ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่
เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
30 ก.ย. 2008, 2:34 pm |
|
อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
สเจ อานนฺท นาลภิสฺส มาตุคาโม ตถาคตปฺปเวทิเต ธมฺมวินเย
อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชฺชํ จิรฏฺฐิติกํ อานนฺท พฺรหฺมจริยํ อภวิสฺส
วสฺสสหสฺสเมว สทฺธมฺโม ติฏฺเฐยฺย ยโต จ โข อานนฺท มาตุคาโม
ตถาคตปฺปเวทิเต ธมฺมวินเย อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิโต นทานิ
อานนฺท พฺรหฺมจริยํ จิรฏฐิติกํ ภวิสฺสติ ปญฺเจวทาน
ดูกรอานนท์ หากมาตุคาม(เพศหญิง)จักไม่ได้ออกบวชเป็นบรรพชิต(นักบวช)ใน
ธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว พรหมจรรย์ก็ยังจะตั้งอยู่ได้นาน สัทธรรมพึงดำรง
อยู่ได้ ๑,๐๐๐ ปี แต่เพราะ มาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัย ที่ตถาคตประกาศแล้ว พรหมจรรย์จะไม่ตั้งอยู่นาน ทั้งสัทธรรมก็จักดำรงอยู่เพียง ๕๐๐ ปี
อนึ่ง พระอรหันต์ขีณาสพ 500 รูป รวมทั้งพระอานนท์ และพระมหากัสสป พวกท่านต่างยอมรับในคัมภีร์มหายาน(มหาสังฆกวาท)ในปฐมสังคายนา แต่สมมุติสงฆ์ไปเก่งกว่าพระอรหันต์ ให้พวกตนเข้าร่วมสังคายนาได้ และไม่ยอมรับคัมภีร์ต่างๆของมหายาน
(มหาสังฆกวาท)ในการสังคายนาครั้งที่ 2 ศาสนาพุทธเลยแตกแยกเป็น 2 นิกาย
พระสัทธรรมสูงสุดคือ พระพุทธเจ้าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ที่มหายานเรียกว่า
อาทิพุทธเจ้า พระไวโรจนพุทธเจ้า หรือพระสยัมภูพุทธเจ้า นั่นเอง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่
สมมุติสงฆ์ไม่มีทางเข้าใจ มีแต่พระอรหันต์ขีณาสพเท่านั้นท่านเข้าใจ นี่จึงทำให้
พระสัทธรรมสูงสุดถูกบิดเบือนไปเรื่อยๆโดยสมมุติสงฆ์ของเรา บิดเบือนมาแล้ว
2000 ปี ตรงตามพุทธทำนายว่า พระสัทธรรมจะคงอยู่เพียง 500 ปี |
|
|
|
|
|
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่
เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
30 ก.ย. 2008, 2:44 pm |
|
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕
อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
วรรคที่ไม่ได้สงเคราะห์เข้าในปัณณาสก์
สันธานวรรคที่ ๑
โคตมีสูตร
[๑๔๑] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ นิโครธาราม ใกล้กรุงกบิลพัสดุ์
แคว้นสักกะ ครั้งนั้นแล พระนางมหาปชาบดีโคตมีเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
ถึงที่ประทับ ทรงถวายบังคมแล้ว ................นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระนางมหาปชาบดีโคตมี
ทรงยอมรับครุธรรม ๘ ประการไม่ก้าวล่วงจนตลอดชีวิต ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ หากมาตุคามจักไม่ได้
ออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว พรหมจรรย์ก็ยัง
จะตั้งอยู่ได้นาน๑-สัทธรรมพึงดำรงอยู่ได้ ๑,๐๐๐ ปี แต่เพราะมาตุคามออก
บวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว พรหมจรรย์จะไม่ตั้ง
อยู่นาน ทั้งสัทธรรมก็จักดำรงอยู่เพียง ๕๐๐ ปี
ดูกรอานนท์ ตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ที่มีหญิงมาก ชาย-*น้อย ตระกูลนั้นถูก
พวกโจรกำจัดได้ง่าย แม้ฉันใด มาตุคามได้ออกบวชเป็นบรรพชิตในธรรม
วินัยใด พรหมจรรย์ในธรรมวินัยนั้นจักไม่ตั้งอยู่นาน ฉันนั้น-*เหมือนกัน อนึ่ง ขยอกลงในนาข้าวที่สมบูรณ์ นาข้าวนั้นก็ย่อมไม่ตั้งอยู่นานแม้ฉัน
ใด ... เพลี้ยลงในไร่อ้อยที่สมบูรณ์ ไร่อ้อยนั้นก็ย่อมไม่ตั้งอยู่นาน แม้ฉัน-
*ใด มาตุคามได้ออกบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยใด พรหมจรรย์ในธรรม
วินัยนั้น ย่อมไม่ตั้งอยู่นาน ฉันนั้นเหมือนกัน อนึ่ง บุรุษกั้นคันสระใหญ่ไว้
ก่อนเพื่อไม่ให้น้ำไหลออก แม้ฉันใด เราบัญญัติ ครุธรรม ๘ ประการ ไม่ให้
ภิกษุณีก้าวล่วงตลอดชีวิตเสียก่อน ฉันนั้นเหมือนกัน ฯ
จบสูตรที่ ๑
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ บรรทัดที่ ๕๗๕๓ - ๕๘๘๗. หน้าที่ ๒๔๙ - ๒๕๔ |
|
|
|
|
|
natdanai
บัวบาน
เข้าร่วม: 18 เม.ย. 2008
ตอบ: 387
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok
|
ตอบเมื่อ:
30 ก.ย. 2008, 5:01 pm |
|
ไม่เคยรู้มาก่อนจริงๆครับท่านพลศักดิ์...
|
|
_________________ ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง |
|
|
|
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
30 ก.ย. 2008, 5:33 pm |
|
เขามมักจะค้นพบอะไรใหม่ๆเสมอ
|
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
|
|
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่
เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
30 ก.ย. 2008, 7:31 pm |
|
พระพุทธเจ้าเป็นผู้บอกผมครับ เนื่องจาก สุมมุติสงฆ์ทำสัทธรรมปฏิรูป(ของปลอม)
มาตั้งแต่การสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 2 ทั้งๆที่ พระอรหันต์ขีณาสพ 500 รูป
รวมทั้งพระอานนท์ และพระมหากัสสป พวกท่านต่างยอมรับในคัมภีร์
มหายาน(มหาสังฆกวาท)ในปฐมสังคายนา แต่สมมุติสงฆ์ไปทำตัวเก่งกว่า
พระอรหันต์ ให้พวกตนเข้าร่วมสังคายนาได้ และไม่ยอมรับคัมภีร์ต่างๆ
ของมหายาน (มหาสังฆกวาท)ในการสังคายนาครั้งที่ 2 ศาสนาพุทธเลยแตกแยกเป็น 2 นิกาย
เรื่องที่สมมุติสงฆ์ไม่ยอมรับ คือเรื่องพระพุทธเจ้าเป็นอวตารของพระเจ้า ซึ่งเป็น
สัทธรรมสูงสุด มหายานเรียกพระพุทธเจ้าที่เป็นต้นธาตุว่า
อาทิพุทธเจ้า พระไวโรจนพุทธเจ้า หรือพระสยัมภูพุทธเจ้า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่
สมมุติสงฆ์ไม่มีทางเข้าใจ มีแต่พระอรหันต์ขีณาสพเท่านั้นท่านเข้าใจ นี่จึงทำให้
พระสัทธรรมสูงสุดถูกบิดเบือนไปเรื่อยๆโดยสมมุติสงฆ์ของเรา บิดเบือนมาแล้ว
2000 ปี ตรงตามพุทธทำนายว่า พระสัทธรรมจะคงอยู่เพียง 500 ปี |
|
|
|
|
|
alpha349
บัวใต้ดิน
เข้าร่วม: 20 ก.ย. 2008
ตอบ: 21
|
ตอบเมื่อ:
30 ก.ย. 2008, 7:42 pm |
|
คณพลศักดิ์ครับ
ถ้าพระพุทธเจ้าเป็นอวตารของพระเจ้าจริง ทำไมท่านต้องเวีนนว่ายตายเกิดในภพภูมิมนุษย์มานับแสนชาติเล่าครับ การอวตารน่าจะหมายถึงการลงมาช่วยมนุษย์เป็นครั้งคราวไม่ใช่หรอกหรือ แต่พระพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญเพียรบารมีสะสมกำลังบุญบารมีเพื่อตรัสรู้มานับแสนชาติ
ผมว่าไม่น่าจะถูกต้องตามที่ท่านอ้างนะครับว่าพระพุทธเจ้าเป็นอวตารของพระเจ้า |
|
|
|
|
|
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่
เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
30 ก.ย. 2008, 8:01 pm |
|
alpha349 พิมพ์ว่า: |
คณพลศักดิ์ครับ
ถ้าพระพุทธเจ้าเป็นอวตารของพระเจ้าจริง ทำไมท่านต้องเวีนนว่ายตายเกิดในภพภูมิมนุษย์มานับแสนชาติเล่าครับ การอวตารน่าจะหมายถึงการลงมาช่วยมนุษย์เป็นครั้งคราวไม่ใช่หรอกหรือ แต่พระพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญเพียรบารมีสะสมกำลังบุญบารมีเพื่อตรัสรู้มานับแสนชาติ
ผมว่าไม่น่าจะถูกต้องตามที่ท่านอ้างนะครับว่าพระพุทธเจ้าเป็นอวตารของพระเจ้า |
พระเจ้าคือ พุทธะ เราทุกคน สัตว์ทุกตัว ล้วนมีพุทธะหรือพระเจ้าอยู่ในตัวเอง แต่
พุทธะหรือพระเจ้าจะมาเป็นตถาคตสอนทั้ง 3 โลกได้ มนุษย์คนนั้นต้องต้องบำเพ็ญเพียรสะสมบารมี ทำลายอวิชชาออกจากจิตให้หมดก่อน เช่น หลวงปู่ดู่ ท่านเกินระดับอรหันต์ไปแล้ว และตอนที่ท่านเกิดเป็นหลวงพ่อโต และหลวงปู่ทวดท่านก็บรรลุธรรมเกินกว่าอรหันต์เช่นกัน แต่กำลังบุญบารมีเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าต้องมากกว่าพระอรหันต์ทั่วไปมากกมายนัก ท่านจึงต้องบำเพ็ญเพียรต่อไป
หลวงปู่ดู่ หลวงพ่อโต หลวงปู่ทวด ท่านผู้นี้แหละคือ พระศรีอริยะเมตตัยพุทธเจ้า
หลวงปู่มั่นท่านยังยอมแพ้เลย ขอแค่สาวกภูมิ ดับทุกข์หมดแล้วเป็นแค่พระ
อรหันต์ก็พอ
อวตารที่คุณพูดถึงน่าจะเป็นอวตารของพระอวโลกิเตศวรมากกว่า พระอวโลกิเตศวร
ท่านก็เป็นพระพุทธเจ้าเมื่อหลายแสนกัปก่อนนะครับ เพราะวัฏฐะนี้ยาวนานมากไม่
รู้จุดเริ่มต้น พราหมณ์เขารู้แต่พระศิวะ(นารายณ์) ซึ่งก็คือ พระอวโลกิเตศวร ตอนที่
อวตารเป็นคนนั้นคนนี้ แต่เขาไม่รู้ว่าตอนที่พระอวโลกิเตศวรบำเพ็ญเพียรจนบรรลุ
อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ |
|
|
|
|
|
mes
บัวบานเต็มที่
เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
30 ก.ย. 2008, 8:43 pm |
|
คุณพลศักดิ์
พระพุทธเจ้าพูดถึงนายขันธ์บ้างหรือเปล่า |
|
|
|
|
|
alpha349
บัวใต้ดิน
เข้าร่วม: 20 ก.ย. 2008
ตอบ: 21
|
ตอบเมื่อ:
30 ก.ย. 2008, 9:05 pm |
|
ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าพระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้เป็นอวตารของพระเจ้า
ท่านจึงต้องบำเพ็ญเพียรสะสมบารมีมาเพื่อสั่งสอนมนุษย์ เพราะถ้าหากเป็นอวตารของพระเจ้าจริงๆก็ไม่ต้องสั่งสมบารมีอะไรมากเพราะเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้าอยู๋แล้ว ถูกต้องใหมครับ |
|
|
|
|
|
alpha349
บัวใต้ดิน
เข้าร่วม: 20 ก.ย. 2008
ตอบ: 21
|
ตอบเมื่อ:
30 ก.ย. 2008, 9:09 pm |
|
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ พิมพ์ว่า: |
alpha349 พิมพ์ว่า: |
คณพลศักดิ์ครับ
ถ้าพระพุทธเจ้าเป็นอวตารของพระเจ้าจริง ทำไมท่านต้องเวีนนว่ายตายเกิดในภพภูมิมนุษย์มานับแสนชาติเล่าครับ การอวตารน่าจะหมายถึงการลงมาช่วยมนุษย์เป็นครั้งคราวไม่ใช่หรอกหรือ แต่พระพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญเพียรบารมีสะสมกำลังบุญบารมีเพื่อตรัสรู้มานับแสนชาติ
ผมว่าไม่น่าจะถูกต้องตามที่ท่านอ้างนะครับว่าพระพุทธเจ้าเป็นอวตารของพระเจ้า |
พระเจ้าคือ พุทธะ เราทุกคน สัตว์ทุกตัว ล้วนมีพุทธะหรือพระเจ้าอยู่ในตัวเอง แต่
พุทธะหรือพระเจ้าจะมาเป็นตถาคตสอนทั้ง 3 โลกได้ มนุษย์คนนั้นต้องต้องบำเพ็ญเพียรสะสมบารมี ทำลายอวิชชาออกจากจิตให้หมดก่อน เช่น หลวงปู่ดู่ ท่านเกินระดับอรหันต์ไปแล้ว และตอนที่ท่านเกิดเป็นหลวงพ่อโต และหลวงปู่ทวดท่านก็บรรลุธรรมเกินกว่าอรหันต์เช่นกัน แต่กำลังบุญบารมีเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าต้องมากกว่าพระอรหันต์ทั่วไปมากกมายนัก ท่านจึงต้องบำเพ็ญเพียรต่อไป
หลวงปู่ดู่ หลวงพ่อโต หลวงปู่ทวด ท่านผู้นี้แหละคือ พระศรีอริยะเมตตัยพุทธเจ้า
หลวงปู่มั่นท่านยังยอมแพ้เลย ขอแค่สาวกภูมิ ดับทุกข์หมดแล้วเป็นแค่พระ
อรหันต์ก็พอ
อวตารที่คุณพูดถึงน่าจะเป็นอวตารของพระอวโลกิเตศวรมากกว่า พระอวโลกิเตศวร
ท่านก็เป็นพระพุทธเจ้าเมื่อหลายแสนกัปก่อนนะครับ เพราะวัฏฐะนี้ยาวนานมากไม่
รู้จุดเริ่มต้น พราหมณ์เขารู้แต่พระศิวะ(นารายณ์) ซึ่งก็คือ พระอวโลกิเตศวร ตอนที่
อวตารเป็นคนนั้นคนนี้ แต่เขาไม่รู้ว่าตอนที่พระอวโลกิเตศวรบำเพ็ญเพียรจนบรรลุ
อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ |
ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าพระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้เป็นอวตารของพระเจ้า
ท่านจึงต้องบำเพ็ญเพียรสะสมบารมีมาเพื่อสั่งสอนมนุษย์ เพราะถ้าหากเป็นอวตารของพระเจ้าจริงๆก็ไม่ต้องสั่งสมบารมีอะไรมากเพราะเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้าอยู๋แล้ว ถูกต้องใหมครับ
อีกอย่างครับผมไม่ได้กล่าวถึงอวตารอะไรเลย ยกปัญหามาจากคำพูดของท่านน่ะครับ |
|
|
|
|
|
natdanai
บัวบาน
เข้าร่วม: 18 เม.ย. 2008
ตอบ: 387
ที่อยู่ (จังหวัด): bangkok
|
ตอบเมื่อ:
01 ต.ค.2008, 8:22 am |
|
mes พิมพ์ว่า: |
คุณพลศักดิ์
พระพุทธเจ้าพูดถึงนายขันธ์บ้างหรือเปล่า |
..... .....
นึกไม่ออกเลยนะครับว่าจะพูดถึงว่าอย่างไร.... |
|
_________________ ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง |
|
|
|
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่
เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
01 ต.ค.2008, 9:40 am |
|
[quote="alpha349"][quote="พลศักดิ์ วังวิวัฒน์"]
alpha349 พิมพ์ว่า: |
คณพลศักดิ์ครับ
ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าพระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้เป็นอวตารของพระเจ้า
ท่านจึงต้องบำเพ็ญเพียรสะสมบารมีมาเพื่อสั่งสอนมนุษย์ เพราะถ้าหากเป็นอวตารของพระเจ้าจริงๆก็ไม่ต้องสั่งสมบารมีอะไรมากเพราะเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้าอยู๋แล้ว ถูกต้องใหมครับ
อีกอย่างครับผมไม่ได้กล่าวถึงอวตารอะไรเลย ยกปัญหามาจากคำพูดของท่านน่ะครับ |
มันเป็นกฎเกณฑ์ที่พวกเราพระเจ้าสร้างขึ้นครับ เพราะพวกเราทุกคนก็คืออณูของ
พระเจ้าทั้งสิ้น เพียงแต่อวิชชามาปิดบังความเป็นพระเจ้าของเราไว้ เหมือนเกมใน
คอมพิวเตอร์นั่นแหละ แต่ละตัวก็จะมีหน้าที่ต่างกัน ตัวที่มีหน้าที่สั่งสอนคนอื่น
และมีสัพพัญญู เป็นพระเจ้าสูงสุด ต้องบำเพ็ญบารมีสูงสุด
แต่ถ้าเป็นพระเจ้าแบบอื่น เข้าถึงแค่ความเป็นพระเจ้า ก็เป็นแค่สาวกภูมิ เป็นอรหันต์
ก็พอแล้ว
พระเจ้ามี 3
1. พระพุทธ = อาทิพุทธเจ้า หรือที่ศาสนาอื่นเรียกว่า พระบิดา พระยะโฮวา อัลเลาะห์
2. พระธรรม = อวตารของอาทิพุทธเจ้า ที่มาเป็นพระพุทธเจ้าทั้งหลาย มหายาน
เรียกว่า พระมานุสสพุทธะ หรือตถาคต เมื่อปรินิพพานไป ท่านก็จะเป็นพระธรรม
สอนอยู่ในจิตของเรา
"ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต ผู้ใดเห็นเราตถาคต ผู้นั้นเห็นธรรม"
3. พระสงฆ์ = พระอรหันต์สาวก
พวกเรากำลังเล่นเกมค้นหาตัวเองอยู่ครับ ว่าแท้จริงพวกเราทุกคนเป็นพระเจ้า และ
เป็นหนึ่งเดียวกัน เพียงแต่แยกอายตนะกันอยู่เท่านั้น |
|
|
|
|
|
alpha349
บัวใต้ดิน
เข้าร่วม: 20 ก.ย. 2008
ตอบ: 21
|
ตอบเมื่อ:
01 ต.ค.2008, 11:34 am |
|
ตามความเห็นของผม
1. พระเจ้าตามความเชื่อศาสนาอื่นคือ ธรรมชาติ นั่นเอง และยังคงอยู่ในไตรลักษณ์ (สิ่งที่มีมาอยู่แต่เดิมและยังมีอยู๋ตลอดไปมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาและไม่เที่ยง) เนื่องจากพระเจ้าตามความเชื่อศาสนาอื่นไนั้น ยังมีการโกรธกริ้วมนุษย์ ทำลายล้างมนุษย์อยู่ ผิดกับพระบรมศาสดาของเรา
2.พระพุทธเจ้าท่านไม่ใช่พระเจ้า ถึงแม้กำเนิดจากพระเจ้าตามความเชื่อของคุณพลศักดิ์ แต่ท่านอยูjเหนือกฎของไตรลักษณ์ไปแล้ว
ปล. ความคิดเห็นของท่านมันคล้ายกันกับ ความคิดเห็นในนิยายกำลังภายในเรื่อง ประกาศิตจอมราชันย์ ของนักเขียนรุ่นใหม่ชาวเกาหลีจังเลยครับ ที่มนุษย์ทุกคนเป็นอณูของพระเจ้าและเป็นหนึ่งเดียวกัน รอวันที่จะกลับมารวมกันเป็นหนึ่งอีกครั้ง แต่นั่นมันเป็นนิยายนะครับ ผู้เขียนพยายามรวมความเชื่อทุกศาสนาเข้ามาปนกันมั่วไปหมดและพยายามจะแสดงให้เห็นอีกแง่มุมหนึ่งของความเชื่อ สุดท้ายก็เลยสรุปเอาง่ายๆว่า เราทุกคนเป็นอณูของพระเจ้า แต่ถูกอวิชาบดบังเลยมาเป็นมนุษย์ เหมือนความคิดคุณพลศักดิ์เหลือเกินครับ |
|
|
|
|
|
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่
เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
01 ต.ค.2008, 4:52 pm |
|
คุณalpha349ครับ
ความห็นของคุณ
1. พระเจ้าตามความเชื่อศาสนาอื่นคือ ธรรมชาติ นั่นเอง และยังคงอยู่ในไตรลักษณ์ (สิ่งที่มีมาอยู่แต่เดิมและยังมีอยู๋ตลอดไป มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
และไม่เที่ยง) เนื่องจากพระเจ้าตามความเชื่อศาสนาอื่นไนั้น ยังมีการโกรธกริ้ว
มนุษย์ ทำลายล้างมนุษย์อยู่ ผิดกับพระบรมศาสดาของเรา
....คุณเอาพระเจ้าบ้าๆบอๆที่มนุษย์สร้างมาบอกเป็นพระเจ้าซะแล้ว พระเจ้าแท้จริง
คุณลองไปดูในทุกศาสนาเลย ฮินดู คัมภีร์อุปนิษัทบอกว่า พระเจ้าว่า "เรามีมา
ก่อนทุกสรรพสิ่ง และดำรงอยู่ ทั้งจะต้องดำรงอยู่ต่อไป ไม่มีใครทำให้ผันแปรได้
เราคืออมตะ สามารถเล็งเห็นทุกอย่าง แต่ผู้อื่นจะไม่สามารถเล็งเห็นเรา เราคือ
พรหม และเราไม่ใช่พรหม"
ลักษณะของพระเจ้าที่สมบูรณ์ในศาสนาคริสต์และอิสลาม
พระผู้เป็นเจ้าในความหมายที่สมบูรณ์ที่สุด ก็คือ 1.พระผู้ทรงเป็นเลิศในทุก ๆ
ด้าน พระผู้ทรงปรีชายิ่งในทุก ๆ ศาสตร์ 2.พระผู้ทรงเป็นเจ้าของทุก ๆ อณูสรรพสิ่ง
ในสากลจักรวาลในฐานะผู้ทรงสร้างและออกแบบสากลจักรวาลทั้งมวล และบันดาล
ให้มันดำรงไปภายใต้กฏธรรมชาติที่พระองค์ทรงกำหนด3.ผู้ที่ไม่มีจุดเริ่มต้น 4.ไม่มี
จุดสิ้นสุด 5.พระองค์ผู้ไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ จากกาลเวลา 6.ไม่มีอายุขัย 7.และ
โดยเฉพาะพระองค์ไม่ต้องพึ่งพาสิ่งใด "
ลักษณะดังกล่าวคือ สัพพัญญู นิพพาน และพรหมภูตที่พระ
พุทธเจ้าเป็น
2.พระพุทธเจ้าท่านไม่ใช่พระเจ้า ถึงแม้กำเนิดจากพระเจ้าตามความเชื่อของคุณพลศักดิ์ แต่ท่านอยู่เหนือกฎของไตรลักษณ์ไปแล้ว
ถ้าพระเจ้าอยู่ในไตรลักษณ์ พระเจ้าก็ไม่เที่ยง ไม่ใช่อมตะ อมตะจะเกิดได้ก็ต่อ
เมื่อละโลภ โกรธ หลง ออกหมดแล้ว |
|
แก้ไขล่าสุดโดย พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เมื่อ 01 ต.ค.2008, 5:59 pm, ทั้งหมด 6 ครั้ง |
|
|
|
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
บัวบานเต็มที่
เข้าร่วม: 30 มิ.ย. 2008
ตอบ: 542
|
ตอบเมื่อ:
01 ต.ค.2008, 5:01 pm |
|
คุณ"alpha349"ครับ
1. พระเจ้าตามความเชื่อศาสนาอื่นคือ ธรรมชาติ นั่นเอง และยังคงอยู่ในไตรลักษณ์ (สิ่งที่มีมาอยู่แต่เดิมและยังมีอยู๋ตลอดไปมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาและไม่เที่ยง) เนื่องจากพระเจ้าตามความเชื่อศาสนาอื่นไนั้น ยังมีการโกรธกริ้วมนุษย์ ทำลายล้างมนุษย์อยู่ ผิดกับพระบรมศาสดาของเรา
....คุณเอาพระเจ้าบ้าๆบอๆที่มนุษย์สร้างมาบอกเป็นพระเจ้าซะแล้ว พระเจ้าแท้จริง
คุณลองไปดูในทุกศาสนาเลย ฮินดู คัมภีร์อุปนิษัทบอกว่า พระเจ้าว่า "เรามีมา
ก่อนทุกสรรพสิ่ง และดำรงอยู่ ทั้งจะต้องดำรงอยู่ต่อไป ไม่มีใครทำให้ผันแปรได้
เราคืออมตะ สามารถเล็งเห็นทุกอย่าง แต่ผู้อื่นจะสามารถเล็งเห็นเรา เราคืพรหม และเราไม่ใช่พรหม"
ลักษณะของพระเจ้าที่สมบูรณ์ในศาสนาคริสต์และอิสลาม
พระผู้เป็นเจ้าในความหมายที่สมบูรณ์ที่สุด ก็คือ 1.พระผู้ทรงเป็นเลิศในทุก ๆ
ด้าน พระผู้ทรงปรีชายิ่งในทุก ๆ ศาสตร์ 2.พระผู้ทรงเป็นเจ้าของทุก ๆ อณูสรรพสิ่ง
ในสากลจักรวาลในฐานะผู้ทรงสร้างและออกแบบสากลจักรวาลทั้งมวล และบันดาล
ให้มันดำรงไปภายใต้กฏธรรมชาติที่พระองค์ทรงกำหนด3.ผู้ที่ไม่มีจุดเริ่มต้น 4.ไม่มี
จุดสิ้นสุด 5.พระองค์ผู้ไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ จากกาลเวลา 6.ไม่มีอายุขัย 7.และ
โดยเฉพาะพระองค์ไม่ต้องพึ่งพาสิ่งใด "
[color=darkred]ลักษณะดังกล่าวคือ สัพพัญญู นิพพาน และพรหมภูตที่พระพุทธเจ้าเป็น
2.พระพุทธเจ้าท่านไม่ใช่พระเจ้า ถึงแม้กำเนิดจากพระเจ้าตามความเชื่อของคุณพลศักดิ์ แต่ท่านอยู่เหนือกฎของไตรลักษณ์ไปแล้ว
ถ้าพระเจ้าอยู่ในไตรลักษณ์ พระเจ้าก็ไม่เที่ยง ไม่ใช่อมตะ อมตะจะเกิดได้ก็ต่อ
เมื่อละโลภ โกรธ หลง ออกหมดแล้ว[/quote] |
|
|
|
|
|
|