Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 พุทธกับพระเครื่อง อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
toke
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 25 พ.ค.2005, 10:09 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมกำลังสับสนว่า พระพุทธเจ้ามิได้สอนในเรื่องการบูชาวัตถุมงคลเลย แต่ทำไมพุทธศาสนิกชนหรือแม้แต่กระทั่งพระสงฆ์ที่เป็นผู้สืบทอดพระศาสนาจึงลุ่มหลงอยู่กับความเชื่อในวัตถุมงคล อภินิหารต่าง ๆ ไกลจากแนวคำสอนเดิมมาก จนทำให้นึกไปว่าพุทธศาสนิกชนปัจจุบัน ไม่มีที่ยึดเหนี่ยวตัวเองจนต้องอาศัยวัตถุเป็นที่พึ่งทางใจแล้วหรือไร แม้กระทั่งพระสงฆ์ที่ควรเป็นแบบอย่างก็ถือโอกาสนี้เพิ่มรายได้ให้กับองค์กร แล้วผมควรเข้าใจอย่างไรครับ
 
ปุ๋ย
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275

ตอบตอบเมื่อ: 26 พ.ค.2005, 12:52 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กราบสวัสดีคุณ toke



พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า สภาวะธรรมทั้งปวงไม่ควรถือมั่น แม้แต่คาถาอาคมก็ไม่ควรถือมั่น แม้แต่เครื่องลางของขลังก็ไม่ควรถือมั่น ไม่ควรถือผีสางเทวดาอะไรต่างๆสาระพัดที่เราได้เชื่อถือกันอยู่เป็นจำนวนมาก



สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ส่วนมากคนบูชาวัตถุมงคล หรือพระเครื่อง หรือรูปจำลอง หรือพกเครื่องลาง ก็มุ่งหวังที่จะให้รักษาคุ้มครองป้องกันอันตรายต่างๆ หรือเกิดโชคลาภต่างๆ ตามที่โฆษณากัน แต่ผลจริงๆแล้ว พลังที่แผ่ออกมาจากวัตถุเหล่านี้ มีอำนาจเหนือกรรมจริงๆหรือ



คุ้มครองได้จริงกว่าสติของตนเองหรือ การปลุกเสกที่ทำพิธีกันอยู่ยังยึดติดกับพิธีกรรมกันอยู่หรือไม่ พระผู้ปฏิบัติดี ควร ชอบ ท่านปฏิเสธสิ่งเหล่านี้เพราะเหตุใด มีท่านใดเคยพิจารณาหรือไม่ว่า จากพิธี จากคาถา แทนที่จะรักษาคุ้มครอง แต่กลับมีผลมาทำร้ายผู้ครอบครองอย่างที่เราๆท่านๆนึกไม่ถึง



และแน่นอน ย่อมส่งผลมาทำร้ายผู้ที่ยังหลงในคุณวิเศษต่างๆ เจ้าพิธีต่างๆ เจ้าแห่งการปลุกเสกต่างๆได้อย่างนึกไม่ถึงเช่นกัน เรากล่าวถึงสภาวะธรรมต่างๆออกมาเป็นภาษาอย่างสวยหรู กล่าวถึงสภาวะนิพพานกันเกร่อ กล่าวถึงการไม่ยึดมั่นถือมั่นในทั้งหลายทั้งปวง แต่ความเป็นจริงก็ยังไม่สามารถแยกอะไรไม่ออกอยู่อย่างเดิม...นะ...



ธรรมะสวัสดี



มณี ปัทมะ ตารา
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
มารศาสนา
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 18 พ.ค. 2005
ตอบ: 18

ตอบตอบเมื่อ: 26 พ.ค.2005, 1:45 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

จงเห็นเนื้อที่อยู่ข้างในของพระเครื่องให้ออก เพราะพระเครื่องเป็นเพียงกุศโลบายธรรมที่ซ่อนอยู่เท่านั้น ใช้ว่าพระเครื่องจะไม่ดี เพราะว่า ตัวคนทำไม่ผิด ตัวพระเครื่องไม่ผิด แต่ตัวคนไม่เข้าใจผิด ตัวอย่างเช่น

พระรุ่นนี้มีแล้วรวย = หากคนค้าขายซื่อสัตย์ เป็นธรรม ไม่เอาเปรียบ ก็จะค้าขาย ร่ำรวย ทุกครั้งที่คิดจะไม่ซื่อสัตย์ ไม่เป็นธรรม และเอาเปรียบ ก็จะสกิดใจกับพระที่ห้อยคอ อยู่

พระเครื่องป้องกันภัยอันตราย = ก่อนออกจากบ้าน ต้องไหว้พระเครื่องอันนี้ก่อนทุกครั้ง ถ้าเราตั้งสติได้เราก็ป้องกันภัยอันตรายได้นานา



พระเครื่องเป็นเพียงแค่กุศโลบายธรรมง่ายๆ ที่ให้เราปฏิบัติ ตัวคนทำไม่ผิดที่ทำให้ดูศักดิ์สิทธิ์ เพราะหวังให้ช่วยคนที่มี มีกำลังใจในการทำดี เพราะหวังให้คนทำดีก็พอ ไม่หวังให้คนไปอยู่ในพุทธภูมิ

คนที่มีพระเครื่อง บางคนต้องอยู่ในศลีในธรรม เพราะกลัวของเสื่อมนั้นก็เป็นการดียี่งที่เป็นเช่นนั้น

พูดถึงความดีของพระเครื่องมามากมายแต่สุดท้าย ถ้าปลายทางคนที่มีไม่มีธรรมก็ไรค่าที่จะมี









มารศาสนา
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
มารศาสนา
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 18 พ.ค. 2005
ตอบ: 18

ตอบตอบเมื่อ: 26 พ.ค.2005, 1:49 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คิดว่า พระเครื่อง กับ บทสวดมนต์ที่ไม่รู้ความหมาย นั้นเหมือนกันเลย

คิดว่าไง









มารศาสนา
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
Ae
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 26 เม.ย. 2005
ตอบ: 38

ตอบตอบเมื่อ: 26 พ.ค.2005, 4:32 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ กับคุณปุ๋ยและก็ท่านมารศาสนาครับ

ได้อ่านกระทู้นี้แล้วรู้สึกว่ามีตีความหมายได้หลายแง่มุม

ทุกถ้อยคำที่พรั่งพรูออกมาจากท่านทั้งสอง

น่าจะไปอยู่ในจิตใจอันโสมมของมนุษย์ทุกคนที่ยังข้องอยู่กับกิเลส

ตราบใดที่โลกมนุษย์ยังมีความทุกข์กันอย่างไม่รู้สิ้น

สิ่งหนึ่งที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวเพื่อตัวเองให้เกิดความสบายใจนั้นก็คือ เครื่องรางของขลัง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผีปู่ ผีย่า สวดอ้อนวอนให้ท่านคุ้มครอง...คุ้มครองได้จริงหรือ??...แต่ทำแล้วสบายใจ...เอายังไงดี??...ในสภาวะโลกปัจจุบันสิ่งที่สามารถยึดเหนี่ยวจิตใจของมนุษย์ในโลกกียะนี้น่าจะเป็นวัตถุ เพราะวัตถุมีตัวตน ยึดมั่นถือมั่นว่ามี...แต่แท้จริงแล้วมีหรือเปล่า??...



เมื่อคนต้องการก็เดือดร้อนพระ... พระต้องทำวัตถุมงคล...เพื่อสร้างศรัทธา ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่กิจของสงฆ์...ยกตัวอย่าง

หลวงพ่อเจ้าขา..พักนี้เป็นอะไรไม่รู้คะฝันร้ายทุกคืน นอนไม่หลับ จิตกระสับกระส่าย หลวงพ่อมีพระอะไรดี ๆ มั๊ยคะ...ถ้าจะบอกว่าไม่มี มีแต่พระธรรมจะเอาหรือเปล่า...คนส่วนมากเอาหรือเปล่า??....

เพราะฉะนั้นพระเครื่อง เครื่องรางของขลังจึงเปรียบเสมือนสมมติ ที่ใช้ประโยชน์จากมันได้(มีแล้วสบายใจ) แต่อย่ายึดติด.....

แต่ถ้าจะพูดให้ถูกต้องสำหรับชาวพุทธแล้ว สิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวพุทธทุกคน คือพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีค่ามากกว่าสิ่งอื่นใด





 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
นายประแจ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 26 พ.ค.2005, 11:35 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมคิดว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเนื่องจากชาวพุทธที่คุณเห็นไม่ได้ตั้งใจที่จะศึกษาพระธรรมของพระพุทธเจ้าให้ถ่องแท้ รับเอาแต่เปลือกนอกเท่านั้น พระสงฆ์บางส่วนก็เช่นกันไม่ได้บวชเพื่อศึกษาพระธรรม แต่เพื่ออย่างอื่น



คุณ toke รู้สึกสับสน ก็ควรศึกษาธรรมะให้มากขึ้น แล้วจะเข้าใจ "สิ่งทั้งหลายทั้งปวงจงอย่ายึดมั้นถือมั้น" แล้วคุณก็จะไม่สับสน ถ้าคุณเห็นมันเป็นเรื่องธรรมดา เห็นใครทำไม่ถูกต้องก็บอกเขาให้เข้าใจในศาสนา เขาไม่เชื่อก็แล้วไป ถ้าเข้าใจเรื่องบัว 4 ก็จะไม่โกรธเขาครับ
 
suphot_phoomsuk
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 26 พ.ค. 2005
ตอบ: 2

ตอบตอบเมื่อ: 27 พ.ค.2005, 11:18 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ดังพุทธพจน์ "ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา"



คงเป็นพุทธพจน์ที่เราท่านคุ้นกันดีครับ พระพุทธเจ้าพระองค์ไม่ให้ยึดติดกับวัตถุ รูปสักการะ แต่ทรงสรรเสริญปัญญา ปัญญาที่รู้ ตื่น เบิกบาน และดำเนินอยู่บนความไม่ประมาทจึงเป็นมงคลสูงสุดของเราชาวพุทธ



ความเข้าใจส่วนตัวครับ คิดว่าการทำพระเครื่องของโบราณมีแนวความคิดที่แฝงอยู่ นั่นคือเราปุถุชนคนทั่วไปที่ดำเนินชีวิตในแต่ละวัน นั้นยังวนเวียน วุ่นวาย ข้องเกี่ยวกับตัวรั้ง ตัวก่อ กิเลส ทำให้จิตของเราท่านทั้งหลายมี ความโกรธ โลภ หลง เกิดสภาวะจิตที่ยังเป็นอกุศลอยู่เป็นนิจ ดังนั้นโบราณท่านจึงมีอุบาย ที่สร้างพระเครื่องขึ้มมาเพื่อเป็น พุทธานุสติ ธรรมมานุสติ สังฆานุสติ ในยามที่เราเกิดเผลอให้เกิดจิตที่เป็นอกุศลกรรม



ดังคำกล่าว ของครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่เน้นย้ำ ว่า อย่ามองอะไรๆ ที่ผิวเปลือกเพียงอย่างเดียว ทุกสิ่งในโลกมีคุณค่าเสมอ ถ้าหากเราท่านทั้งหลายรู้จักมองในความเป็นประโยชน์ของมัน



ขอสันติธรรมจงมีแก่เราท่านทั้งหลาย



เงาดอกหญ้า



 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
นายประแจ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 28 พ.ค.2005, 12:06 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณ มารศาสนา ค ห. ที่3



ผมก็คิดแบบเดียวกับคุณครับ
 
แอน
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 07 มิ.ย.2005, 2:57 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ชื่อเพราะจัง
 
แอน
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 07 มิ.ย.2005, 3:04 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณทราบไหมค่ะว่าถ้าเราจะหารูปภาพเกี่ยวกับพระพุทธรูปในอีนเดียควรเข้าที่เว็บอะไรค่ะถ้ารู้ช่วยบอกทีเพราะฉันต้องทำส่งอาจารย์ ขอบคุณค่ะ
 
dum
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 29 มิ.ย.2005, 9:22 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ไม่ต้องมาเถียงกัน พระเครื่องสมัยนี้ปลอมกันมากราคาก็แพงบาง องค์แพงกว่าบ้านจัดสรรเสียอีก

แล้วนำมาคล้องคอ เจ้าพ่อวงการมวยยังโดนยิงตาย คลองพระเบญจภาคีเชียวนะก็ยังตาย ก็ไม่เห็นหนังเหนียว อยู่คงกระพันชาตรี และมีเมตตา สักกะหน่อย การสร้างพระเครื่องนี้เป็นพิธีกรรมทางศาสนาพรามณ์ และพวกฤษี ที่กระทำไว้สักการะเทพเจ้าของพวกเขา แล้วยังไง มาเกียวข้องศาสนาพุทธของเราไปได้ จาก คห. 1 ถูกต้องแล้ว เท่าสรุปว่าตนเป็นที่พึ่งของตนนั่นเอง แล้วศาสนาพุทธเราใช้อะไรเป็นที่ค้มครอง และเป็นศิริมงคลแทนพระเครื่อง ก็ศีลนะซิ ถ้าเรารักษาศีลได้ก็ยิ่งเป็นศิริมงคลกับชีวิต ดีกว่าพระเครื่องเสียอีกไม่ต้องเสียเงินซื้อและไม่หนักคออีกตั้งหาก แถมยังลดละกิเลศเราให้เบาบางกว่า เก่าอีก ไม่เหมือนพระเครื่องยิ่งคล้อง ทำตัวใหญ่ถือว่าหนังเหนียวกระมั้ง ก็ต้องทำความเข้าใจว่าพระเกจิอาจารย์ ต่างๆมีมีอิทฤทธิ์ ปารติหารย์ต่างๆ คนทั้งหลายก็เข้าใจว่า สำเร็จเป็นพระอรหัน แล้ว ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช้เลย ซึ่งแต่ก่อนพุทธกาล วิชานี้เกิดก่อนพระพุทธเจ้าเสียอีก พวกฤษีบำเพ็ญตบะต่างๆ ซึ่งพระองค์ก็ศึกษาอยู่ แต่ก็ค้นพบว่าเป็นวิชาไม่ได้ช่วยให้ตัวเองได้พ้นทุกข์ จึงหาทางแนวใหม่ก็คืออริยสัจสี่นั่นเอง ก็จบด้วยเอวังประการฉนี้เล
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง