได้อย่างไร ชายหนุ่มคิด ฉับพลันสายตาของชายหนุ่มก็ไปสะดุด กับภาพภาพหนึ่ง เขาอุทานเรียกชื่อออกไป "คู่หมั่นของเขานั่นเอง ตกเป็นนักโทษในเรือนจำได้หรือนี่ ไม่ได้การ เขาต้องหาทางทำอะไรบางอย่างแล้ว"
เสียงผู้คุมดังขึ้น "นั่นคู่หมั่นของคุณใช่ไหมล่ะ คิดจะหาทางพาเธอหนีใช่มั้ย สีหน้าของคุณมันฟ้องนะ ไม่ต้องกังวล ผมจะแนะวิธีหาทางหนีให้" คราวนี้ชายหนุ่มตกละตึงกับถ้อยคำที่ได้ยิน ตกตะลึงยิ่งกว่าที่ผ่านมาทั้งหมด เรือนจำอะไรกันนี่ นึกจะประหารก็ประหาร นึกจะให้หนี ก็บอกทางให้ เสียงผู้คุมดังขึ้น "ตามผมมา" คู่หมั่นคุณนะปล่อยไว้ก่อนได้ ไม่หนีหายไปไหนหรอก
และแล้วชายหนุ่มก็ตามเขาไป ผู้คุม พาชายหนุ่มไปที่ป่าแห่งหนึ่ง แล้วพูดขึ้น "เอาล่ะ ถึงแล้ว นี่เรียกว่า ป่าพุทธะ (ป่าผู้ตื่นขึ้น) คุณลองดู คนที่คิดหนีเหมือนกันอยู่ข้างหน้านู่น ชายหนุ่มมองตามไป เห็นนักโทษคนหนึ่ง เข้าไปในป่าพุทธะ แล้วไปหยิบขวานหินที่อยู่ในป่าขึ้นมา จากนั้น เขาก็วิ่งไปจนสุดป่า พอสุดป่า ก็ติดกำแพง เป็นกำแพงอิฐทั้งแท่ง แล้วนักโทษคนนั้น ก็ลงมือ ใช้ขวานอิฐ ฟันกำแพงอิฐเข้าไปเรื่อยๆ กำแพงก็แตกออกไปเรื่อยๆ
ชายหนุ่มจึงถามขึ้น "แล้วคุณไม่ขัดขวางอะไรเขาหรือ" ผู้คุมตอบว่า "เปล่า เราปล่อยให้หนีตามสบาย" ชายหนุ่มถามต่อ "อ้าว อย่างนี้ ทุกคนก็หนีได้สิ" ผู้คุมตอบว่า "ใช่ แต่ก็แปลกมาก ไม่มีใคร คิดอยากหนีเลย เกือบทั้งหมด ล้วนยอมถูกประหารในเรือนจำของผมทั้งสิ้น" ชายหนุ่มนึกตาม จริงดังที่ผู้คุมพูด นักโทษที่เขาเห็นมา ไม่มีใครคิดหนีเลย ชายหนุ่มถามต่อ "แล้วนักโทษคนนี้ ถ้าเขาพังกำแพงออกไปได้ล่ะ" ผู้คุมบอก "ขึ้นไปดูบนหอคอยไหมล่ะ หอคอยนี่ มีเฉพาะในป่าพุทธะเท่านั้น
ชายหนุ่มถามขึ้นลิฟต์บนหอคอยไปชั้นสูงสุด ที่ลิฟต์นี้ เขามองเห็นเรือนจำได้ทุกมุมมอง เขาเห็นนักโทษทั้งหมด เขาเห็นภาพนอกกำแพงอิฐออกไป เขาเห็นกำแพงหิน ล้อมกำแพงอิฐไว้ ถัดจาก กำแพงหิน เขาก็เห็นกำแพงเหล็กทั้งแท่งล้อมไว้อีกชั้น ถัดจากนั้น เขามองไม่เห็นแล้ว ที่ด้านล่างของกำแพง เขาเห็นนักโทษจำนวนหนึ่ง เยอะพอสมควร กำลังใช้ขวานอิฐฟันกำแพงอิฐอยู่ พอทำลายได้แล้ว เห็นนักโทษวิ่งกลับมาเอาขวานหินไปฟันกำแพงหินต่อ แล้วเขาออกจากกำแพงอิฐไปแล้ว ผนังกำแพงกลับเชื่อมปิดใหม่โดยอัตโนมัติ ให้เขาออกไปได้คนเดียว ถัดออกไป ชายหนุ่มเห็นคนจำนวนน้อยลง กำลังใช้ขวานหิน ฟันกำแพงหินอยู่ และถัดออกไป ชายหนุ่ม เห็นแค่คนเดียว ท่านเป็นพระภิกษุ กำลังใช้ขวานเหล็ก ฟันกำแพงเหล็กอยู่
ชายหนุ่มถามขึ้น "มีใครเคยหนีไปได้มั้ยครับ" ผู้คุมตอบว่า "มีสิ เป็นประวัติศาสตร์ของเรือนจำทีเดียวว่า เมื่อ 2500 กว่าปีก่อน มีนักโทษใหญ่ชาวอินเดีย ชักชวนนักโทษจำนวนมาก ออกจากเรือนจำไป มากมายเป็นประวัติการณ์ทีเดียว แล้วก็ไม่มีเหตุการณ์ครั้งใหญ่อย่างนั้นอีก คงมีเล็กน้อยประปราย ดังที่คุณเห็นนี่แหละ"
ชายหนุ่มบอกขึ้น "งั้นผมจะไปพาคู่หมั่นหนีแล้วนะครับ" ผู้คุมบอกว่า "เมื่อคุณรู้ความจริงทั้งหมดแล้ว ก็เชิญตามสบาย แต่ระวังนะลูกน้องผม 3 คนนี่เขาจะคอยติดตามคุณอยู่ ถ้าคุณช้า ไม่ทันเวลาล่ะก็ เขาจะตามไปประหารคุณ ยกเว้นคุณจะพังกำแพงเหล็กออกไปได้นั่นแหละ คุณจะพ้นไปจากอำนาจผมได้ อ้อ แล้วอย่าเพิ่งดีใจว่า คู่หมั่นคุณ จะคิดหนีตามคุณนะ คุณไปลองดูก็แล้วกัน"
และแล้วชายหนุ่มก็ผิดหวัง คู่หมั่นไม่ยอมหนีตามไปด้วย บอกว่า อยู่นี่สบายดีแล้ว ยังไงทุกคนก็ต้องโดนประหาร ไม่มีทางไหนรอดหรอก ฝันลมๆ แล้งๆ ชายหนุ่มจึงรีบไปบอกคนอื่น ก็ไม่มีใครสนใจ จนกระทั่งเขามาบอกกับผม (เกียรติ) ผมก็เลยมาบอกกับทุกท่านนี่แหละครับ ก่อนจะไปฟันกำแพงที่ฟันค้างไว้ต่อไป
|
|
|
|
|
 |
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
03 มิ.ย.2005, 5:55 pm |
  |
ส่วนขยายความ
เรื่องสั้นเรื่องนี้ มีอุปมาไว้หลายท่อน ก็จะขอขยายความดังนี้นะครับ
เรือนจำแห่งนี้ ก็คือ โลกใบนี้ (รวมทั้งประเทศไทยด้วย)
นักโทษในเรือนจำ ก็คือ มนุษย์ ทุกคน
ชายฉกรรจ์ใหญ่ 3 คน ได้แก่ เพชรฆาตทั้ง 3 คือ แก่ เจ็บ ตาย
การประหารชีวิตในเรือนจำที่ไม่แจ้งว่า จะประหารที่ไหน เมื่อไหร่ ด้วยวิธีการใด คือ ความตาย ที่จะไม่บอกเราล่วงหน้าว่า เราจะตายที่ไหน เมื่อไหร่ ด้วยวิธีการใด
นักโทษทุกคนเสียใจนิดหน่อย แต่ไม่หวาดผวา สักพักก็ลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คือ มนุษย์ทุกคน ที่เสียใจกับความตาย แต่คิดว่า เป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีใครหนีความตายได้ แล้วก็ลืมความน่ากลัวของความตายเสียสิ้น
กำแพงอิฐ คือ กิเลส สายโลภ
ขวานอิฐ คือ ทาน ใช้ทำลาย โลภ
กำแพงหิน คือ กิเลส สายโกรธ
ขวานหิน คือ ศีล ใช้ทำลาย โกรธ
กำแพงเหล็ก คือ กิเลส สายหลง
ขวานเหล็ก คือ ภาวนา ใช้ทำลาย หลง
เมื่อพังกำแพงได้แล้ว ก็ออกไปได้เฉพาะผู้พังคนเดียว จากนั้นกำแพงจะปิด ผู้อื่นออกตามไม่ได้ ต้องทำลายกำแพงเอง คือ ทาน ศีล ภาวนา เป็นของเฉพาะตน ผู้ปฏิบัติย่อมได้ผล ผู้ไม่ปฏิบัติย่อมไม่ได้ผล ทำให้กันไม่ได้ แต่แนะนำได้
นักโทษใหญ่ที่ออกไปได้เมื่อ 2500 กว่าปีก่อน คือ พระพุทธเจ้า
สภาพนอกเรือนจำ คือ นิพพาน พ้น เกิด แก่ เจ็บ ตาย สุขอย่างเดียว ไม่กลับเป็นทุกข์อีก
พ้นคำว่าสุขทุกข์ไปแล้ว
หากหนีไม่ทันเวลา เพชรฆาต แก่ เจ็บ ตาย ก็จะมาจัดการเราจนตาย ตายแล้วเกิดใหม่ เรียนรู้ใหม่ วนเวียนไม่รู้จบ จนกว่าจะหนีได้อย่างแท้จริง
ขอบคุณที่อ่านมาจนจบครับ คุณนายประแจ กับคุณมารศาสนา หรือท่านอื่นๆ อ่านแล้ว คิดเห็นอย่างไรเล่าสู่กันฟังบ้างนะครับ |
|
|
|
|
 |
นายประแจ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
03 มิ.ย.2005, 11:40 pm |
  |
ขอบคุณที่มาชวนไปฟันกำแพงครับ แต่ผมว่าทางออกคงจะไม่มีแค่ทางเดียวเท่านั้นหรอก ...มันจะง่ายกว่านั้นไหมไปทางนี้สิ ทางใจ...ถ้าเรายอมรับความจริงที่ว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย .. เป็นเรื่องธรรมดา ที่ทุกคนและตัวเราไม่อาจรอดพ้น...ทำใจยอมรับ...อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด......ทำใจให้สบาย รู้เท่าทันผู้คุม ........ฮั้นแน่....ผู้คุมรู้นะจะมาทำให้เจ็บหรอ เอาเลยพร้อมแล้ว.....เห็นคนอื่นโดนประหาร....ธรรมดาว่ะ เดี๋ยวก็คงถึงเรา หนีไม่พ้นหรอก...อืม...ยังไม่ตายตอนนี้ขอเล่นเน็ตก่อนละกันนะผู้คุมนะ |
|
|
|
|
 |
นายประแจ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
03 มิ.ย.2005, 11:48 pm |
  |
ขอถามคุณเกียรติ...ถ้าคู่มั่นคุณเกียรติไม่ยอมไปด้วยคุณเกียรติจะทิ้งเธอไปหรอครับ...คุณเกียรติจะตัดช่องน้อยแต่พอตัวหรอครับ... |
|
|
|
|
 |
นายประแจ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
03 มิ.ย.2005, 11:58 pm |
  |
ขออภัยพิมพ์คำว่า หมั้น ผิดเป็น มั่น ครับ |
|
|
|
|
 |
ป้าแก้ว
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2005
ตอบ: 7
|
ตอบเมื่อ:
04 มิ.ย.2005, 1:55 am |
  |
อิอิ ขอสนุกกับการนั่งดูจิต รู้เท่าทันใจ มีสติมองเพชรฆาตอย่างพิจารณาในเรือนจำ อย่างสงบดีกว่า เดี๋ยวเพชรฆาต เห็นเราไม่เต้นตามร้องขอ เบื่อเราแล้ว ก็ปล่อยเราเดินออกไปเอง
มีความสุขกับทุกๆวันนะค่ะ
|
|
|
|
   |
 |
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
04 มิ.ย.2005, 7:23 am |
  |
อยากตอบคำถามนี้มากๆ เลยครับ แต่เสียดายที่ยังไม่มีคู่หมั่นนี่สิ
สำหรับผม ผมอยากจะทำเหมือน นักโทษใหญ่ชาวอินเดีย คนนั้นครับ คือ ชวนไปให้หมดเลย เท่าที่เราจะทำได้ ถ้าเราทำได้มาก เราจะชวนมากๆ ถ้ารื้อเรือนจำเลยยิ่งดีครับ |
|
|
|
|
 |
ผู้อ่านบทความ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
04 มิ.ย.2005, 7:02 pm |
  |
เกิดความรู้สึกว่าบางที ผู้คุมในแต่ละเรือนจำอาจจะคือพระเจ้าก็ได้นะครับ ในโลกนี้จึงมีทางเลือกสองทางสำหรับผู้ปราถนาจะมีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุข คือหนีออกจากคุก กับทำให้ผู้คุมรักซึ่งบางครั้งท่านก็ใจดีให้ความช่วยเหลือคนที่ท่านรักให้อยู่ดีมีสุขกว่าปกติแต่ก็ยังต้องอยู่กับท่านตลอดไปจนกว่าจะฉุกคิดได้ว่าเรายังอยู่ในคุก |
|
|
|
|
 |
นายประแจ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
04 มิ.ย.2005, 9:29 pm |
  |
คุณเกียรติ รื้อเรือนจำหมดเดี๋ยวไม่มีเน็ตเล่นนะ |
|
|
|
|
 |
พันธนาการใจ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
05 มิ.ย.2005, 8:04 am |
  |
เรื่องนักโทษประหาร ใน หนังสือธรรมลีลา เปรียบโลกเป็นที่คุมขัง และประชากรโลก เป็นนักโทษ ซึ่งก็เป็นเช่นนั้น ในมุมมองของนักปฏิบัติธรรม โดย เฉพาะ ผู้ปฏิบัติ โยคาวจร (ทั้งพระและฆราวาส) จะมองอย่างนั้น และหาทางแหกคุกออกไปให้ได้ ภายในชาตินี้ ... แต่ นักโทษในโลกนี้ ส่วนใหญ่ ยอมสิโรราบกับการถูกทารุณกรรม จาก ความแก่ เจ็บ ตาย ต่างก็แสวง หา ลาภ ยศ สรรเสริญ และกามราคะ มาเป็นเครื่องปลอบประโลมใจ กลบเกลื่อนทุกขภัย ทั้งสาม นี้ไปวันๆ มีหนังเรื่องShawshank Redemtion เก่าแล้ว ตั้งแต่มี 1994 สะท้อนให้เห็นว่า มีนักโทษหลายคน เมื่อติดคุกนานๆ จะชินชากับชีวิตติดคุก ถูกจองจำ ถูกควบคุม มีคนคอยชี้นิ้ว สั่งให้ทำโน่นทำนี่ เมื่อถึงวาระต้องพ้นโทษ ก็เกิดความกลัว ไม่รู้จะอยู่ในโลกอิสระด้วยตัวเองได้อย่างไร...เคยได้ยิน ผู้ใหญ่เล่าเกร็ดพงสาวดาร เรื่องการเลิกทาสในเมืองไทยให้ฟังว่า สมัยนั้นมีทาสหลายคน เมื่อได้รับอิสระภาพ ก็สมัครใจที่จะเป็นทาสต่อไป เพราะใช้ชีวิตอิสระ ทำมาหาเงินเลี้ยงตัวเองและครอบครัวไม่เป็น เคยชินกับการถูกบงการควบคุม และรับคำสั่ง(ทาสพวกนั้น ไม่เคยได้รับการฝึกฝนให้มีความคิดริเริ่ม และเคารพตัวเองเท่ากับที่เคารพผู้อื่น) ...... มีเรื่องจริงของนักโทษประหาร คนหนึ่ง ชื่อ Jay Siripongs จาตุรงค์ ศิริพงศ์ เป็นนักโทษประหาร ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ระหว่างรอการประหารอยู่ในคุก ซึ่งใช้เวลาเป็นปี พระอาจารย์ปสันโนได้เวียนไปเยี่ยม อยู่บ่อยๆ และจนนาทีสุดท้าย ท่านก็ไปโปรด เจ ก่อนเค้าจะโดนฆ่าตาย เมื่อวันที่ Feb 9,1999...ท่านอาจารย์ปสันโน ได้เขียนหนังสือ ชื่อ The Last Breath เล่าประสบการณ์ที่ท่านไปเยี่ยม เจ นักโทษประหาร คนนั้น ในคุก ท่านนำพระธรรมแห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ไปฟื้นฟูจิตใจให้ เจ นักโทษที่กำลังรอชดใช้กรรม (ที่หลายคนสงสัย ว่าเค้าไม่ได้ ก่อ) ความพยายามและเมตตาธรรม ที่พระอาจารย์ปสันโน ได้ยอมลำบากเข้าไปในคุก นั้นไม่สูญเปล่า จิตใจ ของ เจ ได้รับการ reconstruct และ upgrade อย่างได้ผล เจ มีกำลังใจ เผชิญความตายอย่างสงบ มีสติสัมปชัญะ ในวันที่เค้าถูกประหารชีวิต.....ในหนังสือ เล่าเหตุการณ์ ที่ท่านต้องไปผ่านด่านตรวจก่อนเข้าออก คุก พวกฝรั่งปฏิบัติกับท่าน แบบ.....? เพราะแตกต่าง เพราะพระพุทธเป็นเพียงชนกลุ่มน้อยในโลกของเขา ....ต่อให้ใจแข็งเท่าแข็ง ถ้าได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว น้ำตาต้องเอ่อ โดยไม่รู้ตัว ......The Last Breath ที่ท่านอาจารย์ปสันโน เขียนนี้ ไม่ได้ขาย ไม่มีการโปรโมท หนังสือ (ท่านมีคุณธรรมสูง ท่านไม่เอาเรื่องความทุกข์ของใคร มาเป็นธุรกิจ) แค่เล่าให้ฟัง ไม่มีเจตนา จะโฆษณาหนังสือ หรือ โฆษณาพระสงฆ์องคเจ้า ท่านไม่ทราบเรื่องที่ เอามาเล่านี้ด้วย.....ไม่ได้ขออนุญาต เล่าเอง อาศัยความสุจริตใจ เป็นที่ตั้ง หนังสือเล่มนี้หาอ่านได้ที่http://www.abhayagiri.orgมีเวบ(เก่าแล้วล่ะ)ที่เสนอประวัติท่านอาจารย์ปสันโน ไว้ คือhttp://www.phrathai.net/article/detail.php?catid=19&id=98 หนังสือเรื่อง เดอะลาสบลีท นี้ แปลและพิมพ์เป็นไทย ชื่อหนังสือ ว่า " นักโทษประหาร " มีไว้แจกฟรี ขอซี้อไม่ขายจ๊ะ..... |
|
|
|
|
 |
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
05 มิ.ย.2005, 6:45 pm |
  |
ผู้คุมเรื่องนี้ ในหนังสือ ไม่ได้บอกว่า หมายถึง ใครนะครับ ซึ่งเราก็สามารถคิดไปได้หลากหลาย แต่สำหรับแนวคิดผม ผมหมายถึง บุญและบาปที่เราเคยทำผ่านมาครับ ที่จะมาคอยให้ผลเตือนเราครับ
บุญ ที่จะมาเตือนเราได้ คือ
1. บุญ อธิษฐานบารมี ที่เราเคยอธิษฐานไว้ในอดีต เช่น อธิษฐาน ขอให้บรรลุนิพพาน ในอนาคต บุญจะคอยมาเตือนเรา เมื่อได้จังหวะเวลา และโอกาสที่เหมาะสมครับ
2. บุญ ปัญญาบารมี ที่เราเคยทำไว้ดีแล้วในอดีต จะทำให้เรามีแนวคิด ไม่ประมาทในชีวิตได้ง่าย เมื่อมีเรื่องราวมาสะดุดใจ
ส่วนบาป ที่จะมาเตือนเรา คือ บาปกรรมทุกชนิดเลยครับ ที่ตามให้ผล ทำให้เราต้องลำบาก มีอุปสรรค ซึ่ง ก็อาจจะมองได้ว่า ให้เห็นเตือนเลย มีแต่มาทำให้เราลำบาก แต่สำหรับผม มองว่า เวลาที่บาปตามมาให้ผล นั่นแหละครับ เป็นเครื่องเตือนว่า กำลังบุญเริ่มไม่พอแล้ว ต้องเร่งสั่งสมบุญ เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายสูงสุดในอนาคต นั่นแหละครับ
2. ส่วนการเล่นเน็ต ถือ เป็น Channel หนึ่งในการชวนคน นอกจาก การโทรศัพท์ การไปชวนแบบตัวต่อตัว เพื่อให้เขามีมุมมองใหม่เกี่ยวกับโลก และนิพพาน ครับ ถ้าสามารถทำได้จริง คือ ทุกคน เห็นภัยในสังสารวัฏ (การเวียนว่ายตายเกิด) ได้หมด และพากันมุ่งปฏิบัติตัวไปนิพพาน หรือ พากันมุ่งหาทางออกจากเรือนจำ ภารกิจทั้งหมดในเรือนจำ ก็จะไม่จำเป็นอีกต่อไปครับ |
|
|
|
|
 |
นายประแจ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
05 มิ.ย.2005, 9:56 pm |
  |
ผมรู้สึกว่า พุทธศาสนา ของคุณเกียรติ ยากและสลับซับซ้อนมาก ผมทึ่งคุณเกียรติมากที่จดจำ ข้อธรรมะต่าง ๆ ได้มากมายขนาดนี้
ในความคิดของผมแล้ว พุทธศาสนาที่ผมยึดถือมีแค่นิดเดียว คือ พยายามทำในสิ่งที่ก่อให้เกิดความสบายใจ พยายามละในสิ่งที่ทำให้ไม่สบายใจ กังวลใจ แต่ถ้าเลี่ยงในสิ่งที่ไม่สบายใจไม่ได้ ก็พยายามทำใจ |
|
|
|
|
 |
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
06 มิ.ย.2005, 11:38 am |
  |
เรื่องการอุปมา นักโทษประหารในเรือนจำ มีข้ออุปมา ที่มากมาย เกินไปจริงๆ แหละครับ นี่ยังไม่รวมว่า หอคอย อุปมา เหมือนอะไรด้วยนะครับ
เอาเป็นว่า จุดประสงค์ที่ผม Post เรื่องนี้ขึ้นมา เพียงเพื่อจะตอบคำถามว่า ถ้าคนไทยไปนิพพานหมด จะเป็นอย่างไร และทำไมคนที่รู้เรื่องนิพพานแล้ว ถึงอยากไปนิพพาน ทั้งที่ๆ จะทำให้ความเจริญทางวัตถุ คือ อินเตอร์เน็ต และคอมพิวเตอร์ หรือ อื่นๆ หายไปก็ตาม
ทั้งนี้เพราะเขาคิดว่า โลกภายนอก(นิพพาน) เรือนจำ ย่อมดีกว่าในเรือนจำ(ที่รอวันถูกประหาร) นะครับ |
|
|
|
|
 |
|