Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 หลวงปู่บัวพา ปัญญาภาโส อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
สาวิกาน้อย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 27 มี.ค. 2006
ตอบ: 2065

ตอบตอบเมื่อ: 10 ก.ย. 2006, 9:19 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

ประวัติและปฏิปทา
หลวงปู่บัวพา ปญฺญาภาโส


วัดป่าพระสถิตย์
ต.พรานพร้าว อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย



๏ ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย

ท่านพระครูปัญญาวิสุทธิ์ (หลวงปู่บัวพา ปญฺญาภาโส) มีนามเดิมว่า บัวพา แสงศรี เกิดเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2454 เป็นบุตรคนโต (ในจำนวนทั้งหมด 7 คน) ของนายหยาดและนางทองสา แสงศรี ครอบครัวมีอาชีพทำนาทำไร่ ชาติภูมิอยู่บ้านบึงแก อำเภอมหาชนะชัย จังหวัดอุบลราชธานี (ปัจจุบันนี้ขึ้นกับจังหวัดยโสธร) ต่อมาโยมบิดา-มารดาได้อพยพไปตั้งหลักแหล่งอยู่บ้านกุดกุง ตำบลสงเปือย อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร

อุปนิสัยของเด็กชายบัวพา แสงศรี ปกติเป็นคนพูดน้อย มีความอ่อนน้อมถ่อมตนเชื่อฟังผู้ใหญ่ เป็นคนว่านอนสอนง่าย อยู่ในโอวาทของโยมบิดา-มารดา เมื่ออายุครบเกณฑ์เข้าเรียนหนังสือก็เข้าโรงเรียนประชาบาลประจำหมู่บ้าน จนกระทั่งจบหลักสูตรของการศึกษาในสมัยนั้น


๏ ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม และปฏิปทา

ครั้นนายบัวพา แสงศรี อายุได้ 21 ปีบริบูรณ์ โยมบิดา-มารดาเห็นว่าสมควรจะบวชได้แล้ว จึงจัดเตรียมกองบวชให้ลูกชาย และจัดการอุปสมบทเป็นพระภิกษุในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2475 ณ สีมาน้ำวัดบ้านกุดกุง อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดอุบลราชธานี (ปัจจุบันนี้ขึ้นกับจังหวัดยโสธร) โดยมีพระอาจารย์ม่อน ยโสธโร เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากที่อุปสมบทแล้ว ก็ได้จำพรรษาอยู่วัดบ้านกุดกุง

ครั้นออกพรรษาปวารณาแล้ว เพื่อนสหธรรมิกมาชวนไปปฏิบัติกรรมฐานออกธุดงค์ในป่า เพื่อทดลองดูว่าจิตใจจะยึดมั่นในทางปฏิบัติได้หรือไม่ ด้วยความใฝ่ใจในการฝึกฝนอบรมจิต พระบัวพา ปญฺญาภาโส จึงไปฝึกปฏิบัติพระกรรมฐานกับเพื่อนสหธรรมิกาที่วัดป่าบุ่งหวาย อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี พระภิกษุที่ไปด้วยกันคราวนั้น เมื่อปฏิบัติกรรมฐานไปได้ระยะหนึ่งก็เกิดศรัทธาปสาทะ จึงขอทำทัฬหิกรรมญัตติเป็นพระธรรมยุตหมดทุกรูป แต่ตอนนั้นพระภิกษุบัวพา ปญฺญาภาโส ยังไม่พร้อมที่จะขอญัตติเป็นพระธรรมยุต ยังพิจารณาว่าจะควรทำหรือไม่ เพราะยังไม่ได้บอกลาอุปัชฌาย์อาจารย์

พระภิกษุบัวพาเห็นว่าควรลองปฏิบัติกรรมฐานไปเรื่อยๆ ก่อน ถ้าเห็นว่าเหมาะว่าควร จึงจะขอทำทัฬหิกรรมญัตติเป็นพระธรรมยุตในภายหลัง ประกอบกับครูบาอาจารย์อยากให้ท่านเรียนปริยัติธรรมด้านสนธิและมูลกัจจายนะ พอให้มีความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมเสียก่อน แล้วค่อยออกปฏิบัติกรรมฐานในโอกาสต่อไป ดังนั้นพระภิกษุบัวพา จึงไปเรียนหนังสือที่วัดบ้านไผ่ใหญ่ อำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี ได้ 1 พรรษา

ครั้นออกพรรษาแล้วจึงยังย้อนกลับมาอยู่กับพระอาจารย์ม่อน ยโสธโร ผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ของท่าน คือ วัดบ้านปอแดง และได้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนสนธิและมูลกัจจายนะเพิ่มเติมอีก พอว่างจากการเรียนหนังสือ พระภิกษุบัวพาก็ชอบอยู่ในที่สงัด เช่น ตามโคนต้นไม้ตามป่าเป็นต้น ซึ่งในสมัยนั้นหาได้ง่าย ท่านมีใจใฝ่ในการปฏิบัติกรรมฐานตลอดมา ฉันมื้อเดียวเป็นประจำ พอออกพรรษาแล้วมีเพื่อนชวนไปปฏิบัติกรรมฐานที่วัดป่าบ้านโนนทัน พระที่ไปด้วยกันได้ขอทัฬหิกรรมญัตติเป็นพระธรรมยุตหมด ยังเหลือแต่พระภิกษุบัวพา ปญฺญาภาโส ที่ยังไม่พร้อมที่จะญัตติเป็นพระธรรมยุต เหมือนเช่นเคย เนื่องจากยังไม่ได้บอกลาพระอุปัชฌาย์

ในปีนั้นท่านได้ปฏิบัติกรรมฐานอยู่วัดป่าบ้านโนนทัน กับท่านพระอาจารย์ทอง ฝึกหัดนั่งสมาธิ เดินจงกรม บำเพ็ญเพียรในอิริยาบถต่างๆ รู้สึกว่าจิตใจสงบร่มเย็นขึ้นโดยลำดับ ตั้งแต่นั้นต่อมาท่านก็เลยเลิกเรียนปริยัติ มุ่งหน้าแต่ด้านปฏิบัติกรรมฐานเพียงอย่างเดียว

Image
หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล

Image
หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต

Image
พระเทพสิทธาจารย์ (หลวงปู่จันทร์ เขมิโย)

Image
พระราชสุทธาจารย์ (หลวงปู่พรหมา โชติโก)


ด้วยเหตุที่มีจิตใจมุ่งมั่นในการปฏิบัติกรรมฐาน พระภิกษุบัวพาจึงออกเดินทางไปวัดสีฐาน อำเภอมหาชนะชัย เพื่อฝึกอบรมกรรมฐานให้ได้ผล และแสวงหาครูบาอาจารย์ที่มีความชำนาญในการสอนกรรมฐาน ในช่วงนั้นชื่อเสียงและปฏิปทาของ หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล และหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ทางด้านการสอนกรรมฐานกำลังเลื่องลือและเป็นที่รู้จักกันทั่วไป พระภิกษุบัวพาก็อยากจะพบเห็น เพื่อจะได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ทั้งสอง จึงได้ชักชวนเพื่อนสหธรรมิกเดินทางไปยังจังหวัดสกลนคร

การเดินทางในสมัยนั้นลำบากมาก เพราะไม่มีถนน ไม่มีรถยนต์ ต้องเดินทางไปตามทางเกวียน ผ่านป่าดงหนาทึบข้ามภูเขาหลายลูก คณะของพระภิกษุบัวพาจึงออกเดินทางจากอำเภอมหาชนะชัย ไปจังหวัดสกลนคร ในขณะเดียวกันก็มีคณะพระภิกษุสามเณรจะเดินทางไปอำเภอบัวขาว จังหวัดกาฬสินธุ์ และจะต่อไปยังสกลนคร พระภิกษุบัวพาจึงขอเดินทางร่วมไปด้วย เมื่อไปถึงสกลนครก็ได้เข้าไปกราบนมัสการหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ที่วัดป่าสุทธาวาส ขอฝากตัวเป็นสานุศิษย์ของท่าน เมื่อฝึกปฏิบัติกรรมฐานไปได้ระยะหนึ่ง จิตใจของท่านรู้สึกสงบเยือกเย็นอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ท่านจึงตกลงใจว่าสมควรที่จะขอทำทัฬหิกรรมญัตติเป็นพระธรรมยุตได้แล้ว

ดังนั้น หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล จึงสั่งการให้จัดเตรียมบริขาร เป็นต้นว่า ผ้าจีวร ผ้าสังฆฏิ และผ้าสบง เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว หลวงปู่เสาร์จึงสั่งให้พระภิกษุ 2 รูป นำคณะของพระภิกษุบัวพาเดินทางไปขอทำทัฬหิกรรมญัตติเป็นพระธรรมยุตที่จังหวัดนครพนม พิธีการอุปสมบทเป็นพระธรรมยุตครั้งนี้มีขึ้นเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2478 ณ พัทธสีมาวัดศรีเทพประดิษฐาราม ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม โดยมี พระเทพสิทธาจารย์ (หลวงปู่จันทร์ เขมิโย) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ พระครูสารภาณมุนี เป็นพระอุปัชฌาย์ และ พระราชสุทธาจารย์ (หลวงปู่พรหมา โชติโก) เมื่อครั้งยังเป็น พระมหาพรหมา โชติโก ป.ธ. 5, นักธรรมเอก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับนามฉายาว่า “ปญฺญาภาโส” ซึ่งแปลว่า “ผู้มีปัญญาเป็นแสงสว่าง”

ต่อจากนั้น พระภิกษุบัวพาและคณะจึงได้เดินทางกลับไปยังสกลนคร อยู่ปฏิบัติกรรมฐานกับหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล นับว่าพระภิกษุบัวพาได้ครูบาอาจารย์ที่ชำนาญในด้านพระกรรมฐานเป็นผู้แนะนำพร่ำสอน สมความมุ่งหวังที่ท่านตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก ท่านได้ตั้งใจปฏิบัติพระกรรมฐานอย่างเต็มที่ และในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่อุปัฏฐากรับใช้หลวงปู่เสาร์เรื่อยมาจนถึงกาลสุดท้ายของหลวงปู่เสาร์


(มีต่อ 1)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
สาวิกาน้อย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 27 มี.ค. 2006
ตอบ: 2065

ตอบตอบเมื่อ: 10 ก.ย. 2006, 9:21 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เมื่อออกพรรษาปาวารณาแล้ว หลวงปู่เสาร์มักจะพาหมู่คณะออกธุดงค์ เพื่อให้ลูกศิษย์ลูกหาของท่านรู้จักอดทนและยึดมั่นในหลักไตรสิกขา พระภิกษุบัวพาก็ได้ติดตามหลวงปู่เสาร์ไปในที่ต่างๆ รู้สึกว่าได้ประโยชน์มากมาย สถานที่ที่หลวงปู่เสาร์พาลูกศิษย์ออกไปแสวงหาวิเวกนั้น ส่วนมากก็จะเป็นป่าเขาลำเนาไพร ซึ่งไม่ห่างไกลจากหมู่บ้านมากเกินไป พอจะไปภิกขาจารได้

หลวงปู่เสาร์พาหมู่คณะเดินธุดงค์ไปถึงนครพนม แล้วเข้าพักอาศัยอยู่วัดป่าอรัญญิกาวาส ประมาณสองเดือนจึงลงเรือล่องมาตามแม่น้ำโขงมาขึ้นที่พระธาตุพนม ไปพักที่วัดเกาะแก้ว ซึ่งเป็นวัดที่หลวงปู่เสาร์ได้สร้างไว้ พักอยู่ที่นั้นประมาณเดือนกว่า พอดีญาติโยมทางอุบลฯ ไปนิมนต์หลวงปู่เสาร์ให้ไปโปรดประชาชนทางอุบลฯ บ้าง เมื่อหลวงปู่เสาร์รับนิมนต์แล้ว จึงได้คัดเลือกเอาพระภิกษุ 2 รูป สามเณร 1 รูป และอุบาสก (คือชีปะขาว) 1 คน เดินทางไปด้วย ในจำนวนนั้นมีพระภิกษุบัวพาอยู่ด้วย

โดยที่หลวงปู่เสาร์ได้ปรารภว่า “คุณรูปหนึ่งละที่ต้องไปกับฉัน เพราะเป็นคนทางเดียวกัน เมื่อยามเจ็บไข้ได้ป่วยจะได้ดูแลกัน” นับว่าเป็นนิมิตหมายอันสำคัญยิ่ง ที่หลวงปู่เสาร์พูดปรารภความเจ็บป่วยให้พระภิกษุบัวพาช่วยดูแล ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้น เพราะต่อมาพระภิกษุบัวพาก็ได้ตามไปอุปัฏฐากดูแลหลวงปู่เสาร์อย่างใกล้ชิด จวบจนถึงวันหลวงปู่เสาร์มรณภาพ

คณะของหลวงปู่เสาร์ได้ออกเดินทางโดยรถยนต์ที่ญาติโยมชาวอุบลฯ นำไปรับพักค้างคืน 1 คืน ที่อำเภออำนาจเจริญ เนื่องจากถนนหนทางในสมัยนั้นไม่ดี ใช้เวลาเดินทาง 2 วันจึงถึงจังหวัดอุบลราชธานี ไปพักอยู่วัดบูรพา ต่อมาหลวงปู่เสาร์ได้ไปสร้างวัดใหม่เป็นป่าปู่ตา ใกล้หนองอ้อ บ้านข่าโคม อำเภอเขื่อนใน ซึ่งเป็นบ้านเกิดของหลวงปู่เสาร์ ท่านอยู่จำพรรษาที่วัดสร้างใหม่นี้ 3 พรรษา

ต่อจากนั้นก็ได้ออกธุดงค์แสวงหาวิเวกไปทางอำเภอพิบูลมังสาหาร พักบำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่ที่ดอนธาตุบ้านทรายมูล ซึ่งเป็นเกาะกลางแม่น้ำมูล มีต้นยางใหญ่ร่มรื่นสงบสงัด เหมาะแก่การเจริญสมณธรรม หลวงปู่เสาร์พร้อมด้วยพระภิกษุบัวพาจึงได้จัดสร้างวัดลงที่นั่น เป็นวัดมั่งคงตราบเท่าทุกวันนี้ มีชื่อว่า วัดดอนธาตุ หลวงปู่เสาร์กับพระภิกษุบัวพาได้อยู่ที่นั้น 3 พรรษา

หลังออกพรรษาแล้วทุกปี หลวงปู่เสาร์ก็จะพาพระสงฆ์ออกธุดงค์ไปทางนครจำปาศักดิ์ ลี่ผี ปากเซ ฝั่งประเทศลาว แล้วก็ย้อนกลับมาจำพรรษาที่วัดดอนธาตุอีก เมื่อ พ.ศ. 2482 บ่ายวันหนึ่งขณะที่หลวงปู่เสาร์นั่งสมาธิอยู่โคนต้นยางใหญ่ พอดีมีเหยี่ยวตัวหนึ่งบินโฉบลงมาเอารวงผึ้งอยู่บนต้นไม้ ที่หลวงปู่เสาร์นั่งสมาธิอยู่ รวงผึ้งขาดตกลงมาใกล้ๆ กับที่หลวงปู่นั่งอยู่ ตัวผึ้งได้รุมกัดต่อยหลวงปู่ จนต้องหลบเข้าไปในมุ้งกลด มันจึงพากันหนีไป

นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หลวงปู่เสาร์ก็อาพาธเรื่อยมา โดยมีพระภิกษุบัวพาเป็นผู้อุปัฏฐากดูแลอย่างใกล้ชิด ต่อมาหลวงปู่เสาร์พาพระภิกษุบัวพาไปเดินธุดงค์ทางปากเซ จำปาศักดิ์ ไปประเทศลาว ในระยะนี้หลวงปู่เสาร์อาพาธหนัก จึงสั่งให้พระภิกษุบัวพา นำท่านกลับมาที่วัดอำมาตย์ นครจำปาศักดิ์ ล่องเรือมาตั้งแต่เช้าจนค่ำ นอนบนแคร่ในเรือประทุน หลวงปู่เสาร์หลับตานิ่งมาตลอด เมื่อถึงนครจำปาศักดิ์แล้วท่านก็ลืมตาขึ้นพูดว่า “ถึงแล้วใช่ไหม ? ให้นำเราไปยังอุโบสถเลย เราจะไปตายที่นั่น”

พระภิกษุบัวพาจึงได้นำหลวงปู่เสาร์เข้าไปในอุโบสถ หลวงปู่เสาร์สั่งให้เอาผ้าสังฆาฎิมาใส่ ท่านกราบพระ 3 ครั้ง แล้วนั่งสมาธิไม่ขยับเขยื้อนนานเท่านานจนผิดสังเกต พระภิกษุบัวพาซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เอามือไปแตะที่จมูก ปรากฏว่าหลวงปู่เสาร์ได้หมดลมหายใจไปแล้ว เลยไม่ทราบว่า ท่านได้ถึงแก่มรณภาพไปในเวลาใดกันแน่ ข่าวการมรณภาพของหลวงปู่เสาร์ได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ชาวนครจำปาศักดิ์ขอให้ตั้งศพไว้บำเพ็ญกุศลอยู่ 3 วันเพื่อบูชาหลวงปู่เสาร์ ครั้นวันที่ 4 ชาวอุบลฯ จึงได้ไปอัญเชิญศพของท่านไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดบูรพา จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นวัดที่หลวงปู่เสาร์เคยอยู่มาก่อน ปีที่หลวงปู่เสาร์มรณภาพคือ ปี พ.ศ. 2484 (วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2484 สิริอายุรวมได้ 82 ปี 3 เดือน 1 วัน) ในปีต่อมาคือ ปี พ.ศ. 2485 จึงมีพิธีพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่เสาร์

ครั้นเสด็จจากงานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่เสาร์แล้ว พระภิกษุบัวพา ปญฺญาภาโส ซึ่งตอนนั้นมีพรรษาได้ 9 พรรษา ได้รับนิมนต์จากญาติโยมวัดดอนธาตุ อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ให้กลับไปจำพรรษาที่นั่น ท่านจึงได้โปรดญาติโยมที่วัดอดนธาตุ 1 พรรษา ครั้นออกพรรษาแล้ว ท่านก็ออกเดินธุดงค์ลงมาทางบ้านเดิม ซึ่งโยมบิดามารดาทำมาหากินอยู่ที่นั่น คือ บ้านกุดกุง ตำบลสงเปือย อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร ท่านไปโปรดโยมมารดาและชาวบ้าน จนมีคนเลื่อมใสเป็นจำนวนมาก

Image
พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ

Image
พระอาจารย์ดี ฉนฺโน

Image
หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ

Image
พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)


ต่อมาพระภิกษุบัวพา ได้ขึ้นไปจำพรรษาอยู่ ณ วัดป่าบ้านโคก อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร กับ พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ ช่วงนั้นหลวงปู่มั่นจำพรรษาอยู่วัดป่าบ้านนามน ซึ่งไม่ห่างไกลจากวัดป่าบ้านโคก ดังนั้นในพรรษา พระอาจารย์กงมากับพระภิกษุบัวพา ก็จะพากันไปฝึกอบรมกรรมฐานและฟังเทศน์จากหลวงปู่มั่น 3 วันต่อ 1 ครั้ง ทำให้พระภิกษุบัวพาได้รับความรู้ความเข้าใจในหลักปฏิบัติเพิ่มมากขึ้น เพลิดเพลินในหลักภาวนา

เมื่อออกพรรษาแล้ว จึงกราบลาหลวงปู่มั่นออกเดินธุดงค์แสวงหาความสงบวิเวกไปเรื่อยๆ จนถึงวัดป่าบ้านกุดแห้ง แล้วพักจำพรรษาอยู่กับ พระอาจารย์ดี ฉนฺโน 1 พรรษา หลังจากออกพรรษาแล้วก็เดินธุดงค์ไปโปรดญาติโยมพี่น้องซึ่งอพยพมาจากอุบลฯ มาตั้งหลักแหล่งอยู่ที่อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี และจำพรรษาอยู่ 1 พรรษา โดยมี หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ เป็นหัวหน้าคณะ ออกพรรษาแล้วท่านได้กลับไปโปรดญาติโยมบ้านกุดกุง อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร ตอนนั้นโยมมารดาของท่านได้บวชเป็นชี และได้ติดตามท่านไปจำพรรษาอยู่ที่วัดพระพุทธบาท บ้านหนองยาง อำเภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร ท่านได้อบรมสั่งสอนพระภิกษุสามเณรและญาติโยม ให้ยึดมั่นในพระรัตนตรัย และฝึกอบรมในการปฏิบัติกรรมฐาน

เมื่อออกพรรษาแล้ว ในปี พ.ศ. 2490 ท่านได้พาแม่ชีที่เป็นมารดา พร้อมด้วยพระภิกษุสามเณรจำนวนหนึ่งออกธุดงค์ เดินทางจากวัดพระพุทธบาท บ้านหนองยาง อำเภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร ผ่านจังหวัดมุกดาหาร จังหวัดสกลนคร จังหวัดอุดรธานี แล้วเข้าเขตจังหวัดหนองคาย ไปพักอยู่ที่วัดป่าพระสถิตย์ อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนตราบเท่าทุกวันนี้

เดิมทีเดียวนั้นสถานที่แห่งนี้เป็นเพียงโคกหรือป่าช้า อันเป็นที่เลี้ยงโคกระบือของชาวบ้าน และยังเป็นวัดร้างอีกด้วย หลังจากที่พระภิกษุบัวพา และคณะได้มาปักหลักอยู่ที่นี่ก็มีชาวบ้านเลื่อมใสศรัทธา ช่วยกันพัฒนาที่อยู่ที่อาศัย จัดสร้างเสนาสนะและพระอุโบสถ จนเป็นวัดที่เจริญรุ่งเรืองแล้วตั้งชื่อเป็น “วัดป่าพระสถิตย์”

นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2515 เป็นต้นมา ทางสำนักพระราชวังได้นิมนต์หลวงปู่บัวพา ไปในงานพระราชพิธีบำเพ็ญกุศลของสำนักพระราชวัง เป็นประจำทุกปี ส่วนมากหลวงปู่บัวพาจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ พร้อมกับ ท่านเจ้าคุณพระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ) หลวงปู่บัวพาได้บำเพ็ญศาสนกิจ ฝึกอบรมสานุศิษย์เรื่อยมา

ครั้นเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2528 หลวงปู่บัวพาได้รับนิมนต์ไปในพระราชพิธีบำเพ็ญกุศลเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในพระราชวัง หลวงปู่บัวพาได้เป็นลมอาพาธกระทันหันในงานพระราชพิธีนั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จึงรับสั่งให้แพทย์หลวงถวายการรักษา และนำหลวงปู่บัวพาส่งโรงพยาบาลวิชัยยุทธ และได้รับหลวงปู่บัวพาไว้เป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ และเสด็จไปเยี่ยมในขณะที่หลวงปู่อยู่โรงพยาบาลถึง 3 ครั้ง จนกระทั่งอาการของหลวงปู่บัวพาดีขึ้น จึงได้ออกจากโรงพยาบาลวิชัยยุทธในปลายเดือนกันยายน พ.ศ. 2528

พ.ศ. 2519 หลวงปู่บัวพาได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรพัดยศชั้นตรี ในพระราชทินนามที่ พระครูปัญญาวิสุทธิ์ เป็นเจ้าคณะตำบลบ้านหม้อ เขต 2 อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย หลวงปู่ได้แนะนำสั่งสอนประชาชนให้ตั้งมั่นอยู่ในหลักศีลธรรม ถือหลักกตัญญูกตเวทีเป็นสำคัญ ทางด้านการปกครองคณะสงฆ์ ในฐานะที่หลวงปู่เป็นเจ้าคณะตำบล ท่านได้อบรมแนะนำพร่ำสอนให้พระภิกษุสามเณรเคร่งครัดในพระธรรมวินัย เคารพกฎระเบียบของคณะสงฆ์ วางตนให้อยู่ในฐานะอันเหมาะสม


(มีต่อ 2)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
สาวิกาน้อย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 27 มี.ค. 2006
ตอบ: 2065

ตอบตอบเมื่อ: 18 ก.พ.2010, 11:00 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image
พระครูปัญญาวิสุทธิ์ (หลวงปู่บัวพา ปญฺญาภาโส)


๏ ธรรมโอวาท

หลักธรรมที่หลวงปู่บัวพา เทศนาอบรมสั่งสอนมักจะเป็นเรื่องการฝึกฝนอบรมจิตใจ และการรู้จักสภาพที่แท้จริงของจิต ท่านสอนว่า “ธรรมชาติของปกติจิต คือพื้นที่ของภวังคจิต เป็นจิตที่ผ่องใสไพโรจน์ จิตที่แปรผันออกจากพื้นที่ของมันเพราะตัวอวิชชา คือ ความไม่รู้เท่าทันต่อโลก ไม่รู้เท่าทันต่ออารมณ์ จิตจึงได้ผันแปรออกจาก ‘ความปกติ’ (หมายถึงความสงบ) แล้วกลายเป็นบุญหรือกลายเป็นบาป

บุญก็ดี บาปก็ดี ท่านเรียกว่า ‘เจตสิกธรรม’ ซึ่งมีอยู่ประจำโลก เป็นกลางๆ ไม่ใช่เป็นของใครคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ บุญหรือบาปไม่ได้วิ่งเข้าไปหาใคร มีแต่ตัวบุคคลเท่านั้นที่วิ่งเข้าไปหาบุญแลบาป บุญนั้นมีผลเป็นความสุข ส่วนบาปมีผลเป็นความทุกข์

อารมณ์ 6 คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ จึงเปรียบเหมือนลม 6 จำพวก ทวาร 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และหทัยวัตถุ เปรียบเหมือนฝั่งมหาสมุทร จิตใจของคนเราก็เปรียบเหมือนน้ำในมหาสมุทร เมื่อลม 6 จำพวก เกิดเป็นพายุใหญ่ในเวลาฝนตก ทำให้น้ำในมหาสมุทรเกิดเป็นคลื่นแล้วระลอกใหญ่โต เรือ แพ หลบไม่ทันก็ล่มจมเสียหายขึ้นนี้ฉันใด อุปมัยดังพาลชนไม่รู้เท่าทันโลก ไม่รู้เท่าทันอารมณ์ ปล่อยให้โลกเข้ามาประสมธรรม ปล่อยให้อารมณ์เข้ามาประสมจิต จึงเกิดราคะ โทสะ โมหะ

ถ้าอยากเห็นวิมุตติ ก็ให้เพิกถอนสมมุติออกให้หมด เพราะโลกบังธรรม อารมณ์บังจิตฉันใด สมมุติก็บังวิมุตติฉันนั้น คนเราควรใช้สติปัญญาเป็นกล้องส่องใจจะได้รู้ว่าสภาพที่แท้จริงของจิตเป็นอย่างไร”


๏ ปัจฉิมบท

หลวงปู่บัวพาได้บำเพ็ญสมณธรรม ปฏิบัติศาสนกิจ อบรมสั่งสอนสานุศิษย์ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ ให้ยึดมั่นในพระรัตนตรัย และสำเหนียกในไตรสิกขา อันเป็นแนวทางแห่งอริยมรรค จนในที่สุดสรีระร่างกายของหลวงปู่ก็เป็นไปตามกฎแห่งไตรลักษณ์ คือ เกิดมาแล้วก็มีอันเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา หลวงปู่บัวพาได้มรณภาพด้วยโรคชรา เมื่อวันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2535 ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ซึ่งเป็นวันมหาปวารณาออกพรรษาพอดี หลวงปู่ได้ละกายสังขารอันเป็นภาระหนักและทรมาน ที่อาพาธมานานไปโดยอาการอันสงบ เมื่อเวลา 20.45 น. สิริรวมอายุได้ 81 ปี 11 เดือน 11 วัน นับพรรษาได้ 61 พรรษา

คณะสงฆ์พร้อมด้วยคณะศิษยานุศิษย์ได้จัดงานฌาปนกิจศพ โดยขอพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่ ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2536 ณ เมรุวัดป่าพระสถิตย์ ตำบลพรานพร้าว อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย

Image
หลวงปู่บัวพา ปญฺญาภาโส กับ หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ



.............................................................

 คัดลอกเนื้อหามาจาก ::
หนังสือแก้วมณีอีสาน

http://www2.manager.co.th/Dhamma
 ขอกราบขอบพระคุณที่มาของรูปภาพทุกแหล่ง
โดยเฉพาะจาก ห้องพระ chiangmai1900.com
 

_________________
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
สาวิกาน้อย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 27 มี.ค. 2006
ตอบ: 2065

ตอบตอบเมื่อ: 11 ก.พ.2011, 11:32 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กระทู้ในบอร์ดใหม่

ประวัติและปฏิปทาหลวงปู่บัวพา ปญฺญาภาโส

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=19472

ประมวลภาพ “หลวงปู่บัวพา ปัญญาภาโส”
และในงานพระราชทานเพลิงศพ ณ วัดป่าพระสถิตย์

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=38&t=42950
 

_________________
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง