Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ความทุกข์จากคนที่รักตายจาก ทำยังไงถึงจะหาย อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
คนเศร้า
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 23 พ.ค.2005, 6:12 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตอนนี้เป็นคนเบื่อโลกมาก ไม่อยากมีชีวิตอยู่ แต่ก็ตายไม่ได้ยังมีภาระที่ห่วงอยู่ ไม่เคยมีความคิดฆ่าตัวตายในสมอง เพราะรู้ว่ามันเป็นบาป และไม่อยากให้คนที่รักเราเสียใจอีกแล้ว รู้ว่าถ้าเราตายพ่อ แม่ น้องชาย น้องสาวจะต้องเสียใจมากไปกว่านี้



เราสูญเสียพี่สาวเมื่อ 12 ปีที่แล้วจากอุบัติเหตุ ทุกคนในครอบครัวยังไม่เคยลืม และเสียพี่ชายจากอุบัติเหตุเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา เรารู้ว่าตอนนี้ทุกคนในครอบครัวไม่ว่า จะเป็นพ่อ แม่ น้องทั้งสอง ทุกคนไม่มีความสุข อยู่ไปวัน ๆ คืออยู่ก็ได้ ตายก็ดี เรารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เพราะครอบครัวของเราผูกพันกันมาก ถึงแม้ว่าตั้งแต่เด็ก ๆ เราจะเห็นพ่อ แม่ ทะเลาะกันเป็นประจำ พี่น้องก็ทะเลาะกันบ้าง แต่เราก็เป็นครอบครัวที่มีความสุข ตั้งแต่เกิดการสูญเสียขึ้นสองครั้งในชีวิตครอบครัวของเรา ทุกคนเปลี่ยนไป มันมีความกลัวเกิดขึ้นมาแทน กลัวการสูญเสียอีกครั้ง กลัวว่าคนใดคนหนึ่งจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นอีก กลัวที่จะต้องเป็นคนที่อยู่ข้างหลัง เป็นคนที่จะต้องร้องให้ เสียใจ ทุกวันนี้ที่เรามีชีวิตอยู่ได้เพราะครอบครัว ถ้าไม่อย่างนั้นเราคงตรอมใจตายไปแล้ว เพราะเรายังมีพ่อ มีแม่ มีน้องทั้งสอง



ปัญหาของเราก็คือ เราเศร้า เรากลัวการสูญเสีย กลัวมาก ๆ แค่คิดน้ำตาเราก็ไหลแล้ว เราเหงา เรามีเพื่อนเยอะแต่เราก็ยังเหงา เราพยายามจะไม่พูดถึงพี่ทั้งสองที่เสียไปถ้ามีใครถามถึง เพราะเราจะร้องให้ทุกครั้งที่พูดถึง กับคนในครอบครัวก็เหมือนกัน ทุกคนพยายามจะไม่พูดถึง เพราะถ้าพูดทุกคนก็จะร้องให้ เหมือนทุก ๆ คน จะพยายามเก็บซ่อนไว้ลึก ๆ



เราพยายามศึกษาธรรมะเข้าช่วย ช่วยได้มาก แต่ก็ไม่หมด เมื่อก่อนเราเป็นคนใจแข็งมาก เป็นผู้หญิงที่ใจแข็งมาก ไม่เคยมีเรื่องใดที่ทำให้น้ำตาเราตก อกหักก็แค่เรื่องเล็กๆ แต่ตอนนี้น้ำตาเราไหลง่ายมาก ยิ่งดูละคร ดูรายการอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับการสูญเสียคนที่รัก เราจะห้ามน้ำตาไม่อยู่เลย เรากลายเป็นคนคิดมาก เป็นคนแอบเศร้า ที่ต้องแอบเศร้าเพราะเราไม่ต้องการให้ใครมารู้สึกสงสารเรา แอบร้องให้คนเดียวเสมอ เราเหงา เราไม่ได้อยู่กับครอบครัวเราทำงานที่กรุงเทพ ครอบครัวเราอยู่ต่างจังหวัด และตอนนี้เราเป็นโรคนอนไม่หลับ เราไม่อยากมีแฟน ไม่อยากรักใครเพิ่ม เพราะเราไม่อยากสูญเสียอีก



ใครบอกเราได้มั้ย ทำยังไงมันถึงจะหาย จากความรู้สึกพวกนี้
 
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 23 พ.ค.2005, 11:41 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ลองอ่านตัวอย่างเรื่องราวในอดีต กับปัจจุบัน ดู 2 เรื่องดีมั้ยครับ เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง

เรื่องที่ 1 เป็นตัวอย่างของเรื่องราวในสมัยพุทธกาล



นางเอกของเรื่องชื่อนาง กิสาโคตมี ครับ นางถือกำเนิดมาในสกุลเศรษฐีตกยาก แต่ต่อมาเศรษฐีก็มาสู่ขอแต่งงาน แต่งไม่นานนางก็คลอดบุตร น่ารักมาก นางรักบุตรยิ่งชีวิตเลยทีเดียว แต่ต่อมาอีกนั้นแหละ ก็เกิดเหตุให้บุตรสุดที่รักของนางไม่ยอมหายใจ คือ ตายไปตั้งแต่ 3 ขวบ ตอนกำลังน่ารักทีเดียวนะเนี่ย นางร้องไห้ไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกว่า มียาที่จะสามารถชุบชีวิต ลูกของนางให้ฟื้นได้ นางดีใจมาก ถามต่อว่า ยานั้นอยู่ที่ไหน พระพุทธเจ้า บอกว่า แค่ไปหาวัตถุดิบมาทำตัวยา ก็ได้แล้ว วัตถุดิบนั้นก็คือ เมล็ดพันธุ์ผักกาด แต่ต้องเป็นเมล็ดพันธุ์ผักกาดในบ้านที่ไม่เคยมีคนตายมาก่อน

นางรีบวิ่งไปหาถามไปหมด 3 บ้าน 7 บ้าน ตั้งแต่หัวซอย ยันท้ายซอย หมดซอยโน้น ก็ไปซอยนี้ต่อ แต่ไม่มีบ้านไหน ไม่เคยมีคนตายเลย ทุกบ้านล้วนเคยมีคนตายทั้งสิ้น นางหาอยู่นาน จึงได้คิด "ความตาย เป็นธรรมดาของสัตว์โลก ไม่มีชีวิตไหน เกิดมาแล้วไม่ตายเลย แม้เราก็จักต้องตาย" นางจึงกลับไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าแสดงธรรม นางก็ได้บรรลุธรรม ขอบวชเป็นภิกษุณีครับ



เรื่องที่ 2 เป็นเรื่องในปัจจุบัน ของคุณจารุชา ติระกิจสุนทร เมื่อหลายปีก่อน ซึ่งคุณจารุชาเป็นนักธุรกิจ ที่เพิ่งเริ่มตั้งตัว และได้แยกทางกับสามี เพราะจับได้ว่า สามีไปมีผู้หญิงอีกคนหนึ่งอยู่ ชีวิตเธอจึงอยู่เพื่อลูกเท่านั้น ต่อมา ลูกชายอายุ 17 ปี ขับรถประสบอุบัติเหตุ เสียชีวิตตายคาที่ เธอเสียใจมาก ทำใจไม่ได้ ธุรกิจที่ทำมาก็เพื่อลูก พอลูกตายไปแล้วจะทำไปเพื่ออะไร ระหว่างที่เธอเคว้ง หxxxำลังใจในทุกเรื่อง ตอนนั้น มีลูกน้อง(ขับรถสิบล้อ) ของเธอคนหนึ่ง (เขาฉลาดมาก) มาบอกเธอว่า "พี่ ผมไม่อยากเห็นพี่เป็นอย่างนี้เลย ถ้าพี่เป็นอย่างนี้ พี่บ้านะ พี่ไปกับผม" เธอถามเขาว่า "ไปไหน" น้ำเสียงท้อแท้ยิ่ง เขาบอกว่า "พระอาจารย์ผมอยู่ที่เชียงใหม่ ท่านเก่งมาก สอนนั่งสมาธิ ไปหาคนตายได้ พี่ไปเรียนสมาธิกับท่าน แล้วพี่จะได้เจอลูก" เธอดีใจมาก จึงไปกับลูกน้องที่เชียงใหม่ พอไปถึง ถามพระอาจารย์ว่า นั่งสมาธิแล้วจะได้เจอลูก จริงหรือ" พระอาจารย์บอกว่า "ได้เจอสิ คุณโยมนั่งไปเถอะ" ว่าแล้วก็สอนให้เธอนั่งไปเรื่อยๆ แบบไม่ต้องคิดอะไร เธอก็กลับมานั่งเองที่บ้าน ด้วยความอยากเจอลูกมาก เธอจึงนั่งทั้งวัน จากวันเป็นเดือน ผ่านไปสองถึงสามเดือน เธอยังไม่ได้เจอลูกหรอก แต่เธอเข้าใจแล้วว่า นั่งสมาธิที่บอกว่ามีความสุขมันเป็นอย่างนี้เอง จิตใจโปร่งโล่งเบาสบาย มีความสุขอยู่ในสมาธิ" เธอจึงกลับมามีกำลังใจอีกครั้ง

 
กชพร
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2005
ตอบ: 8

ตอบตอบเมื่อ: 23 พ.ค.2005, 12:24 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คนทุกคนในโลกนี้ มีใครบ้างที่ไม่เคยมีญาติตาย ญาติเหล่านั้นอาจเป็นพ่อ แม่ พี่ น้อง ซึ่งเป็นคนใกล้ตัวมากที่สุด ใครบ้างสามารถกำหนดได้ว่า ใครจะตายก่อน ใครจะตายหลัง ใครจะตายด้วยสาเหตุใด แล้วคนทุกคนในโลกที่มีญาติตาย ต้องท้อแท้สิ้นหวังหมดหรือไม่ ถ้าทุกคนมัวแต่ท้อแท้ สิ้นหวัง ไม่ยอมทำอะไร เพราะคิดว่าถึงอย่างไรเราก็ต้องตาย ไม่อยากสูญเสียอีก โลกเราจะเจริญอย่างนี้ได้อย่างไร ที่เป็นอย่างนี้เพราะ ยังมีคนที่มีความคิดดี คิดได้ ว่าในเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ก็ควรทำประโยชน์ให้เกิดกับตนและประเทศชาติให้มากที่สุด อย่าทำชีวิตให้สิ้นค่าเลยนะคะ สร้างประโยชน์ให้เกิดกับตนและผู้อื่น ความทุกข์เก็บไว้กับใจได้ค่ะ แต่อย่าให้มันทำให้ใจเราเศร้าหมอง สิ่งที่เสียไปนั้นไม่มีวันที่จะกลับคืนมา อย่าอยู่เพื่อรอว่าจะมีใครตายจากเราไปอีก สร้างความสุข สงบ แทนความทุกข์ สร้างชีวิตให้มีคุณค่า ความท้อแท้ สิ้นหวัง ไม่ได้สร้างความเจริญให้เรานะคะ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ผู้กล้าเผชิญความจริง
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 24 พ.ค.2005, 7:06 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

จากข้อความที่เล่าผมขอยอมรับว่าคุณเป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็งไม่เบาเลยที่รับสภาพทุกข์โศกทางจิตใจค่อนข้างมากแต่ก็ยังนึกถึงผู้อื่นอันได้แก่ครอบครัวทั้งที่ตนเองก็มีแต่ความทุกข์อยู่ ขอให้ต่อสู้อดทนอย่างนี้ต่อไปครับ มันก็เหมือนปัญหาอย่างหนึ่งที่คุณกำลังโดนมันเล่นงานอยู่แต่มันเล่นกันตรงตรงที่จิตใจคุณเลย ขณะที่คนอื่นหรือผมกลับโดนปัญหาเล่นงานผ่านทางเรื่องภายนอกเกี่ยวกับทำมาหากินบ้าง การกระเสือกกระสนแข่งขันแก่งแย่งในสังคมกับคนอื่นบ้างไม่พยายามก็หมดตัวหรืออดตาย และไหนจะเรื่องการฝึกฝนจิตใจที่ต้องเจอแต่กิเลสตันหาให้หลงมัวเมาอยู่รอบตัวอีกจะหนีไปที่อื่นก็ไม่ได้ด้วยต้องอยู่กับทางโลกทุกวันพยายามเท่าไหร่ก็โดนมันเล่นงานซ้ำอยู่ตลอดเวลา ผมไม่ได้มีเจตนาไม่ดีนะครับคือผมคิดว่าสภาพจิตใจคุณตอนนี้น่าจะเหมาะกับการปฏิบัติธรรมมากเลย จะเป็นวิปัสนาหรือสมาธิก็ได้ เพราะผมคิดว่ากิเลสความอยากทั้งหลายทำอะไรคุณไม่ได้เลยตอนนี้ ซึ่งปกติอารมณ์แบบนี้คนทั่วไปโดยเฉพาะผมจะสู้มันไม่ได้เพราะกำลังจิตใจไม่ได้เข้มแข็งอยู่ตลอดเวลา ลองสวดมนต์ภาวนาทุกวันและหมั่นฝึกฝนทำสมาธิวิปัสนาดูซิครับอาจจะเป็นจังหวะที่ดีของคุณก็ได้

สำหรับเรื่องความทุกข์โศกที่คุณและครอบครัวเป็นอยู่นั้น ความคิดเห็นของผมเท่าที่มีก็คงมีสองอย่างคือ อย่างแรกการปฏิบัติธรรมก็คือเข้าหาผู้รู้แหล่งธรรมหรือสถานที่ที่เขามีการฝึกฝน กับอีกอย่างคือทางการแพทย์ ผมเคยได้ยินว่านักจิตเวชศาสตร์เขามีความสามารถ มียุทธวิธีในการปลุกความรู้สึกทางจิตใต้สำนึกหรือจิตใจของคนได้ ไม่ว่าโศกเศร้า เหงา ขาดความมั่นใจ บางคนเข้าใจว่าเขาทำหน้าที่รักษาคนผิดปกติทางจิตแต่แท้จริงแล้วใครก็ตามที่รู้สึกไม่มีความสุขในการดำรงชีวิตทุกเรื่องเขามีหน้าที่โดยตรงในการรักษาตรงนั้นทั้งหมด หากยังไม่เคยอยากลองให้คุณกับครอบครัวเปิดใจคุยกับคุณหมอดู อยากให้หาคลีนิคเพราะรู้สึกว่าคุณหมอจะมีเวลาเอาใจใส่เต็มที่และดูกันเองมากกว่าในโรงพยาบาลใหญ่ใหญ่

หากสนใจแต่หาสถานที่ไม่ได้ผมจะช่วยหาให้ก็ได้ครับ

ขอให้เข้มแข็งและเป็นกำลังใจหลักให้กับครอบครัวของคุณต่อไปนะครับ
 
นายประแจ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 24 พ.ค.2005, 10:29 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

แนะนำว่าควรไปทำบุญกุศล ที่เกี่ยวกับเด็กกำพร้า บ้านพักคนชรา เด็กด้อยโอกาส เด็กพิเศษ เสียสละแรงกายแรงใจเพื่อทำบุญกับสิ่งเหล่านี้ พยายามทำให้บุคคลเหล่านี้พ้นทุกข์ บุญกุศลที่ได้อาจจะทำให้คุณพ้นทุกข์ได้ ลองดูครับ
 
คนเศร้า
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 25 พ.ค.2005, 7:30 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอบคุณทุกคนค่ะที่ให้กำลังใจ ขอบคุณจริง ๆ ตอนนี้ก็พยายามศึกษาธรรมะเข้าช่วยอยู่ คิดว่าสักวันคงชนะความรู้สึกที่โศกเศร้านี้ได้
 
new
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532

ตอบตอบเมื่อ: 25 พ.ค.2005, 6:45 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เอาใจช่วยครับ ดีแล้วครับ ที่ไม่มีความคิดเรื่องฆ่าตัวตายในสมอง น่ะครับ เพราะไม่รู้ถ้าทำแบบนั้นแล้ว ปัญหาหลังจากนั้น อาจแย่ยิ่งกว่าทีเป็นอยู่นี่ก็ได้ครับ ความอดทน คือ ตบะอย่างยิ่งครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เปิ้ล
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 26 พ.ค.2005, 7:04 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ดีค่ะที่ไม่คิดเรื่องฆ่าตัวตาย เข้าใจว่าความสูญเสียมันโหดร้ายแค่ไหน เคยเป็นเหมือนกันที่ว่าแค่คิดว่าคนที่เรารักต้องจากไปก็ร้องไห้เสียแล้ว ทั้งๆที่เหตุการณ์นั้นก็ยังไม่ได้เกิดขึ้น สิ่งเดียวที่จะช่วยได้คือบอกกับตัวเองทุกวันว่า "ความตายเป็นเรื่องธรรมดา" ถึงยังไงเขาก็ต้องจากเราไปอยู่ดี เขาดีกว่าเราอีกที่ไม่ต้องเสียใจที่เห็นเราตาย การบอกตัวเองซ้ำๆ เป็นการเตรียมตัวล่วงหน้า พอวันนั้นมาถึงเราก็ทำใจได้แล้วไปกว่าครึ่งค่ะ หวังว่าคำแนะนำนี้จะช่วยเหลือนะคะ
 
หมี่แห้ง
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 28 พ.ค.2005, 6:50 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ทุกสิ่งในโลก มีเกิด และดับสูญ สิ่งที่จะต้องทำคือ ทำใจ ดังพระท่านว่า

...อย่าคำนึงถึงอดีตผ่านไปหมด อนาคตเรายังมองไม่เห็น

...ปัจจุบันเป็นสิ่งจำเป็น จงกะเกณฑ์รีบทำประจำวัน..
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง