Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ขอทราบประวัติอรหันต์จีกงครับ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
โดราเอมออือ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 10 เม.ย.2005, 11:09 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อยากรู้ครับ ผมว่ามันคงเป็นเคสที่ดี
 
สายลม
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 พ.ค. 2004
ตอบ: 1245

ตอบตอบเมื่อ: 10 เม.ย.2005, 11:51 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



หางโจว:ตามรอยพระบ้า (1)

โดย วริษฐ์ ลิ้มทองกุล 25 พฤศจิกายน 2547 09:35 น.



พูดถึงคำว่า พระบ้า พุทธศาสนิกชนบ้านเรา อาจจะรู้สึกหงุดหงิดแกมกระอักกระอ่วนใจอยู่บ้าง แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่า หลายคนถ้าพูดถึงคำว่า พระบ้า แล้ว ก็ไม่พ้นที่จะนึกถึงพระรูปหนึ่ง .....นามว่า จี้กง



ตอนผมยังเด็ก ละครจีนชุดเรื่องจี้กง เคยถูกนำมาฉายและได้รับความนิยมอย่างสูง ภาพพระจี้กง ในความทรงจำของผม คือ พระที่สวมรองเท้าสานขาดๆ ถือพัดใบลานที่เป็นรู ใส่เสื้อผ้ารุ่งริ่ง มีหมวกโทรมใบเล็ก และที่สำคัญ ขี้ไคลของท่านรักษาได้สารพัดโรค .... แต่นั่นก็เป็นเพียงภาพที่ละครโทรทัศน์ผลิตออกมาเพื่อความบันเทิงเป็นหลักเท่านั้น



สำหรับผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ นิกายมหายาน จี้กง ถูกจัดเป็น อรหันต์ แต่เป็นพระอรหันต์ที่แปลกประหลาดเสียจนผู้คนงุนงง จนผู้คนให้ฉายานามว่า พระบ้า หรือ พระเพี้ยน สาเหตุก็ คือ จี้กงเป็นพระที่รับประทานเนื้อสัตว์ ดื่มสุราอยู่เป็นนิจ นอกจากนี้ยังลักษณะท่าทางยังปราศซึ่งความสำรวม ผิดแผกกับ พระสงฆ์ทั่วไปโดยสิ้นเชิง



อย่างไรก็ตาม เปลือกนอก กับ เนื้อใน หรือ สิ่งที่เห็น กับ สิ่งที่เป็น นั้นบางครั้งก็มิใช่เรื่องเดียวกันเสียหมด อรหันต์จี้กง ก็ถือเป็นหนึ่งในข้อยกเว้นนั้น



จี้กง หรือ จี้เตียน มีตัวตนอยู่จริงในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ปกครองประเทศจีน โดยใช้ชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ.1148-1209 เดิมแซ่หลี่ นามซินหย่วน นอกจากนี้ยังมีนามอื่นๆ อีก เช่น หูหยิ่น และ ฟังหยวนโส่ว เกิดที่ หมู่บ้านหย่งหนิง ตำบลเทียนไถ มณฑลเจ้อเจียง ในตระกูลของผู้มีอันจะกิน*



อย่างไรก็ตามหลังจาก บิดา-มารดา เสียชีวิต จี้กงก็ตัดสินใจละทางโลก สละเพศฆราวาส ออกบวชที่วัดหลิงอิ่น แห่งเมืองหางโจว โดยได้ฉายานามว่า เต้าจี้ ทั้งนี้เต้าจี้ได้รับการอุปสมบทโดยมีพระสงฆ์ผู้มีชื่อเสียงในเวลานั้น คือ พระอาจารย์ฮุ้ยหย่วน



หลังจากจี้กงออกบวช และ ต่อมาก็ออกลาย กลายมามีพฤติกรรมพิเรนทร์ผิดกับพระทั่วไป จนเป็นที่ติฉินนินทาของพระสงฆ์รูปอื่นๆ แต่ด้าน พระอาจารย์ กลับทราบดีว่า แม้ภายนอกจี้กงจะมีกิริยาไม่สำรวมผิดกับพระทั่วไป ทั้งผิดศีล เล่นซุกซนกับเด็กๆ ประพฤติ-พูดจาไม่สำรวม ดื่มสุรา บริโภคเนื้อสัตว์ แต่ลึกลงไปภายใน จี้กงกลับเป็น - - - บุคคลที่ตื่นแล้ว!



นอกจากนี้ด้วยการกระทำหลายๆ ประการของ จี้กง แม้จะเป็นการกระทำที่ดูเหมือนจะผิดศีลธรรม ผิดประเพณีดั้งเดิม แต่เมื่อพิจารณาจาก เนื้อแท้ จุดมุ่งหมายและผลลัพธ์ แล้ว การกระทำเหล่านั้นของจี้กงกลับเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และ ก่อคุณประโยชน์



สรุปความสั้นๆ ตามความเชื่อของพุทธมหายานก็คือ จี้กงเป็นอรหันต์ที่จุติมาเกิดอีกครั้ง เพื่อสั่งสอนมนุษย์โลก



สำหรับ วัดหลิงอิ่น อันเป็นสถานที่แรกซึ่ง จี้กง ก้าวเข้าสู่ เส้นทางแห่งร่มผ้ากาสาวพัสตร์ นับเป็นวัดที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 1,600 ปี และถึงปัจจุบันก็ยังเป็นสถานที่ซึ่งผู้ซึ่งมาถึง หางโจว ต้องไปเยือนด้วยประการทั้งปวง



วัดหลิงอิ่น ผมแปลความหมายเป็นไทยแบบไม่ค่อยสละสลวยนักได้ว่า "วัดซ่อนใจ" มีประวัติย้อนไปได้ถึงปี ค.ศ.326 เมื่อพระอินเดียรูปหนึ่ง ธุดงค์มาถึงทิวเขาด้านตะวันตกเฉียงเหนือของทะเลสาบซีหู และพบหุบเขาที่สามด้านล้อมรอบด้วยป่างาม เหมาะแก่การบำเพ็ญภาวนา ท่านจึงสร้าง วัดซ่อนใจ แห่งนี้ขึ้น**



ขณะที่พระอินเดียรูปดังกล่าวเดินสำรวจพื้นที่ก็พบเข้ากับภูเขาหินขนาดมหึมาที่ดูแล้ว ลักษณะโดดออกจากภูมิประเทศโดยรอบ ท่านจึงพรรณาขึ้นว่า "มิทราบว่าเขายอดนี้บินมาจากหนใด" และนี่เองจึงเป็นที่มาของชื่อ ยอดเขาบิน ณ วัดหลิงอิ่น ***



ทั้งนี้ ในเวลาต่อมาด้วยความศรัทธาต่อ พระจี้กง ชาวบ้านหางโจวจึงโยงใยที่มาของยอดเขาบินที่วัดหลิงอิ่นเข้าเกี่ยวพันเป็นหนึ่งในตำนานอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของ พระจี้กง แต่งเป็นนิทานขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่ง โดยนิทานพื้นเมืองของชาวหางโจวเรื่องนั้นระบุเอาไว้ว่า



เดิมยอดเขาประหลาดดังกล่าวตั้งอยู่ในบริเวณดินแดนแถบตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลเสฉวน .... เช้าวันหนึ่งเมื่อพระจี้กง มีญาณบอกล่วงหน้าว่า ราวเที่ยงวันยอดเขาดังกล่าวจะบินมาตกทับหมู่บ้านข้างวัดหลิงอิ่น และจะทำให้มีผู้คนเสียชีวิตมากมาย ด้วยเหตุนี้พระจี้กงจึงตัดสินใจวิ่งเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อบอกมหันตภัยดังกล่าวให้กับชาวบ้านได้รับทราบ เพื่อที่จะได้พากันอพยพไปยังที่ปลอดภัย



"เที่ยงวันจะมีภูเขาหล่นลงมาทับหมู่บ้าน ทุกคนรีบเก็บข้าวข้องเร็ว ไม่งั้นก็ไม่ทันแล้ว" จี้กงกระหืดกระหอบ มาตะโกนบอกชาวบ้านโดยทั่ว



อย่างไรก็ตามด้วย ความที่ชาวบ้านมองว่า จี้กง เป็นเพียงพระบ้ารูปหนึ่งที่กล่าวอะไรไร้สาระไปวันๆ ทุกคนจึงส่ายหัว พร้อมกับด่าทอว่า "พระบ้าเอ้ย! จะหาเรื่องอะไรมาเล่นสนุกอีกละ ภูเขาบินมีที่ไหนกันเล่า!"



ตะวันยิ่งลอยยิ่งสูง .... ใกล้ถึงเวลาเที่ยงวันที่ยอดเขาจะตกลงมายังหมู่บ้านเข้าไปทุกที พอดีในวันนั้นมีการจัดงานมงคลสมรส จึงมีเสียงของงานรื่นเริงดังขึ้นที่มุมหนึ่งของหมู่บ้าน



เมื่อจี้กงเห็นว่าไม่มีใครยอมเชื่อสิ่งที่ตนเองกล่าวเตือน จี้กงจึงตัดสินใจแอบลอดตัวเข้าไปในงาน หลบหลีกผู้คน อุ้มเจ้าสาวหนีออกจากงานเสีย



จี้กงอุ้มเจ้าสาวและวิ่งอย่างว่องไวออกไปนอกหมู่บ้าน ขณะที่ชาวบ้านที่มาร่วมงานต่างก็วิ่งไล่จับ พร้อมกับตะโกนป่าวร้อง ให้ทุกคนช่วยกันคว้าตัว พระบ้าขโมยเจ้าสาว อย่างไรก็ตามด้วยอิทธิฤทธิ์ จี้กงก็มีฝีเท้าเร็วพอที่จะไม่ถูกใครไล่ตามจับได้ทัน



จี้กงกวดฝีเท้าออกมาๆ พร้อมกับผู้คนทั้งหมู่บ้านที่วิ่งไล่ตาม ออกมาไกลสิบกว่าลี้จนกระทั่งเลยรัศมีของยอดภูเขามหันตภัย เห็นดังนั้นจี้กงจึงวางเจ้าสาวลง เมื่อหยิบพัดใบลานขึ้นมาโบกคลายร้อน ก็บังเกิดเสียงดังลั่นสนั่นพสุธา!!! .... ยอดเขาตกลงมาทับหมู่บ้านอย่างที่คาดไว้



ชาวบ้านที่วิ่งตามมา เมื่อหันกลับไปมองสภาพภูเขายักษ์หล่นมาทับหมู่บ้านของตนเสียแบนก็ทราบว่าสิ่งที่จี้กงกล่าวเตือนนั้นเป็นความจริง ส่วนการที่จี้กงอุ้มเจ้าสาวหนีออกมาจากงานมงคลนั้นก็เพื่อช่วยชีวิตชาวบ้านทั้งมวลนั่นเอง แต่ทั้งนี้หลังจากเห็นบ้านช่อง ทรัพย์สมบัติถูกทับแบนอยู่ใต้ภูเขา ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยก็เกิดความเสียดายและเศร้าโศกเสียใจ ร้องไห้ ตีอกชกเท้า กันเป็นพัลวัน



ด้วยสภาพดังกล่าว จี้กงจึงหันไปกล่าวกับชาวบ้านเหล่านั้นว่า "ร้องไห้ไปทำไม พวกเจ้าที่ดินที่มัวแต่เสียดายสมบัติต่างก็ถูกทับจมอยู่ใต้ภูเขาไปแล้ว จากนี้ต่อไปทุกคนก็กลับไปทำไรทำนาของตัวเอง ทำเท่าไหร่ได้เท่านั้น ชีวิตก็ยังมี จะยังกลัวสร้างเรือนใหม่ไม่ได้ไปใย"



ชาวบ้านพอได้ยินก็สำนึกได้ว่าท่ามกลางความทุกข์ก็ยังพอมีประกายแสงแห่งความสุขเรืองรองอยู่บ้าง ท่ามกลางความสูญเสียอย่างน้อยที่สุดพวกตนก็ยังรักษาชีวิตให้รอดอยู่ได้



เมื่อเห็นชาวบ้านพอจะคลายทุกข์ลงได้แล้ว จี้กงก็รั้งเหล่าชาวบ้านเอาไว้ และกล่าวต่อว่า



"อย่างเพิ่งไป ทุกคนฟังอาตมากล่าวก่อน ยอดเขาก้อนนี้เดิมลอยไปลอยมา จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง หลังทับทลายหมู่บ้านของพวกเราแล้วก็อาจจะบินไปทับหมู่บ้านอื่น อาจทำให้คนเสียชีวิตอีกมากมาย อาตมาขอร้องให้พวกเราช่วยกันสลักพระอรหันต์ 500 องค์ไว้บนภูเขาลูกนี้ เพื่อที่จะทำให้ภูเขาลูกนี้ไม่บินไปสร้างอันตรายให้กับผู้อื่นอีก"



ชาวบ้านได้ยินดังนั้นจึงรีบกลับไปช่วยกันสลักพระอรหันต์ 500 องค์ไว้บนยอดเขาบินกันคนละไม้ละมือ ...... โดยนับจากนั้น ยอดเขาดังกล่าวก็ไม่บินไปสร้างอันตรายให้ใครอีก และถูกเรียกขานกันต่อๆ มาว่า ยอดเขาบิน ณ วัดหลิงอิ่น



ปัจจุบัน นักท่องเที่ยวก็ยังคงสามารถเข้าชม ยอดเขาบินและพระพุทธรูปสลัก 500 อรหันต์ได้ ทั้งนี้ พระพุทธรูปสลักที่ยอดเขาดังกล่างนี้ถูกจัดว่าอยู่ในส่วนของ วัฒนธรรมถ้ำหินสลัก



โดยถ้ำหินสลัก ที่นี่แม้จะไม่ถูกจัดให้เป็น 3 สุดยอดแห่งถ้ำหินสลักแห่งแผ่นดินจีน เหมือนกับ ถ้ำหินสลักโม่เกา แห่งตุนหวง, ถ้ำหินสลักหลงเหมิน แห่งลั่วหยาง หรือ ถ้ำหินสลักหยุนกัง แห่งต้าถง มณฑลซานซี แต่ ถ้ำหินสลักที่นี่ก็ยังมีดีไม่น้อย เนื่องจากนับว่าเป็นตัวแทนหนึ่งของ วัฒนธรรมถ้ำหินสลักของจีนภาคใต้ แถบลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง ที่สืบเสาะประวัติศาสตร์ย้อนรอยกลับไปได้นานกว่า 1,000 ปี







Tips สำหรับการเดินทาง:

- วัดหลิงอิ่น (???) และ ยอดเขาบิน (???) ใช้ประตูใหญ่ร่วมกัน แต่ถ้าหากซื้อบัตร 25 หยวน แล้วจะสามารถเข้าไปชมได้เพียงบริเวณถ้ำหินสลักของยอดเขาบินและบริเวณรอบๆ เท่านั้น หากต้องการจะเข้าไปชมภายในวัดหลิงอิ่นด้วยก็ต้องจ่ายค่าบัตรผ่านประตูเพิ่มอีก 20 หยวน วัดหลิงอิ่นเป็นปลายทางของรถประจำทางสายท่องเที่ยว Y1, 2 และ 4



อ้างอิงจาก :

*หนังสือ พันปีหลิงอิ่น โดย เจ้าฝูเหลียน สำนักพิมพ์เจ้อเจียงเหรินหมิน หน้า 138-142; ทั้งนี้นามเดิมของ จี้กง นั้นบางตำราก็ว่าเป็น หลี่ซิวหยวน เกิดเมื่อ ค.ศ.1130 แต่ตามหนังสือพันปีหลิงอิ่นระบุว่า คือ หลี่ซินหย่วน เกิดเมื่อ ค.ศ.1148 ผู้เขียนจึงขออ้างอิงตามหนังสือเล่มนี้

**หนังสือ (Greater Hangzhou A New Travel Guide) โดย เฉินกัง ) สำนักพิมพ์เจ้อเจียงเส้อหยิ่ง หน้า 124-132

***หนังสือท่องเที่ยวเจียงซู-เจ้อเจียง ฉบับท่องเที่ยวด้วยตัวเอง สำนักพิมพ์ ฉบับเดือนพฤษภาคม ปี 2004 หน้า 134

****หนังสือ โดย เจี่ยงสุ่ยหรง สำนักพิมพ์เจ้อเจียงเส้อหยิ่ง หน้า 31-32



อ่านเพิ่มเติม :

- ประวัติพระอรหันต์จี้กง ได้จาก เว็บไซต์http://www.vithi.com

- วัฒนธรรมถ้ำหินสลัก ได้จาก สู่ ซานซี:ร่องรอยแห่งพุทธ ตอน 1 และ ตอน 2







*******************
http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9470000085449
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
สายลม
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 พ.ค. 2004
ตอบ: 1245

ตอบตอบเมื่อ: 10 เม.ย.2005, 11:52 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน





อรหันต์จี้กง ทรงเมตตาช่วยชาวโลก

ให้พ้นเคราะห์คลายโศก สุขสันติประเสริฐล้ำ

กิริยาวาจา เป็นปริศนาช่วยชี้นำ

ท่านชอบเสแสร้งทำ กระตุ้นจิตบรรลุธรรม





พระอรหันต์จี้กง มีพระนามเดิมว่า ซิวอ้วง แซ่ลี้ เป็นชาวเมืองเทียนไถ เกิดในสมัยราชวงค์ซ้อง ท่านได้บวชอยู่ที่วัดเล่งอุ้ง ตำบลไซโอ้ว เมืองหางโจว ประเทศจีน และใช้พระนามทางศาสนาว่า " เต้าจี้ " ท่านโปรดสัตว์โดยวิธีพิสดาร จนชาวบ้านขนานนามว่า " พระสติเฟื่อง " (จี้เตียง) ท่านเป็นองค์อวตารของพระอรหันต์ได้บรรลุพระธรรม 3 ประการ ที่สำคัญได้แก่ สรรพสิ่งเกิดจากจิต ท่านยึดมั่นแต่ พุทธจิต ไม่คำนึงถึงเครื่องทรงภายนอก (รักษาศีลทางจิต ไม่ถือศีลทางปาก ปฏิบัติตนตามสบาย) คือ พระภิกษุในประเทศจีนต้องฉันเจ ไม่ฉันเนื้อสัตว์ ท่านไม่เคร่งครัดกับการฉันอาหาร สุดแท้แต่โอกาส



ท่านมีอิทธิฤทธิ์กว้างขวาง โปรดช่วยมวลมนุษย์มากมายโดยอาศัยวิธีการต่างๆ เพื่อให้ชาวบ้านพ้นภัย ช่วยกอบกู้ผู้ที่ดูภายนอกเหมือนผู้มีบุญ แต่ใจบาป กลั่นแกล้งจนคนเหล่านั้นรู้สึกสำนึกตัว และกับผู้ที่โหดร้ายทารุณ จะถูกตอบโต้จนไม่สามารถจะอยู่ต่อไปได้ ทำให้ประชาชนอยู่อย่างสงบสุข ดังนั้น ประชาชนจึงสรรเสริญว่าเป็น " พระศักดิ์สิทธิ์ " เหมือนพระพุทธที่ยังมีชีวิต ซึ่งไม่ใช่สิ่งธรรมดาสามัญ แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วจริงๆ





พระอรหันต์จี้กงเคยอยู่วัดเจ็งชื้อ ต่อมาวัดนี้ถูกไฟไหม้ จำเป็นต้องได้รับการปลูกสร้างใหม่ ซึ่งต้องการได้ไม้จากเขาเงี้ยมเล้ง ท่านแสดงอิทธิฤทธิ์ปฏิหาริย์โดยใช้จีวรกางออกไป จีวรก็ปกคลุมเขาเงี้ยมเล้ง และถอนไม้จากเขาทั้งหมด แล้วนำไม้ล่องแม่น้ำสู่เมืองหางโจว แล้วท่านก็มาบอกชาวบ้านว่า ไม้ที่จะใช้ก่อสร้างบัดนี้อยู่ในบ่อธูป(บ่อที่ขุดขึ้น ใช้สำหรับเทขี้ธูปและก้านธูป)พระและชาวบ้านต่างไปดูที่บ่อธูป ก็ปรากฏเป็นเช่นนั้นจริง สิ่งที่เล่าต่อๆกันมานี้ ยังมีหลักฐานปรากฏอยู่มากมาย



พระอรหันต์จี้กงได้นั่งสมาธิ จนเข้าฌานปลงสังขาร ในรัชสมัยพระจักรพรรดิเกียเตีย อัฐิของท่านถูกบรรจุไว้ในเจดีย์เสือผ่าน ก่อนที่ท่านจะปลงสังขาร ท่านได้ปริศนาธรรมไว้ว่า "หกสิบปีมานี่ กำแพงตะวันออกล้มตีกำแพงตะวันตก รวบรวมจนถึงบัดนี้ก็ยังคงเหมือนเดิม ท้องฟ้าก็ยังจดขอบฟ้าเช่นเดิม" หลังจากท่านปลงสังขารแล้วไม่นาน ก็มีพระภิกษุรูปหนึ่งได้พบพระอรหันต์จี้กงนั่งอยู่ใต้เจดีย์ชื่อ"หลักฮั้ว" และยังได้ผากหนังสือให้บทหนึ่งว่า "หวนรำลึกสมัยก่อน มีศรยิงมาทางด้านหน้า ถึงบัดนี้รู้สึกหนาวเหน็บกระดูกไปทุกขุมขน เนื่องจากไม่มีใครรู้จักหน้าตาแล้ว ยังขึ้นไปวิ่งเล่นบนดาดฟ้าหนึ่งรอบ" ที่ท่านลงมาอีกครั้งหนึ่งเป็นพระประสงค์ของมหาโพธิสัตว์



ตลอดพระชนม์ชีพของท่าน ได้ช่วยเหลือและอบรมชาวบ้านโดยวิธีการเสแสร้งต่างๆกันมาตลอด โดยไม่มีอุปสรรค ตัวท่านเป็นพระภิกษุ มีจิตที่เป็นมหาโพธิสัตว์ ท่านมีแต่จีวรขาดๆ รองเท้าขาดๆหนึ่งคู่ โดยไม่สนใจว่ามันจะเปื้อนโคลนหรือไม่ มือก็ถือพัดเล่มหนึ่ง ไม่กลัวทั้งที่ต่ำและที่สูง ศีรษะโล้น เท้าเปลือยเปล่า ไม่หนาวไม่ร้อน ไม่ต้องบิณฑบาตเพราะไม่หิวไม่กระหาย พบใครก็เอาแต่อมยิ้ม เพื่อจะได้แผ่บุญ ไม่หลบสังคม พบเสียงทุกข์ก็เข้าช่วยเหลือ ท่านมีจิตเมตตาไม่ถือสา การ ปรากฏตนของท่าน เอาแน่เอานอนไม่ได้ กิริยาล้วนเป็นปริศนาธรรม ธรรมะของท่านเป็นที่กล่าวขาน จนได้รับการยกย่องว่าเป็นพระอาจารย์ทางพระกัมมัฏฐาน แม้ท่านจะละสังขารจากโลกนี้ไปแล้วแต่ธรรมะท่าน ยังมีประโยชน์ต่อมวลมนุษย์เสมอมา ดังนั้น จึงได้สมัญญาว่า เป็นพระพุทธที่ยังมีชีวิตอยู่



ในสมัยปัจจุบันนี้ท่านลงมาประทับทรงที่สำนักเซี้ยxxxงตึ้ง โดยเอาวิญญาณคุณหยางเซิงไปเที่ยวเมืองสวรรค์ และคุณเอี้ยเซงไปท่องขุมนรก เพื่อเปิดเผยความลี้ลับของสวรรค์และนรก ให้ชาวโลกได้รู้









ที่มา เที่ยวเมืองสวรรค์ นำโดย พระอรหันต์จี้กง,ทพ.บัญชา ศิริไกร แปล


http://www.susarn.com/susarnth/th_jeekong/th_jeekong.html





......................................



เรื่องย่อ Chi – Kung the Living Buddha (พระอรหันต์จี้กง)



กาลครั้งหนึ่งนานแล้ว มีสุนัขจิ้งจอกสีขาวตัวหนึ่งได้พากเพียรฝึกจิตและกายตามลัทธิเต๋าโบราณมานานกว่าหนึ่งพันปี มันมีเพื่อนเป็นปีศาจซึ่งสิงอยู่ที่ต้นท้อต้นหนึ่ง และปีศาจตนนี้ก็พากเพียรฝึกฝนมนตราตามลัทธิเต๋ามานานหลายร้อยปีเช่นกัน วันหนึ่งสุนัขจิ้งจอกและปีศาจต้นท้อนึกอยากเล่นสนุกจึงแปลงกายเป็นมนุษย์แกล้งคนในเมืองอย่างสนุกสนาน



ในเมือง มีครอบครัวมั่งคั่งแซ่กอ มีธิดาสาวสวยงามราวเทพธิดา บิดาพยายามหาคู่ครองที่เหมาะสมให้โดยการสร้างเวทีประลองขึ้น ใครปรารถนาจะมาสู่ขอก็ต้องมาประลองกันโดยใช้ศิลปะการต่อสู้ที่หลากหลาย



เมื่อ ๒ มนุษย์แปลงมาถึงเมืองนี้ ก็ได้เผชิญหน้ากับนักบวชลัทธิเต๋า จึงเกิดการต่อสู้กันขึ้น บังเอิญทั้ง ๔ รุกไล่กันขึ้นไปบนเวทีประลองเพื่อชิงธิดาแซ่กอ ใครๆต่างพากันเข้าใจผิดคิดว่าสุนัขจิ้งจอกที่แปลงเป็นมนุษย์นั้นคือผู้ที่จะมาขอธิดาเศรษฐีแต่งงาน แล้วมนุษย์แปลงตนนี้ก็เกิดได้รับชัยชนะในการต่อสู้ และเมื่อเขาสบตากับธิดาสาวคนงามเข้า ศรรักก็พลันปักอกตกหลุมรักนางในทันที



ฝ่ายคู่ต่อสู้ซึ่งเป็นนักบวชเมื่อพ่ายแพ้ก็รีบกลับไปตามอาจารย์ให้มาช่วย อาจารย์จึงวางแผนกำจัดศัตรูโดยแจ้งแก่เศรษฐีแซ่กอให้เรียกร้องค่าสินสอดเป็นของ ๓ สิ่ง ได้แก่ หนังสุนัขจิ้งจอกขาวสำหรับคลุมไหล่เจ้าสาว เก้าอี้แบบมีเท้าแขนทำด้วยไม้จากต้นท้อเก่าแก่อายุกว่า ๑๐๐ ปี และเศษเสื้อคลุมต้วเก่าแก่ของอรหันต์จี้กง ด้วยหวังว่าข้อเรียกร้องนี้ไม่น่ามีใครปฏิบัติได้ และสุนัขจิ้งจอกคงเลิกล้มความพยายามไปเอง แต่สุนัขจิ้งจอกกลับจริงจังในรักยิ่งนัก ยอมทนต่อความเจ็บปวดให้ถลกหนังของตนออกเพื่อนำไปเป็นสินสอด จนสูญเสียเวทมนต์คาถาตามลัทธิเต๋าที่ตนได้เพียรภาวนามากว่าพันปีไปจนหมดสิ้น



ท่านอรหันต์จี้กงรู้สึกเห็นใจในความรักอันลึกซึ้งบริสุทธิ์ของสุนัขจิ้งจอกตัวนี้เป็นอย่างมา จนยินยอมให้ความช่วยเหลือให้สุนัขจิ้งจอกได้รับสิ่งของตามที่เศรษฐีต้องการ เหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้ท่านกลายเป็นศัตรูกับอาจารย์ลัทธิเต๋า และเรื่องราวความรักระหว่างสุนัขจิ้งจอกกับมนุษย์ ก็ทำให้วงการแห่งเทวดาทั้งหลายสั่นสะเทือนวิวาทกันไปทั่ว ถึงแม้ว่าภายหลังสุนัขจิ้งจอกจะสามารถผ่านการทดสอบรับราชการเป็นขุนนาง และได้แต่งงานกับเจ้าสาวแสนสวยของตนแล้วก็ตาม แต่บรรดาทวยเทพก็ยังไม่ยุติความขัดแย้งกันจนบัดนี้



..........
http://www.culture.go.th/2548/03/0304.htm

 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
สายลม
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 พ.ค. 2004
ตอบ: 1245

ตอบตอบเมื่อ: 10 เม.ย.2005, 11:55 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

................ พระโอวาทของท่านอรหันต์จี้กง ...................



อ่านแล้วเก็บรักษา บุญรักษาเนืองนอง

รู้แล้วบอกกันทั่ว บุญกุศลเรืองรอง



1. ชีวิตย่อมเป็นไปตามวิถีแห่งกรรมที่ลิขิต (ละชั่วทำดี)วอนขออะไร

2. วันนี้ไม่รู้เหตุการณ์ในวันพรุ่งนี้ กลุ้มเรื่องอะไร

3.ไม่เคารพพ่อแม่แต่เคารพพระพุทธองค์ เคารพทำไม

4. พี่น้องคือผู้ที่เกิดตามกันมา ทะเลาะกันทำไม

5. ลูกหลานทุกคนล้วนมีบุญตามลิขิต ห่วงใยทำไม

6. ชีวิตย่อมมีโอกาสประสบความสำเร็จได้ ร้อนใจทำไม

7. ชีวิตใช่จะพบเห็นรอยยิ้มกันได้ง่าย ทุกข์ใจทำไม

8. ผ้าขาดปะแล้วกันหนาวได้ อวดโก้ทำไม

9. อาหารผ่านลิ้นแล้วกลายเป็นอะไร อร่อยไปใย

10. ตายแล้วบาทเดียวก็เอาไปไม่ได้ ขี้เหนียวทำไม

11. ที่ดินคือสิ่งที่สืบทอดแก่คนรุ่นหลัง โกงกันทำไม

12. โอกาสจะได้กลายเป็นเสีย โลภมากทำไม

13. สิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่เหนือศีรษะเพียง3ฟุต ข่มเหงกันทำไม

14. ลาภยศเหมือนดอกไม้ที่บานอยู่ไม่นาน หยิ่งผยองทำไม

15. ทุกคนย่อมมีลาภยศตามวาสนาที่ลิขิต อิจฉากันทำไม

16. ชีวิตลำเค็ญเพราะชาติก่อนไม่บำเพ็ญ แค้นใจทำไม(บำเพ็ญไวๆ)

17. นักเล่นการพนันล้วนตกต่ำ เล่นการพนันทำไม

18. ครองเรือนด้วยการประหยัดดีกว่าไปพึ่งผู้อื่น สุรุ่ยสุร่ายทำไม

19. จองเวรจองกรรมเมื่อไหร่จะจบสิ้น อาฆาตทำไม

20. ชีวิตเหมือนเกมหมากรุก คิดลึกทำไม

21. ฉลาดมากเกินจึงเสียรู้ รู้มากทำไม

22. พูดเท็จทอนบุญจนบุญหมด โกหกทำไม

23. ดีชั่วย่อมรู้กันในที่สุด โต้เถียงทำไม

24. ใครจะป้องกันมิให้เกิดเรื่องได้ตลอด หัวเราะเยาะกันทำไม

25. ฮวงซุ้ยดีอยู่ในจิตไม่ใช่อยู่ที่ภูเขา แสวงหาทำไม

26. ข่มเหงผู้อื่นคือทุกข์ รู้ให้อภัยคือบุญ ถามโหรเรื่องอะไร

27. ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม



 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
สายลม
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 พ.ค. 2004
ตอบ: 1245

ตอบตอบเมื่อ: 10 เม.ย.2005, 11:58 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พบยมบาลจ้วงหลุ้งอ๊วง



ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จลงตรัสเป็นกลอนความว่า :

ยมบาล ขุมที่สิบ พูดจาน้อย

คนบาปหนา พอพบหน้า ตัวสั่นแคลน

ทั้งสมบัติ ให้ลูกหลาน นับหมื่นแสน

ตกถึงแดน นรกร้อน พร่ำโอดครวญ



อรหันต์จี้กง : การท่องนรกได้มาถึงขุมที่ 10 แล้ว ส่วนหนังสือ "เที่ยวเมืองนรก" ใกล้ที่จะสิ้นสุดลง แต่ว่าตอนสุดท้ายนี้รู้สึกว่าจะมีเสียงที่น่าอเนจอนาถยิ่งนัก นั่นคือเสียงแห่งการหมุนเวียนจากวงล้อของขุมที่ 10 นี้แหละ ชาวโลกโดนหมุนเสียหน้ามืดตาลายสะลึมสะลือ ไม่รู้เหนือรู้ใต้ ดังนั้นมนุษย์ที่ได้เกิดขึ้นมาในแดนมนุษย์จึงลืมเหตุการณ์ในอดีตชาติ เพราะเหตุนี้ผู้บำเพ็ญธรรมจึงต้องถามตัวเองว่า "ท่านเป็นผู้ใด" แล้ว ก็นับได้ว่าท่านได้บรรลุและสำเร็จธรรมแล้ว วันนี้เตรียมท่องนรก เจ้าหยางเซิงขึ้นดอกบัวเสีย

หยางเซิง : ช้าก่อนครับ ท่านอาจารย์ครับ หากมีใครมาถามกระผมว่าจะพิมพ์แจก "เที่ยวเมืองนรก" ในตอนที่บนบานบอกกล่าวต้องไปยังหน้าเตาบนต่อเจ้าจีน (เจ้าที่ตั้งในครัวใกล้ตา) พร้อมทั้งจุดธูปบูชาด้วยนั้น แต่ปัจจุบันในห้องครัวล้วนใช้เตาแก๊สไม่ใช้เตาอย่างเก่าก่อน แล้วเจ้ายังมีอยู่อีกหรือเปล่ามิทราบ ?

อรหันต์จี้กง : ถึงแม้ว่าบ้านช่องห้องหอจะเปลี่ยนจากการสร้างด้วยดินทรายไม้แมกมาเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กซึ่งเป็นอาคารใหญ่โตมโหฬารก็ตาม แต่มนุษย์ก็ยังอยู่กันได้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเจ้าแห่งเตาไหนเลยจะสูญหายไปจากการใช้เตาแก๊ส ที่จริงแล้วการที่มีเครื่องไม้เครื่องมือที่ดียิ่งขึ้นที่ไม่ทำให้เกิดควันไฟโขมงเต็มบ้านดังสมัยก่อน ท่านสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ย่อมโปรดที่จะเสด็จสู่บ้านช่องนั้นๆ ประดาอาหารที่สำหรับใช้รับประทานของมนุษย์ล้วนแล้วแต่ผลิตขึ้นจากโรงครัว การรับประทานอาหารซึ่งเป็นธาตุที่ใช้ประทังชีวิตของผู้คน แม้จะขาดเสียวันเดียวก็มิได้ ที่กล่าวว่า "แหล่งที่มีควันไฟคือสถานที่มีมนุษย์" ดังนั้นจึงเอาควันไฟที่หนาแน่นแค่ไหนมาวัดเอากับจำนวนผู้คนที่มีอยู่ จึงเรียกว่า "ควันคน" เจ้าแห่งควันมีนามว่า "ซีเหมงจินกุง" คือผู้กำหนดชีวิตและการโภชนาการของมนุษย์ เตาแก๊สกับเตาก็คือสิ่งของอันเดียวกันคือติดไฟหุงต้มอาหาร ไม่มีอะไรแตกต่างกันดังนี้เจ้าแห่งครัวจึงมีชื่อว่า "อัคคีเจ้า" พูดถึงเจ้าแห่งตะเกียงแล้วสมัยโบราณจะติดตะเกียงน้ำมัน ปัจจุบันใช้ไฟฟ้า จึงไม่ใช่เป็นเหตุที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะไม่ยอมลงประทับตามที่ศาลเจ้าสำนักธรรมต่างๆ เป็นอันขาด ไม่ว่าวิทยาศาสตร์จะเจริญก้าวหน้าแค่ไหนเพียงไร จะสร้างตึกอาคารสูงเป็นร้อยๆ ชั้น แต่วิญญาณผ่องแผ้วของผู้คนจะไม่สูญสลาย พระผู้เป็นเจ้าก็คงติดตามตัวท่านอยู่รอบกาย เจ้าแห่งครัวก็ยังสถิตอยู่หน้าเตาไฟอย่างนั้นแหละ

หยางเซิง : ที่แท้เป็นดังนี้เอง การประดับประดาในห้องครัวแม้จะเปลี่ยนแปลงใหม่ แต่ข้าวสาร เกลือ น้ำมัน น้ำส้มก็ต้องการใช้ตามแบบเก่านั่นเอง….กระผมได้นั่งลงเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านอาจารย์ออกเดินทางได้แล้วครับ….

อรหันต์จี้กง : ถึงแล้วละ ลงจากดอกบัวได้

หยางเซิง : เบื้องหน้าปราสาทขุมที่ 10 มีผู้คนหนาแน่นคล้ายกับจะต้อนรับเราอย่างนั้นแหละ

อรหันต์จี้กง : ใช่แล้ว ! ท่านยมบาลจ้วงหลุ้งอ๊วงแห่งขุมที่ 10 ได้นำเทวทูตและนายทหารมาต้อนรับเราอยู่ เจ้าจงรีบเข้าไปแสดงความเคารพเถิด

หยางเซิง : ขอแสดงความคารวะต่อท่านจ้วงหลุ้งอ๊วง ข้าพเจ้าผู้เป็นศิษย์ของท่านพระเจ้ากวนอูแห่งสำนักเซี้ย

xxxงตึ้งเมืองไถ่ตงได้รับเทวโองการท่องนรกเพื่อแต่งหนังสือ วันนี้ได้มายังขุมที่ 10 ขอท่านยมบาลได้โปรดอำนวยความสะดวกให้ด้วย

ยมบาล : มิต้องเกรงใจ ท่านทั้งสองท่องจากขุมที่ 1 ถึงขุมที่ 10 เดินทางในแดนนรกมาอย่างโชกโชน มีความดีที่ได้ช่วยกอบกู้ชาวโลกอย่างใหญ่หลวง เชิญตามข้าพเจ้าไปนั่งพักในปราสาทก่อนเถิด

หยางเซิง : ขอขอบพระคุณท่านยมบาลยิ่ง

อรหันต์จี้กง : เนื่องจากเวลาจำกัดมาก อาตมาว่ามิต้องพักแล้วละขอให้พานายหยางเซิงไปเที่ยวชมแต่ละแห่งที่ขึ้นกับขุมที่ 10 ก็แล้วกัน มิทราบว่าท่านยมบาลจะมีความเห็นประการใดบ้าง

ยมบาล : เมื่อท่านอาจารย์ประสงค์ดังนี้ ข้าพเจ้าก็จะทำตามความต้องการ

หยางเซิง : วิญญาณโทษขุมที่ 10 แออัดมากเป็นพิเศษ มากกว่าขุมอื่นๆ มากนัก มิทราบว่าเนื่องจากอะไร ?

ยมบาล : เนื่องจากขุมนี้เป็นขุมสุดท้ายของแดนนรก ควบคุมการหมุนเวียน เป็นด่านใหญ่ที่จะออกจากแดนนรก ดังนั้นวิญญาณผีที่รอคอยหมุนเวียนล้วนมาชุมนุมยังที่นี่ จึงทำให้ภารกิจของขุมนี้มากยิ่งๆ ขึ้น ข้าพเจ้าจะพาท่านขึ้นไปเยี่ยมชมยังบน "หอชมผู้ไปเกิด"

หยางเซิง : ขอบคุณมากครับ หอนี้สูงมาก บันไดหมุนเวียนสูงยันเมฆหมอก รู้สึกกินกำลังมากในการไต่ตามขึ้นไป !

อรหันต์จี้กง : ฉันจะช่วยเจ้าแรงหนึ่ง จูงเจ้าขึ้นไปนะ !

หยางเซิง : ขอบคุณท่านอาจารย์ที่ให้การอุ้มชูช่วยเหลือ

อรหันต์จี้กง : เมื่อเจ้าจะขึ้นบันไดสวรรค์แล้วไม่ใช้กำลังกายบ้างได้อย่างไร ? ผู้บำเพ็ญธรรมก็ขวนขวายหาทางก้าวหน้าก็ไม่สามารถจะเลื่อนชั้นขึ้นได้ !

หยางเซิง : ได้ขึ้นถึงชั้นสุดยอดแล้ว บนนี้คล้ายกับที่นั่งอัฒจันทร์ได้ยินแต่เสียงอึกทึกครึกโครมอยู่เบื้องหน้า มองดูแล้วเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา สถานที่ๆ นี้เป็นแห่งหนตำบลใดมิทราบ ?

อรหันต์จี้กง : จะขึ้นถึง "หอชมผู้ไปเกิด" ต้องผ่านบันได 360 ขั้นรวมเป็นจำนวนเลขของหนึ่งปี ที่ที่เรายืนอยู่ที่นี้คือ "หอสวรรค์" ห่างจากยมโลกไกลมาก ทิวทัศน์ที่มองเห็นอย่างเวิ้งว้างนั้นคือ 4 ทวีปใหญ่ เนื่องจากเจ้ายังมิได้เบิกทิพย์เนตร ทัศนวิสัยจึงมีความจำกัด ฉันจะโยนไข่มุกเปล่งรัศมีให้นะ

หยางเซิง : เมื่อไข่มุกเปล่งรัศมีของท่านอาจารย์โยนออกเท่านั้นประหนึ่งว่ามีแสงสว่างส่องอยู่ท่ามกลางเมฆหมอกในราตรีกาลทิวทัศน์เบื้องหน้าสามารถจะเห็นได้ในระยะไกลลิบๆ เช่นนี้เหมือนดังก้มมองดูพื้นปฐพีอันกว้างใหญ่ ทั้ง 4 ทิศมีภาพแตกต่างกัน ด้านโน้นคล้ายที่อยู่ชาวอเมริกา ตัวคนและสิ่งก่อสร้างเหมือนกับภาพในภาพยนตร์ไม่มีอะไรผิดเพี้ยน

อรหันต์จี้กง : ถูกแล้ว ที่แห่งโน้นคืออเมริกา อยู่บน "หอสวรรค์" สามารถมองเห็นเหตุการณ์ของ 4 ทวีปใหญ่ การหมุนเวียนของขุมที่ 10 เสมือนโปรยปรายดอกไม้บนสวรรค์ ต่างก็ตามแต่บุญกรรมหมุนเวียนไปเกิดยังที่ต่างๆ หอนั้นเพียงแต่สถานที่ส่องมองคาดคะเนเท่านั้นเอง เราลงไปกันเถิด

หยางเซิง : ขอรับ กระผม

อรหันต์จี้กง : เพราะเหตุว่าเวลาดึกมากแล้ว เหตุการณ์ต่างๆ ของขุมที่ 10 มาเยี่ยมชมในวันอื่น ขอลาท่านยมบาลก่อนละ

ยมบาล : เมื่อถึงเวลาที่กำหนดแล้ว ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถจะรั้งท่านไว้ได้ ให้นายทหารตั้งแถวนมัสการส่งท่านอาจารย์

อรหันต์จี้กง : เจ้าหยางเซิงขึ้นดอกบัวเถิด

หยางเซิง : กระผมได้นั่งเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านอาจารย์กลับสำนักเถิด

อรหันต์จี้กง : ถึงสำนักเซี้ยxxxงตึ้งแล้ว

หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าสู่ร่างตามเดิม






http://www.vithi.com/menu02-09-55.html
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
thari
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 26 พ.ย.2005, 3:02 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

แล้วมีคาถาบูชาท่านจี้กงหรือเปล่าคะ อยากได้ค่ะ
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง