ผู้ตั้ง |
ข้อความ |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
23 ก.ย. 2008, 1:29 pm |
  |
ขันธ์ พิมพ์ว่า: |
ก็แม้ขนาดว่า คามึน ที่ค้านผม ยังออกมาพูดเสียงเดียวกับผมเลย
|
- อุยๆๆ อย่ากระทำชำเราผมสิ
ตอนแรกคุณขันธ์ยังบอกว่าหลวงตาสติขาด แล้วชี้ให้ไปสังเกตุเวลาหลวงตาลืมตัวว่าเทศน์ถึงไหน
แต่ผมบอกว่าพระอรหันต์สติไม่ขาด จับที่จิตตลอด
ไม่ห่างไปไหนเลยและสตินั้นทำงานอัตโนมัติ
แล้วคุณกลับตาลปัตร มาเออออห่อหมกกับผม
นี่จะมาหาว่าผมไปเห็นด้วยอะไรกับคุณไม่ได้นะ
ผมกลัวมาก เวลาใครบอกว่าผมเหมือนคุณ กั๊วกัว
เหมือนขึ้นมาจริงแล้วผมจะยุ่ง
บอกตรงๆว่าผมไม่ค่อยจะอ่านอะไรของคุณเท่าไหร่
อ่านแล้วมันงง มันวกไปวนมา อ่านแล้วปวดหัว เลยขี้เกียจอ่าน
กินอาหารบำรุงสมองมั่งนะเราอะ
หลงๆ ลืมๆ สัญญาขาดของแท้เลยล่ะนี่ |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
ขันธ์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520
|
ตอบเมื่อ:
23 ก.ย. 2008, 1:43 pm |
  |
นี่ให้ดู ข้อความของคนบ้าแท้จริง
อ้างอิงจาก: |
แล้วอย่างหาว่าผมไม่เมตตาอีกนะ
ผมสร้างเมตตาบารมีมาแล้วมากมาย
แล้วที่มาเถียงกับคุณเป็นวรรคเป็นเวรนี่
เพื่อให้คุณมีสัมมาทิฏฐิต่างหากล่ะ |
อ้างอิงจาก: |
คุณ ขันธ์
คุณนี่เหมือน "จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์" จริง ๆ นะ
กิเลสในใจคุณมั่นดิ้นพล่านแล้วล่ะสิ
|
อ้างอิงจาก: |
คุณนี่ "ขี้แพ้ชวนตี"
เมื่อคืนครางหงิง ๆ ยอมแพ้แล้ว
พอไปหยอดน้ำข้าวต้มกลับมามีแรงใหม่
กลับมาบอกว่าเกมส์ยังไม่จบ
จะขอสู้อีก |
นี่ใครเห็นเมตตาธรรมที่ออกมาจาก guest บ้างไหมช่วยยกมือขึ้น
ใครเห็นธรรม ที่มากด้วยบารมีของ guest บ้างยกมือขึ้น |
|
_________________ เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์ |
|
  |
 |
ขันธ์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520
|
ตอบเมื่อ:
23 ก.ย. 2008, 1:47 pm |
  |
อ้างอิงจาก: |
ตอนแรกคุณขันธ์ยังบอกว่าหลวงตาสติขาด แล้วชี้ให้ไปสังเกตุเวลาหลวงตาลืมตัวว่าเทศน์ถึงไหน |
นี่ ผมบอกว่า ท่านไม่ได้กำหนดสติตามรู้ ตลอด เพราะท่านทำไป ด้วยอากัปกิริยา
ส่วน คุณ คามิน คุณไปดูซิว่าผมบอกว่า คุณคิดจะมาพูดแย้งผม แต่ดันมาสนับสนุนผมในข้อใด ไปอ่านดูใหม่ แล้วจะได้ไม่เหมาเอาว่าความจำคนอื่นเสื่อม ทั้งๆ ที่ตัวเองเสื่อม |
|
_________________ เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์ |
|
  |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
23 ก.ย. 2008, 1:57 pm |
  |
ขันธ์ พิมพ์ว่า: |
ความจริงก็คือ ผมบอกว่า พระอรหันต์ ท่านไม่ต้องใช้สติตลอด เพราะกิเลสท่านไม่มี ท่านปล่อยตามเรื่องตามราว มันก็เป็นองค์ธรรมทั้งแท่งออกมาอยู่แล้ว ก็ยกตัวอย่างว่า ท่านให้พรอยู่ แล้วท่านก็ให้พรอีก |
- นี่ๆ ตรงแดงนี่ ฟังให้ดีนะ จะขอค้านสุดกู่เลยนะ
เป็นเครื่องแสดงว่าเราเห้นแตกต่างกันสิ้นเชิง
อ้างอิงจาก: |
ท่านไม่ต้องใช้สติตลอด เพราะกิเลสท่านไม่มี |
เพราะท่านมีสติ กิเลสจึงไม่เกิด
ถ้าขาดสติ กิเลสก็จะเกิดอีก
เช่นกินข้าวเช้าอร่อยๆที่คนนำมาถวาย
ถ้าขาดสติ หรือสติไม่ทำงานตลอดเวลาอย่างที่คุณอ้าง
มันจะเกิดความอร่อยขึ้น นั่นแหละกิเลส
กิเลส เกิดเพราะจิตมันปรุง
ก่อนที่จิตจะปรุงอะไร สติเข้าไปคั่นก่อน
แล้วความปรุงมันขาดลงตรงที่สติรู้ทัน
จึงเรียกว่า กิเลสไม่เกิด
จึงเรียกว่า .."สิ้นเชื้อกิเลส" .. เพระสติมันเข้าไปรู้ทันก่อนตัวกิเลสจะเป็นกิเลสขึ้นมา
=================
ตรงคำว่า "พระอรหันต์ไม่มีกิเลส" ของคุณขันธ์นี่
ไม่ใช่ว่า กิเลสไม่เกิดอีกแล้วถาวร ... ก็เลย"ไม่ต้องใช้สติตลอดเวลา"
ผมว่าตรงนี้สำคัญมาก ที่คุณกับผมเห็นต่างกันสิ้นเชิง
่ปัจจัยให้เกิดกิเลสมีทั้งวันทั้งคืน ทุกหนทุกแห่ง
ไม่ว่าหลวงตาจะทำอะไร ก็มีปัจจัยให้เกิดกิเลสได้ทั้งนั้น
เช่นการฉันอาหารที่คนปราณีตทำมาถวาย
พระอรหันต์กินข้าวนี่ อร่อยยิ่งกว่าคนธรรมดา
พระอรหันต์สามารถรับรู้รสสัมผัสได้ละเอียดยิ่งนัก
แต่เพราะมีสติ จิตจึงไม่รับผัสสะมาสร้างอารมณ์
และเพราะมีสติตลอดเวลา โดยอัตโนมัติ เมื่อความตายมาเยือนจึงยังครองจิตวิมุตตินั้นอยู่ได้เพราะสติมีอยู่
จนตายจริงแล้ว ก็นิพพานไปเลย |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
เมธี
บัวตูม

เข้าร่วม: 02 มี.ค. 2008
ตอบ: 222
|
ตอบเมื่อ:
23 ก.ย. 2008, 1:58 pm |
  |
สติ ต้องกำหนดรู้หรือไม่ ถึงจะเรียกว่ามีสติ
ก็ในขณะหนึ่ง ไม่ได้กำหนดรู้ แต่เมื่อกิเลสเข้ามาก็รู้เท่าทัน
อย่างนี้เรียกว่ามีสติตลอดเวลาหรือไม่
ท่านทั้งหลายโปรดชี้แนะ
 |
|
|
|
    |
 |
เมธี
บัวตูม

เข้าร่วม: 02 มี.ค. 2008
ตอบ: 222
|
ตอบเมื่อ:
23 ก.ย. 2008, 2:03 pm |
  |
คามินธรรม พิมพ์ว่า: |
เพราะท่านมีสติ กิเลสจึงไม่เกิด
ถ้าขาดสติ กิเลสก็จะเกิดอีก
|
เพราะขาดสติ จึงรับเอาสิ่งภายนอกมาปรุงแต่ง กิเลสจึงเกิด
หมายความว่าเพราะพระอรหันต์ท่านมีสติ จึงเท่าทันกิเลส
เพียงแต่ท่านไม่ต้องกำหนดสติ(กำหนดรู้)อยู่ตลอดเวลา
อย่างนี้หรือเปล่าครับ |
|
|
|
    |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
23 ก.ย. 2008, 2:06 pm |
  |
ขันธ์ พิมพ์ว่า: |
นี่ ผมบอกว่า ท่านไม่ได้กำหนดสติตามรู้ ตลอด เพราะท่านทำไป ด้วยอากัปกิริยา
ส่วน คุณ คามิน คุณไปดูซิว่าผมบอกว่า คุณคิดจะมาพูดแย้งผม แต่ดันมาสนับสนุนผมในข้อใด ไปอ่านดูใหม่ แล้วจะได้ไม่เหมาเอาว่าความจำคนอื่นเสื่อม ทั้งๆ ที่ตัวเองเสื่อม |
นี่ คุณยิ่งพูด ยิ่งผิด ยิ่งค้านตัวเอง
ไหนมาเอออห่อหมกกับผมว่า สติพระอรหันต์ เป็นอัตโนมัติ
แล้วทำไม่มาพูดว่า "ท่านไม่ได้กำหนดสติตามรู้ ตลอด"
ถ้ามันอัตโนมัติ แล้วจะมากำหนดทำไม กำหนดได้ด้วยเหรอ
สำหรับผมเชื่อว่า
สติพระอรหันต์นั้น ท่านเองบังคับมันไม่ได้เลย
สั่งหยุดก็ไม่ได้ สั่งพักก็ไม่ได้
สติมันทำงานของมันเอง บังคับไม่ได้
การที่คุณพูดว่าสติหลวงตากำหนดได้นั้น ผิดๆๆๆๆ
นี่ ผมท้าคุณไปหาหลวงตาเลยไป
ไปนู่น ของจริง ถามเลย คุณอ้างว่าเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดนี่
ถ้าไม่ถามก็ลองไปขอชานหมากหลวงตาดูสิ
ถ้าท่านไม่ให้ ก็สัวรณ์ไว้ว่าเป็นคนเลวมาก ท่านถึงไม่ให้
ถ้าท่านให้ใคร คนนั้นดี ใจสะอาด
ลองดูสิ ... |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
ขันธ์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520
|
ตอบเมื่อ:
23 ก.ย. 2008, 2:09 pm |
  |
เอาแบบนี้นะ ผมจะพูดให้คุณเมธีฟัง แต่คนอื่น อ่านแล้วให้ทบทวนไม่ใช่ให้แย้งอย่างเดียว วิเคราะห์ด้วยเหตุผล
สติ นี้แบ่งเป็น 3 อย่างคือ
สติก่อนกาล สติหลังกาล และ สติทันกาล
สติคือการระลึกรู้ได้ว่า เราทำอะไรรู้สึกอย่างไร พอละเอียดมากเข้าก็จะเห็น อากัปกริยาของจิต ในปัจจุบันธรรม ขึ้นอยู่กับว่า เราจะสังเกตุละเอียดละออแค่ไหน ก็เรียกว่า กำหนดรู้
ทีนี้ สติคือเครื่องมือที่จะทำให้เห็นกิเลส จึงต้องกำหนดรุ้มาที่จิต คือ จิตไหวอย่างไร คิดอย่างไร ปรุงอะไร รับรู้เข้าใจอะไร แรกๆ ก็ต้องให้ละเอียดในทุกๆ ด้าน ทั้งเวทนา อารมณ์ ให้ทัน เพราะว่าจะทำให้เราเห็นอุปาทานที่ก่อขึ้นจาก ขันธ์เหล่านั้นได้
เมื่อ รุ้ต้นเหตุของอุปาทาน เข้าใจมันแล้ว ไม่ตามมันแล้ว ก็เพิกเฉยต่อ อุปาทานและเหตุเหล่านั้น สติจึงหันไปจับที่ตัวอื่น คือ เพื่อดูเหตุแห่งปฏิจสมุบาท
ทีนี้ คำว่า สติวินโย คือ เมื่อกระทำจนชินแล้ว พระอริยะ ที่ดำเนินมรรค จะไว จนเป็นวินัย คือ เห็นอะไรที่ผุดมาจากกิเลสแล้ว เห็นทันที ก็จะพินิจด้วยปัญญามองให้ลงสุ่ ไตรลักษณ์ ก็จะปล่อยตัวนั้นลงไป เมื่อ ขันธ์ 5 เกิดดับ ก็ไม่สนใจ เพราะ อุปาทานได้ขาดลงไป ปล่อยตามอาการ
นี่ผมจึงบอกว่า ถ้าเราบอกว่า สตินั้น มีตลอดเวลา จริง แม้ว่า กลืนน้ำลายก็ต้องรุ้ตัว กระพริบตาก็ต้องรุ้ตัว แล้ว จะเพิกสิ่งเหล่านี้ ยกขึ้นสู่เวทนาได้อย่างไร เมื่อ เพิกเวทนายกระดับสตติขึ้นสุ่จิต ก็ไม่ได้หมายความว่า เวทนาหายไป แต่เราไม่ปรุงมันเป็นอุปาทานแล้ว
ก็หมายความว่า สติที่มีอยุ่ ที่เคยแผ่ซ่านออกไป รับรู้ นั้นหดสั้นๆ ลงมา จนเพิก ต่อ สิ่งที่ไม่เป็นภัย หันมาจับแต่ตัวที่เป็นภัย
เช่น พระอริยะ นี่จะจับแต่ ตัวที่ก่อสังโยชน์ อะไรผ่านมา เมื่อจะก่อสังโยชน์ขึ้น พระอริยะจับทัน ก็สุดท้ายแล้วก็ปล่อยเช่นเดียวกัน
ก็เรื่องมันเป็นแบบนี้ สุดท้ายแล้วก็ปล่อยหมด กลายเป็น การไม่ได้จับอะไร
ก็ศึกษาตรงนี้ให้ดีก่อนจะมาเถียง แบบไม่รู้เรื่อง |
|
_________________ เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์ |
|
  |
 |
ขันธ์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520
|
ตอบเมื่อ:
23 ก.ย. 2008, 2:20 pm |
  |
ผมบอกตามตรงนะ คนในที่นี้ หลายคน ควรจะไปขอเป็น ศิษย์ของศิษย์ผมใน เว็บพลังจิต ไปศึกษาการปฏิบัติให้มากก่อน แล้วค่อยมาเถียงกับผม และ ที่ผมตามมาที่นี่ เพราะ เห็นว่า คนหลายคนที่นี่ อ่อนมาก เรื่องปฏิบัติเนี่ย
จิตปรุงแต่ง และ วิญญาณการรับรู้ ยังไม่ไปถึงไหน ก็จะมาสอนให้ ด้วยการด่า
นี่ผมถามอย่างหนึ่งนะ ตั้งแต่เถียงกันมานี่ ข้อไหนที่แสดงว่าผมพูดธรรมผิดแปลก ไปจากพระพุทธองค์
คุณ มีกิเลสมาก ก็จะไม่เข้าใจ ในธรรมที่เป็นปรมัต ก็จะเห็นธรรมไปอีกแบบหนึ่ง โดยเฉพาะ คามึน mes และ guest นี่ปิดตัวเองไปแล้ว กรรมอันนี้แรงนะ ถ้าอยากจะให้มันคลาย ก็ไปจุดธูป ขอขมาต่อพระรัตนไตร แล้ว ศึกษาพระธรรมด้วยการปฏิบัติ ไม่ใช่เถียงหรือด่า อย่างเดียว |
|
_________________ เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์ |
|
  |
 |
ขันธ์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520
|
ตอบเมื่อ:
23 ก.ย. 2008, 2:28 pm |
  |
แนะนำ นะ ให้ไปทีเว็บพลังจิต แล้ว ค้นหากระทู้ที่ผมตั้งขึ้น แล้ว อ่านให้ดี ทวนให้มากๆ อย่ามัวแต่ โมทนาสาธุ มันไม่เจอกิเลสหรอก |
|
_________________ เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์ |
|
  |
 |
เมธี
บัวตูม

เข้าร่วม: 02 มี.ค. 2008
ตอบ: 222
|
ตอบเมื่อ:
23 ก.ย. 2008, 2:45 pm |
  |
เมื่อสติไม่ได้จับอะไร
ไม่ได้หมายความว่า ขาดสติ หรือ ไม่มีสติ ใช่ไหมครับ
เพียงแต่สตินั้นไม่ต้องไปกำหนดเท่านั้น
เหมือนๆกับ การที่เรารู้ว่ากำลังตอบกระทู้ โดยไม่ต้องกำหนดว่า เรากำลังตอบกระทู้นะๆ
อย่างนี้ไหมครับ |
|
|
|
    |
 |
เมธี
บัวตูม

เข้าร่วม: 02 มี.ค. 2008
ตอบ: 222
|
ตอบเมื่อ:
23 ก.ย. 2008, 2:50 pm |
  |
ขันธ์ พิมพ์ว่า: |
ผมบอกตามตรงนะ คนในที่นี้ หลายคน ควรจะไปขอเป็น ศิษย์ของศิษย์ผมใน เว็บพลังจิต ไปศึกษาการปฏิบัติให้มากก่อน แล้วค่อยมาเถียงกับผม และ ที่ผมตามมาที่นี่ เพราะ เห็นว่า คนหลายคนที่นี่ อ่อนมาก เรื่องปฏิบัติเนี่ย
จิตปรุงแต่ง และ วิญญาณการรับรู้ ยังไม่ไปถึงไหน ก็จะมาสอนให้ ด้วยการด่า
นี่ผมถามอย่างหนึ่งนะ ตั้งแต่เถียงกันมานี่ ข้อไหนที่แสดงว่าผมพูดธรรมผิดแปลก ไปจากพระพุทธองค์
คุณ มีกิเลสมาก ก็จะไม่เข้าใจ ในธรรมที่เป็นปรมัต ก็จะเห็นธรรมไปอีกแบบหนึ่ง โดยเฉพาะ คามึน mes และ guest นี่ปิดตัวเองไปแล้ว กรรมอันนี้แรงนะ ถ้าอยากจะให้มันคลาย ก็ไปจุดธูป ขอขมาต่อพระรัตนไตร แล้ว ศึกษาพระธรรมด้วยการปฏิบัติ ไม่ใช่เถียงหรือด่า อย่างเดียว |
ก็วิธีการสอนด้วยการด่าไม่ได้ผล คุณขันธ์ไม่คิดจะเมตตาสอนด้วยวิธีอื่นหรือครับ จะได้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าเป็นการสอนเพื่อสนองตนเองนะครับ(ผมหมายถึงคนอื่นจะมองคุณอย่างนั้นนะ ผมไม่ได้ว่าคุณ)
ฝากไว้พิจารณา
 |
|
|
|
    |
 |
เมธี
บัวตูม

เข้าร่วม: 02 มี.ค. 2008
ตอบ: 222
|
ตอบเมื่อ:
23 ก.ย. 2008, 2:52 pm |
  |
ขันธ์ พิมพ์ว่า: |
แนะนำ นะ ให้ไปทีเว็บพลังจิต แล้ว ค้นหากระทู้ที่ผมตั้งขึ้น แล้ว อ่านให้ดี ทวนให้มากๆ อย่ามัวแต่ โมทนาสาธุ มันไม่เจอกิเลสหรอก |
อ่านการโต้ตอบในกระทู้นี้ก็เจอกิเลส แล้วครับ |
|
|
|
    |
 |
ขันธ์
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 19 ก.ค. 2008
ตอบ: 520
|
ตอบเมื่อ:
23 ก.ย. 2008, 2:57 pm |
  |
คุณ เมธี การขาดสติ คือ การไหลไปตามอวิชชา คือ ตามเรื่องตามราวไปดุจคนฝัน ไม่สามารถต้านทานอำนาจของอวิชชาได้ ก็เพราะมันหลับอยู่
ทีนี้ แม้รู้ตัว แต่ไม่ได้กำหนด ก็ต้องแบ่งออกว่า รู้ตัวแบบหลับ หรือรู้ตัวแบบตื่น แม้ว่า เรารุ้ตัวว่าเราเล่นเน็ต แต่ยังไม่ตื่นก็ได้ชื่อว่า ขาดสติ เช่นคนโมโหรู้ตัวว่าโมโห ก็เรียกได้ว่าขาดสติ
แต่ พระอรหันต์ ท่าน รู้ตัวและตื่นแล้ว ดังนั้น ก็ไม่ต้องกำหนดสติรู้ตัวตลอด
และถามว่า ท่านมีสติไหม ตอบว่า มีตราบเท่าที่ท่านต้องการให้มี และ ไม่มีตราบเท่าที่ท่านไม่ได้ต้องการ
ส่วนการสอนด้วย การด่า ได้ผลไหม วันนี้ขอยกสิ่งที่ท่าน บุคคล 3 ในเว็บพลังจิตพูดมาซึ่งผมชอบมาก บอกว่า การซ้อมมวยนั้นจำเป็นต้องมี และอาจจะมีเจ็บบ้าง ช้ำบ้าง แต่สิ่งที่ได้ไม่ใช่อย่างที่เห็น คือ ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย
นี่ต้องมีคนสอนให้คนเห็นกิเลสตน และผมเลือก เฉพาะคนอวดดี มานะมาก ก็ต้องโดนแบบนี้
แต่คนดีๆ ผมไปด่าเสียที่ไหน เช่นคุณกรัชกราย เดี๋ยวนี้เขาไม่ได้ด่า เขาสงบ ผมก็สงบกับเขาดีจะตาย มีอยุ่ 3 คนตอนนี้เท่านั้น ที่ต้องโดน ก็ไม่โดนได้อย่างไรในเมือเขาอยากลงนวมเอง |
|
_________________ เพราะเอาใจเข้าไปวิพากษ์ จึงมีบาปและบุญ
สรรพสิ่งมันอยู่อย่างนั้นเอง เราเองคือผู้หลงเข้าไปเอาทุกข์ |
|
  |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
23 ก.ย. 2008, 3:09 pm |
  |
เมธี พิมพ์ว่า: |
สติ ต้องกำหนดรู้หรือไม่ ถึงจะเรียกว่ามีสติ
ก็ในขณะหนึ่ง ไม่ได้กำหนดรู้ แต่เมื่อกิเลสเข้ามาก็รู้เท่าทัน
อย่างนี้เรียกว่ามีสติตลอดเวลาหรือไม่
ท่านทั้งหลายโปรดชี้แนะ
 |
คุณเมธีงับ ลองโยนิโสมนัสิการดูนะคับ อย่าคิดว่าถูกต้อง
เพราะผมจำมา
สติมีทั้งแบบต้องกำหนดเอง และไม่ต้องกำหนด
1. สติแบบต้องกำหนด คือ สติชาวบ้าน ซึ่งต้อง"กำหนด/เจตนา"ลงไป จึงเกิดสติ
เช่นเวลาทำงาน เราก็ต้อง "focus" เพ่งกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ปล่อยความคิดไหลเข้าไปคิดในเรื่องราวต่างๆ
บางทีไกลไปถึง lehman brother ที่อเมริกา
(เรียกว่าสมาธิได้มั้ง ผมไม่รู้นะ)
สายผม เขาไม่เรียกว่าสติ .....สายดูจิตเรียกว่า "เผลอ" หรือ "ขาดสติ"
เพราะจิตมันไหลเข้าไปในความคิด
จิตมันไม่รู้ตัวจิตเองว่ามีอยู่
ลืมกระทั่งกายว่ามีกายอยู่
้หลงคิดๆไป ปรุงๆไป (คิดเรื่องงาน)
การตั้งใจมีสติแบบชาวบ้านนั้นเป็นความรู้สึกตัวที่รุนแรงเกินไป
ท่านใช้คำว่า เพ่ง ... มันหนักไป (สายพิณที่ตึงเกินไป/การเพ่งบงการธรรม)
ส่วน "เผลอ".. คือเบาไป (สายพิณที่หย่อนเกินไป/เลินเล่อต่อธรรม)
สติคือความพอดีตรงกลางของความรู้สึกตัว
เบาสบาย อ่อนโยน พอดีๆกับกิจที่ทำ (ลหุตา +มุทุตา+กัมมัญญตา)
2. สติไม่ต้องกำหนด คือสติที่ตื่นแล้ว ตื่นตลอดเวลา เกิดกับโสดาบันขึ้นไป
"ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน"
ผู้รู้ ..........= มีจิตผู้รู้ (จิตเห็นจิต)
ผู้ตื่น .......= มีสติตื่น (ตื่นคือไม่หลับอีก ตื่นรู้ตลอดเวลา)
เบิกบาน ...= อาการจิตยิ้ม (อเหตจิต)
ซึ่งก็คือผู้ที่ถึงกระแสพระนิพพาน มีดวงตาเห็นธรรม หรือโสดาบันนั่นเองคับ
ลองฝึกวิชาดุจิตสิคับ
มันเห็นชัดเจนกับตัวเองได้เลยว่า
ทันทีที่เรา"รู้ทัน"จิตของเราในเวลาที่มัน"ส่งออกนอก"
ความส่งออกนอกจะขาดลงทันที
มันขาดเอง อัตโนมัติ
สติต้องอัตโนมัติไหม?
สำหรับคนธรรมดา ... ไม่เลยคับ
ในเบื้องต้นคนขี้เหม็น ต้องฝึกแบบผสมเจตนานิดๆ เบาๆ (ตั้งใจสร้างขึ้น)
เพื่อเป้นอุบายหลอกให้จิตมันเกิดสติแท้ (เพราะสติแท้หลับอยู่)
ด้วยการรู้ตัวแบบดุจิต ทีละขณะ ทีละนิด เกิดสติแว็บๆๆๆๆไปเรื่อยๆ
เป้นวัน เป้นเดือน เป้นปี
อาจารย์บอกว่า สติมันจะเกิดเอง สติมันจะตื่นเอง
หลวงพ่อพุทธใช้คำว่า "จิตปฏิรูป"
หลวงพ่อเทียนใช้คำตรงๆว่าโสดาบัน และ"ท้าไว้เลยว่าถ้าทำตามอุบายของท่าน อย่างมาก 3 ปี อย่างน้อย 1 วัน" (พระไตรปิฏกบอกไว้ว่า 7 ปีอย่างช้า)
หลวงปู่ดุลย์ใช้คำว่า
"ด้วยอุบายอย่างนี้ ไม่นานนัก ก็จะสามารถควบคุมจิตได้และบรรลุสมาธิในที่สุด และจะเป็นผู้ฉลาดใน “พฤติแห่งจิต” โดยไม่ต้องไปปรึกษาหารือใคร "
(รู้ทันพฤติกรรมกรรมของจิตที่สอดส่ายไปหาอารมณ์มาเสวยแล้วเกิดทุกข)
ถ้าไงอ่านเอานะคับ
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=6690
ตอนแรกผมไม่เข้าใจหรอก คิดว่าหลวงปู่พูดอะไรกำกวมๆ
แต่ศึกษาวิชาดุจิตมากๆเข้า
ถึงรู้ว่าหลวงปู่พูดไว้ไม่ผิดแม้แต่คำเดียว
และทึ่งว่าท่านใช้คำง่ายๆอธิบายสภาวะต่างๆไว้อย่างครอบคลุม
ส่วนสติอัตโนมัติ สติตลอดเวลานั้น เป็นสติชั้นสูง
ที่เกิดจากการปฎิรูปตัวเองของจิต
มี 4 ขั้น... โสดาบันคือขั้นที่ 1 ----พระอรหันต์คือขั้นที่ 4 (สูงสุด)
ไม่มีใครสามารถกะเกณฑสติให้มี หรือให้หมด หรือให้หยุด หรือให้พัก
ท่านถึงใช้คำว่า "ปิดประตูนรก" สำหรับโสดาบัน
ซึ่งคือการที่จิตปฏิรูปตัวเองครั้งที่ 1 แล้ว... สติแท้ๆเกิดแล้ว
มีกำลังทำงานอัตโนมัติเองได้ แต่อาจจะมีกำลังไม่ไวพอ
แต่พอเพียงที่จะไม่ตกนรก
ที่ว่าไม่ตกนรก เพราะทันทีที่เกิดกิเลส สติมีความเร็วพอเพียงที่จะละวางอารมณ์นั้น
และดับมันลงได้โดยไว
จิตจึงมีแต่ความสงบเป็นอารมณ์อยู่บ่อยครั้ง คิดถึงแต่ธรรม คิดถึงแต่ปฏิบัติ
มองเห็นแต่ธรรมะอยู่ทั่วไป
เป็นจิตที่เพียรมุ่งหาแต่นิพพาน เป็นจิตดี
หากมีความตายมาคั่นกลางฉับพลัน
จิตดังนั้นจึงไปเกิดเป็นเทวดาบ้าง คนบ้าง
เรื่องพวกนี้ ผมจำมานะคับ |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
แก้ไขล่าสุดโดย คามินธรรม เมื่อ 23 ก.ย. 2008, 3:48 pm, ทั้งหมด 4 ครั้ง |
|
  |
 |
เมธี
บัวตูม

เข้าร่วม: 02 มี.ค. 2008
ตอบ: 222
|
ตอบเมื่อ:
23 ก.ย. 2008, 3:19 pm |
  |
ขันธ์ พิมพ์ว่า: |
แต่ พระอรหันต์ ท่าน รู้ตัวและตื่นแล้ว ดังนั้น ก็ไม่ต้องกำหนดสติรู้ตัวตลอด
และถามว่า ท่านมีสติไหม ตอบว่า มีตราบเท่าที่ท่านต้องการให้มี และ ไม่มีตราบเท่าที่ท่านไม่ได้ต้องการ
|
เพราะเหตุใด พระอรหันต์ถึงต้องเลือกด้วยหรือว่าครับ ว่าขณะไหนต้องมี ขณะไหนต้องไม่มี เพราะเหตุนี้เรียกได้ว่าท่านมีสติตลอดเวลาได้หรือไม่ เพราะต้องรู้ว่าขณะไหนต้องกำหนด ขณะไหนไม่ต้องกำหนด
สติในความหมายของคุณขันธ์ คือต้องมีการกำหนดรู้ ใช่หรือไม่ครับ
สติในความหมายของท่านอื่น คือ กำหนดก็ได้ไม่กำหนดก็ได้ เพียงแต่ต้องรู้เท่าทัน
การกำหนดเสมือนการฝึกกำลังสติเท่านั้น เมื่อฝึกดีแล้ว รู้เท่าทันกิเลสแล้ว ก็ไม่ต้องกำหนด เพราะว่าฝึกมาดีแล้ว เมื่อไม่กำหนด แต่รู้เท่าทันกิเลสอยู่ตลอดเวลา นับว่ามีสติตลอดได้หรือไม่
 |
|
|
|
    |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
23 ก.ย. 2008, 3:39 pm |
  |
ขันธ์ พิมพ์ว่า: |
เช่นคนโมโหรู้ตัวว่าโมโห ก็เรียกได้ว่าขาดสติ |
- ตายๆ ขันแตกเอ๊ย
โมโหรู้ว่าโมโหนี่แหละ .... เขาเรีบกว่ามีสติ แล้วความโมโหก็ดับลง
ขันธ์ พิมพ์ว่า: |
แต่ พระอรหันต์ ท่าน รู้ตัวและตื่นแล้ว ดังนั้น ก็ไม่ต้องกำหนดสติรู้ตัวตลอด
และถามว่า ท่านมีสติไหม ตอบว่า มีตราบเท่าที่ท่านต้องการให้มี และ ไม่มีตราบเท่าที่ท่านไม่ได้ต้องการ |
- ไหนว่าสติพระอรหันต์ มันอัตโนมัติไม่ใช่เหรอ
แล้วจะมากำหนดอะไรยังไงได้อีก
เคยได้ยินคำว่า จิตก็ไม่ใช่ของเราไหม
นั่นแหละ
สติพระอรหันต์ก็เหมือนกัน ไม่ใช่ของเรา บังคับไม่ได้ มันทำหน้าที่ของมันเอง
ขันธ์ พิมพ์ว่า: |
ส่วนการสอนด้วย การด่า ได้ผลไหม วันนี้ขอยกสิ่งที่ท่าน บุคคล 3 ในเว็บพลังจิตพูดมาซึ่งผมชอบมาก บอกว่า การซ้อมมวยนั้นจำเป็นต้องมี และอาจจะมีเจ็บบ้าง ช้ำบ้าง แต่สิ่งที่ได้ไม่ใช่อย่างที่เห็น คือ ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย |
ดูเอาเกิด เห็นกงจักรเป้นดอกบัวแบบนี้
ตายๆๆๆๆ
มันรู้แต่ว่าธรรมชาติการตีมวย ต้องเจ้บตัวบ้าง
แต่มันคิดไม่ออกว่า ตีมวยทำไม
รู้แต่ว่าจะตีมวย
โอยยยยๆๆๆ
พระพุทธเจ้าไม่เคยต้องด่าใครเพื่อเผยแผ่พระธรรมสักแอะนึงเลยนะ
ใครสอนไม่ได้ ... ท่านก็ไม่สอน
ใครถามไม่เข้าท่า...ท่านก็ไม่ตอบ
มีแต่คุณนี่แหละ นอกคอก ตันหาจัด
รู้เขาไม่ให้สอน.... ก็อยากสอน
รู้ว่าเขาสอนไม่ได้ .. ยังเพียรสอนจิตพระอริยะบ้าบอคอแตก สอนแล้วก้บอกว่าเขาไม่มีทางเข้าใจ?? ก็แล้วจะสอนทำไมนะ เออ
เอ๋อเหร๋อ นอกคอก
ไอ้ที่เขาถามให้คุณตอบ ก็ไม่ตอบ ... ชอบแส่ตอบอันเขาไม่ถาม
กระทู้ถามธรรม ไม่เคยสน
มีชื่อคามินธรรมล่ะก้ กระดิกหางปรี่เข้าไปทีเดียว
โอยยๆๆๆๆ ตันหากลับรุนแรงมาก กลับแบบปลื้นด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเลยทีเดียวเชียว |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
mes
บัวบานเต็มที่

เข้าร่วม: 09 มิ.ย. 2007
ตอบ: 643
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
23 ก.ย. 2008, 4:03 pm |
  |
กำลังลุ้นอยู่ว่าคุณเมธีจะเข้ามาอยู่ในบ้านเลขที่เดียวกันไหม
ตอนนี้คุณขันธ์คงจะกำลังพัลวัน พัลเกอยู่
เลยเผลอสติ
ไม่อย่างนั้นคงมีใครโดนงับไปแล้ว
เอว่า แต่อย่างที่คุณขันธ์เป็นอยู่เวลานี้เรียกว่าอไร
ขาดสติ เสียสติ เผลอสติ สติบกพร่อง
หรือ.......... |
|
|
|
   |
 |
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
|
ตอบเมื่อ:
23 ก.ย. 2008, 4:26 pm |
  |
คุณพี่ mes
คำนี้แหล่มเรย ... "บกพร่องโดยสุจริต"
คือเพี้ยนจริงๆ ไม่ได้แกล้งเพี้ยน |
|
_________________ ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
|
|
  |
 |
เมธี
บัวตูม

เข้าร่วม: 02 มี.ค. 2008
ตอบ: 222
|
ตอบเมื่อ:
23 ก.ย. 2008, 4:39 pm |
  |
คุณ mes ครับ
ผมคงไม่อาจเข้าไปอยู่บ้านเลขที่เดียวกันกับใครได้หรอกครับ
ผมมันด้อยปัญญา ยังต้องศึกษาอีกมาก
เอาเป็นว่าผมเข้ามาศึกษาจากท่านๆละกันครับ
อ้อ บางเรื่องผมก็พอจะทราบ พอจะเข้าใจนะครับ ว่าใครอะไรยังไง เพียงแต่ไม่อยากพูดเท่านั้นเอง ผ่านตาผมมานานพอสมควร |
|
|
|
    |
 |
|