Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 เทวดา รูปพรหมและอรูปพรหม จะบำเพ็ญเพียรเข้าสู่นิพพานจากภูมิที อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
รักแม่
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 27 เม.ย.2005, 6:52 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขออกตัวไว้ก่อนนะครับว่าผู้ถาม(คือผม) มีความรู้น้อยจริงๆ



ผมอ่านหนังสือหรือฟังวิทยุก็มาคิดเอาเองว่า ในภูมิของอรูปพรหม(เรียกว่าอสัญญาสัตตาภูมิรึเปล่าครับ) น่าจะละกิเลสได้ง่ายกว่าเพราะท่านไม่มีตัวตนให้สัมผัส ได้ยินหรือมองเห็น ย่อมเกิดกิเลสน้อยกว่าผู้ที่มีสิ่งเย้ายวนทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้พบทุกวัน



เท่าที่ผมมานึกดูเหมือนกับสรุปได้ว่า การสู่นิพพานนั้น ต้องบำเพ็ญบารมีในมนุษภูมิเท่านั้น



ขอรบกวนถามท่านผู้รู้ด้วยครับ
 
Earthy
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 29 เม.ย.2005, 1:43 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พรหมทุกชั้น เมื่อหมดบุญหรือครบเทอมแล้ว ก็ต้องกลับมาเกิดในโลกมนุษย์เป็นปุถุชนธรรมดาอย่างเราๆนี้แหละ บรรพบุรุษของมนุษย์เราก็มาจากอภัสราพรหม.... ยกเว้นคือพวกนิพพานพรหม คือ พรหมชั้นสุทธาวาสเท่านั้นที่ไม่กลับมาเกิดเป็นปุถุชนอีก พระอนาคามีเหล่านั้น คือ พวกตายจากโลกมนุษย์ในภูมิธรรมพระอนาคามีไป เมื่อพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปมาบังเกิด พระองค์ท่านก็จะเสด็จไปโปรพระอนาคามีเหล่านั้นที่ชั้นสุทธาวาส และพระอนาคามีเหล่านั้นท่านจะบรรลุอรหันต์เข้าพระนิพพาน จากพรหมชั้นสุทธาวาสนี้
 
นก
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 29 เม.ย.2005, 7:06 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ลองบำเพ็ญดูสิ
 
รักแม่
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 29 เม.ย.2005, 8:13 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอบคุณครับ



 
ครูจักรกริช
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 01 พ.ค.2005, 3:01 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พรหมทวดาท่านก็สามารถบำเพ็ญบุญได้อยู่เช่นกันครับ

การฟังธรรมที่เทวสภาสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้นก็เป็ฯการบำเพ็ญบุญเหมือนกันนะครับ

และในการเทศนาธรรมแต่ละครั้ง บางท่านก็บรรลุมรรคผลด้วยเช่นกันทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบุญเก่าที่สร้างไว้เมื่อสมัยเป็นมนุษย์ด้วยครับ

หากเคยมีจิตอธฺษฐานเพื่อพระนพพานมาก่อนย่อมสามารถสำเร็จมรรคผลได้เช่นกัน

ไม่ต้องรอกลับมากิดในโลกมนุษย์หรอกครับ

บางท่านๆเห็นภัยในวัฏฏะ ก็รีบบำเพ็ญเพียรเพราะกลัวการเกิด แต่บางท่านมัวหลงสุขยึดติดกามคุณอันบำรุงบำเรอได้อย่างไม่บกพร่องก็ย่อม มีโอกาสน้อยในการบรรลุธรรม

เทวดาพรหมทั้งหลายก็คล้ายๆมนุษย์นี่แหละครับ มีความเป็นปุถุชน มีความเป็นอริยชน

ทั้งนี้อยู่ที่ว่าตอนเป็นคนเป็นคนยงไง ตายไปนิสัยนั้นก็ไม่ได้หายไปไหนหรอกครับ

เหมือนกับเงาตามตัว

ดังนั้น

เราควรที่จะเร่งสร้างบุญบารมีของเราเสียดีกว่าที่จะตั้งคำถามที่เป็นเชิงไม่ก่อให้เกิดมรรคผลนะครับ

แต่คนเรามากด้วยความสงสัยเป็นพื้นฐาน ดังนั้น ความสงสัยนี่แหละครับจึงเป็นเหตุให้จิตของเราส่งออกนอกตัวเราเสมอ ดังนั้น ผู้ใดใฝ่ประพฤติธรรม ก็เร่งสร้างแต่กรรม ลดละกรรมชั่วให้มากเข้าไว้ และจงทำอารมณ์ใจตนให้มีสุขและผ่องใสเสมอ จึงจะเข้าสู่ทางตรงแห่งคำสอนหลักของพระพุทธศาสนาไงครับ ไม่ต้องไปอ้อมทางนั้น แวะทางนี้ ทำจิตตนให้บริสุทธิ์ไกลจากกิเลส ยอ่มถือว่าดีที่สุดครับ
 
รักแม่
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 01 พ.ค.2005, 9:08 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอบคุณคุณครูจักรกริชมากครับ เห็นด้วยกับคุณครับ

เริ่มด้วยความสงสัยหรือกามกิเลสเป็นพื้นฐาน จะทำให้จิตฟุ้งไปได้มากเลยครับ ยิ่งไม่เคยฝึกยิ่งไปกันใหญ่เลย คือ จิตฟุ้งแล้ว ดึงสติกลับมาไม่ได้ ผมก็ถามปัญหานี้กับพี่ชายนะครับ

เขาตอบเหมือนคุณเลยครับ ว่า ไปสงสัยทำไมกับเรื่องที่ไม่ควรสงสัย แต่ก็ขอบคุณคุณครูจักกริชมากนะครับ ที่ให้คำตอบและคำแนะนำด้วย จะน้อมรับไปปฏิบัตินะครับ



 
สามารถ ใยสุข
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 19 พ.ค.2005, 11:21 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

:การที่เทวดา พรหม และอรูปพรหมนั้นจะบำเพ็ญเข้านิพพานนั้นได้ต้องอาศัยการบำเพ็ญของลูกหลานที่เป็นกายเนื้อด้วย ถ้าลูกหลานกายเนื้อบำเพ็ญดีเข้าก็สามารถที่จะเขาสู่นิพพานได้ นอกจากบรรรพบุรุษที่อยู่บนสวรรค์แล้วที่จะเข้านิพพานได้เมื่อลูกหลานกายเนือ้บำเพ็ญธรรมดีแล้ว บรรพบุรุษที่อยู่ในนรกก็สามารถที่จะขึ้นนิพพานได้เช่นเดียวกัน ถึงอย่างไรนั้นถ้าลูกหลานบำเพ็ญไม่ดี ผิดต่อปณิธานที่สตั้งไว้ก็ไม่สามารถที่จะเข้านิพพานได้เช่นกัน อีกทั้งจะยังได้รับความทุกข์ทรมานจากการกระทำผิดที่กระทำไว้ จะต้องได้รับทุกข์ทรมานนั้นมากกว่าบุคคลที่มิได้บำเพ็ญธรรรมถึง 10 เท่ากับความผิดที่เราได้กระทำไว้ด้วย
 
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 19 พ.ค.2005, 12:58 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เอ ผมว่า ผลของกรรมดีชั่ว ใครทำเอง คนนั้นก็ได้รับเอง ไม่เกี่ยวกับลูกหลานนะครับ มีแต่ถ้าลูกหลานสร้างบุญอุทิสมาให้ ถ้าเราเป็นเทวดาอยู่ ก็สามารถอนุโมทนาบุญ และรับบุญจากลูกหลานได้ครับ แต่ถ้าลูกหลานสร้างบาป โดยไม่เกี่ยวกับคำสอนของเรา (คือ เราไม่ได้เป็นคนสั่งสอนให้ลูกหลานสร้างบาปสร้างกรรม เช่น ไม่ได้สอนลูกหลานว่า เหล้าของดี กินแล้วบำรุงสุขภาพ ลูกหลานก็กินใหญ่เลย ถ้าอย่างนี้บาป ก็ตกกับเราผู้สอนลูกหลานด้วยครับ) ผลบาปที่ลูกหลานทำ จะไม่เกี่ยวกับเราครับ



ตัวอย่างก็เช่น ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์ สร้างมหาทานบารมี แจกทานแก่คนยากจน และเหล่านักบวช (ตอนนั้นยังไม่มีศาสนาพุทธ) ทุกวันตลอดชีวิต ละโลกแล้ว ไปเกิดเป็นพระอินทร์ แต่ลูกชาย พระโพธิสัตว์ มีความเห็นผิด คิดว่าบุญบาปไม่มีผล ตอนพ่อ(พระโพธิสัตต์) ยังอยู่สอนอะไร ลูกก็ครับๆ แต่พอพ่อตาย ก็คิดทันที ทำบุญสูญเปล่า กินเหล้าสุขโข ดังนั้นจึงเลิกให้ทาน แล้วคบเพื่อนขี้เมา ตั้งวงเหล้าตลอดแทบทุกวัน บางวันจ้างนักร้องนักเต้น มาแสดงให้ดู แล้วก็ให้ริบ เงินทองก็หมดไปเรื่อยๆ

พระอินทร์ (โพธิสัตต์) สอดส่องด้วยตาทิพย์ มาดูลูกหลาน โอ ย่ำแย่แน่ ยังไงก็ลูก จำเราจะต้องช่วยเสียหน่อย ว่าแล้ว ก็มาปรากฏตัวต่อหน้าลูก เนรมิต หม้อวิเศษ อยากได้อะไรก็ให้ลูกหยิบเอาในนี้ ลูกก็ดีใจว่า ตนไม่มีวันยากจนแน่นอน แล้วก็ไปเมาเหมือนเดิม

วันหนึ่ง เมาแล้ว เกิดคะนอง นำหม้อมาโยนเล่น แล้วก็รับไม่ทัน หม้อก็ตกพื้นแตกกระจาย ทรัพย์สมบัติทั้งหxxx็ถึงกาลพินาศ ลูกพระโพธิสัตว์ สร้างบาปเอง ก็ได้รับผลเอง แต่ไม่เกี่ยวอะไรกับพระโพธิสัตว์ เพราะท่านไม่ได้ไปสอนให้ลูกทำตัวเช่นนั้นครับ
 
นักเดาผู้ชอบธรรม
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 12 มิ.ย.2005, 9:18 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมคิดว่าพรหมน่าจะรู้แจ้งในธรรมยากมากครับ เนื่องจากท่านเห็นแต่ส่วนดีมากเสียจนไม่คิดว่าโลกนี้มีสภาพจริงหรือธรรมมะในส่วนที่ตรงกันข้ามอยู่ เช่น การเกิดแก่เจ็บตายท่านก็อายุยาวนานกว่าใครเพื่อนจนท่านอาจจะเข้าใจว่าท่านคงจะไม่มีวันสิ้นสุด เจ็บก็ไม่เคยเป็น กิเลสหรือความอยากก็ไม่รู้ว่าคืออะไรเพราะคิดจะเอาอะไรก็คงได้ทุกอย่างตามต้องการ ในเมื่อท่านเห็นแต่สิ่งรอบตัวท่านทุกอย่างเสื่อมดับไปแต่ไม่เห็นว่าตัวท่านเสื่อมแล้วท่านควรจะเชื่อตัวเองดีหรือคำสอนผู้อื่นดีละครับ ผมคิดว่าพรหมที่จะละไม่ยึดติดกับสุขของตนเองได้คงมีน้อยมากครับเพราะน่าจะเป็นที่สุดของความสุขที่จิตจะแสวงหายิ่งไปกว่านั้นอีกไม่ได้แล้ว พรหมจึงน่าจะมีปัญหาไม่เข้าใจสภาพทุกข์เพราะเข้าถึงด้วยการปฏิบัติไม่ได้แต่คงเรียนรู้สอบถามจากจิตผู้หลุดพ้นแล้วได้ดั่งที่มีในคำเล่าขานเรื่องของพระผู้ดับกิเลสได้แล้วนั่นเอง
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง