ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
guest
บัวบาน

เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 254
|
ตอบเมื่อ:
09 ต.ค.2008, 8:43 am |
  |
พระสารีบุตรแต่ก่อนท่านเคยเป็นลิง ท่านเป็นพระอรหันต์
เป็นอัครสาวกข้างขวาของพระพุทธเจ้า
พระสารีบุตร นิสัยของท่านแต่ก่อนเคยเป็นลิง
พอมาเห็นคลองเล็กๆ น้ำมันไหลไปมาโดดข้ามคลองนั้นแล้วโดดข้ามคลองนี้ไป
พระสงฆ์ยกโทษท่าน ร้อนเป็นไฟมาหาพระพุทธเจ้า มาฟ้องพระพุทธเจ้า
ว่าทำไมพระสารีบุตรขนาดว่าเป็นพระอรหันต์แล้ว เป็นอัครสาวกข้างขวาด้วย
แล้วทำไมจึงทำตัวเป็นลิง โดดกลับไปกลับมา เห็นร่องน้ำเล็กๆ โดดไปโดดมา
พระพุทธเจ้ารับรองว่า นี่เธอเคยเป็นลิงมาก่อน พระองค์ออกมารับเลย
ถ้าไม่อย่างนั้นพระสงฆ์จะโจษจันกันอย่างหนัก
เธอเคยเป็นลิงมาจนเป็นนิสัย เพราะฉะนั้นกิริยาอันนี้ยกให้ลิงเสีย
อัครสาวกที่เรียบร้อยนั้นยกให้พระสารีบุตรของเรา
ส่วนลิงนั้นยกให้ลิงไปเสีย ท่านตอบกัน
นี่พระพุทธเจ้ายืนยันรับรองไว้
นี่หมายถึงว่าผู้ที่มีนิสัยอย่างไร หนักทางไหนไปทางนั้น
นิสัยพระสันตกายก็เหมือนกัน ท่านไปไหนนี้เรียบหมดเลย
พระสงฆ์ทั้งหลายในวัดนั้นน่ะค่อนข้างแน่ใจ เกือบจะทั่วทั้งวัดละว่าท่านเป็นพระอรหันต์
ท่านมีกิริยามารยาทสวยงามมาก เคลื่อนไหวไปไหนปรากฏว่ามีสติทุกแง่ทุกมุม
เหมือนว่าไม่พลั้งไม่เผลออะไรเลย
เมื่อถามท่าน ท่านก็บอกว่าท่านยัง
เลยเอาเรื่องนี้ไปทูลถามพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าตรัสว่านี่เธอเคยเป็นราชสีห์มา
ราชสีห์-แมวเป็นสัตว์ที่มีสติ เรียบร้อยระมัดระวังตัวมาก
ราชสีห์ก็เหมือนกัน เสือระวังตัวมาก
พระสันตกายเคยเป็นราชสีห์มา กิริยาอาการทุกอย่างจึงเรียบร้อย
เรียกว่าพระสันตกาย
เทศน์กัณฑ์นั้นมีพระสำเร็จมรรคผลนิพพานตั้งเยอะ
โดยอาศัยพระสันตกายที่มีกิริยาเรียบร้อยแล้วออกเป็นสภาของธรรมะ
พระพุทธเจ้าทรงแสดงเอง
พระสันตกายนี้ท่านเคยเป็นราชสีห์มา กิริยาท่าทางของท่านทุกอย่างจึงเหมือนมีสติ
แล้วเวลามาเทียบทางพุทธศาสนาก็เหมือนเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง
คือใครพูดเหมือนว่ากิริยาท่าทางนี้จะผิดจากโลก มีใจเท่านั้นผิดจากโลก
กิริยาเป็นไปตามนิสัยวาสนาที่เคยเป็นมา เคยเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น
อย่างพระสันตกายท่านเรียบตลอด ท่านเคยเป็นราชสีห์มา
พระพุทธเจ้ายกมารับกัน
เคยเป็นลิงก็บอก อย่างพระสารีบุตรก็เคยเป็นลิง
พระพุทธเจ้าทรงรับสั่งเสียเองจะผิดไปไหน
เป็นอย่างนั้น เป็นไปตามนิสัย
อย่างพระสันตกายไปไหนมาไหนมีกิริยาเรียบเลย
ใครก็ยกให้ท่านว่าเป็นพระอรหันต์
แต่ท่านก็ปฏิเสธเรายังไม่เป็น
ไปทูลถามพระพุทธเจ้าอีก วันนั้นเลยประชุมกันใหญ่
พระองค์จึงว่าพระสันตกาย เธอเคยเป็นราชสีห์มา เหมือนว่ามีสติทุกด้านทุกทาง |
|
|
|
  |
 |
mes
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
09 ต.ค.2008, 11:02 am |
  |
คุณguest
ผมขออนุญาตฉีกประเด็นออกไปแต่มีมูลฐานเดียวกันครับว่า
ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง
การที่เรารัปทานเนื้อสัตว์เท่ากับรัปทานเนื้อญาติเราในชาติใดชาติหนึ่งเข้าไป อาจเป็นพ่อ แม่ พี่ น้อง ภรรยา บุตร
ไม่ใช่ผมไม่เชื่อว่าการเวียนว่ายตายเกิดนั้นมี
แต่ผมกำลังชั่งใจว่า
ถึงเวลานี้แล้ว
ผมควรมังสวิรัติ์หรือยัง |
|
|
|
   |
 |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
09 ต.ค.2008, 11:19 am |
  |
มองใกล้ตัวและปัจจุบันให้มากๆ |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
  |
 |
mes
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
09 ต.ค.2008, 11:21 am |
  |
ท่านกรัชกายครับ
ขอใบ้เพิ่มอีกนิดครับ |
|
|
|
   |
 |
Story Note
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 23 ก.ค. 2007
ตอบ: 97
|
ตอบเมื่อ:
09 ต.ค.2008, 1:52 pm |
  |
สาธุค่ะ..
เมื่อเช้าได้ฟัง เหมือนเทศน์ของหลวงตา เลยค่ะ คุณguest
มานึกถึงตัวเองว่าเหมือนอะไร ก็ยังคิดไม่ออกเลยค่ะ แหะ ๆ
(ไม่เห็นได้เรื่องสักกะอย่างเลยอะ) |
|
|
|
  |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
09 ต.ค.2008, 2:55 pm |
  |
mes พิมพ์ว่า: |
คุณguest
ผมขออนุญาตฉีกประเด็นออกไปแต่มีมูลฐานเดียวกันครับว่า
ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง
การที่เรารัปทานเนื้อสัตว์เท่ากับรัปทานเนื้อญาติเราในชาติใดชาติหนึ่งเข้าไป อาจเป็นพ่อ แม่ พี่ น้อง ภรรยา บุตร
ไม่ใช่ผมไม่เชื่อว่าการเวียนว่ายตายเกิดนั้นมี
แต่ผมกำลังชั่งใจว่า
ถึงเวลานี้แล้ว
ผมควรมังสวิรัติ์หรือยัง |
ผมคิดอย่างนี้นะ
อาหารที่เรากินเข้าไปทุกวันนี้ มันก็เคยเป็นอุจจาระคนอื่นมาก่อน
น้ำที่เราดื่ม มันก็เคยเป็นเยี่ยวคนอื่นมาก่อน
อย่างน้อยพวกต้นน้ำนี่ก็เยี่ยวลงแม่น้ำมาก่อน แล้วมาเข้าคลองประปา
น้ำเสีย น้ำโสโครกจากต้นน้ำ ก็มาเข้าคลองประปา
ทีนี้ถ้าเราจะไปนับญาติอย่างนั้น
เราคงต้องไม่กินอะไรแน่ๆเลย จิตมันตั้งแง่อย่างนี้ขึ้นมายึดถือ
เฉกเช่นเดียวกับเราสร้างสังขารขึ้นมายึดถือสัตว์ในวัฏฏะสงสารว่าล้วนเป้นญาติ จึงไม่กินเนื้อเขาเลย
ความจริงต้องขอยกย่องว่า คุณพี่มีเมตตาจิต กรุณาจิต มุทิตาจิต มากทีเดียวที่รู้สึกอย่างนี้
แต่คุณพี่อย่าลืม อุเบกขาจิตด้วยนะครับ
ทั้งสิ้นทั้งปวงก็แล้วแต่ความ
"ควรแก่การงาน" "ไม่หนัก" "ไม่เบา" เกินไปนะครับ
สาธุครับผม |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
09 ต.ค.2008, 3:01 pm |
  |
แล้วประเภทอย่างผมนี่ น่าจะเป็นตัวอะไรล่ะครับนี่
มีทั้งตลกและซีเรียสในตัวเดียวกัน
"จำอวด-อาวุโส" รึเปล่านา |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
mes
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
09 ต.ค.2008, 3:06 pm |
  |
ขอบคุณท่านคามินธรรม
ที่ผมคิดคงเรียกว่าอุปทานใช่ไหมครับ
"ไหนละสังขาร มีแต่กองธรรมล้วนๆ"
ที่เรากิน เรากินธาตุ
ไม่ได้กินจิต(วิญาณ)
จิตวิญาณฆ่าไม่ตาย
นอกจาก
0 |
|
|
|
   |
 |
natdanai
บัวบาน

เข้าร่วม: 18 เม.ย. 2008
ตอบ: 387
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok
|
ตอบเมื่อ:
09 ต.ค.2008, 4:30 pm |
  |
 |
|
_________________ ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง |
|
    |
 |
ฌาณ
บัวเงิน


เข้าร่วม: 23 ก.ค. 2008
ตอบ: 1145
ที่อยู่ (จังหวัด): หิมพานต์
|
ตอบเมื่อ:
09 ต.ค.2008, 8:32 pm |
  |
สาธุครับท่านอาจารย์..
ผมเคยได้ยินได้ฟังมาเช่นกันครับว่าเป็นเรื่องของวาสนา ความเคยชินที่สะสมมาก่อนดังเช่น...
พระอรหันต์รูปหนึ่งนามว่าปิลินทวัจฉะชอบเรียกใคร ต่อใครว่าไอ้ถ่อยๆ จนพระในเวฬุวันต้องไปทูลฟ้องพระพุทธองค์
ซึ่งพระองค์ท่านก็เรียกมาสอบสวน พอพระปิลินทวัจฉะยอมรับตามนั้นจริง พระศาสดาก็กำหนดดูอดีตชาติของท่าน แล้วตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายอย่าถือโทษวัจฉภิกษุเลย วัจฉภิกษุหาได้มุ่งประทุษร้ายไม่ขณะเรียกภิกษุทั้งหลายด้วยวาทะว่าไอ้ถ่อย วัจฉภิกษุเกิดในสกุลพราหมณ์ ๕๐๐ ชาติไม่ขาดสาย ก็แต่ว่าที่เรียกใครๆเป็นไอ้ถ่อยนั้น วัจฉภิกษุประพฤติมานาน และด้วยความเคยชินนั้น จึงมาประพฤติอีกในกาลนี้....
ครับนี่ก็อีกเรื่องหนึ่ง
 |
|
_________________ ผมจะพยายามให้ได้ดาวครบ 10 ดวงครับ |
|
  |
 |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
09 ต.ค.2008, 8:45 pm |
  |
แบบนี้หากในอดีตชาติเคยฆ่าคน เคยฆ่าสัตว์ เคยลักทรัพย์ เคยประพฤติผิดในกาม เคยดื่มเหล้า เกิดมาชาตินี้คงต้องประพฤติอย่างนั้นเป็นอย่างนั้นกันหมดหรอนี่  |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
  |
 |
ฌาณ
บัวเงิน


เข้าร่วม: 23 ก.ค. 2008
ตอบ: 1145
ที่อยู่ (จังหวัด): หิมพานต์
|
ตอบเมื่อ:
09 ต.ค.2008, 9:14 pm |
  |
อือมมม...นั่นสิครับอาจารย์กรัชกาย
แต่เรื่องราวข้างต้นนี้ไม่มีพระไตรปิฎกครับ
แต่มีในหนังสือรุ่นหลังพระไตรปิฎก (คือ อรรถกถา - หนังสืออธิบายพระไตรปิฎก) จะเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด ก็แล้วแต่จะพิจารณาครับ
ผมอ่านเจอในเวปหนึ่ง...ขออนุญาตนำมาให้ท่านอาจารย์พิจารณาครับ
คำว่าวาสนาในภาษาไทยหมายถึง บุญบารมีที่สั่งสมมานาน ทำให้คน ๆ นั้นมีความพรั่งพร้อมสมบูรณ์ทุกด้าน ดังคำกล่าวถึงบุคคลที่มีคุณสมบัติเช่นนี้ว่า “เขามีวาสนา” หรือ “เป็นวาสนาของเขา”
แต่ในความหมายทางธรรม “วาสนา” หมายถึง นิสัยสันดานที่ฝังลึกอยู่ในจิตจนถอนไม่ขึ้น ว่ากันว่า ถึงจะบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วก็ยังละ “วาสนา” ไม่ได้ ยกเว้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น
อดีตเจ้าคณะจังหวัดอุดรธานี ผมจำสมณศักดิ์ท่านไม่ได้แล้วท่านชอบพูดคำว่า “ดีเนาะ หลวง” ติดปาก ไม่ว่าพูดกับใคร ไม่ว่าเรื่องดี หรือเรื่องร้าย ท่านจะบอกว่า “ดีเนาะ ๆ” อยู่เรื่อย วันหนึ่งสีกานางหนึ่งร้องไห้ฟูมฟายไปหาท่าน เรียนท่านว่า ลูกชายซึ่งเพิ่งเรียนจบนายร้อย จปร. ใหม่ ๆ ประสบอุบัติเหตุตายเสียแล้ว หลวงพ่อท่านก็ตอบว่า “ดีเนาะ”
ว่ากันว่าสีกานางนั้นโกรธหลวงพ่อแทบเป็นแทบตาย แต่ต่อมาพอรู้ว่าเป็นคำพูดติดปากท่านเท่านั้นเอง จึงไม่ถือโกรธท่าน
**************************************************************************
เมื่อคราวโรงแรมใหญ่ที่โคราชถล่มทับคนตายเป็นจำนวนมาก มีตึกอีกหลังหนึ่งติดกับโรงแรม โย้เย้ทำท่าจะพังลงมาอีก มีคนนิมนต์หลวงพ่อคูณไปดู หลวงพ่อคูณท่านคงเห็นด้วยตาในของท่าน จึงบอกว่าตึกนี้ไม่พังแน่นอน
หนังสือพิมพ์เอาภาพและคำพูดของท่านมาลงว่า “หลวงพ่อคูณ เกจิอาจารย์ดังบอกว่า “กูว่าไม่พัง”
บางท่านถามด้วยความหงุดหงิดใจว่าพระสงฆ์องค์เจ้าพูดกู ๆ มรึง ๆ ได้หรือ
นี่แสดงว่าท่านผู้ถามนี้ไม่รู้ว่า “วาสนา” นั้นละกันไม่ได้ หลวงพ่อคูณท่านพูดคำนี้ติดปาก ไม่ว่าพูดกับใคร คำพูดฟังดูอาจหยาบ แต่ จริง ๆ แล้ว กู ๆ มรึง ๆ เป็นภาษาไทยแท้ ไม่คิดว่าหยาบมันก็ไม่หยาบ ที่สำคัญท่านพูดด้วยจิตเมตตา
เล่า ว่าท่านผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง พอท่านพูดคำว่า กู มรึง ก็รู้สึกโกรธไหว้แล้วลงกุฏิกลับไปเลย สตาร์ทรถอย่างไร ๆ ก็ไม่ติด จนกระทั่งมีผู้เข้าไปกระซิบว่า ให้ไปขอขมาหลวงพ่อก่อน พอเขาไปกราบขอขมา หลวงพ่อพูดว่า “เออมรึงกลับได้”
เท่านั้นแหละครับ คราวนี้สตาร์ทชึ่งเดียวติดวิ่งฉิวไปเลย
นี่แหละครับที่ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า “วาสนา” หรือสิ่งที่ติดแน่นอยู่ในส่วนลึกแห่งจิตสันดาน
โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก
 |
|
_________________ ผมจะพยายามให้ได้ดาวครบ 10 ดวงครับ |
|
  |
 |
guest
บัวบาน

เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 254
|
ตอบเมื่อ:
09 ต.ค.2008, 11:28 pm |
  |
อ้างอิงจาก: |
สาธุค่ะ..
เมื่อเช้าได้ฟัง เหมือนเทศน์ของหลวงตา เลยค่ะ คุณguest
มานึกถึงตัวเองว่าเหมือนอะไร ก็ยังคิดไม่ออกเลยค่ะ แหะ ๆ
(ไม่เห็นได้เรื่องสักกะอย่างเลยอะ |
คุณ storynote ครับ
ผมตั้งใจอาราธนาธรรมหลวงตามาครับ
แต่ผมไม่อ้างถึงท่าน
เพราะหากมีใครเพ่งโทษท่านจากกัณฑ์เทศน์
กลัวตัวเองเป็นบาปครับ |
|
|
|
  |
 |
guest
บัวบาน

เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 254
|
ตอบเมื่อ:
09 ต.ค.2008, 11:44 pm |
  |
คุณ mes ครับ
ถ้าพระพุทธองค์ทรงฉันเนื้อสัตว์ตัวนั้นล่ะครับ
อานิสงส์จะเพียงใด
ถึงแม้จะไม่มีเจตนาให้ทานเนื้อตนเองก็ตามที
แต่อานิสงส์ก็ยังมีอยู่ดี เพราะเป็นหลักของกรรม
สัตวเค้ามีโอกาสน้อยอยู่แล้วในการสร้างบุญบารมี
การให้เนื้อตนเองเป็นทานเป็นทางให้เค้าสร้างบารมีเพื่อเปลี่ยนภพชาติได้ครับ |
|
|
|
  |
 |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
10 ต.ค.2008, 5:14 am |
  |
ศรัทธา คือ ความเชื่อ ความซาบซึ้ง ไม่ใช่ความรู้
แต่อาจเป็นทางเชื่อมต่อนำไปสู่ความรู้ได้ เพราะศรัทธามีลักษณะเป็นการยอมรับความรู้ของผู้อื่น ฝากความไว้วางใจในปัญญาของผู้อื่น ยอมพึ่งและอาศัยความรู้ของผู้อื่นหรือแหล่งแห่งความรู้นั้นเป็นเครื่องชี้นำแก่ตน
ถ้าผู้มีศรัทธารู้จักคิด รู้จักใช้ปัญญาของตนเป็นทุนประกอบไป ศรัทธานั้นก็สามารถนำไปสู่ความเจริญปัญญาและการรู้ความจริงได้ เฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อผู้อื่นนั้น หรือ แหล่งความรู้นั้นมีความรู้แท้จริง และมีกัลยาณมิตรช่วยชี้แนะให้รู้จักใช้ปัญญา
แต่ถ้าเชื่ออย่างงมงายคือไม่รู้จักคิด ไม่ใช้ปัญญาของตนเลย และผู้อื่นหรือแหล่งแห่งความรู้นั้นไม่มีความรู้จริง ทั้งไม่มีกัลยาณมิตรที่จะช่วยชี้แนะ หรือมีปาปมิตร ผลอาจกลับตรงข้าม นำไปสู่ความหลงผิด ห่างไกลจากความรู้ยิ่งขึ้น |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
  |
 |
บัวหิมะ
บัวเงิน


เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 1273
|
ตอบเมื่อ:
13 ต.ค.2008, 5:34 pm |
  |
ธรรมะสวัสดี ทุกท่าน  |
|
_________________ ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ |
|
  |
 |
kokorado
บัวใต้น้ำ

เข้าร่วม: 12 ก.ค. 2008
ตอบ: 104
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
13 ต.ค.2008, 7:02 pm |
  |
คุณบัวหิมะสั้นๆง่ายๆดี ถ้าเป็นเว็บบางเว็บเขาไม่ยอมนะครับ เพราะเป็นการจงใจปั๊ม แต่เราไม่ว่ากัน ไม่รู้ว่าเว็บใหม่ที่จะย้ายไปอยู่เนี่ย จะทำระบบป้องกันการปั๊มดาว หรือดับเบิ้ลโพสต์รึเปล่า ในความคิดเรื่องการบรรลุธรรมเมื่อก่อนเชื่อว่าถ้าไม่ได้ธรรมกายจะไม่ได้มรรคผลนิพพาน วันนี้ผมชักจะไม่เชื่อแล้วว่าต้องเห็นธรรมกายเท่านั้นถึงจะบรรลุธรรมได้ ไม่รู้เกี่ยวกับกระทู้หรือเปล่า ที่ตอบเนี่ย |
|
_________________ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม |
|
  |
 |
บัวหิมะ
บัวเงิน


เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 1273
|
ตอบเมื่อ:
14 ต.ค.2008, 8:08 am |
  |
คุณบัวหิมะสั้นๆง่ายๆดี ถ้าเป็นเว็บบางเว็บเขาไม่ยอมนะครับ
ต้องขออภัย เนื่องจากช่วงหลังไม่ค่อยมีเวลา ทำอะไรก็รีบ ๆ ร้อน ๆ
(ไม่เย็นเหมือนชื่อ) และเผอิญจะรีบกลับบ้านด้วยน่ะ
เอาเป็นว่า มันเป็นกิริยาตามบุญ-กรรมชาติภพเดิมที่ทำไว้ แล้วกันเนอะ
ควรไม่ควรแล้วแต่จิตของแต่ละท่าน สาธุ สาธุ  |
|
_________________ ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ |
|
  |
 |
|