Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 มนุษย์เราอยากไปสู่นิพพานจริงๆหรอครับ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
นายประแจ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 29 พ.ค.2005, 12:41 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันนะครับ อย่าถือว่าเป็นการเถียงเพื่อเอาชนะนะครับ



นรก สวรรค์ นิพพานเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ครับ สำหรับผม นรกคือความไม่สบายใจ เมื่อเราไม่สบายใจเมื่อไรก็คือตกนรกครับ สวรรค์ของผมก็คือ ความสบายใจครับ เมื่อรู้สึกสบายใจก็ขึ้นสวรรค์ครับ นิพพานเป็นไปได้ครับไม่ใช่สิ่งอภินิหาร การที่ทำจิตให้ว่างได้โดยว่างจากตัวเราของเรา ความไม่สบายใจต่าง ๆ ก็จะหมดไป แต่ยอมรับว่าทำได้ยากครับ



ส่วนที่ว่าถ้าใจที่ฝึกดีแล้ว ถึงจะเปล่งอานุภาพ มีพลังเกิดขึ้น และทำสิ่งที่เหลือเชื่อได้ ไม่ว่าจะเป็นล่องหนหายตัว เดินบนน้ำ ดำดิน หูทิพย์ ตาทิพย์ ระลึกชาติ เพราะใจที่ฝึกดีแล้ว จะเปลี่ยนสภาพกาย (มวล) กลายเป็นทำอะไรก็ได้ (เป็นพลังงาน) กายล่องหนหายตัวได้ เดินบนน้ำ ดำดินได้ อยากจะถามว่าคุณเกียรติเคยทำสิ่งเหล่านี้หรือไม่หรือเคยพบเห็นใครที่ทำสิ่งเหล่านี้หรือไม่ พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นได้หรือไม่ ผมไม่ได้บอกว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีจริงเพราะผมก็ไม่รู้ แต่ใครจะมาบอกว่าสิ่งเหล่านี้มีจริงผมก็ไม่เชื่อเพราะมาพิสูจน์ให้ผมเห็นไม่ได้ การพูดถึงอภินิหารว่าฝึกจิตดีแล้วจะเกิดอภินิหารอย่างนั้นอย่างนี้เป็นเหมือนการโฆษณาชวนเชื่อเป็นการกระตุ้นกิเลสให้คนมาฝึกจิต.....และการพูดถึงอภินิหารก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับหลักธรรมที่จะนำเราไปสู่การดับทุกโดยสิ้นเชิงแต่ประการใด ผมจึงคิดว่าถ้าเราพูดถึงเรื่องอภินิหารให้น้อยหน่อย ก็คงจะไม่ทำให้ศาสนาของเราวิเศษน้อยลงไปแต่อย่างใด ตรงข้ามน่าจะมีการเข้าถึงเนื้อแท้ของพุทธศาสนาได้มากขึ้น
 
หมี่แห้ง
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 29 พ.ค.2005, 9:46 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ความสุข คำนี้เปรียบเหมือนรากแก้วของต้นไม้ แตกออกเป็นรากฝอย เฉกเช่นบางคนมีความสุขกับการสนทนาธรรมกับกลุ่มคนรู้ใจ บางคนมีความสุขกับการได้พูดคุยเรื่องต้นไม้ เรื่อง กิน เรื่องเที่ยว ห้วงเวลาที่เราพูดคุยนั้นเราไม่คิดถึงความทุกข์อื่นใดเลย



ดีอย่างไร ดีที่เราค้นพบตัวเองว่าเรามีความสุขกับอะไร และหาความสุขนั้นได้ที่ไหน ความสุขนั้นไม่สร้างความทุกข์ให้คนอื่น



ดำรงชีวิตอย่างไร เดินทางสายกลางได้อย่างเหมาะสม รู้ว่าทุกข์เกิดจากอะไร และดับทุกข์นั้นได้อย่างไร
 
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 29 พ.ค.2005, 7:31 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ครับรับรองว่าไม่โต้เถียงหรอกครับ แต่แลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ดังที่นางอินทิรา คานธี ลูกสาว มหาตมะ คานธี ผู้ทำให้อินเดีย ชนะอังกฤษ ด้วยการไม่เสียเลือดเนื้อ บอกไว้ว่า การแลกเปลี่ยนความคิดไม่เหมือนการแลกเปลี่ยนสิ่งของ ซึ่งจะต้องได้อย่าง เสียอย่าง แต่การแลกเปลี่ยนความคิดนั้น ความคิดเดิมเรายังอยู่ และยังได้ความคิดใหม่มาด้วย ซึ่งเราก็จะได้นำความคิดใหม่นั้น มาประมวลกับประสบการณ์เก่าของเรา เพื่อประโยชน์ต่อตัวเรายิ่งๆ ขึ้นไป



จริงดังที่คุณ “นายประแจ” บอกครับ ว่าผมไม่สามารถล่องหนหายตัว ฯลฯ หรือพบเห็นใครที่ทำได้ เพียงแต่อยากจะบอกว่า เมื่อได้ยินข้อมูลนี้ จากศาสตราจารย์ ดร. ระวี ภาวิไล สอนเรื่องพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผมก็รู้สึกเลื่อมใสในปัญญาการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า และพระพุทธศาสนา และเห็นว่าสิ่งเหล่านั้น ก็ไปเป็นตามขั้นตอนของการฝึกจิตเท่านั้น ไม่ได้รู้สึกว่า เป็นสิ่งวิเศษ ที่เราจะต้องทำให้ได้แต่อย่างใด เพราะได้ฟังต่อว่า ยังมีสิ่งสูงส่งกว่านั้น คือ นิพพาน นั่นเองครับ



และเมื่อได้ลงมือปฏิบัติธรรม ทุกทีหลับตาลง แล้วต้องมืด แต่พอฝึกไปนานๆ หลับตาลงและกลับสว่าง ทำให้เราก็มั่นใจได้ว่า เมื่อเราทำไปตามขั้นตอนเรื่อยๆ เราก็จะได้ผลไปตามขั้นตอนเรื่อยๆ จนถึงขั้นสูงสุดได้ เหมือนเด็กหัดเดิน ตอนแรกก็ต้องคว่ำก่อน จากคว่ำ ก็เริ่มคืบ จากคืบ ก็เริ่มคลาน จากคลานก็เริ่มตั้งไข่ จากตั้งไข ก็เริ่มนั่ง จากนั่งก็เริ่มยืน จากยืน ก็เริ่มเดิน จากเดินก็เริ่มวิ่ง จนสมบูรณ์เหมือนผู้ใหญ่ในที่สุด



พอเข้าใจแล้ว ก็เลยมั่นใจในคำพูดของพระพุทธเจ้าทุกคำในพระไตรปิฎก และเชื่อว่าที่พูดต้องมีประโยชน์ ไม่เช่นนั้นพระองค์ไม่ตรัสไว้หรอก เพราะพระองค์บอกไว้ชัดอยู่แล้วว่า พระองค์รู้ทุกสิ่ง แต่นำมาสอนเฉพาะที่เป็นประโยชน์เท่านั้น



ส่วนถ้าเราไม่ชอบขั้นตอนการตั้งไข่ (สมมุติ หมายถึง อภินิหาร) เลยไม่อยากให้สอน เพราะกลัวเด็กจะไปยึดติดการตั้งไข่ เลยไม่ยอมเดิน อันนั้น ผมว่า แล้วแต่เด็กครับ แต่เด็กแทบทั้งหมด ยกเว้นที่มีปัญหา ล้วนอยากเดินและวิ่งได้ (ไปขั้นสูงสุด) เท่านั้น ไม่ยอมติดแค่ขั้นตอนตั้งไข่ หรอกครับ

 
นายประแจ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 29 พ.ค.2005, 9:20 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตอนแรกที่ผมแสดงความคิดเห็น ผมเดาไม่ออกเหมือนกันครับว่าคุณเกียรติจะคิดอย่างไรกับผม กลัวว่าจะถูกต่อต้าน ได้ฟังคุณเกียรติพูดอย่างนี้ชื่นใจจริง ๆ ครับ คิดไม่ผิดเลยที่เข้ามาเว็บนี้ นับถือครับ



ดั่งที่คุณหมี่แห้งว่าล่ะครับ



"ความสุข คำนี้เปรียบเหมือนรากแก้วของต้นไม้ แตกออกเป็นรากฝอย เฉกเช่นบางคนมีความสุขกับการสนทนาธรรมกับกลุ่มคนรู้ใจ"
 
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 30 พ.ค.2005, 8:24 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เช่นกันครับ ยิ่งซาบซึ้งในภาษิตคนโบราณ ที่มาจากมงคลชีวิตข้อที่ 2 เรื่อง คบบัณฑิต สุภาษิตนั้นมีว่า "คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล" ครับ
 
นายประแจ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 30 พ.ค.2005, 10:13 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

หน้านี้เราไปหาผลอะไรดีล่ะ มะม่วงก็ออกไปแล้ว ผลฝรั่งก็เข้าท่านะ แฮ่ ๆ
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง