ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
08 ต.ค.2008, 7:15 pm |
  |
ปฏิจจสมุปบาทในฐานะปัจจยาการทางสังคม
ในมหานิทานสูตร * (ที.ม.10/57-66/65-84) พระพุทธเจ้าทรงแสดงหลักปัจจยาการ ทั้งที่เป็นไปภายในจิตใจของบุคคล และที่เป็นไปภายในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์หรือในทางสังคม
ปฏิจจสมุปบาทแห่งทุกข์ หรือ ความชั่วร้ายทางสังคม ก็ดำเนินมาตามวิถีเดียวกันกับปฏิจจสมุปบาทแห่งทุกข์ของชีวิตนั่นเอง แต่เริ่มแยกออกแสดงอาการที่เป็นไปภายนอกต่อแต่ตัณหาเป็นต้นไป แสดงพุทธพจน์ เฉพาะช่วงตอนนี้ ดังนี้
อานนท์ ด้วยประการดังนี้แล อาศัยเวทนาจึงมีตัณหา อาศัยตัณหาจึงมีปริเยสนา อาศัยปริเยสนาจึงมีลาภะ อาศัยลาภะจึงมีวินิจฉัย อาศัยวินิจฉัยจึงมีฉันทราคะ อาศัยฉันทราคะจึงมีอัชโฌสาน
อาศัยอัชโฌสานจึงมีปริคคหะ อาศัยปริคคหะจึงมีมัจฉริยะ อาศัยมัจฉริยะจึงมีอารักขะ อาศัยอารักขะสืบเนื่องจากอารักขะ จึงมีการถือไม้ ถือมีด การทะเลาะ แก่งแย่ง วิวาท การด่าว่ามึง มึง การส่อเสียด มุสาวาท บาปอกุศลธรรมทั้งหลายเป็นเอนก ย่อมเกิดมีพรั่งพร้อมด้วยอาการอย่างนี้...
(ที.ม.10/59/69)
แสดงกระบวนธรรมที่แยกเป็น 2 สาย ให้ดูอย่างง่ายๆ ดังนี้
อวิชชา => สังขาร=> วิญญาณ => นามรูป =>สฬายตนะ => ผัสสะ => เวทนา => ตัณหา => อุปาทาน => ภพ => ชาติ => ชรามรณะ โสกะ ปริเทวะ ฯลฯ = ทุกข์ของชีวิต
ฯลฯ...เวทนา => ตัณหา => ปริเยสนา => ลาภะ
=> วินิจฉัย => ฉันทะราคะ => อัชโฌสานะ => ปริคคหะ =>
มัจฉริยะ => อารักขะ => การทะเลาะ แก่งแย่ง วิวาท ส่อเสียด มุสาวาท ฯลฯ = ทุกข์ของสังคม
.......
ปริเยสนา การแสวงหา
ลาภะ การได้
วินิจฉัย การกะกำหนด
ฉันทะราคะ ความชอบชิดติดพัน
อัชโฌสาน ความหมกมุ่นฝังใจ
ปริคคหะ การยึดถือครอบครอง
มัจฉริยะ ความตระหนี่
อารักขะ ความหวงกั้น
บาปอกุศล สิ่งชั่วร้าย
* อาจมีผู้สงสัยว่า ในเมื่อการแสวงหาเป็นพฤติกรรมที่เกิดจากตัณหา
ผู้ไม่ใช้ตัณหาก็เป็นอันไม่ต้องแสวงหาอาหาร หรือ อย่างไร
พึงเข้าใจว่า คำว่า ปริเยสนาหรือแสวงหาดังกล่าว เป็นคำที่ใช้อย่างศัพท์เฉพาะเพื่อแยกความหมายให้ต่างจากคำว่า กระทำ โดยให้หมายถึงวิธีการต่างๆที่จะให้ได้สิ่งที่ต้องการมา อันเป็นความหมายที่กว้าง จะมีการกระทำหรือไม่ก็ได้
แต่ในกรณีใด การแสวงหาเป็นเหตุโดยตรงของผลที่จะเกิดขึ้น ในกรณีนั้น การแสวงหาเป็นเพียงการกระทำอย่างหนึ่งในความหมายอย่างปกติธรรมดา อย่างกรณีร่างกายต้องการอาหาร จะต้องกินอาหารจึงจะดำรงชีวิตอยู่หรือมีสุขภาพดีได้ การแสวงหาเป็นเหตุโดยตรงแห่งการเกิดมีของอาหารที่จะต้องกินนั้น การแสวงหาจึงเป็นการ กระทำเพื่อผลของมันเอง
จุดที่จะตัดสินความแตกต่างว่าเป็นอะไรแน่ อยู่ที่ว่ากินเพื่ออะไร ถ้ากินเพื่อเสพรสคือการกินเป็นเงื่อนไขสำหรับการได้เสพรสอร่อย ระบบแห่งความเป็นเหตุเป็นผลก็คลาดเคลื่อนเสียไป
แต่ถ้ากินเพื่อสนองความต้องการของร่างกาย ความเป็นเหตุเป็นผลก็ต่อเนื่องกันไปตลอดระบบ
ผู้ที่ไม่ปฏิบัติการด้วยตัณหา เริ่มต้นพฤติกรรมในกรณีอย่างนี้ ด้วยความคิด ความรู้เข้าใจ หรือความสำนึกเหตุผลว่า อาหารเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต - (ที่จะดำรงอยู่ด้วยดี สามารถทำกิจหน้าที่บำเพ็ญคุณประโยชน์ต่างๆได้) จึงจะต้องหาอาหารมากินเพื่อสนองความต้องการของร่างกาย ความเป็นเหตุเป็นผลดำเนินไปโดยมีความคิดหรือความสำนึกอย่างนี้เป็นฐาน ทางธรรมถึงกับกำหนดให้การแสวงหาอาหารโดยทางชอบธรรม เป็นหน้าที่อย่างหนึ่งที่จะต้องทำทีเดียว และให้เพียรพยายามในการแสวงหานั้นด้วย แม้แต่พระภิกษุซึ่งควรมีชีวิตที่ขึ้นต่ออาหารน้อยที่สุด ท่านก็ให้มีอุตสาหะในการแสวงหาตามวิธีที่เป็นแบบแผนของตน
(ดู วินย. 4/87/706 ; 143/193 เรื่องในที่นี้ อาจช่วยให้เห็นความแตกต่างอีกแง่หนึ่งระหว่างการแสวงหาที่เป็นการกระทำและเป็นหน้าที่ กับการแสวงหาที่เป็นเพียงการหาทางให้ได้มาเสพเสวย โดยไม่ต้องทำ) |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
  |
 |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
08 ต.ค.2008, 7:58 pm |
  |
ผู้มีปัญญาสร้างสุขที่ไม่อิงอามิส (นิรามิสสุข) ขึ้นจากภายในด้วยตน แล้วเสวยสุขนั้นโดยไม่เบียดเบียนผู้อื่นและสภาพแวดล้อมทางสังคม
ในการนั่งสมาธิครั้งนี้สามารถรับรู้ลมหายใจได้ตลอดสายเป็นเวลานาน
แต่ผมก็คิดว่าเวลาจิตเราสงบมากแล้ว แต่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้ายังไงเราลองเปลี่ยนวิธีกำหนดดู
ผมเลยเปลี่ยนวิธีกำหนดในใจเป็นแบบอัปปมัญญา ฯลฯ กำหนดแค่ครั้งเดียวเท่านั้น จากนั้นผมก็รู้สึกเหมือนกายผมขยายตามที่กำหนดแผ่เมตตาไปด้วย รู้สึกว่ากายขยายไปทุกทิศ จนรู้สึกว่ากายหายไป คือไม่มีกาย เวลานี้รู้สึกว่าความรู้สึกของเราเหมือนจุ่มอยู่ในปีติ มีแต่ความสุขไปหมด จากนั้นก็คิดขึ้นมาว่า "มีความสุขขนาดนี้ในโลกด้วยหรือ ความสุขนี้ดีกว่าความสุขในโลก ที่เราเคยพบมาทั้งหมด โอ... ความสุขนี้แค่นั่งก็ได้แล้ว คนทั้งโลก-(ส่วนใหญ่) มัวแต่วุ่นวายทำอะไรกันอยู่ บางคนทำทุจริตต่างๆเพื่อหาเงินมาสนองความสุขตน ทำไปทำไมนะ มันเทียบกับความสุขที่เกิดจากความสงบนี้ไม่ได้เลย ความสุขนี้ไม่ต้องไขว่คว้ามาก อยู่กับตัวเองแท้ๆ คน -(ส่วนใหญ่) ในโลกกลับไม่รู้" จากนั้นก็สังเกตลมหายใจก็รู้สึกว่า ลมหายใจตอนนี้มันละเอียดมาก ถึงค่อยเข้าใจคำว่าลมหายใจหยาบลมหายใจละเอียดว่าเป็นยังไง ก่อนหน้านี้เข้าใจว่า คือ ลมหายใจแรงๆเบาๆซะอีก
ความรู้สึกจากการเกิดสมาธิครั้งแรกนี้ มันเหมือนจุ่มค้างอยู่ปีติ คือปีติเกิดค้างอยู่ แต่ไม่เห็นนิมิตอะไรทั้งสิ้นเลยนะครับ แต่รู้สึกจิตเวลานี้ไม่มีนิวรณ์เลย คือมีความรู้พร้อมอยู่ |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
  |
 |
mes
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
08 ต.ค.2008, 8:03 pm |
  |
ครับท่านกรัชกาย
ธรรมะบทนี้เหมาะกับสถานะการณ์ดียี่งแล้ว
ชีวิตมนุษย์แค่พริบตาเดียว
เหตุการณ์ที่เกิดอย่างไรเสียก็ต้องเกิด
เช่นเดียวกับเกิดขึ้นแล้ว
คนที่ยังกิเลสหนาอย่างผมก็สลดใจ
คนเราตอนเกิดก็ทรมาร ตอนมีชีวิตก็ทรมาร ตอนกำลังจะตายก็ทรมาร
ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสาท |
|
|
|
   |
 |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
08 ต.ค.2008, 8:04 pm |
  |
ฉันเคยไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่วัดแห่งหนึ่งเป็นเวลาเจ็ดวัน
ก่อนหน้านั้นก็เคยไปกับคุณพ่อคุณแม่บ้าง
ปีละครั้งในช่วงปิดเทอม ก่อนหน้านั้นก็ไม่ได้คิดจะปฏิบัติอย่างจริงจัง
ตามประสาวัยรุ่นน่ะค่ะ แค่คิดว่าไปกับที่บ้าน
แต่ก็ตั้งใจปฏิบัติทุกครั้ง..พอกลับมาที่บ้านก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อ
แต่ในช่วงก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัย มีเวลาว่างเล็กน้อย
อยู่ๆฉันก็นึกอยากไปวัดนี้ อยากไปปฏิบัติธรรม อยากไปมากๆ
ก็ไปคนเดียว เป็นเด็กผู้หญิงอายุสิบแปดที่เก็บเสื้อผ้าออกจากบ้านไปอยู่วัดเจ็ดวัน
ตอนนั้นรู้สึกว่าอยากไปมาก ขนาดที่ว่าไม่มีคุณพ่อคุณแม่ไปส่งก็นั่งรถทัวร์ไปเอง
ตอนแรกขอท่านแล้วท่านไม่ยอมให้ไป ก็หนีไปเอง แล้วโทรมาบอกท่านเมื่อถึงวัดแล้ว ท่านก็ไม่ว่าอะไร
ตอนนั้นฉันตั้งใจปฏิบัติมาก
คิดว่าอุตส่าห์ทนลำบากเดินทางมาเองแล้ว ต้องปฏิบัติให้คุ้มกับที่เดินทางมา และคุ้มกับที่เสียเวลาอ่านหนังสืออันมีค่า
สองวันแรกฉันรู้สึกว่า ลมหายใจของเราช่างหยาบเสียนี่กระไร
เวลานั่งสมาธิหรือเดินจงกรมก็รู้สึกตัวอยู่ตลอด ดูลมหายใจ และพิจารณาสภาวธรรมที่เกิดดับขึ้น
ตอนนั้นพยายามมาก ตายเป็นตาย ไม่ยอมขยับร่างกายเลย
จะเจ็บจะปวด หรือเหน็บชาอย่างไรก็อดทน ดูมันไปเรื่อยๆ
ว่ามันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป (แต่มันก็ไม่หายเจ็บหายปวดสักที ไม่ดับสักทีว่างั้น) จนเมื่อเข้าสู่คืนวันที่สี่ ในการปฏิบัติธรรมหลังทำวัตรเย็น
ในช่วงสุดท้าย ที่เดินจงกรมและนั่งสมาธิ ฉันตั้งใจว่าจะเดิน 1 ชม. นั่ง 1 ชม.
ในตอนนั้นนั่งแล้วปวดมาก..กำหนดไปเรื่อยๆ ตายเป็นตาย ทั้งที่ปวดมากกว่าปกติ พอปวดหนักเข้า มันก็หายปวดไปเอง
เมื่อหายปวดรู้สึกว่า จิตมันดิ่งลงสู่เบื้องล่าง เร็วมาก ดิ่งแบบไม่ใช่วูบลงนะคะ เพราะกำหนดรู้ตลอดเวลา ในตอนนั้นรู้สึกเหมือนกับสนิมหนักๆ ที่เกาะอยู่ตามร่างกาย (ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไง ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นรูปกายอย่างที่เห็น อธิบายไม่ถูก) ก้อนสนิมหนักๆ พวกนั้นค่อยๆ หลุดออกมาทีละเปราะ ทีละเปราะ รู้สึกว่าใจสว่างวาบ มีความสุข เป็นภาวะที่สงบสว่างค่ะ เ ข้าสู่ภาวะนี้สักพัก ก็หมดเวลาทำสมาธิ
หลังจากนั้นพอกลับไปนอน ก็พยายามกำหนดรู้ตลอด
(การไปคนเดียวครั้งนี้ ตั้งใจมากๆค่ะ ไม่พูดไม่คุยกับใครเลย ถ้าไม่จำเป็น)
ในช่วงเจ็ดวันนั้นสงบมาก รู้สึกปลอดโปร่ง เมื่อกลับมาที่บ้านก็อยากรู้สึกอยากกราบคุณพ่อคุณแม่มาก ซื้อพวงมาลัยไปสองพวง ไปกราบเท้าท่าน คุณพ่อคุณแม่ก็แปลกใจ ปกติลูกสาวคนนี้ดื้อมาก ไม่เคยทำอะไรแบบนี้ แต่ความรู้สึกตอนนั้น (และยังถ่ายทอดมาถึงปัจจุบัน) คือรู้สึกรักคุณพ่อคุณแม่มาก แล้วก็รักทุกอย่างรอบตัวมากขึ้น รู้สึกว่าทุกอย่างรอบตัวเราล้วนแต่มีคุณค่า ก็เปลี่ยนความคิดไปเลย |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
  |
 |
ฌาณ
บัวเงิน


เข้าร่วม: 23 ก.ค. 2008
ตอบ: 1145
ที่อยู่ (จังหวัด): หิมพานต์
|
ตอบเมื่อ:
08 ต.ค.2008, 8:57 pm |
  |
อุ อุ เกือบมาไม่ทันครับ มีรายการโหวตเลือก เอฟ 1 เอฟ 3 กันด้วย
ดีใจและขอขอบคุณทุกท่านอย่างสูงเลยครับที่เอ่ยชื่อผมอยู่ในการโหวตด้วย...
แต่ผมเพิ่งเข้ามาใหม่อะครับ...คงต้องเจียมตัว มิอาจแข่งวาสนาบารมีกับพี่ๆและอาจารย์ท่านทั้งหลายครับ...แต่จะร่วมโหวตด้วยครับ มีหลายท่านอะครับแต่เลือกท่านที่มาบ่อยๆละกันครับ...
อ้างอิงจาก: |
1. สมาชิกที่ทำตัวน่ารักที่สุด
2. สมาชิกที่ที่ใช้ภาษาเก่งที่สุด
3. สมาชิกที่มีภูมิธรรมสูงสุด |
ข้อ 1.ผมเลือกท่านพี่บัวหิมะ พี่ลูกโป่งครับ....
ข้อ 2.ผมเลือกท่านอาจารย์ คามินธรรม และอาจารย์พลศักดิ์
ข้อ 3.ผมเลือกท่านอาจารย์กรัชกายและท่านอาจารย์ตรงประเด็น
ผิดถูกอย่างไรกราบขออภัยครับ
 |
|
_________________ ผมจะพยายามให้ได้ดาวครบ 10 ดวงครับ |
|
  |
 |
mes
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
08 ต.ค.2008, 9:25 pm |
  |
คุณกรัชกาย
ผมได้ใช้ตัวอย่างที่คุณกรัชกายนำมาเป็นธรรมตัวอย่าง
ครับมันก็เหมือนหินทับหญ้า ที่บังเอิญทับหญ้าคาตายยาก
หญ้าคาดีในบางความหมาย
แต่ในความตายยากถ้าเปรียบกับกิเลสก็ไม่ค่อยดี
เงินตรา อำนาจ เกียรติ ลาภ ยศ สรรเสริญ
คือป้ายบอกทางสู่วินิบาต สำหรับผู้ที่หลงกับมัน
สำหรับจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ ขอจงสู่สวรรค์ในชาตภพที่สุคติ
สำหรับผู้ทุพลภาพ
ขอท่านจงสิ้นเวรกรรมแต่เพียงนี้
ขอเมตตาจงกลับคืนมาพร้อมสันติ
ขอเมตตาธรรมจงค้ำจุงโลก |
|
|
|
   |
 |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
08 ต.ค.2008, 9:38 pm |
  |
เป็นความคิดเป็นดวงจิตที่ปรารถนาดีครับ ผู้ที่ไม่อยู่ในเหตุการณ์พึงกระทำ ทำเพื่อให้สุขภาพจิตของตนไม่ตกต่ำไปกับสถานการณ์
แต่จะหวังในทางปฏิบัติว่า หยุดเถอะ พอแล้ว สันติภาพ สันติสุข จงเกิดมีแก่โลกแก่สังคมเถิด เห็นท่าจะยากครับ คุณดูกิเลสที่มีอยู่ในจิตใจมนุษย์ โดยเฉพาะมานะทิฏฐิจะคอยบ่งการมนุษย์ให้ทำตามอำนาจของมัน รอดูครับ
มวยคู่นี้ไม่มีกรรมการ
มานะ - ความถือตัว สำคัญตนเป็นนั่นเป็นนี่ ใฝ่แสวงอำนาจมาเชิดชูตน
มานะ เป็นกิเลสตัวการที่ทำให้ไม่ฟังกัน ไม่ลงกัน ไม่ยอมกัน ตลอดจนข่มกัน
ทิฏฐิ- ความยึดติดในความเห็นของตน ถือรั้นเอาความเห็นของตนเป็นความจริง หรือถือมั่นให้ความจริงจะต้องเป็นอย่างที่ตนเห็น อย่างที่ตนคิด อย่างที่ตนทำ |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
  |
 |
mes
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
08 ต.ค.2008, 10:22 pm |
  |
คุณกรัชกาย
ผมขออนุญาตบันทึกบางอย่างไว้ทีเวปนี้
เหตุการณ์ครั้งนี้
มิใช่เพียงแค่หัวเลี้ยวหัวต่อทางโลก
มันจะเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อทางธรรม ทางศาสนาด้วย
ส่วนจะหัวเลี้ยวหัวต่ออย่างไรคงต้องดูกันต่อ
แค่ขอเพียงอย่าเพิ่งด่วนสรุปครับ
มันจะมีเหตุการณ์ซ้อนเหตุการณ์อยู่
เหมือนการเปลี่ยนยุค
อ้อ ทั้งทางธรรมชาติด้วย
ผมชักเชื่อว่าหิมะจะตกในประเทศไทยตามที่มีนักวิทยาศาสตร์ออกมา
กล่าว
และถ้าหากมีหิมะตกจริง
มีนัยทางพุทธศาสนาที่ลึกซึ้งมาก
ยุคที่เป็นอยู่นี้คือกลียุค ศีลธรรมมนุษย์ต่ำที่สุด
เครื่องหมายคือสตรีใช้เสื้อกล้ามออกนอกบ้าน
มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร
อาชีพที่รุ่งเรืองคือนักร้อง
นักการเมืองจะฉอฉล คนไม่ดีจะครองเมือง
คนดีจะหนีเข้าอยู่ป่า
เหล่านี้คือสิ่งบอกเหตุตามพยากรณ์ของพระศาสดาทั้งหลายที่ผมไม่เคยเชื่อ หลายท่านคงได้ผ่านตามาแล้ว
ต่อจากยุคนี้
คือสังคมแห่งอริยธรรม
ตามคำพยากรณ์
หรือจะเป็นมงคลตื่นธรรมก็ไม่รู้
แต่กว่าจะถึงวันนั้น กี่ชีวิตจะต้องสิ้นลงไป
น้ำตาของญาติจะต้องหลั่งไหลนองหน้าอีกกี่ครั้ง
เพื่อสังเวยตัญหา
อนาถหนอ |
|
|
|
   |
 |
walaiporn
บัวบาน

เข้าร่วม: 02 ก.ค. 2006
ตอบ: 253
ที่อยู่ (จังหวัด): สมุทรปราการ
|
ตอบเมื่อ:
08 ต.ค.2008, 10:44 pm |
  |
kokorado พิมพ์ว่า: |
คือว่ามีความคิดที่จะจัดอันดับสมาชิกในด้านต่างๆ สนุกๆ ละกัน จะได้รู้ว่าเพื่อนสมาชิกมีความคิดต่อผุ้ที่สนทนาธรรมอย่างไร ขอตั้ง 3 หัวข้อละกัน
1. สมาชิกที่ทำตัวน่ารักที่สุด
2. สมาชิกที่ที่ใช้ภาษาเก่งที่สุด
3. สมาชิกที่มีภูมิธรรมสูงสุด
ผมขอประเดิมคนแรก
1. ผมเลือก คุณ ฌาน กับคุณ กรัชกาย
2. ผมเลือก คุณ คามินธรรม
3. ผมเลือก คุณ ขันธ์ |
จะผิดกติกาไหมคะ ถ้าจะบอกว่า ทั้งสามข้อที่ถามมานั้น ในความคิดของดิฉันว่าทุกคนในที่เข้ามาสนทนากัน ไม่ว่าจะเป็นคนที่ถูกเอ่ยชื่อถึงหรือไม่ได้เอ่ยชื่อถึง ทั้งเรื่องการกระทำตัว การใช้ภาษา หรือแม้แต่ภูมิธรรม ทุกคนเสมอกันค่ะ |
|
_________________ ไม่มีคำว่าทำไม่ได้ หากเราพยายามทำและตั้งใจทำอย่างต่อเนื่อง |
|
  |
 |
guest
บัวบาน

เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 254
|
ตอบเมื่อ:
09 ต.ค.2008, 12:22 am |
  |
อ้างอิงจาก: |
รอผลโหวตคุณขันธ์ จากคุณ guest และคุณ mes อยู่นะเนี่ย ยิ้ม ยิ้มเห็นฟัน
หรือว่าสู้รัศมีผู้มีพูมทำสูงส่งไม่ไหว เลยถอยไปสุดขอบจักรวาลแล้วคร้าบ สู้ สู้ |
พี่ กรัชกาย ครับ
เรื่องนี้เป็นโลกธรรมล้วน ๆ ผมก็ไม่รู้จะแสดงความเห็นยังไงครับ
ก็เลยเฉย ๆ
แต่เมื่อพี่กรัชกายต้องการ ก็ย่อมได้ครับ
สัปปุริสธรรม แปลว่า ธรรมะของคนดี หมายความว่า ผู้ใดมีธรรมเหล่านี้แล้ว ผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นคนดี คนดีที่พระพุทธศาสนายกย่อง มิได้เป็นคนงมงายหรือเป็นคนซื่อจนเซ่อ แต่เป็นคนฉลาดมีเหตุผล รู้จักใช้ความคิด วางตัวได้ดีและมีมนุษย์สัมพันธ์เหมาะสม
๑) อัตถัญญุตา คือ ความเป็นผู้รู้จักวิเคราะห์สาเหตุของสถานการณ์และความเป็นไปของชีวิต
๒) ธัมมัญญุตา คือ ความเป็นผู้รู้จักวิเคราะห์สาระและผลอันเกิดจากสาเหตุดังกล่าว
๓) อัตตัญญุตา คือ ความเป็นผู้รู้จักวิเคราะห์ตนเองทั้งในด้านความรู้ คุณธรรม และความสามารถ
๔) มัตตัญญุตา คือ ความเป็นผู้รู้จักหลักของความพอดี การดำเนินชีวิตพอเหมาะพอควร
๕) กาลัญญุตา คือ ความเป็นรู้จักปฏิบัติตนให้ถูกกาลเทศะ
๖) ปริสัญญุตา คือ ความเป็นผู้รู้ปฏิบัติ การปรับตนและแก้ไขตนให้เหมาะกับสภาพของกลุ่มและชุมชน
๗) ปุคคลัญญุตา คือ ความเป็นผู้รู้จักปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับบุคคลที่มีความแตกต่างกัน
ฉะนั้น สัปปุริสธรรมนี้ จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ถ้าผู้มีสติปัญญาที่รอบรู้ ก็สามารถนำเอาหมวดธรรมนี้มาปฏิบัติได้เป็นอย่างดี จะมีความรู้สึกว่า ธรรมนี้มีคุณมหาศาลเฉพาะผู้ปฏิบัติเอง ถึงจะไม่ประกาศให้ใคร ๆ ได้รู้ว่าเราปฏิบัติธรรมอยู่ก็ตาม แต่ตัวเราก็รู้ว่าเราปฏิบัติธรรมอยู่ ใครจะรู้หรือไม่รู้ ไม่ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเราไม่ได้ปฏิบัติเพื่ออวดตัว ไม่ต้องการความยกย่องสรรเสริญจากใคร ๆ ทั้งนั้น เราจะปฏิบัติเพื่อกำจัดความชั่วร้ายที่ไม่ดีงามออกจาก กาย วาจา ใจ ของตัวเราเอง และฝึกใจให้เป็นไปในสัมมาปฏิบัติที่ถูกต้องในธรรมเท่านั้น |
|
|
|
  |
 |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
09 ต.ค.2008, 8:13 am |
  |
ทั้งสภาวะและสมมุติเป็นสิ่งจำเป็น ตัวสภาวะ (หรือปรมัตถ์) เป็นเรื่องของธรรมชาติ
ส่วนสมมุติเป็นเรื่องของประโยชน์สำหรับความเป็นอยู่ของมนุษย์
ความรู้เท่าทันสมมุติบัญญัตินั้น รวมไปถึงการรู้เข้าใจวิถีทางแห่งภาษา
ที่เรียกว่าโวหารโลก รู้จักใช้ภาษาเป็นเครื่องสื่อความหมายโดย
ไม่ยึดติดในสมมุติของภาษา ดังพุทธพจน์ว่า
ภิกษุผู้เป็นอรหันตขีณาสพ...จะพึงกล่าวว่า ฉันพูดดังนี้ก็ดี
เขาพูดกับฉันดังนี้ก็ดี เธอเป็นผู้ฉลาด รู้ถ้อยคำที่เขาพูดกันในโลก
ก็พึงกล่าวไปตามโวหารเท่านั้น
(สํ.ส.15/65/21)
ภิกษุผู้มีจิตหลุดพ้นแล้ว ย่อมไม่กล่าวเข้าข้างกับใคร ไม่กล่าว
ทุ่มเถียงกับใคร อันใดเขาพูดกันในโลก ก็กล่าวไปตามนั้น
ไม่ยึดถือ
(ม.ม.13/273/268)
ภาวะทางปัญญา
ลักษณะสำคัญที่เป็นพื้นฐานทางปัญญาของผู้บรรลุนิพพาน คือ การ
มองเห็นสิ่งทั้งหลายตามที่มันเป็น หรือเห็นตามความเป็นจริง เริ่มต้น
ตั้งแต่การรับรู้อารมณ์ทางอายตนะ ด้วยจิตใจที่มีท่าทีเป็นกลางและมีสติ
ไม่หวั่นไหวถูกชักจูงไปตามความชอบใจ ไม่ชอบใจ สามารถตามดูรู้
เห็นอารมณ์นั้นๆ ไปตามสภาวะของมันตั้งแต่ต้นจนตลอดสาย ไม่ถูก
ความติดพัน ความขัดข้องขุ่นมัว หรือความกระทบกระแทกที่เนื่อง
จากอารมณ์นั้นฉุดรั้งหรือสะดุดเอาไว้ให้เขวออกไปเสียก่อน
ลึกซึ้งลงไปอีก คือ ปัญญาที่รู้เท่าทันสังขาร รู้สามัญลักษณะที่เป็น
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา รู้เท่าทันสมมุติบัญญัติ ไม่ถูกหลอกให้หลงไปตามรูปลักษณ์ภายนอกของสิ่งทั้งหลาย และยอมรับความจริง
ทุกด้าน มิใช่ติดอยู่เพียงแง่ใดแง่หนึ่ง
รู้เห็นตามที่มันเป็น หรือรู้เห็นตามความเป็นจริง |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
  |
 |
guest
บัวบาน

เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 254
|
ตอบเมื่อ:
10 ต.ค.2008, 12:00 am |
  |
อ้างอิงจาก: |
ต้องขออภัยทุกท่านครับ
ผมสลดใจและหดหู่มากกับการสูญเสียของเพื่อนร่วมชาติ
ไม่ว่าฝ่ายไหน
พวกเราร่วมไว้อาลัยกันเกิดครับ
ขอเวลา 1 นาที
ท่าน admin คงไม่ว่าผมสนทนาเกี่ยวกับการเมือง
ขอสันติสุขจงคืนมา
ขอเพื่อนร่วมชาติอย่าได้สูญเสียมากไปกว่านี้อีกเลย
จากนี้ไปผมจะภาวนาจิตสร้างกุศลเพือสันติ
ได้เกิดผลหรือไม่
ผมก็จะทำ
ผมเศร้ามาก |
คุณ mes ครับ
ผมก็อยู่ในเหตุการณ์
แก๊สน้ำตามันแสบตาแสบตัวน่าดูเหมือนกันครับ
ถ้าอยากรู้ความจริง mail มาถามผมเป็นการภายในได้ครับ[/quote] |
|
|
|
  |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
10 ต.ค.2008, 4:33 am |
  |
อุ๊ย
คุณพี่ guest ก็มีภาคปู๊ด้วยเหรอคับนี่
 |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
10 ต.ค.2008, 5:05 am |
  |
คุณ guest เข้าไปทำอะไรแถวนั้นครับ เผอิญเดินผ่านหรือเจตนาเข้าไปอ่ะคับ |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา |
|
  |
 |
guest
บัวบาน

เข้าร่วม: 09 ก.ค. 2008
ตอบ: 254
|
ตอบเมื่อ:
10 ต.ค.2008, 7:16 am |
  |
เหมือนการปฏิบัติธรรมครับ
ถ้าอยากได้ลูกเสือต้องเข้าถ้ำเสือครับ
อยากรู้ธรรมต้องปฏิบัติเอง แล้วจะเป็นสันทิฐิโก
อยากรู้ความจริงต้องเข้าไปในพื้นที่
คนเราถ้าปฏิบัติธรรม
เมื่ออยู่ในสถานการณ์วิกฤติ
มีสติแล้วไม่กลัวตายครับ
มีแต่ต้องรู้ความจริงให้ได้ครับ
ทำให้ผมระลึกถึง
หลวงปู่มั่น
องค์ท่านมุ่งมั่นที่จะไปพักที่ถ้ำสาริกา
ทั้งที่ชาวบ้านเค้าบอกว่าที่นั่นมีผีใหญ่ดุร้าย
มีพระตายที่นั่นมาแล้ว
แต่เพื่อให้รู้ความจริง ต้องไปให้ได้
ชัยชนะของนักรบที่เข้าสนามรบ
คือ ความกล้าตายครับ |
|
|
|
  |
 |
กรัชกาย
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348
|
ตอบเมื่อ:
10 ต.ค.2008, 7:59 am |
  |
เข้าไปปฏิบัติธรรมเพื่อให้เป็นสันทิฏฐิโก อกาลิโก โอปนยิโก ปัจจัตตัง
อนุตตโร ปุริสทัมมสารถี
ที่นี่เปิดกว้างครับ
(เอาลิงค์ออก) |
|
_________________ สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 12 ต.ค.2008, 7:03 pm, ทั้งหมด 3 ครั้ง |
|
  |
 |
natdanai
บัวบาน

เข้าร่วม: 18 เม.ย. 2008
ตอบ: 387
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok
|
ตอบเมื่อ:
10 ต.ค.2008, 8:06 am |
  |
 |
|
_________________ ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง |
|
    |
 |
natdanai
บัวบาน

เข้าร่วม: 18 เม.ย. 2008
ตอบ: 387
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok
|
ตอบเมื่อ:
10 ต.ค.2008, 8:11 am |
  |
รักกันไว้เถิด เราเกิดร่วมแดนไทย จะเกิดภาคไหนๆ ก็ไทยด้วยกัน
อยากให้เรื่องราวสงบโดยเร็วครับ ตอนนี้รู้สึกว่าทั้งสองฝ่ายต่างหลงประเด็นไปกันใหญ่แล้วครับ มีการจุดประเด็นใหม่ๆขึ้นมาทุกวัน จนหลายๆท่านลืมไปแล้วครับว่า ณ.จุดเริ่มต้นต้องการอะไร |
|
_________________ ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง |
|
    |
 |
natdanai
บัวบาน

เข้าร่วม: 18 เม.ย. 2008
ตอบ: 387
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok
|
ตอบเมื่อ:
10 ต.ค.2008, 8:15 am |
  |
ท่านที่เป็นต้นเหตุก็ไม่อยู่แล้ว อีกฝ่ายก็มีความพยายามที่จะเอามาผูกโยงเพื่อจุดประเด็นใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา ผลที่เกิดขึ้นก็คือความสูญเสียครับ  |
|
_________________ ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง |
|
    |
 |
mes
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
10 ต.ค.2008, 8:24 am |
  |
ขอปิดกระทู้ครับ
ก่อนถูกล๊อค
เกรงใจท่านadmin |
|
|
|
   |
 |
|