ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
นายประแจ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
26 พ.ค.2005, 11:59 pm |
  |
ผมนั่งนึกมาหลายวันแล้วก็นึกไม่ออก คนที่บรรลุนิพพานแล้ว เขาจะดำรงค์ชีวิตแบบใด ถ้าในระดับประเทศจะส่งผลกับประเทศอย่างไร ถึงตอนนั้น เราคงไม่มีประเทศ เพราะเราจะไม่ยึดมั่นถือมั่น เราจะว่างจากตัวตน ไม่มีตัวเราของเรา ไม่มีประเทศเราของเรา
.......
..................ฝากคิดกันเล่น ๆ ครับ |
|
|
|
|
 |
อุดตะมะ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
27 พ.ค.2005, 8:12 pm |
  |
ตอบประเทศก็จะเจริญขึ้นเพราะอำนาจบารมีของพระอรหังจะคอยปกป้อง
ประเทศให้อยู่เย็นเป็นสุข ประเทศของเราที่พ้นภัยมาก็เพราะอำนาจบารมี
ของพระผู้หลุดพ้นแล้ว
ส่วนการดำรงณ์ชีวิตของท่านก็ดำรงณ์ไปตามปรกติไม่มีการแสดงออกว่า
ท่านหลุดพ้นแล้ว ท่านจึงทำงานได้หยั่งไม่มีความเหนนเหนื่อน
คนที่ปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าแล้วก็จะมีแต่ความเจริญขอแสดง
ธรรมตัวอย่างให้ได้รู้พอสังเขบ
ถ้าเรามาฝึกเจริญสติ คือการพิจจะรณาเห็นจิตในจิตอยู่เสมอๆ เช่นให้ระวังอาการรับรู้อันเกิดจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ความรู้สึกแรกที่เกิดคือ
ความพอใจหรือไม่พอใจ ถ้าเราหลงทำอะไร ๆ ด้วยความรู้สึกพอใจไม่พอใจ
ก็จะเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เพราะว่าความสำเร็จก็เป็นทุกข์ ความไม่สำเร็จก็เป็น
ทุกข์ แต่เมื่อเรามาเจริญสติคือตามระลึกรู้ไม่ให้อารมณ์อยู่เหนือการทำงาน
ใด ๆ โดยเราเป็นผู้ควบคุมสิ่งที่จะทำจะพูด หรือจะคิด ไม่ให้อยู่ภายใต้อำนาจ
ความพอใจหรือไม่พอใจ ถ้าเป็นเช่นนี้เราก็ทำงานด้วยจิตที่ว่างคือว่างจากความ
ต้องการ ลาภ ยศ สรรเสิญ สุขเป็นสิ่งที่พอใจจึงทำ หรือไม่ได้ ลาภ ไม่ได้ยศ
ไม่ได้สรรเสิญ ไม่ได้สุข เป็นสิ่งทีไม่พอใจจึงไม่ทำ
ความพอใจ หรือไม่พอใจรวมเรียกว่าอกุศล ถ้าเราละได้จิตก็เป็นกุศล
การที่เราจะทำร้ายใคร หรือว่าร้ายใคร ล้วนมาจากความพอใจหรือไม่พอใจ
เป็นเหตุ เหตุก็มาจากความรู้ทาง ตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ เมื่อเราพิจจารณาอยู่เสมอ ๆ ว่าเราจะระวัง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เมื่อรับรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเราจะไม่ให้เกิดความพอใจไม่พอใจ เราจะละความพอใจหรือไม่พอใจออกไปเสีย ถ้าทำได้เช่นนี้จิตก็จะอยู่เหนืออารมณ์
การพิจจารณาอยู่เสมอ ๆ ก็จะเหตุให้เกิดสัมปชัญญะ เมื่อมีสัมปชัญญะ ตัวสติก็จะมาเร็ว
เมื่อเราเจริญสติอยู่เสมอ ๆ การจะว่าร้ายใครก็ไม่มี การจะทำร้ายใครก็ไม่เกิด
จึงเกิดเป็นศีลขึ้นมาโดยธรรมชาติ เป็นอธิศีล เป็นอธิจิต เป็นอธิปัญญา
กฎหมายบ้านเมืองก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีก็ได้ ถ้าเป็นเช่นนี้โลกจึงปกครองโดยธรรม เรียกว่าธรรมมาธิปไตยะ
การที่เราพิจจารณาอยู่เสมอ ๆ ภายในจิต เรียกว่าภาวณามะยะปัญญา
คุณคิดดูสิ่งที่พูดมานี้จะดีขนาดไหน |
|
|
|
|
 |
ลุงสุชาติ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
28 พ.ค.2005, 1:01 am |
  |
ไม่ต้องถึงขั้นนิพพานก็ได้ เพียงเจริญในทาน ศีล ภาวนา กันทุกคนนับตั้งแต่ผู้บริหารประเทศลงมา บ้านเมืองก็มีความร่มเย็นเป็นสุขเจริญก้าวหน้าแน่นอน |
|
|
|
|
 |
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
28 พ.ค.2005, 8:36 am |
  |
เห็นด้วยกับคุณอุตตมะ และโดยเฉพาะกับคุณลุงสุชาติครับ ว่ายังไม่ต้องถึงนิพพานหรอก แค่ทุกคนอยู่ในระดับกำลังปฏิบัติตัวเพื่อไปนิพพานก็เกิดสันติสุขแล้ว |
|
|
|
|
 |
นายประแจ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
28 พ.ค.2005, 10:42 pm |
  |
ขอบคุณทุกความคิดเห็นครับ
ก็พอจะนึกออกนะครับตอนไม่ถึงขั้นนิพพานน่ะครับ แต่พอสมมติไปถึงขั้นนิพพานแล้วมันนึกไม่ออก เอาง่าย ๆ คนจะมีครอบครัว จะมีลูกมีหลานกันไหม ไม่มีความอยากโดยสิ้นเชิงคนเราจะดำรงชีวิตอย่างไร จะมีผู้นำได้อย่างไรเมื่อไม่มีใครอยากมีอำนาจ |
|
|
|
|
 |
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
29 พ.ค.2005, 7:58 pm |
  |
ก็คงเป็นแค่ความคิดเห็นครับว่า
เมื่อไม่มีความอยากแล้ว ก็จะไม่มีครอบครัว แต่จะบวช หรือใช้ชีวิตแบบพระภิกษุผู้ประพฤติพรหมจรรย์กันทั้งหมด ทีนี้จะใช้ชีวิตอย่างไร ใครจะใส่บาตร ไม่อดตายกันหรือ ผมเชื่อว่า ภาวะเช่นนี้ เป็นภาวะอัศจรรย์ เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมเกิดสิ่งอัศจรรย์ขึ้นรองรับ คือ อาหารย่อมเกิดขึ้นเอง โดยไม่ต้องทำมาหากิน
แล้วใครจะเป็นผู้นำ ถ้าจินตการ จากช่วงที่ทุกคนกำลังฝึกตัวเพื่อจะไปนิพพาน ผมคิดว่า ทุกคนย่อมฝึกตัวได้ไม่พร้อมกัน จะต้องมีคนเก่ง เป็นอาจารย์คอยสอนคอยแนะนำ สภาวะจิตใจคนที่เริ่มต้น ดังนั้น คนผู้เป็นอาจารย์ที่คอยแนะนำนี่แหละที่จะกลายเป็นผู้นำครับ
|
|
|
|
|
 |
โอ่
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
30 พ.ค.2005, 9:59 pm |
  |
ถ้าทุกคนนิพพานหมด ก็พ้นทุกข์กันหมด แล้วจะห่วงอะไรกับประเทศไทย ถ้ายังห่วงประเทศไทยก็ไม่พ้นทุกข์จริงๆ เพราะยังห่วงโลกอยู่ ซึ่งไม่ต้องไปคิดอะไรออกหรือไม่ออก ถ้ามีเหตุจะต้องเป็นไปได้ก็ให้เป็นไป แต่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ก็ไม่ต้องไปคิด เพราะไม่มีประโยชน์อะไรที่จะคิด |
|
|
|
|
 |
นายประแจ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
30 พ.ค.2005, 10:24 pm |
  |
ความจริงไม่มีอะไรมาก แค่อยากรู้ความหมายของคำว่า นิพพาน ในความคิดของคนอื่นเท่านั้นเองครับ |
|
|
|
|
 |
มารศาสนา
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 18 พ.ค. 2005
ตอบ: 18
|
ตอบเมื่อ:
31 พ.ค.2005, 10:36 am |
  |
ขอพูดถึงเรื่อง กิเลส ความยาก
ถ้าโลกนี้ไม่มีกิเลส ความยาก คงแย่
ทุกสิ่งทุกอยางรอบตัวเราล้วนเกิดจากกิเลส ไฟฟ้า อินเตอร์เนต รถยนต์ เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจาก ความยาก ทั้งสิ้น ความยากที่จะอยู่เหนือสิ่งอื่นเช่น ธรรมชาติ เป็นต้น
กิเลส ความยากนี้ ฝังรากลึกอยู่ในไขสันหลังของทุกคน มานานแล้ว ยากที่จะถอนได้ ความเจริญทางด้านวัตถุ ต่างๆที่มี นั้นเกิดจากกิเลส
คงไม่มีคนที่นิพานแล้วจะมาทำอะไรเช่นนี้ เป็นแน่ การที่ไม่มีควาเจริญทางด้านวัตถุ ถือว่าเป็นความล้าหลังทางวัฒนธรรม ประเทศไทยคงน้อยหน้า ประเทศอื่นๆ แย่
กว่าจะถึงยุคที่มีอาหารเกิดขึ้นได้เอง (เกิดจากการใช้วิทยาการที่ทันสมัย) ก็ล้วนจะเป็นไปเพราะกิเลสที่อยากจะมีอาหารที่โดยที่ไม่ต้อง ทำมาหาเลี้ยงตัว
กิเลสเป็นตัวหน้ารังเกียด ที่ควรขจัดทิ้ง จริงหรือ
ถ้าผู้มีความรู้ไปสู่นิพาลกันหมดแล้วใครจะพัฒนาประเทศ
อย่าลืมไม่มีพระองค์ไหน ประดิษฐ์ไฟฟ้า อินเตอร์เนต เป็นต้น
สังเกตุอีกอย่างหนึ่ง การพัฒนาโลกส่วนใหญ่ จะเกิดจากทางฝั่งตะวันตก ซึ่งไม่กลัวกิเลส
แล้วคนไทย จะมาโวยวายไม่ได้ว่าเราล้าหลัง กว่าประเทศมหาอำนาจ เป็น 100 ปี ไม่ได้
และถูกมหาอำนาจ บังคับอยู่เรื่อยไป
กิเลส เป็นเหมือนดังน้ำมัน นิพาลเป็นเหมื่อนดังน้ำใสเย็น
น้ำมัน ใช้ทำให้เกิด ไฟ ใช้ใส่ในรถยนต์ ใช้ปั่นไฟ ใช้ในการพัฒนาทางโลก
แต่น้ำมันสามารถทำให้เกิดไฟมาเผาผลานตัวเราให้วอดวายได้เช่นกัน
น้ำ เป็นสิ่งที่ดับไฟนั้น เป้นสิ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิต ทำให้หายเหนื่อย หลุดพ้นจากความร้อนรน ใช้ชำระล้างสิ่งสกปรกต่างๆ
จากที่ว่ามาทั้งหมดจงใช้สติและจิตของแต่ละ หาคำตอบของคำถามกันเอาเองนะ
มารศาสนา |
|
|
|
   |
 |
มารศาสนา
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 18 พ.ค. 2005
ตอบ: 18
|
ตอบเมื่อ:
31 พ.ค.2005, 10:41 am |
  |
เรื่องความยากที่จะอยู่เหนือสิ่งอื่น นั้น นิพาลถือว่าเป็นสูงสุดของพุทธศาสนา หลายต่อหลายคน พยายาม อย่างยิ้งที่จะไปให้ถึง จุดสูงที่สุดนั้น
มารศาสนา  |
|
|
|
   |
 |
มารศาสนา
บัวใต้ดิน

เข้าร่วม: 18 พ.ค. 2005
ตอบ: 18
|
ตอบเมื่อ:
31 พ.ค.2005, 10:42 am |
  |
มาร มากกกกกกกก มารจริงๆเลย ละอาย
มารศาสนา  |
|
|
|
   |
 |
นายประแจ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
01 มิ.ย.2005, 1:02 am |
  |
ผมชอบความคิดคุณมาร จริงๆ พับผ่าซิ ผมเริ่มมองว่านิพพานไม่น่าจะใช่ความสุขอย่างยิ่งแล้ว น่าจะเป็นสภาวะที่คนเรามีความรู้สึก ว่า"ไม่ทุกข์" มากกว่า ถ้าความสุขตรงข้ามกับความทุกข์ สภาวะที่"ไม่ทุกข์"ก็คงไม่ใช่สภาวะที่"เป็นสุข" แต่ก็จะเป็นสภาวะที่เรียกได้ว่า "ไม่สุข" ใช่เปล่า
......สรุป(ของผมนะ) นิพพานคือสภาวะที่จิตอยู่ในสภาวะ ไม่ทุกข์ และไม่สุข ว่างๆ กลางๆ เรื่อยๆ ( ใครมาด่าก็เฉยๆ ใครมาชมก็เฉยๆ ) ผมคิดเหมือนใครบ้างเปล่า
...........มันเลยเป็นที่มาของกระทู้ก่อนว่า มนุยษ์เราอยากไปสู่นิพพานจริงๆหรอ สำหรับผมตอนนี้ก็บอกได้ว่า ยังไม่อยากไปหรอก เอาเป็นว่าเรียนรู้วิธีที่จะ"ไม่ทุกข์"ไว้บ้าง แต่ถ้าวันนี้มีความสุขอยู่ก็ขอมีก่อน แต่ถ้าวันใดมีความทุกข์ขึ้นมาก็คงจะมีวิธีที่จะดับมันบ้างแม้จะไม่หมดแต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ศึกษาไว้เลย ว่างั้นไหม |
|
|
|
|
 |
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
01 มิ.ย.2005, 12:19 pm |
  |
เมื่อก่อนผมก็คิดแบบที่คุณมารศาสนา และคุณประแจ ให้ข้อมูลมาแหละครับว่า ถ้าทุกคนทำตัวให้หลุดพ้น ก็จะไม่มีความเจริญทางวัตถุเกิดขึ้น ทั้งอินเตอร์เน็ต คอมพิวเตอร์ ผมเริ่มสะดุดใจ เมื่อมีคนถามผมว่า
คิดว่า เมืองไทยสมัยนี้ กับ เมื่อหลายร้อยปีก่อน ตอนไหนวัตถุเจริญกว่ากัน ผมตอบเขาอย่างชัดเจนว่า เมืองไทยตอนนี้ ก็ต้องเจริญกว่าเห็นๆ สิครับ เขาจึงถามต่อว่า
แล้วคิดว่า ชีวิตของคนไทยสมัยนี้ กับคนไทยเมื่อหลายร้อยปีก่อน สมัยไหนมีความสุขกว่ากัน ผมกลายเป็นตี๋อึ้งไปเลย ตอบไม่ได้
ข้อสะดุดใจต่อมา คิอ ได้ฟังนิทานเรื่องหนึ่ง เป็นคนอินเดีย กำลังนั่งตกปลาริมแม่น้ำอย่างมีความสุข แล้วต่อมาก็มีคนอเมริกัน เข้ามา ทำหน้าไม่พอใจอย่างยิ่ง เขาไปแนะนำคนอินเดียว่า
อเมริกัน : ทำไม ยูไม่นำเบ็ดมาหลายๆ คัน ตกปลาทีละหลายๆ ตัว เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์อย่างยิ่ง
อินเดีย : ตกปลาหลายๆ ตัวไปทำอะไร ผมก็กินแค่ตัวเดียว
อเมริกัน : อ้าว จะได้เอาขาย เอาเงินไปซื้อเบ็ดมาเพิ่มขึ้นอีกมากๆ ตกปลาอีกมากๆ
อินเดีย : ตกไปอีกมากๆ ทำอะไร?
อเมริกัน : อ้าว ก็จะได้ๆ เงินมามาก เอาไปซื้อเรือ แล่นไปหาปลากลางแม่น้ำเลย แล้วพอได้เงินมาก็ซื้อเรือมาเพิ่มอีกหลายๆ ลำ
อินเดีย : ซึ้อมาเยอะแยะทำอะไร
อเมริกัน : อ้าว ก็จะได้ตกปลาเยอะๆ มีเงินเยอะๆ ร่ำรวย ไม่ต้องทำงาน มีความสุข
อินเดีย : อ้าว ก็ตอนนี้ ผมก็กำลังนั่งตกปลา อย่างมีความสุขอยู่แล้วนี่
อเมริกัน : ????
ตกลง ผมเลยมาเริ่มคิดใหม่ว่า เรากำลังทำอะไรอยู่ เรียนให้จบ ทำงาน มีครอบครัว ตาย นี่หรือคือ ทั้งหมดของชีวิตเรา ไม่ว่าโลกจะเจริญทางวัตถุไปอีกแค่ไหน วิถีชีวิตก็จะยังเป็นแบบนี้ นี่หรือ คือ ที่เราต้องการ เราจึงเริ่มสนใจและศึกษา พระพุทธศาสนา (อย่างจริงจัง ไม่ใช่แบบตามที่เรียนมาในห้องเรียน)
|
|
|
|
|
 |
นายประแจ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
01 มิ.ย.2005, 10:55 pm |
  |
ผมเชื่อว่า มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาไม่ว่าจะเป็นชนชาติใด สมัยใด รวยล้นฟ้า ยากจนแสนเข็ญ มีอำนาจ เป็นขอทาน...... ทุก ๆ คน มีสิทธิในการมีความสุข ได้เท่าเทียมกัน
.......เด็กขอทาน ได้รับเงินน้อยนิด ก็เป็นสุขอย่างล้นเหลือ ....
........เศรษฐี ได้รับเงินพันล้าน ก็เป็นสุขล้นเหลือเหมือนกัน...
.....ขอทานและเศรษฐี ...มีความสุขเท่ากัน
สรุป ....มนุษย์ มีความเท่าเทียมกัน ในการมีความทุกข์ หรือความสุข ว่ามั้ย
 |
|
|
|
|
 |
ศิษย์ปู่ตา
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
02 มิ.ย.2005, 1:24 am |
  |
"เปรียบเหมือนคนบ้านนอกที่ไม่เคยเห็นกรุงเทพ มีคนอธิบายให้ฟังว่า ที่กรุงเทพฯ นั้น นอกจากมีความเจริญอย่างอื่นแล้ว ยังมีกำแพงแก้ว และมีภูเขาทองทั้งลูกอันมหึมาอีกด้วย เขาจึงตั้งใจไปกรุงเทพฯให้ได้ โดยคิดว่าจะไปเอาแก้วที่กำแพงและไปเอาทองที่ภูเขา ครั้นเพียรพยายามไปจนถึงแล้ว ผู้รู้ก็ชึ้บอกว่า นี่คือกำแพงแก้ว นี่คือภูเขาทอง เพียวแค่นี้ ความตั้งใจและความสงสัยของเขา ก็สิ้นสุดลงทันที" พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล) |
|
|
|
|
 |
ดั่งวารี
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
02 มิ.ย.2005, 8:42 pm |
  |
อย่าเพิ่งคิดว่าจะเข้านิพพานกันทั้งประเทศเลยค่ะ แค่ทุกคนรักษาศีล 5 ให้สะอาด บริสุทธิ์ ไม่ด่างพร้อย ประเทศก็สงบสุขเกินบรรยายแล้วค่ะ คิดดูสิคะ ไม่มีอาชญากรรมเกิดขึ้น มีแต่ความสงบเป็นอาภรณ์คุ้มครองประเทศ นี่ขนาดแค่รักษาศีลให้ครบนะคะ ยังไม่พูดถึงทาน กับ การเจริญภาวนาเลย และยิ่งถ้าทุกคนมีปัญญาขนาดเป็นอริยบุคคล จะขนาดไหนกัน  |
|
|
|
|
 |
เปีย
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
03 มิ.ย.2005, 2:46 pm |
  |
ภาคใต้จะสงบสุข...
จาก เปีย |
|
|
|
|
 |
เงาดอกหญ้า
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
03 มิ.ย.2005, 5:14 pm |
  |
ตามที่ท่านมารศาสนา กล่าวในข้างต้น
ตามหลักแล้วหากมีเพลิงที่ลุกขึ้นโดยน้ำมันเป็นต้นเหตุกระผมได้ไตร่ตรองคิดแล้วว่า ควรใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ มาคลุมน่าจะดีกว่า เพราะจะทำให้ไฟไม่ลุกลามทำลายมากกว่าเดิมนะครับท่าน
ประหนึ่งที่ท่านทั้งหลายได้กรุณาแสดงทัศนต่างๆ นานาเกี่ยวกับนิพพาน หรือ มหาสุญตาธรรมนั้น กระผมใคร่ขอแสดง ปุจฉาลิขิต ดังนี้
1. ท่านทั้งหลายรู้จักนิพพาน หรือมหาสุญตาธรรมกันดีมากเพียงไร ?
และขอเรียนท่านพยามารศาสนาว่า พาน ไม่ใช่ "พาล"
ขอตอบคุณประแจด้วยความเคารพ
คิดง่ายๆ ครับ เพียงเราทั้งหลาย บรรดาศานุศิษย์ อยู่ภายใต้บารมีบุญ บารมีธรรมขององค์ท่านครูบาอาจารย์ (พระอรหันต์) เราท่านก็สัมผัสถึงความสงบสุขได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจแล้ว นี่ถ้าเกิดจากบารมีธรรมอันมาแต่คนไทยทั้งสยามประเทศมิเกิดมหาสงบสุขเที่ยวหรือ
เงาดอกหญ้า |
|
|
|
|
 |
|