Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 เรื่องพระพุทธเจ้าองค์ปฐม อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ผู้ใฝ่รู้
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 25 มี.ค.2005, 4:20 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมจะชอบอ่านธรรมตามเวบต่างๆ เป็นประจำ และมีความเข้าใจเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าตามกำลังปัญญาของตนเอง และมีความเชื่อตลอดมาว่า พระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์ก็ดี เมื่อปรินิพพาน หรือนิพพานไปแล้ว จะไม่กลับมาเกิด หรือมาแสดงตนอีก ทั้งนี้ก็เพราะว่า เหตุปัจจัยที่จะทำให้กลับมาเกิดอีกไม่มีแล้ว....แต่เมื่อได้เข้าไปอ่านในเวบ เวบหนึ่งคือ http://www.buddhabhumi.info/และได้เข้าไปอ่านเกี่ยวกับประวัติของ พระพุทธเจ้าองค์ปฐม ที่ทำให้ผมสักจะไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ตนเองเชื่อมาตลอดนั้นเป็นมิจฉาทิฐิหรือป่าว เพราะว่าขัดแย้งกับข้อความในประวัติของพระพุทธเจ้าองค์ปฐม ซึ่งในเวบนั้นอ้างว่า เป็นคำพูดของพระอาจารย์หลวงพ่อฤษีลิงดำ ซึ่งเป็นพระอาจารย์ที่ผมนับถือท่านมาก ขอยกข้อความตอนหนึ่งในเรื่องพระพุทธเจ้าองค์ปฐม มาให้ท่านทั้งหลายช่วยชี้แจง และวิเคราะห์ให้ทราบด้วยจะขอบพระคุณเป็นอย่างมาก...

ประวัติสมเด็จองค์ปฐม





" ท่านสาธุชนทั้งหลาย ตอนนี้ก็มาพูดกันถึงเรื่อง สมเด็จองค์ปฐม สำหรับคำว่า “สมเด็จองค์ปฐม” ก็คือพระพุทธเจ้าองค์แรกหรือองค์ที่ 1 เรียกว่า “องค์ปฐม” ขอเล่าย้อนตอนหลังสักนิด คือเมื่อประมาณ พ.ศ. 2511 ตอนนั้นอาตมา (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง) มาอยู่ที่วัดท่าซุงแล้วและ พล.อ.อ.อาทร โรจนวิภาต เวลานั้นเป็นนาวาอากาศเอก เป็นผู้บังคับกองฝึกโรงเรียนการบิน ที่นครราชสีมา ทราบว่าอาตมาป่วย จึงนิมนต์ไปพักที่นั้น ตอนกลางคืน สามีภรรยาก็นั่งเจริญพระกรรมฐาน อาตมาเป็นคนแนะนำ ขณะที่แนะนำเขาอยู่ เมื่อเสร็จแล้วก็ทำสมาธิ ขณะที่ทำสมาธิ บรรดาท่านพุทธบริษัท สิ่งที่คาดไม่ถึงก็ปรากฏขึ้น นั่นคือเห็นเป็นพระพุทธเจ้าในปางนิพพานยืนสองแถวยางเหยียดไปข้างหน้า แล้วก็พนมมือ จึงมีความรู้สึกในใจว่า บางที่อาจเป็นอุปทานของเรา เพราะว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยก้มศีรษะให้ใคร แม้แต่บ้านเรือนเล็กๆที่หลังคาต่ำๆ ที่พระพุทธเจ้าเข้าไป หลังคา ก็สูงขึ้น แต่เวลานี้เราเห็นพระพุทธเจ้ายืนพนมมือ อุปาทานคือกิเลสคงกินใจมาก เมื่อนึกเพียงเท่านี้ ก็เห็นภาพ หลวงพ่อปาน ปรากฏขึ้นข้างๆ ท่านบอกว่า “คุณ…..ไม่ใช่อุปาทาน ประเดี๋ยวพระพุทธเจ้าองค์ปฐมจะเสด็จมา” อีกประมาณสัก 5 นาที ปรากฏว่ามีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง รูปร่างใหญ่โตมาก สูงมาก มาในรูปของปางนิพพาน เดินมาระหว่างช่องกลาง พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ก้มศรีษะแสดงความเคารพ เพราะพนมมืออยู่แล้ว พอท่านเดินมาถึงอาตมา ท่านก็พูดว่า “ข้าจะนั่งที่ไหนหว่า….ในเมื่อไม่มีที่นั่ง ข้าเอาหัวแกเป็นแท่นก็แล้วกัน” ก็เลยนั่งบนหัว แล้วก็บอกว่า “นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ก่อนที่แกจะสอนกรรมฐานก็ดี จะพูดธรรมะก็ดี จะเทศน์ก็ดี บอกฉันก่อน ฉันให้พูด ตอนไหนจะเทศน์ตอนไหน ให้ว่าตามนั้น” ก็เป็นความจริงบรรดาท่านพุทธบริษัท เวลาสอนกรรมฐานก็ดี เทศน์ก็ดี บางที่คิดว่าวันนี้ จะพูดเรื่องอย่างนี้ แต่พอพูดเข้าจริงๆ เรื่องนั้นไม่ได้พูด ไปพูดอีกจุดหนึ่ง อันนี้เป็นลีลาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ การเทศน์ของพระพุทธเจ้ามุ่งเฉพาะบุคคลสำคัญคนใดคนหนึ่ง ไม่ได้หวังคนทั่วไป คนจะนั่งสักหนึ่งพัน สองพัน ห้าพันก็ตาม ท่านจะดูจิตใจว่า บุคคลใดจะรับคำเทศนาของท่านได้ จะสามารถบรรลุมรรคผลได้ ท่านจะจี้จุดเฉพาะคนนั้น เอาจุดเด่น แต่ว่าคนที่มีความดี ใกล้เคียงกัน ก็พลอยบรรลุมรรคผลไปตามๆกัน "........ข้อความโดยละเอียดทั้งหมดมีในhttp://www.buddhabhumi.info/first_buddha.html

....... ขอให้ท่านผู้รู้อธิบายด้วยครับว่า....พระพุทธเจ้าที่ท่านปรินิพพานไปแล้ว จะเสด็จมาแสดงตนได้อีกหรือไม่ จะเสด็จมาแสดงพระธรรมเทศนาได้อีกหรือไม่...

ขอขอบคุณล่วงหน้าครับ
 
ผู้ไม่รู้เหมือนกัน
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 26 มี.ค.2005, 2:43 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมเองก็ได้รับข้อมูลจากที่วัดเช่นกัน เคยนั่งสมาธิฝึกในแนวมโนยิทธิที่วัดสองครั้งก็ได้ประสบการณ์ทางจิตในทางที่ดีที่ตัวเองไม่เคยเจอมาก่อนในครั้งหลังสุดโดยมีพระท่านช่วยนำด้วย จึงเกิดความศรัทธาการปฏิบัติที่วัด ถึงแม้นปกติจะไม่ได้ปฏิบัติวิธีนั้นก็ตาม พอคิดเรื่องดังกล่าวตามก็เลยสับสนเช่นกัน



บางครั้งผมคิดว่าปัญหาเรื่องการสื่อสารเพื่อให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับจิตเป็นปัญหาที่สำคัญมากและส่วนใหญ่ก็มองข้ามกัน เพราะเรากำลังทำความเข้าใจอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถสัมผัสด้วยประสาททั้งห้าได้



สำหรับผมหากจิตตัวเองยังไม่สามารถเข้าใจตรงนั้นได้ก็ปล่อยให้เป็นคำถามข้างไว้แบบไม่พยายามจะหาคำตอบครับ ไม่สนใจเท่าไหร่ว่าใครพูดถูกหรือผิดเพราะผมสังเกตไปเองว่าหลักคำสอนศาสนาเราเหมือนจะเน้นให้เกิดการลงมือปฏิบัติให้เห็นผลด้วยตนเอง มากกว่าการให้ข้อเท็จจริงว่าอะไรคืออะไรแบบวิทยาศาสตร์ และเมื่อถึงเวลาที่เราเข้าใจด้วยจิตแล้วอาจจะสูงกว่าเหตผลที่จะให้บอกว่าใช่หรือไม่ใช่ก็ได้ ทุกวันนี้ผมยังคิดว่าคำอธิบายบางอย่างในพุทธศาสนาเราอาจจะใช่หรือไม่ใช่อย่างที่ผู้ศึกษาตำราว่าในทำนองเดียวกันนี้อยู่เลย ไม่ได้คิดว่าผู้บอกไม่รู้จริง หรือมีการบิดเบือนข้อเท็จจริง แต่คิดว่าเป็นธรรมชาติของการสื่อสารที่จะต้องมีการสูญเสียข้อมูลไปกับสื่อที่ใช้ถ่ายทอดไปยังผู้อื่นรวมไปถึงตัวหนังสือในพระไตรปิฏกด้วยเช่นกัน ถึงแม้นไม่ได้เกิดขึ้นที่ผู้ส่งก็เกิดขึ้นที่ผู้รับได้ ไหนจะเป็นเรื่องของความหมายของภาษา ไหนจะเป็นเรื่องกาลเวลา อะไรอีกมากมาย แค่เราอธิบายอารมณ์โกรธด้วยคำพูดก็ไม่สามารถเข้าใจได้มากเท่ากับที่เรารู้สึก100%แล้วครับ แต่อย่างน้อยผมคิดว่าเราโชคดีที่ธรรมมะที่เราได้ยินได้ฟังอยู่มีแนวทางให้เราใช้ในการปฏิบัติเพื่อให้เราได้เข้าถึงสิ่งต่างต่างด้วยตัวเองได้ จึงคิดว่าหันมาให้ความสำคัญกับสาระในการปฏิบัติน่าจะดีกว่ากระมังครับ ขออภัยที่ไม่มีคำตอบมีแต่ความคิดเห็นที่อาจไม่เป็นที่น่าสนใจเท่าไหร่ครับ
 
ผู้ใฝ่รู้
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 26 มี.ค.2005, 3:38 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอใจ "ผู้ไม่รู้เหมือนกัน" ความคิดเห็นของท่านอาจจะเป็นทางออกทางความคิดให้ผมได้ครับ เพราะว่าอาจจะติดอยู่กับคำว่า ถูก หรือผิด ใช่หรือไม่ใช่ แนวความคิดเห็นที่ส่งมาจะพยายามทำตามครับ
 
โมฆบุรุษ
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 17 ธ.ค. 2004
ตอบ: 38

ตอบตอบเมื่อ: 26 มี.ค.2005, 5:30 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พุทโธอัปมาโณครับ

คุณของพระพุทธเจ้าไม่มีประมาณนะครับ



อย่าไปสนใจในพระพุทธวิสัยขององค์สมเด็จฯท่านเลยครับ

เป็นอจินไตยครับ

ดูใจตัวเราดีกว่าครับ



แต่อีกตัวอย่างก็คือ ในประวัติของหลวงปู่มั่นที่หลวงตามหาบัวท่านบันทึกเอาไว้

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันท่านก็เคยเสด็จมาหาหลวงปู่มั่นครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
โมฆบุรุษ
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 17 ธ.ค. 2004
ตอบ: 38

ตอบตอบเมื่อ: 26 มี.ค.2005, 5:41 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

"ท่านจิตโต" ซึ่งเป็นพระลูกศิษย์ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำเคยเทศน์ไว้เมื่อ ๑๑ ธ.ค. ๒๕๔๔ ครับ


http://Bodhisattva.name/audio/OngPathom1.mp3
http://Bodhisattva.name/audio/OngPathom2.mp3
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 27 มี.ค.2005, 7:35 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมเองก็เคยได้อ่านประวัติของพระอาจารย์มั่น ตอนพระพุทธเจ้าเสด็จมาหาเหมือนกันครับ แต่จำชื่อหนังสือไม่ได้ เลยไม่กล้า Post ในตอนแรก แต่ตอนนี้มีพยานยืนยันแล้ว ก็เลย Post ยืนยันตามครับ
 
รักแม่
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 27 มี.ค.2005, 10:56 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอแสดงความคิดเห็นด้วยคนนะครับ



ก่อนอื่นต้องขอกล่าวไว้ก่อนว่า ความคิดเห็นของผม ถ้าได้ไปล่วงเกินผู้ใดที่มีธรรมสูงกว่าแล้ว



ผมไม่ได้ทำโดยเจตนาเลย ผมขออภัยไว้ก่อน ณ ที่นี้ นะครับ



ผมคิดว่า ประโยคที่ว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ประโยคนี้ต้องตีความครับ



แล้วทั้งสองท่านคือ หลวงพ่อฤาษีลิงดำและอาจารย์มั่น ตามความคิดของผม ผมคิดว่าท่านทั้งสองเป็นผู้เห็นธรรม แต่ความหมายของคำว่า เห็นตถาคต ความหมายนี้ต้องตีความครับ ซึ่งยากเหมือนกันที่คนในระดับที่โลกุตรปัญญาต่ำกว่าท่านทั้งสองจะตีความได้ถูกต้อง แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาตามหลักกาลามสูตรแล้วจะให้คุณเชื่ออะไรในทันที่ก็ไม่ได้เหมือนกัน ผมก็เคยไม่แน่ใจในข้อนี้นะครับ แต่หากที่ท่านทั้งสอง(หลวงพ่อฤาษีลิงดำและอาจารย์มั่น ส่วนผมเคยฟังวิทยุ หลวงพ่อชาสนทนากับสมเด็จพระเจ้าตากสินหรือพระเนรศวรก็ไม่แน่ใจ)หากท่านทั้งสามกล่าวเรื่องไม่จริง ในฐานะที่ผมเคยบวชเรียนมาก่อน จะจัดว่าเป็นการอวดอุตริมนุษธรรมและปาราชิกทันที แม้ศีลข้อ มุสาวาท ซึ่งเป็นศีลของมนุษย์ก็ยังรักษาไม่ได้ ผมจึงไม่คิดว่าท่านมุสาหรืออวดอุตริมนุษธรรม(ไม่ได้หมายความว่าคุณเจ้าของกระทู้คิดนะครับ) แต่บางเรื่องในหลักธรรมคำสอน เพียงอ่าน โลกียปัญญาก็ทำให้เราเข้าใจได้ เช่น ควรงดเว้นจากการดื่มสุราและเครื่องดองของเมา แต่เรื่องที่ทางวิทยาศาสตร์ใช้คำว่า "มหัศจรรย์แห่งจิต"



ผมว่ายากมากที่เราจะไปคิดครับ ว่าจริงหรือไม่จริง แต่อย่างหนึงที่ผมเชื่อคือ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ อาจารย์มั่นและหลวงพ่อชาไม่ได้อวดอุตริมนุษธรรมครับ แต่เราไม่รู้ว่า แต่ละท่านมีวิถีทางธรรมเริ่มต้นมาอย่างไร จวบจนวันที่ท่านละสังขาร เราจึงไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่า หนทางแห่งจิตและวิปัสนา ธุดงค์กรรมฐานของท่านผ่านสิ่งใดมาบ้างหรือท่านได้ญาณขั้นไหน สิ่งที่ท่านกล่าวเป็นสิ่งที่ต้องพิสูจน์ด้วยวิถีจิตครับ ผมคิดว่าตรงนี้ยากแล้วล่ะครับ ที่เราจะไปพิสูจน์ว่า ที่ท่านกล่าวไม่เหมือนกับที่เคยอ่านหรือเล่าเรียนมานั้นผิดหรือถูก



ในความคิดของผมคือ ท่านหลวงพ่อฤาษีลิงดำกล่าวย้ำตลอดเวลาว่า พระพุทธเจ้าที่ท่านพบนั้นคือปางปรินิพาน ดังนั้นสิ่งที่บอกคุณได้แน่นอนคือ พระพุทธเจ้าปรินิพานไปแล้ว แต่สิ่งที่คุณถาม ตีความให้เข้าเรื่องก็คือ นิพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา พระพุทธเจ้ามีกี่พระองค์(ในกัปนี้มีห้าพระองค์องค์ปัจจุบันคือพระสมณโคดม) ส่วนก่อนหน้านี้ก็ไม่รู้ว่าผ่านมากี่ร้อยกี่พันกัปแล้วถ้าไม่คิดว่าสุริยจักรวาลแห่งนี้มีจุดเริ่มต้นและจุดจบเพียงครั้งเดียวหรือไปนับตามอายุของโลกหรือมิติที่เรามองเห็น สองข้อนี้ล่ะครับ ผมก็ตอบไม่ได้เพราะภูมิธรรมไม่ถึง ส่วนเรื่องนิพานเป็นอัตตาหรืออนัตตายังมีเรื่องของพุทธต่างนิกาย ต่างความเชื่อซึ่งแตกแขนงออกไปจากจุดกำเนิดเดียวกันอีก จึง พบคำว่า แดนสุขาวดี พระยูไล เจ้าแม่กวนอิม

(รายละเอียดของศาสนาพุทธนิกายมหายาน หาอ่านได้จากหนังสือของ คุณจิตรา ก่อนันทเกียรติ) นะครับ สำหรับพระไทย แม้ห่มจีวรสีเดียวกัน ก็ไม่ใช่นิกายเถรวาทหรือหินยาน ทั้งหมด มีนิกายมหายานด้วยครับ มีครั้งหนึ่งที่คุณก็เคยทราบว่ามีการถกเถียงกันทั่วไปในวงกว้างมาก ว่า นิพพาน เป็นอัตตาหรืออนัตตา ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างยึดมั่นในความเชื่อ ความเคารพของตนเอง ไม่มีใครยอมรับใคร อยู่ที่ว่า อุบาสก อุบาสิกาและพระในประเทศจะเชื่อในฝ่ายไหน ไม่ว่านิพพานจะเป็นอัตตาหรืออนัตตา หากฟันธงลงไป พระที่บวชในต่างนิกายจะไม่มีความหมายเลยเพราะยึดมิจฉาทิฐิมาตลอด





ในความคิดของผมนะครับ ผมนับถือพระทั้งสามองค์คือ(อาจารย์มั่น หลวงพ่อฤาษีลิงดำและหลวงพ่อชาครับ) ไม่ได้หมายความว่าคุณไม่นับถือนะครับ แต่ผมมิได้ใกล้ชิดกับหวงพ่อทั้งสาม ไม่ทราบวิถีจิตของท่าน สิ่งที่ท่านกล่าวให้ฟัง ก็รับรู้ไว้ ถ้าจะเปรียบกับคนขี่จักรยาน เวลาหัดเราก็ต้องเตาะแตะไปก่อน ผู้ที่ขี่เก่งแล้ว จะมาบอกว่า ต้องทำหลังตรงๆ บิดแฮนด์ไปประมาณ 20 องศาลิบดา 120 องศาฟิลิปดาเหนือ จากนั้นถ้าจะล้ม อย่าเกร็งให้บิดแฮนด์ไปในทางตรงข้ามเล็กน้อยแล้วเอี้ยวตัวตาม การว่ายน้ำ เด็กหัดเดินก็เช่นกัน ผู้ที่เก่งกว่าจะมาสอนอย่างไร เราก็คงต้องใช้เวลาอยู่ดี ต่อคำถามของคุณ ถ้าให้ผมตอบ ผมขอตอบว่า แม้นักปั่นจักรยานหรือนักว่ายน้ำจะมาบอก เราก็ยังคงต้องเตาะแตะใช้เวลาในการหัดอยู่ดี และเมื่อเป็นแล้ว การจะก้าวขึ้นไปสู่แชมป์โลกต้องอาศัยการฝึกฝนยาวนานในหลายๆด้าน

ผมจึงคิดว่า เราคงต้องเตาะแตะไปก่อน(คือเชื่อตามตำราเดิม เหมือนเดิม) จะใช่มิจฉาทิฐิหรือไม่ ตรงจุดนี้ยากหน่อย คือ คุณต้องเลือกอาจารย์(ที่ยังมีชีวิตอยู่)ที่ถูก และสนทนาธรรมเป็นเนืองนิตย์ สำหรับผมยึดคำสอนของท่านพุทธทาสภิกขุครับ(ไม่ได้หมายความว่าท่านอื่นไม่ดีหรือผมไม่นับถือนะครับ) แต่การฝึกสมาธิต้องเป็นไปเพื่อ ละกิเลส รักษาจิตใจให้สงบ ลด โลภะ โทสะ โมหะ นะครับ ไม่ใช่ฝึกเพื่อต้องการอภิญญาหรือฝึกพลังอะไร ฝึกพลังเป็นสมาธิอีกแบบซึ่งแทบจะเป็นคนละเรื่องกับวิปัสนากรรมฐาน ต้องรู้จักระ ต้องเดินพลัง เดินลมปราณเป็น และไม่ได้มีเป้าหมายที่จะพ้นจากกิเลส แต่ก็ได้ประโยชน์จากการที่จิตใจเป็นสมาธิบ้างตามสมควรครับ



ศีล สมาธิ ปัญญา(ทางธรรม) เมื่อคุณมีถึงขั้นที่จะทราบได้ ผมว่าคุณจะรู้ด้วยตัวเอง(แต่ยากและต้องใช้เวลายาวนานเพราะหลวงพ่อที่กล่าวถึงแต่ละท่านมีปัญญาในทางธรรมสูงมาก ไม่ได้ดูถูกนะครับ หมายถึงถ้าคนธรรมดาจะฝึกให้ได้เท่ากับท่านน่ะครับกับคนอื่นทั่วไปก็คงยากเหมือนๆกัน)



การส่งเสริมให้ผู้อื่นมีมิจฉาทิฐิเป็นบาป ดังนั้นที่ผมกล่าวมาทั้งหมด ไม่ใช่ความเห็นที่ถูกต้อง แค่เป็นการเสนออีกความเห็นหนึ่ง จากคนที่ด้อยความรู้ในทางธรรมมากแค่นั้นเองครับ



ถ้าให้ตอบจริงๆ เรื่องพระพุทธเจ้ามีหลายพระองค์ เป็นความจริงตามพระไตรปิฏกครับ



ส่วนเรื่องท่านหลวงพ่อฤาษีลิงดำกล่าว คำตอบคือ ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันอ่ะครับ แต่ก็ไม่ได้ไปคิดมากหรือยึดติดอะไรกับเรื่องนี้ครับ ถ้าคุณได้อ่านพระสูตรจะพบว่า ในสมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้ามีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์มากมาย แต่ในพระไตรปิฏก ส่วนที่ควรยึดถือ

คือในส่วนของพระอภิธรรมปิฏกมากกว่า พระพุทธเจ้า ท่านเป็นศาสดาของพระพุทธศาสนา

ผมเป็นพุทธศานิกชน ผมนับถือท่านอยู่แล้วครับไม่ว่าท่านจะมีปาฏิหาริย์หรือไม่



ไม่ได้สอนนะครับ และ ไม่ทราบว่าที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำกล่าว นั้น ถูกหรือ ผิด



แค่แสดงความคิดเห็นน่ะครับ



ถ้าผิดพลาดประการใดหรือเมื่อคุณหรือผู้อื่นมาอ่านแล้วไม่พอใจตรงไหน รวมทั้งท่านที่ผมกล่าวถึงในข้อความแสดงความคิดเห็น ผมขอขมาด้วยครับ ไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้นเลย





ทั้งที่ท่านเจ้าของกระทู้กล่าวถึงท่านหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

คุณโฆษบุรุษกล่าวถึงพระอาจารย์มั่นและ

ผมกล่าวถึงท่านพุทธทาสและหลวงพ่อชา



อีกอย่างนึง ในข้อความของผม ไม่ได้มีการเปรัยบเทียบนะครับว่าหลวงพ่อองค์ใดเก่งกว่าองค์ใด ในจิตใจของผม ท่านเก่งทุกองค์ครับ





ด้วยความเคารพครับ
 
ผู้ใฝ่รู้
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 27 มี.ค.2005, 1:53 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอขอบใจทุกท่านครับ ท่าน รักแม่ด้วย ผมโพสในที่นี้ก็เพราะว่ามีความสงสัยเกิดขึ้น อาจจะด้วยปัญญาอันน้อยนิดของผม บอกก่อนว่าผมไม่ได้มีอคติ หรือไม่ได้เคารพหลวงพ่อฤาษีลิงดำนะครับ แต่มีข้อความซึ่งผมก็หาอ่านจากเวบต่างๆ นี่แหละ แล้วเห็นว่าแปลกๆ จากความเชื่อของตนเอง ก็อยากจะให้ท่านผู้รู้มาไขข้อข้องใจ....ผมยอมรับฟังทุกความคิดเห็นครับ....เพื่อสัมมาทิฎฐิ
 
โอ่
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 27 มี.ค.2005, 2:16 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ในหนังสือเรื่อง"ประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต" ซึ่งเขียนโดย พระมหาบัว ญาณสัมปันโน แม้จะกล่าวว่าพระอาจารย์มั่นได้สัมผัสกับพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ที่ได้นิพพานแล้ว แต่มีความแตกต่างจากคำสอนของพระภิกษุอื่นๆ หรือไม่เหมือนกับคำสอนของพระภิกษุอื่นเลย



เพราะในหนังสือประวัติพระอาจารย์มั่นที่กล่าวถึงเรื่องนี้ ได้แยกให้เห็นชัดว่านิพพานที่เป็นสภาวปรมัตถ์เป็นอย่างไร และธาตุรู้นั้นจะแสดงรูปของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ในอดีตที่นิพพานไปแล้ว ไม่สามารถจะแสดงรูปนั้นในสภาวธรรมที่เป็นนิพพาน แต่แสดงรูปในสภาวที่เป็นสมมุติ จึงทำให้เป็นรูปและการสื่อสารเกิดขึ้น แต่นิพพานนั้นมีสภาวเป็นสุญญตา มิได้เป็นสถานที่หรือมีตัวตนแต่อย่างใด มีแต่ธรรมธาตุที่เป็นสภาวรู้และบรมสุขเท่านั้น
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง