|
|
|
 |
ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
KOOK
บัวผลิหน่อ

เข้าร่วม: 15 เม.ย. 2005
ตอบ: 1
|
ตอบเมื่อ:
15 เม.ย.2005, 8:16 pm |
  |
อยากทราบวิธีดับทุกข์ที่มีมาในใจตลอดชีวิตต่อผู้ให้กำเนิด
ขอกล่าวเรื่องโดยย่อ มารดาเสียชีวิตตั้งแต่ 5 ขวบเนื่องจากไม่สบายทางจิตฆ่าตัวตาย หลังจากนั้น 2 ปี พ่อผู้ให้กรรมเนิดแต่งงานมีครอบครัวใหม่มีลูก 2 คนซึ่งทั้งสองคนมีอาชีพรับราชการ รับเลี้ยงเราคล้ายกับลูกแต่เหมือนไม่ใช่ซึ่งอยู่ในฐานะลูกแต่ต้องทำงานบ้านหนัก อยู่แบบอด ๆ อยาก ๆ กินของเหลือจากน้องทั้งสองตั้งแต่ 7 ขวบถึง 12 หลังเรียนจบประถมสุดจะทนย้ายมาอาศัยอาศัยอยู่กับย่าที่แก่เลี้ยงดูและเคยฆ่าตัวตายตามมารดาแต่ก็รอดมาได้ และทางผู้ให้กำเนิดส่งเสียเงินทองบ้างแต่ไม่มาก และช่วยเหลือตนเองทำงานและศึกษาไปด้วยจนสามารถเรียนจบมีงานทำที่ดี ได้บวชเรียน และแต่งงานมีครอบครัว ปัจจจุบันบิดาผู้ให้กำเนิดปลดเกษียณอยู่บ้านและไม่เคยห่วงใยสอบถามสารทุกข์สุกดิบ อยากทราบว่าในอนาคตถ้าผู้ให้กำเนิดเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าไม่สนใจดูแลปล่อยไปตามกาลเวลาเนื่องจากมีลูกของเขาอยู่แล้ว จะบาปไหมและจะมีผลต่อชาติภพหน้าอย่างไรบ้างเนื่องจากไม่อยากมีชีวิตแบบเดิม ๆ ในอดีตที่ทุกครั้งที่นึกถึงแล้วไม่สบายใจ  |
|
|
|
   |
 |
อโหสิกรรม
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
15 เม.ย.2005, 8:56 pm |
  |
ตอบคุณKOOK ค่ะ อโหสิกรรมให้ท่านเถอะนะค่ะ บุญคุณพ่อแม่ยิ่งใหญ่นักที่ให้ชีวิตเรามา สิ่งที่ผ่านมาในอดีต ความทุกข์ทั้งหลายที่คุณได้รับมา มันผ่านไปแล้ว แต่สิ่งที่คงอยู่คือความทุกข์ในใจคุณ คุณเป็นคนดี คิดอยากทำดีจงทำในทันทีเถอะ อย่าให้กิเลสและพญามารจากความเจ้าคิดเจ้าแค้นในอดีตทำให้คุณต้องเป็นลูกอกตัญญูเลย ขอให้รีบทำก่อนจาสายเกินไป เพียงคุณจงอโหสิกรรมให้ท่าน แล้วทำตนเป็นลูกที่ดีมีความกตัญญูรู้คุณผู้ให้กำเนิด กุศลผลบุญจะทำให้คุณพบเจอแต่ความสุขความเจริญยิ่งๆขึ้นไปในชีวิต คุณเองก้อมีครอบครัว ขอให้คิดไว้เสมอ เวรกรรมมีจริง เราทำสิ่งใดกับพ่อแม่เอาไว้ ลูกๆของเราก็จักทำในสิ่งเดียวกันนี้ให้กับเราในอนาคต สิ่งไม่ดีทั้งหลายที่คุณได้รับมาขอให้คิดในแง่ดีว่าคุณได้ชดใช้หนี้กรรมในอดีตไปแล้วปัจจบันคุณจะสร้างแต่ความดีเพื่อจะไม่เป็นการต่อภพต่อชาติที่ต้องทุกข๋ทรมานกับท่านอีก ขอคุณจงอโหสิกรรม และทำความดีต่อท่านผู้ให้กำเนิด เพียงเท่านี้คุณจะพบกับความสุขกายสบายใจอย่างแท้จริง ทุกข์ในใจคุณก้อจะได้รับการเยีนวยารักษาให้หายขาด
ขอให้พ้นทุกข์โดยเร็วนะค่ะ  |
|
|
|
|
 |
ทอแสง
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
15 เม.ย.2005, 11:00 pm |
  |
[size=5]วิธีดับทุกข์ เพราะ...พ่อ-แม่
พ่อ-แม่ จัดว่าเป็น "ปูชนียบุคคล" ของลูกทุกคน พระพุทธเจ้า ทรงเทียบฐานะของพ่อแม่ เท่ากับเป็น "พระ" ของลูก แม้บวชอยู่บิณฑบาตมาเลี้ยง ก็ยังไม่มีโทษ แถมยังได้รับการยกย่องสรรเสริญ จากพระพุทธองค์อีกด้วย
ด้วยเหตุที่พ่อแม่ เป็นผู้มีพระคุณมากล้นเช่นนี้ ผู้ที่ปฏิบัติต่อพ่อแม่อย่างถูกต้อง จึงมีแต่ "สิริมงคล" เป็นที่ยกย่องสรรเสริญของคนดีโดยทั่วไป ในทางตรงกันข้าม
ถ้าปฏิบัติกับพ่อแม่ไม่ถูกต้อง ก็ย่อมจะเกิด "อัปมงคล" หาความเจริญทางจิตใจมิได้ และจะได้รับกรรมอันนี้สนองในชาตินี้เป็นส่วนมาก กล่าวคือลูกของเรา ก็จะทำต่อเราเช่นนี้เหมือนกัน
ดังนั้น ในฐานะลูกที่ดี จึงควรมีความกตัญญูและกตเวทีต่อพ่อแม่ของตน สนองคุณด้วยการเลี้ยงดูตามธรรม อย่าให้ท่านได้รับความทุกข์ทั้งกายและใจ และผลแห่งกุศลกรรมนี้ ก็ย่อมจะสนองเราทันตาเห็น เช่นเดียวกัน ทั้งรูปธรรมและนามธรรม
วิธีดับทุกข์ เพราะพ่อแม่เป็นเหตุนี้ หมายเอาเฉพาะพ่อแม่ที่ขาดศีลและธรรม เป็นมิจฉาทิฐิ ตกเป็นทาสของสุรา การพนัน นารี หรืออบายมุขประเภทต่าง ๆ เป็นต้น
อันเป็นผลพวง ที่ลูก ๆ พลอยเดือดร้อนไปด้วย ลูก ๆ ที่ตกอยู่ในภาวะเช่นนี้ จะต้อง "ทำใจ" ให้ถูกต้อง และปฏิบัติตนให้สมกับเป็นลูกที่ดี อย่าได้เอา "น้ำเน่าไปล้างน้ำเปล่า" เป็นอันขาด มิฉะนั้นจะได้ชื่อว่า "ลูกอกตัญญู" หรือ "ลูกเนรคุณ" ไป จะมีแต่เสนียดจัญไร เมื่อตายก็ไปนรกแน่นอน
หลักความจริงมีอยู่ว่า ในชาตินี้เราไม่อาจจะเลือกเกิดเป็นลูกของคนนั้นคนนี้ได้ เพราะมันได้เกิดมาเสียแล้ว แต่เราก็สามารถเลือกเกิดในอนาคตได้
การที่ทุกคนได้เกิดมาแล้ว เป็นผลจากกรรมเก่า ที่เราได้ทำเอาไว้เองก่อน ส่งผลให้มาเกิดในฐานะเช่นนี้ เราจึงควรยินดี และพอใจในพ่อแม่ของตน แม้จะอยู่ในภาวะเช่นใดก็ตาม
ถ้าเราไม่ยินดี ไม่พอใจต่อพ่อแม่ ผู้ให้กำเนิดเรา เราก็ไม่อาจจะเลือกได้ การไม่ยินดีไม่พอใจ จึงเป็นความทุกข์ประการหนึ่ง
นอกจากนั้น การคิดนึกเช่นนี้ ย่อมจะเป็น "เชื้อ" ให้เกิด "อกตัญญู" และเมื่ออกตัญญูเกิด อกตเวทีและ "เนรคุณ" ก็อาจจะตามมาอีกด้วย จึงควรรีบกำจัดความคิดเช่นนี้เสียโดยเร็ว
แม้ว่าพ่อแม่ จะเป็นคนแสนเลวประการใด โหดร้ายเพียงใด ก็จะต้องถือว่าเป็น "บุคคลต้องห้าม" สำหรับลูก ที่จะเข้าไปแตะต้องด้วย "อกุศลจิต" มิได้เลย
ธรรมดาของที่มีคุณทุกชนิด ถ้าปฏิบัติถูกก็เกิดคุณอนันต์ ถ้าปฏิบัติผิดก็เกิดโทษมหันต์
พ่อแม่เปรียบประดุจพระอรหันต์ของลูก เพราะรักลูกด้วยความบริสุทธิ์ใจ ลูกที่มีสัมมาทิฐิ ต้องให้ความเคารพนับถือ เชื่อฟัง และตอบแทนคุณ ถ้าไม่ปฏิบัติก็จะเกิดมลทินไปชั่วชีวิต
การที่พ่อแม่ทำผิดทำชั่ว อันเป็นผลพวง ที่ตกมาถึงเรา ก็เป็นเพราะอกุศลกรรมของเรา ดลจิตให้ท่านทำเช่นนั้น เราอย่าได้เอาความชั่ว ไปตอบแทนพระคุณที่ท่านให้กำเนิดแก่เรา
การที่เราได้มาเกิดเป็นลูกของท่าน ก็เป็นผลแห่งบาปกรรม ที่เราทำเอาไว้เองให้เป็นไป ถ้าเราไม่ต้องการมาเกิดเช่นนี้อีก ก็ควรเร่งทำความดีให้มากขึ้น ในชาติต่อไป เราก็ย่อมพ้นสภาพเช่นนี้
มีสีกาคนหนึ่ง บ้านอยู่ห่างถ้ำสติ มาเที่ยวแล้วถามว่ามีพ่อขี้เหล้า มักด่าและตบตีเป็นประจำ ส่วนแม่ก็เอาแต่เล่นไพ่ เล่นได้ก็หน้าบานใจดี วันไหนเล่นเสีย ก็พาลด่าจนเข้าหน้าไม่ติด
เขาได้แนะนำให้พ่อเลิกเหล้า ให้แม่เลิกเล่นไพ่ ก็ถูกด่าเปิง แถมจะลงมือลงไม้เอาด้วย หาว่าอวดดีมาสอนพ่อแม่ xxxเป็นลูกอย่าเสือกมาสอนกู กูไม่ดีก็เลี้ยงxxxมาไม่ได้ ขอให้หลวงตาช่วยแนะนำ จะทำอย่างไร พ่อแม่จึงจะเลิกอบายมุขได้ ? ได้ให้คำแนะนำเขาไปว่า
การที่ลูกจะแนะนำพ่อแม่ได้ พ่อแม่นั้นจะต้องมีความนับถือหรือเกรงใจลูกอยู่บ้าง แต่โดยทั่วไปแล้ว การสอนพ่อแม่ เป็นเรื่องทำได้ยาก ทั้งนี้เพราะ
พ่อแม่มีสำนึกอยู่ว่า "กูเป็นพ่อ กูเป็นแม่ กูอาบน้ำร้อนมาก่อน มีหน้าที่ต้องสอนลูก เลี้ยงลูก ลูกมีหน้าที่เชื่อฟัง และทำตามอย่างเดียว จะมาสอนพ่อแม่ไม่ได้ แม้พ่อแม่จะทำผิดทำชั่วก็ตาม"
คำแนะนำของลูกที่ถูกต้อง จึงไม่มีน้ำหนักที่จะเรียกร้องให้ยอมรับฟังหรือทำตามได้ ยกเว้นแต่พ่อแม่ ที่มีสัมมาทิฐิ แต่ได้หลงผิดไปชั่วคราว อาจยอมรับและกลับตัวได้ง่าย
ถ้าเป็นเช่นนี้ ทางปฏิบัติก็มีอยู่ ๒ ประการ คือ วางอุเบกขา ปล่อยให้เป็นไปตามกรรมของท่านเอง หรือ หาผู้ที่พ่อแม่เคารพนับถือ ช่วยแนะนำตักเตือนให้ อาจจะเลิกได้ถ้าหมดเวร ขอแต่ว่าให้เราพยายามทำหน้าที่ของลูก ให้ดีที่สุดก็แล้วกัน ถ้าท่านไม่รีบตายจากเราไปเสียก่อนหมดเวรกรรมท่านก็ต้องเลิกเอง
ทางแก้
๑. ศึกษาเรื่องกฎแห่งกรรม ให้เห็นความจริงว่า ที่เรามาเกิดกับพ่อแม่ ที่ไม่ดีนั้น "เป็นผลของอกุศลกรรมของเราเอง" ถ้าไม่อยากมาเกิดกับพ่อแม่เช่นนี้ ก็ต้องเร่งทำความดีให้มาก ชาติหน้าก็ไม่มาพบกันอีก
๒. ต้องปฏิบัติหน้าที่ ระหว่างลูกกับพ่อแม่ให้ถูกต้อง คือ มีความกตัญญูและกตเวที พยายามให้พ่อแม่มีศีลธรรมให้ได้ อย่าได้เอาความชั่ว ไปต่อความชั่ว มิฉะนั้นในชาติหน้า เราจะต้องไปเกิด และชดใช้บาปกรรมร่วมกันอีก
๓. การทำให้พ่อแม่ทุกข์กายและใจ บ่น ด่า ทุบตี หรือ ฆ่า เป็นการปิดทางสวรรค์และนิพพานของลูก พร้อมกันนั้นก็เปิดทางอบาย ทุคติ วินิบาต และนรกไว้รอด้วย
๔. การที่เราอยู่กับพ่อแม่ ที่ขี้บ่น หรือ ด่า นั้น ถ้าเจาะให้ลึกซึ้ง "ก้นบึ้งหัวใจ" ก็จะพบความจริงว่า เกิดจากความ "หวังดี" คืออยากให้ลูกดี
ถ้าท่านไม่รักเราจริง ท่านจะบ่นจะด่าทำไม่ ? ให้มันเมื่อยปาก ? ปล่อยให้เรา "ขึ้นช้าง ลงม้า"คอหักตายไป มิดีกว่าหรือ ?
คำด่าของพ่อแม่ จึงเป็นพรอันประเสริฐ ที่ลูกควรรับฟัง และพิจารณาด้วยใจเป็นกลาง คือ
ก. ถ้าท่านด่าหรือบ่น โดยเราไม่ผิดหรือไม่จริง ก็อย่าได้สวนขึ้นในขณะนั้น รอให้ท่านอารมณ์ดี แล้วค่อยชี้แจงเหตุผลให้ฟังภายหลัง
ข. ถ้าท่านด่าหรือบ่น โดยเราเป็นฝ่ายผิด ก็ต้องรีบแก้ไขปรับปรุงตน อย่าได้ทำเช่นนั้นอีก ท่านก็จะเลิกบ่นไปเอง
ค. ถ้าท่านบ่นหรือด่า โดยหาสาระมิได้ ก็ควรสงบใจ วางอุเบกขาเสีย มันเป็นการระบายอารมณ์ ของคนที่มีภาระมาก และวางไม่ลง ได้บ่นหรือด่าใครนิดหน่อย อารมณ์ก็จะดีขึ้น เป็นธรรมดาของคนที่ห่างวัด ขาดธรรมะ จะต้องเป็น "เช่นนั้นเอง"
๕. คำบ่นหรือด่าของพ่อแม่ ไม่มีพิษภัยเท่ากับคำเยินยอของหนุ่มหรือสาว ถ้าเราทนได้ ปล่อยวางอุเบกขาได้ ก็เป็นการบำเพ็ญ "ขันติบารมี" ไปในตัว ควรหัดทำให้ได้
..................................
เนื้อหาในส่วนวิธีดับความทุกข์ทั้งหมด
คัดลอกจากหนังสือ "บันทึกธรรม ฉบับดับทุกข์"
เรียบเรียงโดย "ธรรมรักษา"
|
|
|
|
|
 |
ขวัญ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
17 เม.ย.2005, 6:22 am |
  |
ทั้งความคิดเห็นที่๑ และ ที่๒ แสดงเนื้อหาสาระข้อแนะนำของการปฏิบัติต่อบุพการีไว้ค่อนข้างสมบูรณ์ค่ะ คุณอโหสิกรรม และ คุณทอแสง คะ ป้าขวัญขอ เสริมอีกนิดเดียวนะคะ คือ เมื่อลูกที่ห่างเหินหมางเมินกับพ่อแม่มาเป็นเวลานาน (อาจจะเนื่องด้วยยังผูกใจเจ็บแค้น พ่อแม่อยู่ แต่มีจิตสำนึกที่อยากจะแก้ไขแต่ไม่รู้จะเริ่ม ทำอย่างไรดี) ป้าขวัญมีวิธีง่ายๆ ที่จะประสานความสัมพันธ์ของลูกๆกับพ่อแม่ให้กลับมีความรู้สึกที่ดีๆต่อกันได้ค่ะ ทดลองทำดังนี้ดูนะคะ วันเกิด(ทั้งของตัวลูกและพ่อแม่) วันพ่อวันแม่ วันพระใหญ่ต่างๆ วันสงกรานต์ วันปีใหม่ ให้หาพานดอกไม้พร้อมทั้งเงินสดและของขวัญตามกำลังทรัพย์ คลานเข้าไปกราบพ่อแม่และบอกว่า "ขอบูชาคุณที่ท่านให้กำเนิด" และต่อท้ายด้วย คำว่า "หากแม้ว่าลูกได้ล่วงเกินพ่อด้วยวิธิใดๆ ลูกขอกราบแทบเท้าขอขมา และขอให้พ่อกล่าวคำว่า อโหสิให้ลูก" อย่ารอช้านะจ๊ะ เพราะไม่ลูกก็พ่อแม่อาจจะตายก่อนที่จะได้ไปกราบท่านก็ได้ และพยายามทำหลายๆวัน อย่ารอไปกราบแค่เฉพาะวันพ่อวันแม่ (ถ้าทำครั้งแรกแล้วได้รับปฏิกิริยาหมางเมินขึ้งเคียดใส่ แถมท้ายด้วยวาจากระแนะกระแหน ก็อย่าได้ท้อถอยหยุดทำนะคะ เพราะว่านั่นเป็นกระบวนการยอมรับตามธรรมชาติซึ่งมีขั้นตอนอย่างนั้นเอง ให้เวลาท่านปรับตัวปรับใจ บ้าง) วิธีนี้ลองทำมาแล้วได้ผลมาแล้วหลายครอบครัวค่ะ โปรดจำไว้นะคะ ถ้าเราให้อภัยพ่อแม่เราไม่ได้ เราก็จะไม่สามารถให้อภัยคนอื่นได้เลย และเราจะเป็นมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์ เพราะว่าให้อภัยคนไม่เป็น ...การกระด้างหมางเมินยโสโอหัง ก่อกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม โต้ตอบพ่อแม่ จนวันตายจากกัน แล้วไปกราบศพขออโหสิกรรม และมีการเอาสำรับอาหารชุดเล็กๆไปวางไว้ใกล้โลงศพ พร้อมกับเคาะโลงเรียกพ่อแม่กินข้าวนั้น แทบไม่มีผลต่อการไถ่ถอนบาปกรรมไปได้เลย เพราะว่าท่านได้ละโลกนี้ไปแล้ว....ทำดีกับท่านขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ให้ผลตรงที่สุด เพราะท่านรับรู้ได้เป็นรูปธรรม  |
|
|
|
|
 |
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
17 เม.ย.2005, 10:06 pm |
  |
สมัยตอนผมบวชเป็นสามเณร พระอาจารย์ชื่ออนุชา ท่านเคยเทศน์ไว้ ผมประทับใจ เลยจำไม่ลืมมาถึงตอนนี้ก็หลายปีแล้วครับ ว่าพ่อแม่ที่ไม่เลี้ยงดู มีพระคุณหรือไม่
ครั้งหนึ่ง มีหลวงตาองค์หนึ่ง เปิดประตูหน้าวัดมา เห็นมีคนนำเด็กทารกมาวางทิ้งไว้ ราวกับนิยายหลายๆ เรื่อง หลวงตาจึงนำเด็กมาเลี้ยงไว้ที่วัดแทน เมื่อเด็กเจริญวัยขึ้น ถูกเด็กวัดคนอื่นล้อเลียนทุกวันๆ ว่า xxxลูกไม่มีพ่อมีแม่ เด็กน้อยก็สั่งสมความเกลียดพ่อแม่เพิ่มขึ้นทุกวัน ว่าให้กำเนิดเขามา แต่ทำไมให้เลี้ยงดูเขา พ่อแม่เช่นนี้ไม่มีบุญคุณอะไรเลย มีแต่สร้างความยากลำบากให้กับเขาแทน
หลวงตาผู้มองการณ์ไกล เห็นแล้วว่า ปล่อยไว้อย่างนี้ไม่ดีแน่ เพราะคนที่เกลียดพ่อแม่ โตขึ้นไปทำหน้าที่การงานอะไรก็หวังความเจริญได้ยาก ดังนั้น เมื่อมีโอกาสหลวงตาก็เรียกเดีกน้อยมาคุยด้วย
หลวงตา : เป็นไงอยู่วัดนี่มาตั้งหลายปี มีอะไรติดขัดมั้ย
เด็กน้อย : เรื่องอาหารการกิน ที่พักหลับนอนไม่มีปัญหาครับ มีแต่พ่อแม่ของผมนี่แหละครับ ที่ไม่รู้จักรับผิดชอบ ปล่อยให้ผมต้องมาลำบาก ถูกคนอื่นล้อเลียนอย่างนี้
หลวงตา : หลวงตาขอถามปัญหาอย่างหนึ่ง ถ้าสมมุติมีใครสักคน มาจ้างให้เจ้าไปเป็นคนใช้เขา โดยบอกว่า จะให้เงินเจ้าสัก 20,000 บาท เจ้าจะว่ายังไงล่ะ
เด็กน้อย : จริงหรือครับ เขาจะมาเมื่อไหร่ครับ โอ้ ผมยินดีจะไปลูกน้องรับใช้เขาสักปีหนึ่งเลยครับ เพราะอย่าว่าแต่เงินหมื่นเลย แค่แบงค์พัน ผมยังไม่เคยเห็นเลยครับ
หลวงตา : ข้าแค่สมมุติเท่านั้นโว้ย เอาอย่างนี้ถามต่อ แล้วถ้าเขาบอกว่า จะให้เจ้าสักหนึ่งล้านบาทล่ะ หนึ่งล้านเชียวนะ
เด็กน้อย : โอ้โห แต่เป็นไม่ได้หรอกครับมันมากเกินไป แต่ถ้ามีใครมาให้จริง ผมจะขอไปเป็นลูกน้อยเขาตลอดชีวิตเลยครับ มีอะไรจะใช้งานยินดีรับใช้ทุกอย่างครับ
หลวงตา : ดีมากๆ รู้คุณคนดี อย่างนี้ไปอยู่ไหน ก็เจริญ แล้วถ้าเขาไม่ขอให้เอ็งเป็นลูกน้องล่ะ แต่ขอสิ่งของแลกเปลี่ยนบางอย่างจากเอ็ง
เด็กน้อย : ของแลกเปลี่ยนหรือครับ อย่างผมจะไปมีของแลกเปลี่ยนอะไรได้ครับ
หลวงตา : ก็ไม่มากหรอก 1 ล้านนี้ ขอแลกกับ แขนหรือขา ของเอ็งสักข้าง ข้างเดียวก็พอ
เด็กน้อย : หา ไม่มีใครยอมหรอกครับ หลวงตา อย่าว่าแต่แขนเลย ขอแค่มือ (ขอมือเธอหน่อย) ผมก็ไม่ให้ครับ
หลวงตา : (ยิ้ม) งั้นเหรอ ถ้าเขาให้ 1 ล้าน เอ็งสำนึกบุญคุณ ถึงกับจะยอมไปเป็นลูกน้องเขาตลอดชีวิต แต่ถ้าแลกกับแขนหรือขา หรือมือ เอ็งไม่เอา แล้วแขนหรือขา ของเอ็งนี่ เอ็งได้มาจากใคร ใครให้เอ็งมา เข้าใจหรือยังล่ะ ว่าพ่อแม่มีพระคุณมากมายขนาดไหน แม้ไม่ได้เลี้ยงเรามาก็เถอะ เอ็งก็เป็นเด็กฉลาด ลองเก็บเอาไปคิดก็แล้วกันนะ เอาล่ะไปได้แล้ว
ไม่ว่าสุดท้ายแล้ว เด็กน้อยจะคิดออกมาอย่างไร แต่หลวงตาก็ภูมิใจแล้วว่า ท่านได้พยายามปลูกฝังเม็ดพันธุ์แห่งความดีงามลงไปในใจเด็กน้อยแล้ว ที่เหลือเป็นเรื่องของเวลาและกุศลจิตในอดีตของเด็กน้อยที่สั่งสมมา ว่าจะมาเตือนในสิ่งที่ถูกที่ควรหรือไม่
และตัวผมเองก็ภูมิใจ ที่ได้นำความพูดของหลวงตาที่พระอาจารย์อนุชาได้เคยเทศน์ไว้มาถ่ายทอดให้ทุกท่านทราบกันครับ
|
|
|
|
|
 |
เพียงออ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
25 เม.ย.2005, 5:13 pm |
  |
ตอบกระทู้ได้ดีดี ทุกท่านเลยนะคะ  |
|
|
|
|
 |
บัวในบึง
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
25 เม.ย.2005, 6:07 pm |
  |
บิดา มารดา คือผู้ให้อย่างแท้จริง อย่างน้อย ก็ให้กำเนิดเรา ถ้าไม่มีท่าน เราจะเกิดมาได้รู้จักทุกข์และสุขหรือ โลกนี้สวยงามได้ เพราะมีสิ่งเหล่านี้ และเพราะทุกข์และสุขไม่ใช่หรือที่ทำให้คุณอยากจะหลุดพ้น พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า " การให้ที่ยิ่งใหญ่ อะไรไม่เท่ากับการให้อภัย " ถ้าใจคุณให้อภัย หรือ อโหสิ แล้ว คุณก็จะรู้จักคำว่า สุญญตา
 |
|
|
|
|
 |
Anatta
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 13 มิ.ย. 2004
ตอบ: 25
|
ตอบเมื่อ:
28 เม.ย.2005, 3:39 pm |
  |
"การให้อภัย" เป็นบุญอย่างใหญ่หลวง
เป็นสะพานทอดยาวไปสู่ความพ้นทุกข์
เมื่อจิตใจไม่อาฆาตพยาบาท....ย่อมอยู่เป็นสุข แล้วบาป (ความทุกข์) จะมาจากไหน  |
|
|
|
  |
 |
วรรณ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
29 เม.ย.2005, 5:25 pm |
  |
ิ อ่านคำตอบของทุกคนแล้ว บอกตรง ๆ คะว่าทำยากมาก คือพ่อดิฉันก็เหมือนกันนะคะ มีเมียน้อย แต่เมื่อไม่นานมานี้แม่เกิดอุบัติเหตุต้องรักษาตัว พ่อก็ทิ้งแม่ไปอยู่กับเมียน้อยเลย แต่พอแม่กลับมารักษาตัวที่บ้านก็กลับมาบ้านบ้าง แต่เอาผ้ามาให้แม่ซัก มาเอาข้าวที่แม่ทำไปกินกับเมียน้อย เราลูกนะพอแม่ยอมเราก็ไม่รู้จะทำอย่างไร รู้แต่ว่าแค้น และโกรธมาก บ้างครั้งก็พาลเอากับแม่บ้าง แต่แม่ก็เฉยไม่ว่าอะไร ก็ไม่รู้จะทำตัวอย่างไร ทุกวันนี้ก็พยายามทำใจ ถ้าเจอพ่อก็จะหลบออกจากบ้านไป ถ้าแม่คุยเรื่องพ่อเราจะโกรธ สงสารแม่เหมือนกันเพราะอยู่กันสองคน แกก็ไม่รู้จะคุยกับใคร ก็พยายามทำใจ ตอนนี้ก็เริ่มสวดมนต์ไหว้พระแล้วแต่ก็ยังทำใจยากอยู่  |
|
|
|
|
 |
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
04 พ.ค.2005, 5:52 pm |
  |
ยาถึงแม้จะขม แต่เราก็ควรกินใช่มั้ยครับ เพราะเรารู้ว่า ยาจะช่วยให้เราหายป่วย
ความดี แม้จะฝืนใจ แต่เราก็ควรทำใช่มั้ยครับ เพราะกรรมดี ย่อมคุ้มครองคนดีครับ |
|
|
|
|
 |
|
|
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่ คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ คุณไม่สามารถลงคะแนน คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้ คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
|
| | |