|
|
|
 |
ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
ไม่ยุติธรรม
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
29 มี.ค.2005, 2:28 pm |
  |
ผมเป็นคนหนึ่งที่นับว่าโชคดี เหมือนคุณๆ พี่ๆทั้งหลาย
ที่บอกว่าผมโชคดีเพราะว่า ผมเป็นหนึ่งในไม่กี่ล้านคนไทยที่อยู่คู่กับพระพุทธศาสนาแล้วตระหนักเห็นความดี และคุณค่าของพระธรรมอันเป็นหลักในการนำชีวิตและจิตขึ้นที่สูง
ที่ผมเรียกพี่ๆ เพราะว่า ผมอายุ แค่ 22
ทุกวัน ผมพยายามเจริญ สมาธิ อยู่ทุกขณะ ดำรงตนอยู่ในศีลห้า ซึ่ง รู้ว่ามันยากมากกับการดำรงชีวิต ทำงานกับเพื่อนร่วมงานสมัยนี้ซึ่งมีหลายๆล้านช่องทางที่จะทำให้ผมทุศีลได้
แต่ผมเชื่อว่า สิ่งที่ยากคือสิ่งที่ประเสริฐเสมอ
ปัญหาของผมตอนนี้คือ ผมอึดอัดมาก เวลาขับรถบนท้องถนนแล้วเจอคนเอาเปรียบ เช่นวิ่งบนไหล่ทางมา แล้วมาแซงเป็นต้น ผมไม่เคยสบถด่าพวกเขาเลย เพราะรู้ว่าซักวันหนึ่ง ถ้าผมรีบ ผมคงต้องทำแบบนั้น
แต่ใครมันจะไปรีบทุกวัน จนสร้างขึ้นมาอีก หนึ่งเลนส์ที่ทำให้รถติดตอนเช้าๆ บางคนทำเป็นนิสัยเลยคับ มาถึง ฉันขอแซงอย่างเดียวหน้าตาเฉยเลยคับ
ทุกวันนี้ผมอึดอัดและพยายามไม่คิด เวลาที่เห็นเลนส์ซ้ายข้างๆ วิ่งมา แล้วมาแซงเลนส์ผมข้างหน้าผมไม่เคยด่า ได้แต่วิ่งเข้าอีกเลนส์หนึ่งด่านขวา ผมจะได้ไม่โดนแซง และไม่ถูกหน่วงให้ช้า แต่เลนส์ขวาถูกแซง
พวกเขาช่างไม่รู้ว่า การแซงซ้ายออก แล้วไปตัดหน้าคนอื่นก้อเป็นบาปได้เช่นกัน ถึงแม้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ทำทุกวันจนเกิดเป็นนิสัย ก้อทำให้จิตต่ำลง ทะนงและไม่ด้าน ต่อความเดือดร้อนของผู้อื่นได้ พวกคนที่โดนแซงจะต้องหยุดรอ พวกที่แซงก้อได้ไปก่อน สุดท้าย คนที่ต่อคิวมานาน ต้องเจอสามไฟแดง ขณะที่พวกที่จงใจแซงมา ติดอย่างมากแค่ ไฟแดงเดียว
ผมเชื่อว่า ทุกคนเป็นทายาทของกรรม
อะไรคือผลกรรมของคนเหล่านั้นครับ ใครช่วยผมหน่อยคับ
คือแซงน้อยๆ ไม่ผิดครับ ถ้าฉุกเฉินจิงๆ แต่ทุกวันๆ ก้อเดือดร้อนมหาชนได้ครับ ผลกรรมนี้ตกอยู่ที่ใครครับ
แล้วถ้าเราเป็นผู้ให้ คือมาถูกเลนส์ แล้วโดนพวกเขาแซงไป แล้วตั้งอยู่ในอุเบกขา แล้วก้อเสียเปรียบคือโดนแซงตลอด แล้วผลกรรมที่เราได้จากการให้ทาน แก่มหาชน (ผู้ที่แซงเหล่านี้) คืออะไรครับ
ผมไม่ได้ซีเรียสกับชีวิตหรือคำถามนี้นะครับ ท่านผู้รู้ที่พอรู้เรื่องนี้ลองเข้ามาให้คำตอบผมหน่อยครับ ผมไม่ได้คิดมากครับ แค่อยากเห็นทุกคนไปตามระเบียบวินัย และอยากเห็นคนทำผิด ได้สำนึกแล้วช่วยเหลือสามัคคีกันน่ะครับ ผมรู้ว่าทุกคนรู้ว่ารถติดแก้ได้อย่งไร ง่ายนิดเดียว แต่ไม่มีใครอยากทำ เพราะทำแล้วไม่ได้อะไร
แต่
ทุกอย่างมีผลของมันครับ ทุกอย่างมีเหตุแล้วย่อมมีผลใช่ไหมคับ ผมเชื่อ
อะไรเป็นผลกรรมของการทำถูกกฏหมายเหรอคับ
ผมเคยได้ยินเรื่องที่รถพยาบาลบรรทุกคนเจ็บต้องมาติดบนไหล่ทางบางนา เพราะคนไทย วิ่งไหล่ทางแล้วแซงเข้าขวากันน่ะคับ แล้วผู้เจ็บข้างในรถจะเป็นอย่างไรคับ
มีชีวิตอยู่ในโลกนี้โดยทำบาป หรืออกุศลน้อยที่สุดนี่ ยากเหลือเกินนะครับ
จาก
อายุ 22
|
|
|
|
|
 |
จันทโชต
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
29 มี.ค.2005, 6:08 pm |
  |
มี 2 แบบ
1. คิดในแง่ดี คิดอะไรก็ได้ในทางดี ...อย่างนี้เรียกว่า เก็บสิ่งดีๆ เข้าบ้าน (คือจิต,ใจ)
..น้องเก็บไว้ คือ อารมณ์ทีมันคาใจอยุ่ตอนนี้ (ความหงุดหงิดต่อภาพที่เห็นอยุ่ตรงหน้า) เก็บเอาสิ่งที่ไม่ดีเข้าไปแล้ว โดยสภาพแวดล้อม อารมณ์อื่นๆ ก็เทียบตามแนวนี้ .....
..แต่ละวันๆ เราเก็บเอาอารมณ์ดีไม่ดีเข้าบ้านเต็มไปหมด
เปรียบเหมือนคนทอดแห 2 คน
คนที่ 1 ไปทอดแห
...อะไรติดแหมา ข้า ฯ เอาหมด ไม่ว่าจะเป็นกุ้งหอยปูปลา งูเงี้ยวเขี้ยวขอ สิ่งปฏิกูล ฯลฯ เอาทุกอย่างที่ติดมา...
...คนนี้เปรียบเหมือนกับบุคคลที่เก็บเอาอารมณ์ต่าง ๆ ที่เป็น อิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์ เข้ามาสะสมไว้ในใจ ฯลฯ
..คนที่ 2
..ทอดติดอะไรมา เขาจะสลัด ๆ แล้วเก็บเอาสิ่งที่กินได้ เป็นประโยชน์ต่อตนและครอบครัว อะไรทีไม่เป็นประโยขน์ทิ้งไว้ที่ริมตะลิ่งนั้นเอง ฯลฯ
...ผู้นี้เปรียบกับผู้ที่เก็บเอาอารมณ์ที่เป็นอิฏฐารมณ์เข้าบ้าน(จิต,ใจ) อารมณ์ที่เป็นอนิฏฐารมณ์ซึ่งไหลเข้ามาทาง ตา หุ ฯลฯ จะไม่เก็บไว้ ปล่อยไว้ตรงนั้นเอง
แบบที่ 2 บ้าง
แบบที่ 2 ล้างสิ่งปฏิกูลออกจากใจ ที่มีอยุ่เก่า และกันสิ่งปฏิกูล ใหม่ ๆ ไหลเข้ามา
วิธีล้างท่านต้องให้ลงแรงภาวนา หรือ บริกรรม ย้ำๆ เพือให้สติเกิดให้มากๆ สติเป็นเครื่องกั้นกระแสอกุศลธรรม และยังมีธรรมะอีกหลายตัว เกิดตามมาเช่น สัทธา วิริยะ.. สมาธิ ปัญญา...
...มีความรู้สึกอย่างไร ก็บริกรรมอย่างนั้น เช่นกำลัง หงุดหงิด ไม่ได้ดังใจ ก็เอาความหงุดหงิดนั้น เป็นอารมณ์ภาวนาสะ ว่า หงุดหงิดหนอ ๆ หงุดหงิดจริงหนอๆ ท่องในใจย้ำ ๆ นี่กันอกุศลใหม่ ที่ยังไม่เกิดไม่ให้เกิดขึ้น .....
..ล้างสิ่งปฏิกูลในใจเก่าๆ คือสิ่งที่เจ้าของบ้านโง่ ๆ คืออวิชชา สะสมไว้ก่อนแล้ว ออก ก็คือ คิดอะไรที่เก็บไว้เก่าก่อน ต้องบริกรรมตามอาการนั้น ๆ จนอาการๆนั้นหายไป นี่คือ กวาดบ้าน...ให้สะอาด
.........................................
.
|
|
|
|
|
 |
รักแม่
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
29 มี.ค.2005, 7:45 pm |
  |
เอ่อ ถ้าคุณอายุ 22 ผมเป็นลุงครับ
ล้อเล่นน่ะครับ พี่นั่นแหละ ผม 36
การที่คุณวางจิตใจให้เป็นอุเบกขาได้เมื่อโดนเอารัดเอาเปรียบ นั่นก็คือเกิดกุศลจิตขึ้นในจิตใจคุณแล้วไม่ใช่หรือครับ มิฉะนั้นคุณจะต้องมีอารมณ์ขุ่นมัวหรือสบถด่าแม้รถที่เอาเปรียบคันนั้นจะเลยไปแล้วก็ตาม เพราะอย่างไรเสียก็โดนเอาเปรียบไปแล้ว โกรธฟรี
เช่นผมที่ปล่อยใจให้เป็นอุเบกขาไม่ได้ กรณีของผมค่อนข้างดุเดือดหน่อย มีทั้งเล่ห์กลในทางโลกและไสยดำ จากที่ทุกๆท่านแนะนำผมมานะครับคือ ถ้าเราไม่เอาจิตใจไปยึดติดเสียอย่าง ยึดมั่น ใน คุณพระศรีรัตนตรัยและ ศีล สมาธิ ปัญญา ก็ไม่ต้องทุกข์ร้อนหวาดระแวงอะไรกับพวกนี้เลย ส่วนเรื่องทางโลกก็ให้ทะนายจัดการไป แต่ ผมคิดเหมือนคุณอยู่อย่างหนึ่งว่า ถ้าคนที่ร้ายๆ ไม่ได้รับบทเรียน จะต้องมีอีกซักกี่คนที่ตกเป็นเหยื่อของเขา ข้อนี้คิดจนหัวแตกก็ปวดหัวเปล่าๆเพราะ เราไม่สามารถไปพิพากษาใครได้ด้วยตัวของเรา คุณอย่าเป็นเหมือนผมเลยนะครับ คิด คิด คิด โกรธ ระแวง ยังไง มันก็เกิดขึ้นอยู่ดี คุณทำใจเป็นอุเบกขาได้นับว่านั่นเป็นกุศลแล้วนะครับผมว่า เพราะยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ คุณให้ทางเป็นทาน
มีสัตว์บางประเภทที่จำเป็นต้องได้รับบุญกุศลสูงมากจึงต้องพยายามหาทางที่จะได้รับทานนั้นเสมอ(แน่นอนเวไนยสัตว์เหล่านั้นย่อมมิใช่มนุษย์ เทวดา หรือ พรหม) ถ้าคุณสังเกตดีๆจะเห็นได้ว่า เรื่องปาด เรื่องแซง มักก่อให้เกิดคดีความและอุปัทวเหตุเสมอ บางทีเกิดความขัดแย้งถึงขนาดเอาปืนขู่หรือฆ่ากันก็มี(นั่นยิ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าจิตรใจของมนุษย์หรือเทวดาไม่เป็นเช่นนั้นแน่)
การปลูกฝังระเบียบวินัยเป็นสิ่งจำเป็นมากในสังคม หลายๆสถาบันต้องเข้ามามีบทบาท กฏหมายต้องเข้มแข็ง ในกรณีของคุณถ้าเราไม่เดือดร้อนหรือเร่งรีบยังพอทำใจได้แต่บางทีเราก็รีบเหมือนกันก็ไม่ไหว คงเครียดพอสมควร คุณเก่งกว่าผมมากๆ อายุคุณแค่นี้คุณยังมีอุเบกขาบารมี วันข้างหน้าจะเป็นเช่นไร คุณย่อมมองปัญหาและคิดที่จะแก้มันได้ดีกว่าผม
ในเมื่อเราห้ามคนอื่นไม่ให้ประพฤติไม่ดีได้ เราก็ต้องปรับจิตใจตัวเองไม่ให้ไปทุกข์ร้อนกับการกระทำของเขา เหมือนที่ผมกำลังพยายามทำอยู่(แต่ยอมรับว่ายากพอสมควรเพราะมาเริ่มเอาตอนค่อนข้างมีอายุ) |
|
|
|
|
 |
รักแม่
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
29 มี.ค.2005, 8:28 pm |
  |
ขออภัยครับพิมพ์ตก บรรทัดที่สามจากล่าง
ในเมื่อเราห้ามคนอื่นไม่ให้ประพฤติไม่ดีไม่ได้ |
|
|
|
|
 |
ราชาวดี
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
29 มี.ค.2005, 11:27 pm |
  |
หากคุณแบกก้อนหิน ก้อนใหญ่ไว้บนบ่าทั้งสองข้าง คุณจะรู้สึกหนัก แต่ถ้าคุณได้วางลงเสียหนึ่งข้าง คุณก็จะรู้สึกเบาลง และหากคุณวางลงอีกข้างหนึ่ง คุณก็ยิ่งจะเบาสบาย สามารถทำอะไรที่ดี ๆ ได้อีกหลายอย่าง หน้าตาก็ดูดี ไม่บูดเบี้ยวเหมือนตอนแบกหินอยู่บนบ่า แล้วคุณคิดจะแบกมันอีกต่อไปใหม เรื่องรถที่เขาขับแซงคุณทางซ้ายนั้น เขาก็ไม่ได้แซงคุณคนเดียว เขาแซงมาตั้งหลายคัน และได้แซงมาตั้งหลายวันแล้ว แต่คุณก็ยังแบกกิเลสตัวที่ชื่อ โทสะ มาอีกตั้งหลายวัน ดิฉันอยากถามว่ามันหนักมั๊ย ระหว่างคนที่ขับรถแซงคุณอย่างเห็นแก่ตัวนั้น กับคุณที่ให้เขาแซง ดิฉันอยากทราบว่าใครทุกกว่ากันขณะนี้ เขาได้ไปนอนกับครอบครัวของเขาอย่างสบายใจ แต่คุณกลับมาต้องทนทรมานใจจนถึงทุกวันนี้ ลองคิดดูนะคะ ดิฉันเอาใจช่วยค่ะ หรือว่าลองเจริญพรหมวิหารสี่ ดูก็ได้นะคะ |
|
|
|
|
 |
ผ่านมา
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
30 มี.ค.2005, 8:10 am |
  |
ขับรถมาเป็นเวลา สิบๆปี....แต่ไม่รู้ตัวว่าทำแบบที่คุณอายุ 22 โดนหรือเปล่า......ไม่รู้ว่าเป็นคนหนึ่งที่แซงคุณอายุ 22 หรือไม่....ถ้าเป็นคนหนึ่งที่ทำก็ขออโหสิ..ด้วยค่ะ ทุกวันนี้ขับรถวันหนึ่งๆ ไม่ต่ำกว่าวันละ 2 ชั่วโมงกว่าทั้งไปและกลับ ตอนนี้ปรับตัวใหม่...ฟังเพลงไป..ขับรถไป...ใจเย็นขึ้น...ไม่แซง..ไม่สนใจไฟแดงไม่ร้อนใจ...ก็สบายใจ ลองทำอย่างนี้แล้วไม่โกรธใคร  |
|
|
|
|
 |
อายุ 22
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
30 มี.ค.2005, 9:20 am |
  |
ถึงพี่ๆครับ
ขอบคุณมากๆครับ พี่จันทโชต ครับ ผมจะลองใช้แบบที่ หนึ่งดูนะครับ เชื่อว่าสักวันหนึ่ง จะต้องดีกว่านี้
ขอบคุณมากๆคับ พี่ รักแม่ ผมจะห้ามใจตัวเองไว้ ไม่ไปแบกรับทุกอย่าง เพราะว่าผมเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้ ก้อเปลี่ยนตัวเองเนอะคับ
ขอบคุณมากๆครับ พี่ราชาวดี อย่างที่บอกไว้ ผมจะวางก้อนหินลงนะคับจะได้เบาขึ้น และ
ขอบคุณมากๆครับพี่ ผ่านมา ผมว่าพี่คงไม่เคยแซงผมหรอกคับ ถึงแซงไป ด้วยความไม่เจตนา ด้วยเจตนาก่อให้เกิดกรรม แต่พี่ไม่เจตนาแซงผม หรือแซงเพราะพี่อาจจะรีบ อย่างไรก้อตาม ผมไม่เคยติเลยคับ จะลองแบบพี่ๆ ละกันคับ ฟังเพลงไป มีสติไป ลองท่องหงุดหงิดหนอๆ เอาอารมณ์ดีดี มาใส่แล้วเก็บเข้าบ้าน สิ่งที่ไม่ดีก้อปล่อยทิ้งไป จะวางก้อนหินลง และจะบำเพ็ญอุเบกขา และทานบารมีต่อไปคับ ผมเชื่อว่าอย่างน้อย จะต้องมีผลดี จากการให้ทานแก่ผู้ที่แซงเหล่านี้เกิดขึ้นกับผมไม่มากก้อน้อย
ขอขอบคุณครับ พี่ๆ ทุกคนที่ให้ปัญญาและทางออกกับผมข้างต้น ผลกุศลกรรมใดๆ อันบังเกิดมาในครั้งนี้ ผมเป็นผู้รับทานจากพี่ๆ ผมมีความยินดีในการรับ พี่จันทโชต พี่รักแม่ พี่ราชาวดี และพี่ผ่านมา มีความยินดีในการให้ และสุขใจที่ได้ให้ปัญญากับผม ผมเชื่อว่าปัญญาทานนี้สมบูรณ์ ที่สุดครับ
ขอบคุณมากๆครับ ดีใจมากครับ เมื่อเข้ามาอ่านข้อความ |
|
|
|
|
 |
ขอบอก
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
30 มี.ค.2005, 1:43 pm |
  |
กรรมคือการกระทำในโลกภิภพนี้มีสองผ่ายคือผ่ายกุศลกรรมและผ่ายอกุศลกรรม ขับรถแซงแล้วเบียดลัดคิวคนอื่นเป็นอกุศลกรรม ส่วนขับรถตามกฏจราจรไม่เอาเปรียบผู้อื่นเป็นผ่ายกุศลกรรม เราทำกรรมฝ่ายกุศลกรรมก็ทำให้ดีที่สุด รักษามารยาทในการขับรถไว้ให้ดีที่สุดเสมอต้นเสมอปลาย จงเชื่อในสิ่งที่ทำ และจงทำในสิ่งที่เชื่อ ผลกรรมดีย่อมได้ทันตาเห็นคือ ลดโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุเสียทรัพย์สิน พิกลพิการ ซึงทำให้เสียโอกาสทำมาหากิน เสียแขนขา หรือเสียชีวิต ส่วนขับรถแซงแล้วลัดคิว เค้าย่อมทำจนเป็นนิสิยความเคยชินก็เข้าข่ายขับรถประมาท อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตหรือทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ส่วนตัวเค้าเองก็ต้องติดคุก ผลกรรมอื่นๆก็คือ เค้าย่อมถูกรถคันอื่นปาดซ้ายปาดขวา แซงหน้าแซงหลังเช่นกันกับที่เค้าได้ก่อกรรมนั้นไว้กรรมผู้อื่น อย่างแน่นอน เค้าไม่สามารถจะหนีกฏแห่งกรรม ไปได้หร็อกครับ ดังพุทธวจน กล่าวไว้ข้อที่ว่า "ทุกขโต ทุกขถานัง" แปลว่า "ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้น ย่อมถึงตัว" ไม่วันใดก็วันหนึ่งครับ เพราะ " ธรรมะ ย่อมชนะ อธรรม เสมอ " |
|
|
|
|
 |
เอก
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
03 เม.ย.2005, 10:32 pm |
  |
อนุโมทนา ทุก ๆ ท่านที่มีใจฝักใฝ่ธรรมมะครับ
ถือว่าอุปสรรค ปัญหา เป็นเครื่องทดสอบกิเลสครับ
เหมือนกิเลสมาลองสอบไล่เรา ว่าจะสอบผ่านหรือตก
 |
|
|
|
|
 |
ณรงค์
ผู้เยี่ยมชม
|
ตอบเมื่อ:
15 พ.ค.2005, 3:56 pm |
  |
สุขทุกข์อยู่ที่ใจมิใช่หรือ
ถ้าใจถือก็เป็นทุกข์ไม่สุกใส
ถ้าไม่ถือก็เป็นสุขไม่ทุกข์ใจ
เราอยากได้สุขหรือทุกข์นา
 |
|
|
|
|
 |
|
|
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่ คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ คุณไม่สามารถลงคะแนน คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้ คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
|
| | |