Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
สันติสุขในมือเรา (พระไพศาล วิสาโล)
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ผู้ตั้ง
ข้อความ
TU
บัวทอง
เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 1589
ตอบเมื่อ: 21 ก.ย. 2008, 7:18 am
สันติสุขในมือเรา
โดย พระไพศาล วิสาโล
สถานการณ์บ้านเมืองที่ขัดแย้งยืดเยื้อนานหลายเดือนทำให้ผู้คนเป็นอันมากรู้สึกคับข้องใจเป็นอย่างยิ่ง สาเหตุไม่ได้เป็นเพราะว่ามองไม่เห็นทางออกของบ้านเมืองเท่านั้น หากยังเป็นเพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอะไรได้บ้างในสถานการณ์อย่างนี้ นอกเหนือจากการนิ่งเฉยหรือเข้าร่วมกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ที่จริงมีมากมายหลายอย่างที่เราแต่ละคนสามารถทำได้ ไม่ว่าจะอยู่กับฝ่ายใด หรือไม่สังกัดฝ่ายใดเลยก็ตาม อย่างแรกที่สุดและน่าจะง่ายที่สุดก็คือ
รักษาใจให้เป็นปกติ
ถ้าเรายังทำอะไรกับใจของเราไม่ได้ จะไปเรียกร้องคาดหวังให้บ้านเมืองเป็นไปดั่งใจของเราได้อย่างไร
ความทุกข์ของผู้คนทุกวันนี้เกิดจากการปล่อยให้ความเครียด ความกังวล ความกลัว-เกลียด-โกรธ ครอบงำใจ เริ่มตั้งแต่เช้า พอตื่นขึ้นมาก็เครียดแล้วเมื่อได้ดูข่าวโทรทัศน์หรืออ่านหนังสือพิมพ์ แต่ขอให้สังเกตว่าเราจะเครียดและขุ่นเคืองใจก็ต่อเมื่อได้ฟังคำพูดของคนที่คิดต่างจากเรา หรือรับรู้การกระทำของคนที่อยู่คนละฝ่ายกับเรา ที่จริงถ้าเราเดาล่วงหน้าได้ว่าเขาจะพูดหรือทำอะไร เราก็คงไม่ทุกข์ แต่เป็นเพราะเราคาดหวังบางสิ่งบางอย่างจากเขา ครั้นเขาไม่พูดหรือทำตามความคาดหวังของเรา เราจึงไม่พอใจ
ปัญหาจึงอยู่ที่ใจของเราเองที่ตั้งความคาดหวังเกินเลยจากความเป็นจริง หรือหวังในสิ่งที่มิใช่วิสัยของเขา วางความคาดหวังเสีย ยอมรับเขาตามที่เป็นจริง
เราจะฟังเขาด้วยความรู้สึกธรรมดามากขึ้น
ถ้าคุณห้ามใจไม่ได้ ยังเครียดหรือโกรธคนเหล่านั้นอยู่ ก็ไม่ควรแบกความเครียดติดตัวไปด้วย เครียดตรงไหน วางตรงนั้น อย่าเอาไปที่ทำงาน หรือถ้าเครียดตอนอยู่ที่ทำงาน ก็วางไว้ในที่ทำงาน อย่าแบกกลับบ้านไป เวลากิน ก็อย่าไปคิดถึงคนเหล่านั้น กินให้มีความสุข เวลาทำงานก็อยู่กับงานของตนอย่างมีสติและสมาธิ อย่าเอาคนเหล่านั้นมาคิดนึกให้เสียอารมณ์ เวลานอนก็นอนให้สบาย จะคิดถึงคนเหล่านั้นไปทำไม แต่ถ้ายังคิดอยู่จนนอนไม่หลับ จะโทษใครดี
หลายคนบอกว่าอย่าว่าแต่ฟังเสียงเลย แค่เห็นหน้าคนบางคนทางโทรทัศน์ก็โมโหแล้ว นั่นเพราะเรามีความโกรธเกลียดเขาเต็มที่ และที่โกรธเกลียดก็เพราะเขาอยู่คนละฝ่ายกับเรา เป็นศัตรูของเรา แต่คุณเคยคิดบ้างไหมว่าวันข้างหน้าคนเหล่านั้นอาจกลับมาอยู่ฝ่ายเดียวกับคุณ
ศัตรู
ที่เคยอยู่คนละข้างก่อนและหลังเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 วันนี้ได้กลับมาเป็นเพื่อนร่วมพรรคร่วมอุดมการณ์กันอย่างเหนียวแน่น ขณะที่เพื่อนร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ต่อสู้รัฐบาลเมื่อ 30 ปีก่อน วันนี้กลับมาอยู่คนละฝ่าย ดังนั้น คุณแน่ใจอย่างไรว่า ศัตรู ของคุณวันนี้จะไม่กลายมาเป็นเพื่อนของคุณในวันหน้า และคุณแน่ใจได้อย่างไรว่าผู้นำของคุณวันนี้ จะไม่กลายเป็นปรปักษ์หรืออยู่คนละฝ่ายกับคุณใน 5 หรือ 10 ปีข้างหน้า
ลองหยุดคิด แล้วจินตนาการถึงความเปลี่ยนแปลงในวันข้างหน้า แล้วคุณอาจพบว่าการต่อสู้ด้วยความเกลียดชังและมุ่งโค่นล้มทำลายอีกฝ่ายให้พินาศนั้น เป็นสิ่งที่คุณควรทุ่มเทอย่างเอาเป็นเอาตายหรือไม่
ลองมองไกล ใจคุณอาจจะเปิดกว้างยอมรับความเห็นต่างได้มากขึ้น อย่างน้อยก็คงได้ตระหนักว่า
ความเป็นมิตรและความเป็นศัตรูนั้นหาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ ความเป็นฝักฝ่ายก็เช่นกัน จะเอาจริงเอาจังกับมันไม่ได้เลย
ปฏิเสธไม่ได้ว่าความกลัว-เกลียด-โกรธ กับความเป็นฝักฝ่ายนั้นแยกจากกันไม่ออก ยิ่งประจันหน้ากับคนที่อยู่คนละฝ่ายกับตัว ความกลัว-เกลียด-โกรธก็ถูกกระตุ้นให้พลุ่งพล่านใจ และยิ่งกลัว-เกลียด-โกรธมากเท่าไร ก็ยิ่งแบ่งฝักฝ่ายกันอย่างโจ่งแจ้งชัดเจนและผลักกันให้อยู่ไกลขึ้น จนไม่สามารถคุยกันได้ เพราะหวาดระแวงกันและเห็นซึ่งกันและกันเป็นศัตรูที่เลวร้าย
เมื่อใดก็ตามที่ความกลัว-เกลียด-โกรธ ลุกลามจนเกิดการแบ่งฝ่ายอย่างชัดเจน ถึงขั้นเป็นศัตรูกัน เมื่อนั้นชัยชนะหรือความพ่ายแพ้กลายเป็นสิ่งสำคัญเหนืออื่นใด ขณะที่ความถูกต้องหรือเหตุผลมีความหมายน้อยลง ทำอะไรก็ได้ขอให้ชนะเป็นพอ เสียอะไรก็เสียได้แต่อย่าให้แพ้ก็แล้วกัน
เริ่มแรกการต่อสู้อาจมีจุดมุ่งหมายเพื่อประเทศชาติ หรือเพื่อความถูกต้อง แต่เมื่อกลัว-เกลียด-โกรธกันอย่างที่สุดแล้ว การทำลายอีกฝ่ายให้พินาศกลายมาเป็นจุดหมายสำคัญที่สุด ถึงตรงนี้การพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้อีกฝ่ายพ่ายแพ้ ก็อาจลงเอยด้วยความวิบัติของบ้านเมือง
เมื่อรู้ว่าหนูเข้ามาทำรังในบ้านและกัดแทะข้าวของเครื่องใช้ เจ้าของผู้รักบ้านย่อมไม่อยู่นิ่งเฉย ต้องหาทางจับหนูตัวนั้นมาให้ได้ แต่หนูตัวนั้นก็ฉลาดมาก ไม่เคยหลงติดกับดัก แม้ใช้กาวดักหนู ก็ไม่เป็นผล พยายามเท่าไรก็ไม่เคยสำเร็จ ขณะที่ข้าวของเสียหายจากฝีมือหนูมากขึ้น เพราะหนูออกลูกออกหลานมากขึ้น จึงอาละวาดเป็นการใหญ่ วันหนึ่งเจ้าของบ้านพบว่าหนูกัดสายไฟ จนทำให้ระบบควบคุมไฟถึงกับล่ม อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายชิ้นใช้การไม่ได้ เสียเงินซ่อมมากมาย เจ้าของบ้านโกรธมาก ทีนี้เขาคิดแต่จะเข่นฆ่าหนูตัวนี้สถานเดียว จะยอมให้มันอาละวาดต่อไปอีกไม่ได้ เมื่อใช้ทุกวิถีแล้วไม่ได้ผล วันหนึ่งเขาก็เอาน้ำมันก๊าดฉีดพ่นเข้าไปในรังและจุดไฟ หวังจะฆ่ามันให้สิ้นซาก ผลก็คือหนูตายแต่บ้านเขาก็เสียหายจนเกือบวายวอดไปด้วย
ทีแรกเขาต้องการกำจัดหนูเพื่อรักษาบ้าน แต่เมื่อการกำจัดหนูลุกลามกลายเป็นสงครามระหว่างเขากับหนู ความต้องการเอาชนะหนูกลายเรื่องสำคัญที่สุดของเขาจนลืมนึกถึงบ้าน สุดท้ายกลายเป็นว่าเขาทำลายบ้านเพื่อกำจัดหนู มิใช่กำจัดหนูเพื่อรักษาบ้านอีกต่อไป
เมื่อใดก็ตามที่เรามีความกลัว-เกลียด-โกรธอย่างขีดสุด ทุกอย่างก็กลับตาลปัตร จากการทำลายอีกฝ่ายหนึ่งเพื่อรักษาบ้านเมืองไว้ ก็อาจกลายเป็นการทำลายบ้านเมืองเพื่อกำจัดอีกฝ่ายหนึ่งให้ได้ ทั้งหมดนี้ก็เพราะการอยากเอาชนะให้ได้เป็นสำคัญ
ด้วยเหตุนี้การรักษาใจมิให้ความกลัว-เกลียด-โกรธ ครอบงำจึงเป็นสิ่งสำคัญ
แม้จะเป็นการเริ่มต้นในระดับบุคคลก็ตาม จริงอยู่การทำเช่นนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็สามารถทำได้หากเริ่มต้นจากการตระหนักเห็นโทษของความกลัว-เกลียด-โกรธ มันไม่เพียงทำให้เราทุกข์เท่านั้น แต่ยังสามารถทำให้เรากลายเป็นตัวปัญหา หรือก่อความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นได้ ใช่หรือไม่ว่าขณะนี้แต่ละคนเสมือนมีไม้ขีดไฟอยู่ในมือ ที่พร้อมจะเผาตัวเองและคนรอบข้าง ตลอดจนบ้านเมืองให้พินาศได้ เพราะทุกหนแห่งราวกับอบอวลด้วยไอน้ำมัน พร้อมจะลุกเป็นไฟได้ทุกเวลา
ในยามนี้เพียงแค่ทำตัวเองไม่ให้รุ่มร้อน วุ่นวาย ก็เป็นการช่วยเหลือบ้านเมืองแล้ว อย่างน้อยก็ช่วยไม่ให้มันเลวร้ายไปกว่านี้ เมื่อเรือเล็กเกิดรั่วขึ้นมา การอยู่นิ่งเฉย อาจก่อผลดีกว่าการแตกตื่นวุ่นวายหรือพากันกรูไปอุดรูด้วยความตื่นตระหนก เพราะนั่นอาจทำให้เรือโคลงถึงกับล่มได้
แต่จะดียิ่งกว่านี้ หากเราไม่เพียงรักษาใจตัวเองให้ปกติเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผู้อื่นหายรุ่มร้อนวุ่นวายไปด้วย ที่จริงเพียงแค่เรามีความสงบเย็น ก็สามารถช่วยให้ผู้ที่อยู่รอบข้างสงบเย็นตามไปด้วย เขาจะบ่นอย่างไร ก็นั่งฟังด้วยความสงบ และเตือนสติเขาบ้างตามโอกาส กับช่วยให้เขามองในแง่มุมอื่นบ้าง
เมื่อช่วยรักษาใจผู้อื่นให้สงบเย็นได้แล้ว หากมีกำลังก็ควรรวมกันชักชวนผู้คนให้ลดละความกลัว-เกลียด-โกรธลงบ้าง ยับยั้งชั่งใจให้มากขึ้นในการใช้ความรุนแรงทางวาจาและการกระทำ ทุกวันนี้เสียงแห่งความกลัว-เกลียด-โกรธดังมากเกินไปแล้ว เราควรช่วยกันเปล่งเสียงแห่งขันติธรรม คือความอดกลั้นต่ออารมณ์และความใจกว้างต่อผู้ที่เห็นต่าง ให้ดังกว่านี้ รวมทั้งช่วยกันป้องกันและยับยั้งความรุนแรงจากทุกฝ่าย
แม้ทุกฝ่ายจะไม่ยอมถอยคนละก้าว แต่อย่างน้อยก็ควรช่วยกันจำกัดขอบเขตแห่งความขัดแย้งไม่ให้ลุกลามจนกลายเป็นการใช้กำลังต่อกัน ไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายใด หรือไม่อยู่ฝ่ายใดเลย
ก็ควรช่วยกันผลักดันให้ความขัดแย้งหรือการทะเลาะกันเป็นไปอย่างอารยะ คือใช้เหตุผล
หรือถึงจะมีอารมณ์ ก็อย่าระเบิดเป็นความรุนแรง ตราบใดที่ไม่มีการสูญเสียชีวิตและเลือดเนื้อ โอกาสที่ความขัดแย้งจะคลี่คลายไปในทางสันติก็มีมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม พึงตระหนักไว้เสมอว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนี้จะไม่หายไปในเร็ววัน เพราะนี่ไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มบุคคลที่ปรากฏเป็นข่าว แต่เป็นความขัดแย้งที่ลึกและกว้างขวางกว่านั้นมาก ดังที่มีผู้รู้บางท่านชี้ว่าความขัดแย้งระหว่างพันธมิตรกับพลังประชาชน เป็นตัวแทนของความขัดแย้งระหว่างคนชั้นกลางในเขตเมืองกับคนชั้นกลางระดับล่างในชนบท หรือระหว่างคนชั้นกลางในเมืองกับนายทุนที่เชื่อมต่อกับพลังโลกาภิวัตน์ร่วมกับคนชั้นล่างทั้งในเมืองและชนบท ซึ่งแต่ละฝ่ายมีคนนับสิบล้าน มองในแง่หนึ่งนี้คือความขัดแย้งระหว่างอุดมการณ์สองแบบ หรือการเมืองสองระบอบ ซึ่งสะท้อนจากการเรียกร้องต้องการรัฐบาลคนละแบบ
ความขัดแย้งแบบนี้จะคลี่คลายไปได้ก็ต่อเมื่อมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างหรือความสัมพันธ์ทางอำนาจ จนเป็นที่พอใจของทั้งสองฝ่าย
การปฏิวัติ 2475 เหตุการณ์ 14 ตุลา 16 และพฤษภาทมิฬ 35 ล้วนเป็นผลจากความขัดแย้งระหว่างกลุ่มชนในสังคมไทย ซึ่งกว่าจะคลี่คลายได้ต้องใช้เวลานับสิบปี และต้องผ่านความขัดแย้งถึงขั้นใช้กำลังและความรุนแรง
แต่ความขัดแย้งเชิงโครงสร้างไม่จำต้องจบลงด้วยการนองเลือด หากผู้คนในสังคมใช้สติและปัญญา มองเห็นรากเหง้าของปัญหาที่ใหญ่กว่าตัวบุคคล และไม่ใจเร็วด่วนได้ โดยคิดว่าถ้ามีความรุนแรงเกิดขึ้นแล้ว ทุกอย่างจะยุติ
ในยามนี้ธรรมาธิปไตยเป็นสิ่งสำคัญมาก นั่นคือการถือธรรมเป็นใหญ่ คำนึงถึงความถูกต้องยิ่งกว่าความถูกใจ และเห็นอกเห็นใจผู้อื่น โดยไม่คิดแต่จะเอาใจตน หรือมุ่งชัยชนะอย่างเดียว นี้คือสิ่งที่เราควรบ่มเพาะขึ้นในจิตใจและช่วยกันปลูกฝังให้เจริญงอกงามในสังคมไทย พร้อมกับสร้างกลไกเพื่อให้ความขัดแย้งคลี่คลายอย่างสันติ ด้วยวิธีดังกล่าวเท่านั้นสังคมไทยจึงจะผ่านพ้นวิกฤตไปได้โดยไม่มีการสูญเสียเลือดเนื้อ
หนังสือพิมพ์มติชน รายวัน หน้า 6
คอลัมน์ มองอย่างพุทธ โดย พระไพศาล วิสาโล
วันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11152
_________________
ศรัทธาในพระพุทธศาสนายิ่ง...ปรารถนาจะช่วยสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา
ชาญวิทย์
บัวเริ่มพ้นน้ำ
เข้าร่วม: 04 พ.ค. 2008
ตอบ: 152
ตอบเมื่อ: 22 ก.ย. 2008, 7:54 pm
ขอบคุณธรรมะดีดีครับผม
_________________
ธรรมะคือธรรมชาติ
ฌาณ
บัวเงิน
เข้าร่วม: 23 ก.ค. 2008
ตอบ: 1145
ที่อยู่ (จังหวัด): หิมพานต์
ตอบเมื่อ: 22 ก.ย. 2008, 9:48 pm
_________________
ผมจะพยายามให้ได้ดาวครบ 10 ดวงครับ
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th