Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ::.ทำไมอิสลามถึงให้ผู้หญิงคลุมฮิญาบ. อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
เอเมน
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 02 มิ.ย.2005, 11:26 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

โดย Dr Zakir Naik



ครูกัมปง แปลและเรียบเรียง



ถาม : ทำไมอิสลามจึงลดฐานะผู้หญิงลงด้วยการเก็บพวกเธอไว้เบื้องหลังผ้าคลุมหน้า ?







ตอบ: ฐานะของผู้หญิงในอิสลามมักจะตกเป็นเป้าโจมตีโดยสื่อสารมวลชนในแนวเซ็คคิวลาร์(แนวคิดแยกศาสนาออกจากการเมือง)อยู่เสมอ “ฮิญาบ” หรือเครื่องแต่งกายตามแบบอิสลามได้ถูกกล่าวถึงว่าคือตัวอย่างหนึ่งที่เป็น “การปราบ” ผู้หญิงให้สยบอยู่เยี่ยงทาสภายใต้กฎหมายอิสลาม ก่อนที่เราจะใช้วิจารณญาณวิเคราะห์คำสั่งทางศาสนาที่ว่าด้วยเรื่องฮิญาบ ขอให้เราได้ศึกษาฐานะของผู้หญิงในสังคมยุคก่อนการเกิดขึ้นของอิสลามเสียก่อน



1. ในอดีตผู้หญิงถูกลดฐานะให้ด้อยค่าน่าอับอายและถูกใช้เยี่ยงวัตถุแห่งเมถุนกามตัณหา



ตัวอย่างจากประวัติศาสตร์ต่อไปนี้ แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งถึงความจริงว่าฐานะของผู้หญิงในยุคอารยธรรมยุคต้น ๆ นั้นตกต่ำถึงขนาดที่ว่าพวกเธอได้รับการปฏิเสธศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคนโดยสิ้นเชิง



1. อารยธรรมบาบิโลเนียน



ผู้หญิงถูกทำให้ต่ำต้อยและถูกปฏิเสธสิทธิทั้งปวงภายใต้กฎหมายบาบิโลเนียน ถ้าผู้ชายฆ่าผู้หญิง แทนที่เขาจะถูกลงโทษภรรยาของเขากลับต้องได้รับโทษให้ตายแทน



2. อารยธรรรมกรีก



อารยธรรมกรีกได้รับการยอมรับว่าเป็นอารยธรรมเก่าแก่ที่มีเกียรติคุณเป็นที่น่ายกย่องเลื่องลือ ภายใต้ระบอบ “สง่าน่านับถือ” อย่างใหญ่หลวงนี้ ผู้หญิงกลับถูกกำจัดสิทธิเสียสิ้นและถูกดูถูกเหยียดหยาม ในเทพนิยายของกรีก “ผู้หญิงในจินตนาการ” นางหนึ่งที่เรียกกันว่า “Pandora” เป็นปฐมเหตุแห่งความโชคร้ายในความเป็นคน กรีกถือว่าผู้หญิงเป็นคนชั้นต่ำและต่ำต้อยกว่าผู้ชาย แม้พรหมจรรย์เป็นสิ่งล้ำค่าและผู้หญิงเป็นเพศที่น่ายกย่องอย่างสูง แต่แล้วในที่สุดชาวกรีกก็ตกอยู่ภายใต้อัตตัณหาและความวิปริตทางกามราคะ การค้าประเวณีได้กลายเป็นสิ่งปกติในชนชั้นทั้งหลายของสังคมกรีก



3. อารยธรรมโรมัน



เมื่ออารยธรรมโรมันอยู่ในยุครุ่งเรืองที่สุด ผู้ชายมีสิทธิ์แม้แต่จะกระทำใดๆ ก็ได้ กับชีวิตภรรยาของเขา การผิดประเวณีและการเปลือยกายเป็นสามัญวิสัยของชาวโรมัน



4. อารยธรรมอียิปต์



อียิปต์ถือว่าผู้หญิงเป็นสิ่งชั่วร้ายและเป็นเครื่องหมายแห่งปีศาจ



5. อาหรับยุคก่อนอิสลาม



ก่อนที่อิสลามจะแผ่ขยายในอาหรับ ชาวอาหรับดูถูกเหยียดหยามผู้หญิง บ่อยครั้ง ที่ทารกหญิงแรกเกิดจะถูกฝังทั้งเป็น



2. อิสลามยกย่องเชิดชูผู้หญิง หยิบยื่นความเสมอภาคให้และหวังว่าพวกเธอจะรักษาฐานะของพวกเธอให้คงอยู่ตลอดไป



อิสลามได้ยกฐานะผู้หญิงและให้สิทธิต่างๆ แก่พวกเธอมานานกว่า 1,400 ปีแล้ว อิสลามมุ่งหวังให้ผู้หญิงยึดมั่นในฐานะของพวกเธอและดำรงมันไว้สืบไป



ฮิญาบสำหรับผู้ชาย



คนทั่วไปมักกล่าวถึงความสำคัญของฮิญาบเฉพาะแต่ในบริบทของผู้หญิงเท่านั้น อันที่จริงในมหาคัมภีร์อัลกุรอาน อัลลอฮฺ (ซบ.) ได้ทรงกล่าวถึงฮิญาบสำหรับผู้ชายก่อนฮิญาบสำหรับผู้หญิงด้วยซ้ำ กุรอานกล่าวไว้ในซูเราะฮฺ อันนูร ความว่า “จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แก่บรรดามุอฺมินให้พวกเขาลดสายตาของพวกเขาลงต่ำ และให้พวกเขารักษาทวารของพวกเขา นั่นเป็นการบริสุทธิ์ยิ่งแก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮฺทรงรอบรู้สิ่งที่พวกเขากระทำ” (อัลกุรอาน 24:30)



ขณะที่ผู้ชายมองผู้หญิงหากความไม่มียางอายหรือความคิดที่ไม่กระดากใจผ่านเข้ามาในจิตใจของเขาเขาควรลดสายตาของเขาลงต่ำ



ฮิญาบสำหรับผู้หญิง



อายะฮฺ ถัดไปในซูเราะฮฺอันนูร กล่าวว่า “และจงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แก่บรรดามุอฺมินะฮฺให้พวกเธอลดสายตาของพวกเธอลงต่ำ และให้พวกเธอรักษาทวารของพวกเธออย่าเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอเว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้และให้เธอปิดด้วยผ้าคลุมศีรษะของเธอลงมาถึงหน้าอกของเธอและอย่าให้เธอเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอเว้นแต่แก่สามีของพวกเธอหรือบิดาของพวกเธอหรือบิดาของสามีของพวกเธอหรือลูกชายของพวกเธอ...” (อัลกุรอาน 24 : 31)







3. มาตรฐาน 6 ประการสำหรับฮิญาบ



ตามกุรอานและซุนนะฮฺ มีเกณฑ์มาตรฐานเบื้องต้น 6 ประการสำหรับการปฏิบัติตามเงื่อนไขของฮิญาบ



1. เอาเราะฮฺ หรือขอบเขตของร่างกายที่ต้องปกปิด



เกณฑ์แรกคือขอบเขตของร่างกายที่ต้องปกปิด (เอาเราะฮฺ) ซึ่งต่างกันระหว่างชายกับ หญิง เอาเราะฮฺของผู้ชายอย่างน้อยต้องอยู่ระหว่างสะดือกับเข่า สำหรับผู้หญิงเอาเราะฮฺคือทุกส่วนของร่างกายยกเว้นใบหน้าและฝ่ามือ หรือหากเป็นความประสงค์ของพวกเธอก็สามารถปกปิดส่วนของร่างกายส่วนนี้ (ใบหน้าและมือ) ด้วยก็ได้ นักวิชาการอิสลามบางท่านยืนยันหนักแน่นว่าใบหน้าและมือก็เป็นส่วนของร่างกายที่ต้องปกปิดด้วยเช่นกั



อีก 5 เกณฑ์ที่เหลือนั้นเหมือนกันทั้งสำหรับผู้ชายและผู้หญิง



2. ชุดที่สวมใส่ต้องหลวมและต้องไม่เปิดเผยให้เห็นรูปร่าง



3. ชุดที่สวมใส่ต้องไม่บางจนมองทะลุผ่านได้



4. ชุดที่สวมใส่ต้องไม่งามหรือมีเสน่ห์จนเป็นที่ดึงดูดใจของเพศตรงข้าม



5. ชุดที่สวมใส่ต้องไม่คล้ายคลึงกับของเพศตรงข้าม



6. ชุดที่สวมใส่ต้องไม่คล้ายคลึงกับของบรรดาผู้ปฏิเสธ พวกเขาจะต้องไม่สวมใส่ชุดที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะหรือสัญลักษณ์ในศาสนาของบรรดาผู้ปฏิเสธ



4. ฮิญาบรวมถึงความประพฤติและพฤติกรรมอื่นๆ ด้วย



ฮิญาบที่สมบูรณ์นั้นนอกเหนือจากการแต่งกายตามเกณฑ์ทั้ง 6 ประการแล้วยังครอบคลุมถึงความประพฤติที่มีศีลธรรม พฤติกรรม ทัศนคติ และความตั้งใจของแต่ละบุคคลด้วย ผู้ที่เพียงแต่ปฏิบัติตามเฉพาะกฎเกณฑ์ของฮิญาบในส่วนที่เกี่ยวกับเสื้อผ้าก็จะเป็นการเชื่อฟังปฏิบัติตามเป้าหมายของ “ฮิญาบ” ในมุมมองที่แคบๆ เท่านั้น ฮิญาบเสื้อผ้าย่อมไปด้วยกันกับฮิญาบแห่งดวงตา ฮิญาบแห่งหัวใจ ฮิญาบแห่งความคิด และฮิญาบแห่งเจตนารมณ์ (นิยะฮฺ) มันยังรวมถึงวิถีที่มนุษย์เดินเหิน วิถีที่มนุษย์พูดจาพาทีและวิถีที่เขากระทำด้วย เป็นต้น



5. ฮิญาบป้องกันการข่มเหง



เหตุผลว่าทำไมฮิญาบถูกกำหนดแกผู้หญิง มีบัญญัติในซูเราะฮฺอัลอะหฺซาบ อายะฮฺต่อไปนี้ “โอ้ นบีเอ๋ย !จงกล่าวแก่บรรดาภริยาของเจ้า และบุตรสาวของเจ้าและบรรดาหญิงของบรรดาผู้ศรัทธาให้พวกเขาดึงเสื้อคลุมของพวกนางลงมาปิดตัวของพวกนาง นั่นเป็นการเหมาะสมกว่าที่นางจะเป็นที่รู้จัก และอัลลอฮฺทรงเป็นผู้อภัยผู้ทรงเมตตาเสมอ” (อัลกุรอาน 33 : 59)



กุรอานกล่าวว่า ได้ถูกกำหนดสำหรับผู้หญิงเพื่อว่าพวกเธอจะได้รับการยอมรับในฐานะหญิงผู้สงบเสงี่ยมและจะช่วยปกป้องพวกเธอจากการถูกข่มเหงรังแก



6. ตัวอย่างจากพี่น้องฝาแฝดคู่หนึ่ง



สมมุติหญิงสองคนเป็นฝาแฝดกันและทั้งคู่สวยพอกัน เดินไปด้วยกันบนถนน คนหนึ่งแต่งกายด้วยฮิญาบทุกส่วนของร่ายกายถูกปกปิดยกเว้นใบหน้าและมือ อีกคนหนึ่งแต่งกายด้วยเสื้อผ้าตามแบบตะวันตก กระโปรงสั้นหรือกางเกงขาสั้น แล้วมีอันธพาลคอยจ้องจะจับ ล้อเล่น ยั่วเย้าผู้หญิง ใครเล่าจะเป็นผู้ถูกลวนลาม ? ผู้หญิงที่แต่งชุดฮิญาบหรือผู้หญิงที่แต่งชุดกระโปรงสั้น ? โดยธรรมชาติแล้วเขาย่อมลวนลามผู้หญิงที่นุ่งกระโปรงสั้น ดังนั้นการแต่งกายจึงเป็นการเชื้อเชิญทางอ้อมให้เพศตรงข้ามลวนลามข่มเหง กุรอานจึงกล่าวไว้เป็นถูกต้องแล้วที่ว่า ฮิญาบปกป้องผู้หญิงจากการถูกข่มเหงลวนลาม



7. การลงโทษที่รุนแรงสำหรับพวกข่มขืนทั้งหลาย



ภายใต้บทบัญญัติของอิสลาม ผู้ชายที่ทำข่มขืนผู้หญิงจะต้องได้รับการลงโทษที่รุนแรง คำกล่าวอันเฉียบขาดนี้ทำให้หลายคนพิศวง บางคนพูดว่าอิสลามโหดร้ายเป็นศาสนาที่ป่าเถื่อน ผมเคยตั้งคำถามง่ายๆ กับคนที่ไม่ใช่มุสลิมนับร้อยคนว่า สมมุติ , ทั้งที่พระเจ้าทรงห้าม , แต่ใครบางคนกลับข่มขืนภรรยาของท่าน แม่ของท่านหรือพี่สาว น้องสาวของท่าน ท่านได้รับรู้การพิพากษาในความผิดนั้นแล้วและผู้กระทำอนาจารคนนั้นได้ถูกพาตัวมาอยู่ต่อหน้าท่าน โทษสถานใดที่ท่านจะลงทัณฑ์แก่เขา ? ทุกคนตอบว่าพวกเขาจะฆ่าให้ตาย บางคนขยายความว่าเขาจะทรมานจนตาย



ผมถามพวกเขาต่อไปว่า คนที่ข่มขืนภรรยาหรือแม่ของท่าน ท่านจะหยิบยื่นความตายให้แก่เขา แต่พอการกระทำความผิดลักษณะเดียวกันถูกกระทำกับภรรยาหรือลูกสาวของคนอื่น ท่านพูดว่าการลงโทษที่รุนแรงนั้นป่าเถื่อน ทำไมถึงได้เกิดสองมาตรฐานเช่นนี้ได้(double standards)?



8. สังคมตะวันตกเรียกร้องสิทธิในการยกฐานะผู้หญิงแบบจอมปลอม



การพูดถึงเสรีภาพของผู้หญิงของโลกตะวันตกนั้นไม่ได้มีสิ่งใดนอกจากรูปแบบที่แอบแฝงสำหรับการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวจากเรือนร่างของเธอ การลดฐานะแห่งจิตวิญญาณของเธอและทำลายเกียรติยศชื่อเสียงของเธอให้หมดไป สังคมตะวันตกเรียกร้องสิทธิในการยกฐานะผู้หญิง ตรงกันข้ามมันเป็นการทำให้พวกเธอมีฐานะเช่นนางบำเรอ หญิงผู้มากชายหลายชู้และเป็นเช่นผีเสื้อสังคมที่ไม่มีอะไรมากไปกว่าตกเป็นเครื่องเล่นของผู้แสวงหาความสำราญ และการค้าประเวณีที่ซ่อนเร้นอยู่หลังฉากหลากสีแห่งศิลปะและวัฒนธรรม



9. อเมริกาเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการข่มขืนสูงที่สุด



เป็นที่ยอมรับกันว่าสหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในประเทศที่เจริญที่สุดในโลก ขณะเดียวกันก็เป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการข่มขืนสูงที่สุดในโลกด้วย ตามรายงานของเอฟบีไอ (FBI) ในปี 1990 การข่มขืนในสหรัฐอเมริกาเพียงประเทศเดียวมีเฉลี่ยวันละ 1,756 ราย รายงานอื่นๆ ต่อมามีรายงานอื่นระบุว่า การข่มขื่นในอเมริกาเฉลี่ยวันละ 1,900 ราย แต่ไม่ระบุว่าเป็นปีใด อาจเป็นปี 1992 หรือ 1993 อาจเป็นเพราะคนอเมริกัน “หนักข้อขึ้น ” ในปีต่อๆมา



ขอให้ลองพิจารณาถึงภาพที่ได้รับ หากฮิญาบของอิสลามถูกนำมาใช้ในอเมริกา นั่นคือเมื่อใดก็ตามที่ผู้ชายมองผู้หญิงแล้วเกิดความคิดที่ไร้ยางอางหรือไม่กระดากอายขึ้น เขาก็ลดสายตาลงต่ำ จากนั้นผู้หญิงทุกคนสวมฮิญาบตามแบบอิสลามคือทุกส่วนของร่างกายถูกปกปิดยกเว้นใบหน้าและฝ่ามือ นอกจากนี้หากว่าใครข่มขืนแล้วได้รับโทษที่รุนแรง ผมขอถามท่านว่า จากภาพที่ได้พรรณนามานี้อัตราการข่มขืนในอเมริกาจะเพิ่มขึ้น คงเดิม หรือจะลดลง?



10. การยอมรับบทบัญญัติของอิสลามจะช่วยลดอัตราการข่มขืน



โดยหลักธรรมชาติ ทันทีที่บทบัญญัติของอิสลามถูกนำมาปฏิบัติผลลัพธ์ในทางที่ดีย่อมบังเกิดอย่างแน่นอน หากบทบัญญัติของอิสลามได้รับการยอมรับและนำไปปฏิบัติในทุกส่วนของโลกไม่ว่าในอเมริกาหรือยุโรป สังคมก็จะหายใจอย่างโล่งอก ฮิญาบไม่ได้ลดฐานะของผู้หญิงหรือทำให้ผู้หญิงอยู่ในสภาพที่น่าอับอายแต่ฮิญาบช่วยเชิดชูผู้หญิงช่วยปกป้องความสงบเสงี่ยมสง่างามและพรหมจรรย์ของเธอ







ข้อมูลจาก


http://www.muslimthai.com/network.php?url=http://www.fityah.com

 
เอเมน
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 02 มิ.ย.2005, 11:27 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

http://www.muslimthai.com/contentFront.php?option=content&category=27&id=541
 
ผู้แสวงหาความจริง
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 03 มิ.ย.2005, 10:41 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

แนวคิดศาสนาอิสลาม ผมคิดว่าน่าสนใจดีครับ ขอขอบพระคุณที่นำมาเผยแผ่ให้ได้เห็นแนวคิดของทางศาสนาเพราะไม่เคยเห็นการเปิดเผยคำสอนกันอย่างเป็นทางการให้ผู้ที่ยังไม่ได้นับถือมาก่อนเลยจนกระทั่งครั้งนี้ ผมคิดว่าหากจะเอาความดีพร้อมเรื่องการวางแนวปฏิบัติเพื่อรักษาให้ศาสนิกชนอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างเป็นสุข พร้อมกันกับการสร้างระเบียบบังคับให้ทุกคนร่วมทำตามอย่างพร้อมเพรียงกันอันทำให้สถาบันศาสนามีความแข็งแรงมั่นคงบางครั้งยิ่งกว่าสถาบันชาติเสียอีกหลักปฏิบัติที่กล่าวน่าจะเหมาะสมที่สุดเลยครับ

ส่วนตัวผมแล้วผมเปิดใจให้กับคำสอนทุกศาสนาเลยครับ ผมอาจเป็นคนไม่ดีสำหรับบางศาสนาที่ไม่มีความซื่อสัตย์มั่นคงต่อศาสนาใดศาสนาหนึ่งอย่างเด่นชัด เนื่องจากผมกำลังเสาะแสวงหาความจริงเพื่อให้รู้เป้าหมายอันแท้จริงในการเกิดขึ้นมาของชีวิตและสามารถปฏิบัติให้เข้าถึงความสำเร็จได้โดยไม่ต้องรอสิ่งอื่นใด ผมศึกษาแบบเรียนรู้และปฏิบัติเองเสียส่วนใหญ่ ที่ผ่านมาผมได้แต่คำสอนที่น่าสนใจของทางพุทธและแอบปฏิบัติทดลองตาม สาเหตคงเพราะมีการเปิดเผยกันง่ายโดยไม่สนใจว่าใครจะนับถืออะไรอยู่ก็สามารถนำไปปฏิบัติได้ ในขณะที่ศาสนาอื่นดูเหมือนไม่เปิดหลักคำสอนโดยเฉพาะที่เป็นหัวใจสำคัญอันนำไปสู่เป้าหมายสูงสุดของศาสนานั้นให้ผู้สนใจเท่าไรนัก ผมจึงอยากถือโอกาสนี้ให้คุณเอเมนได้กรุณาเผยหลักคำสอนอันเป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับมนุษย์เพื่อยกระดับจิตใจของผู้ที่สนใจให้สูงขึ้นด้วยครับและถือโอกาสแลกเปลี่ยนแนวความคิดด้วยการแสดงเหตผลแก่กันและกัน ผมคิดว่าจะเป็นประโยชน์มากกว่าการชักชวนให้คนหันมาเปลี่ยนศาสนาเท่านั้น คือขอให้คนผู้นั้นถูกมองว่ามีคุณค่าจากการที่เขาปฏิบัติตามหลักคำสอนใดศาสนาใดก็ตามมากกว่าถูกมองว่าเขามีคุณค่าเพราะได้มีชื่อว่านับถือศาสนานั้นซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นเหตผลดี

สำหรับคำสอนของพุทธศาสนาเท่าที่ผมจับได้มีหลักสำคัญสองประการคือ การเสื่อมของทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ และ กฏแห่งกรรม คือ ไม่มีอะไรที่อยู่คงทนตลอดไปครับแม้กระทั่งพุทธศาสนาเองก็ยังมีในคัมภีร์ว่าจะเสื่อมสลายในที่สุด ไม่ต้องมองอะไรไกลก็ได้ครับ มองรอบรอบตัวเราที่มันผุพังแล้วก็ชีวิตที่แก่ลงทุกวันซึ่งเราคงชินชากับมันแต่ที่จริงเป็นสิ่งพิสูจน์ความจริงของคำสอนแบบไม่ต้องอ่านตำราก็เข้าใจได้เลยแล้วก็ใช้ได้กับทุกสิ่งแม้แต่รูปกายของพระพุทธเจ้า รวมถึงเทพหรือพรหมที่ถูกอธิบายได้คล้ายกับผู้มีอำนาจสูงส่งดั่งพระเจ้าในศาสนาต่างต่างก็ยังถูกรวมว่าตกอยู่ในกฏดังกล่าวทั้งสิ้น ไม่มีอะไรที่อยู่นอกกฏธรรมชาตินี้ได้นอกจากผู้นั้นไม่มีโอกาสสังเกตหรือมีชีวิตไม่ยาวพอจะได้เห็นการเสื่อมของมันเท่านั้น

สำหรับกฏแห่งกรรมเป็นอีกกฏธรรมชาติอีกอย่างหนึ่งที่อธิบายการเป็นไปของทุกชีวิตสัตว์ มนุษย์รวมแม้กระทั่งพระพุทธเจ้าหรืออรหันต์ขณะที่มีชีวิตรวมไปถึงเทพพรหม ที่ต่างก็ต้องดำรงไปด้วยกรรมเก่าที่ทำมาก่อนซึ่งแน่นอนมีทั้งดี ชั่วและไม่ดีไม่ชั่วแตกต่างกันไปในแต่ละชีวิตจึงส่งผลให้แต่ละคนต้องมีชีวิตเป็นไปอย่างที่เป็นอยู่ทุกวัน ซึ่งอธิบายเหตผลได้ครอบคลุมการมีชีวิตที่แตกต่างของผู้คนไม่ว่าในศาสนาใดก็ตาม เพราะการกระทำใดที่ดีเช่นการถือศีลปฏิบัติตามกฏของแต่ละศาสนาก็ย่อมได้ชีวิตที่ดีตอบแทนเป็นไปตามกฏธรรมชาติดังกล่าวทุกประการ

หากคุณอาเมนจะทำให้ผู้ที่ปฏิบัติหลักคำสอนในพุทธศาสนาอย่างจริงจังเกิดความศรัทธาในคำสอนได้ คงต้องนำหลักคำสอนที่มีเหตผลชัดเจนอธิบายได้ครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่างแบบไม่มีข้อยกเว้นเช่นกฏธรรมชาติทั้งสองนั้นอย่างเป็นเหตผลและพิสูจน์ได้ครับ เพราะหลายคนในที่นี้เขาคิดว่าตนเองเข้าใจหลายสิ่งหลายอย่างได้ครอบคลุมกว่าย่อมมองข้อปลีกย่อยในทางปฏิบัติว่าเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นซึ่งไม่ได้มีความแปลกใหม่อะไรแต่ ประเด็นสำคัญคือปฏิบัติแล้วให้ผลการปฏิบัติได้สูงเท่าที่ผู้แสวงหาต้องการหรือไม่เท่านั้นเอง และในคำสอนของศาสนาพุทธก็มีวิธีปฏิบัติปลีกย่อยให้เลือกตั้งแต่ง่ายง่ายเพียงเพื่อให้มีชีวิตที่มีความสุขเช่นศาสนาทั่วไป จนถึงระดับยากที่สุดเพื่อไปสู่เป้าหมายสูงสุดคือหลุดพ้นจากกฏทั้งสองข้อนั้นครับ อย่างข้อปฏิบัติที่คุณเอเมนกล่าวคงเทียบได้กับศีลสิบในทางพุทธก็ถือว่าให้ความสุขได้แต่หากหวังสูงกว่านั้นต้องมีการสร้างปัญญาด้วยการฝึกวิปัสสนาแน่นอนว่าเป็นสิ่งยากขึ้นมาอีกและศาสนาอื่นคงจะไม่มีแต่ก็ให้ผลลัพธ์จากความสำเร็จจะส่งให้จิตของผู้ปฏิบัติสูงพบความสุขยิ่งกว่าศีลใดใดแม้แต่ศีลของพระ227ข้ออีกครับ

คงไม่จำเป็นต้องใช้หลักคำสอนที่เป็นเหตผลลึกซึ้งมากมากสำหรับผู้นับถือพุทธแต่เพียงทางการแล้วไม่ได้ศึกษาค้นคว้าแก่นแท้ในคำสอนหรอกครับ เพราะเขาก็ไม่ต่างจากผู้ไม่ได้นับถือ ผมเองคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับเขาไม่น้อยเช่นกันหากเขาได้นับถือศาสนาที่ทำให้เขาเคร่งครัดปฏิบัติตามจนเกิดความสุขในสังคมได้ ดีกว่าให้เขานับถือบางสิ่งแต่โดยไม่สนใจในคำสอนแล้วปฏิบัติตามเลย อย่างเช่นในข่าวหรือคำเล่าลือเกี่ยวกับพระทำไม่ดี หรือคนทำชั่วที่คุณเอเมนคงเห็นบ่อยบ่อย แต่อย่าเข้าใจว่าคนเหล่านั้นได้เข้าใจคำสอนในศาสนาพุทธนะครับคงแยกออกนะครับ เพราะคนที่นับถือจริงเขามีความรู้สึกต่อคนเหล่านั้นไม่แพ้คุณเอเมนหรอกครับ

ขอบคุณสำหรับเวปไซต์ที่แนบมาด้วยครับผมเข้าไปเยี่ยมแล้วแต่โชคไม่ดีที่เวปไม่เปิดโอกาสให้คนทั่วไปตั้งคำถามในเวปบอร์ด ผมไม่อยากเป็นสมาชิกเนื่องจากที่เรียนว่าผมไม่ยึดติดกับศาสนาเกรงว่าจะเป็นการไม่ให้เกียรติและอีกส่วนหนึ่งกลัวจะเป็นผลร้ายกับตนเองภายหลังเมื่อให้ข้อมูลส่วนตัวไป อยากให้เวปไซต์นั้นเปิดรับความคิดอย่างเต็มที่เหมือนเวปนี้ครับเพราะการยอมรับข้อสงสัยทุกข้อโดยให้มีการแสดงเหตผลแก่กันย่อมสร้างความเข้าใจและเพิ่มความศรัทธาให้กับสมาชิกและคนทั่วไปเพิ่มขึ้นได้อีกครับ

สุดท้ายหวังว่าคงได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนหลักคำสอนที่มีประโยชน์กับคุณเอเมนอีกนะครับ อยากให้เปิดใจ โดยนำคำสอนทีละหัวข้อสั้นสั้นมาตั้งกระทู้ถามความคิดเห็นใหม่ จริงแล้วเวปนี้มีผู้ศึกษาธรรมมะแบบลีกซึ้งอยู่หลายท่าน ผสมกับผู้รู้น้อยจนไปถึงไม่รู้เลยร่วมกันอยู่ ผมเชื่อว่าผู้รู้หลายท่านอยากจะแสดงแนวคิดที่ท่านสั่งสมมาให้ผู้อื่นเข้าใจเช่นกัน แต่เนื่องจากกระทู้ยาวมากจนจับประเด็นไม่ได้ ว่าต้องการความเห็นจากท่านเหล่านั้นหรือไม่อย่างไร จนไม่มีการแสดงธรรมมะหรือความเห็นจากท่านเหล่านั้นออกมา และอยากแสดงความคิดเห็นในการรับฟังคำสอนเกี่ยวกับพุทธศาสนารวมไปถึงสิ่งที่ผมได้กล่าวไปแล้วด้วยครับว่าอยากให้ลองไตร่ตรองการเชื่อด้วยด้วยเหตสิบอย่างของพุทธดูเพราะการเชื่อแบบไม่มีหลักดังกล่าวสามารถเป็นเหตให้เกิดความเข้าใจสิ่งที่ไม่จริงว่าเป็นจริงได้ เช่น อย่าเชื่อเพราะเห็นมากับตา อย่าเชื่อเพราะได้ยินมากับหู อย่าเชื่อเพราะเป็นครูอาจารย์ ผมจำไม่ได้ทั้งหมดครับมีอะไรบ้าง แต่สุดท้ายคือพยายามเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างด้วยปัญญาจึงจะไม่มีโอกาสผิดครับ



ผมอยากให้คนทุกศาสนาได้เปิดใจนำคำสอนที่มีคุณค่ามาเปิดเผยกันมากมากโดยอธิบายให้เหตผลและรับฟังคำถามถกกันโดยใช้เหตผลให้ข้อคิดเห็นแก่กันและกันคิดว่าจะเป็นผลดีกับคนทุกศาสนาและสามารถนำไปใช้ปฏิบัติได้ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งสร้างสรรค์เพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้มากเลยครับ



หากผมเสียมารยาทในการแสดงความเห็นขอกราบอภัยในที่นี้ด้วยครับ
 
เงาดอกหญ้า
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 03 มิ.ย.2005, 12:32 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ทุกพระศาสนาล้วนรวมไปสู่หมายเดียว คือ "ความสงบสุข"





เงาดอกหญ้า
 
สงบ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 03 มิ.ย.2005, 6:13 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ต่อไปนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวผิดพลาดประการใดขออภัยไว้ก่อน

ศุาสนาทุกศาสนามีต้นกำเนิดจากสิ่งเดียวกันที่ว่าจะแสวงหาความสุขที่แท้จริงได้อย่างไร และความสุขที่แท้จริงนั้นคืออะไร นิพพาน พระเจ้า เป็นนามธรรมที่คนธรรมดายังเข้าไม่ถึงผมเคยเปรียบเทียบในเวปนี้ว่าเหมือนคนตาบอดแต่กำเนิดไม่อาจรู้จักสีแดงหรือเขียวหรือสีต่าง ๆ ถ้าทุกคนมัวแต่เถียงกันไม่ปฏิบัติตามหนทางที่ศาสดาแต่ละท่านบัญญัติไว้ ตาที่บอดย่อมไม่มีวันมองเห็นว่า นิพพาน หรือพระเจ้าคืออะไร โลกแห่งประวัติศาสตร์เคยเกิดสงครามศาสนาเพราะต่างคิดว่าตัวกูถูก คนอื่นผิด คนอื่นเป็นพวกนอกศาสนาของตน และเกิดการให้ร้าย ทำร้ายซึ่งกันและกัน

เหตุที่ศาสนาแต่ละศาสนามีจุดมุ่งหมายเดียวกัน แต่ทำไมเหมือนกับว่าสอนไม่เหมือนกันก็เป็นเพราะสภาพแวดล้อมทั้งภูมิศาสตร์และสภาพการปกครองชีวิตความเป็นอยู่ วัฒนธรรมประเพณีของแต่ละท้องถิ่นไม่เหมือนกัน ฉะนั้นกลวิธีในการทำให้คนเข้าถึงความจริงหรือจุดสูงสุดของแต่ละศาสนาจึงไม่เหมือนกัน

การที่เราจะตัดสินใจว่าสิ่งใดดีหรือไม่ดี ควรจะรู้หรือศึกษาให้แน่ชัดในสิ่งนั้น ถ้าไม่มีเวลาศึกษาด้วยตัวเอง ก็อาจศึกษาจากตำราที่มีผู้เปรียบเทียบไว้แล้ว โดยเฉพาะงานของท่านพุทธทาส ถ้าเข้าใจไม่ผิด ผมคิดว่าท่านศึกษามาแล้วหลายศาสนา หลายนิกายมาก

อย่างไรก็ดี ในศาสนาพุทธ คำสอนเน้นที่การปฏิบัติแก้ไขในตัวเอง ด้วยตัวเอง จะเกิดผลได้ด้วยตัวเอง ส่วนสังคมรอบข้างไม่ต้องไปบังคับคนอื่น ชักชวน แนะนำด้วยคำสอนและการปฏิบัติให้ดูเป็นตัวอย่าง ใครไม่เชื่อ ไม่ปฏิบัติตามก็ไม่ได้ถือว่าเป็นศัตรูที่จะต้องทำลายหรือทำร้ายบุคคลอื่น ส่วนถ้ามีบุคคลอื่นคิดจะทำร้ายเราก็ต่อสู้โดยแผ่เมตตาให้ อโหสิกรรมให้ ถ้าผมจำไม่ผิด ในพุทธประวัติ ไม่ว่าพระพุทธเจ้าหรือพระสงฆ์องค์ใด ก็ไม่เคยทำร้ายใคร พระโมคัลลา ยังถูกทำร้ายถึงแก่ชีวิตก็มิได้ติดใจโกรธเคืองผู้ที่มาทำร้ายตนแต่อย่างใด หรือจะตอบโต้ทั้งที่สามารถทำได้แต่ก็ไม่ทำ ทั้งนี้เพราะเข้าใจในหลักสิ่งใดมี สิ่งนี้จึงมี จงมองที่ตัวเราแก้ที่ตัวเรา ทำตัวเราให้ดี เริ่มที่ตัวเรา แล้วพระเจ้าจะอยู่กับเรา
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง