Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
...อานิสงส์ของศีล...(ครูบาศรีวิชัย)
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089
ตอบเมื่อ: 10 ก.ย. 2008, 3:46 pm
อานิสงส์ของศีล
ครูบาศรีวิชัย
ท่านตอบเรื่องนี้ตั้งแต่ปี 2474 ว่า...
พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ไว้ว่า
ศาสนาจะตั้งอยู่ได้ก็เพราะพระมหากษัตริย์เป็นพุทธศาสนูปถัมภ์
ท่านจึงได้ฝากศาสนาไว้กับพระมหากษัตริย์
ถ้าพระมหากษัตริย์และเจ้าเมือง พร้อมด้วยเสนาอำมาตย์ราษฎรทั้งหลาย
พากันไปรักษาศีล 5 และทำบุญใส่บาตร ฟังธรรมที่วักทุกวันศีลเป็นลำดับไปแล้ว
ก็จักได้อานิสงส์คือความสุขในปัจจุบันทันตา
ดังจักกล่าวต่อไป
1. เมื่อนอนหลับก็เป็นสุข
2. เมื่อตื่นก็เป็นสุข
3. เมื่อฝันก็ฝันดีไม่ร้าย
4. มีชื่อเสียงเล่าลือไปทั่วทิศานุทิศว่าเป็นผู้มีเมตตาจิต ใจเป็นศีลใจบุญ
5. เป็นที่รักแก่คนและเทวดาทั้งหลาย
6. แม้นจักบ่ายหน้าไปสู่ทิศใด เทวดาตามรักษา บันดาลให้มีผู้อุปถัมภ์มิให้ลำบาก
7. แม้นเข้าในที่ประชุมชนหมู่ใด ก็เป็นผู้มีความกล้าหาญองอาจในการเจรจา
8. ไม่มีศัตรูคิดอาฆาตทำร้ายได้
9. ไม่มีความสะดุ้งตกใจกลัวต่อภัยอันตรายสิ่งใด
10. เป็นผู้ปราศจากทุกข์ ไม่มีคดีถ้อยคำเกิดขึ้นเลย
11. เป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ มีหน้าตาเบิกบาน ยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ทุกเมื่อ
12. ไม่มีความเศร้าโศกเสียใจและมีอายุยืน
13. มีปีติเอิบอิ่มอยู่ในใจว่า ได้ทำความดีไว้เป็นที่พึ่งแก่ตัวแล้ว
14. เป็นผู้ที่ทำใจให้บริสุทธิ์ คือเป็นเทวดา หับ (ปิด) ประตูอบายไว้แล้ว
15. ยามเมื่อจะตาย ก็มีสติดี ไม่มีความสะดุ้งตกใจเลย
อันนี้เป็นอานิสงส์เฉพาะตัวอานิสงส์
ส่วนประเทศบ้านเมืองได้รับต่อไปอีกด้วยดังนี้
16. ประชาชนพลเมืองทั้งหลายก็ได้เป็นสามัคคีกลมเกลียว
เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
17. พวกอันธพาลสันดานหยาบ เห็นหมู่ประชาชนทั้งหลายเป็นผู้ใจศีลใจบุญ
ไม่มีใครคนค้าสมาคมด้วย คิดละอายขวยเขินขึ้นในใจ ไม่อาจจะเป็นพาลต่อไป
ก็จักกลับใจเป็นพลเมืองดี มีศีลธรรมต่อไป
18. ความก้าวร้าวเบียดเบียนกันก็ไม่มี
19. โจรผู้ร้ายก็สงบ
20. ฝนตกชอบตามฤดูกาล
21. พืชข้าวกล้าก็งอกงามบริบูรณ์
22. ปราศจากภัยพิบัติ คือ น้ำไม่ท่วม ไฟก็ไม่ไหม้ โรคห่าทั้งหลายก็ไม่มี
23. พลเมืองทั้งหลายก็มีความสุขสบาย
24. เมื่อประเทศบ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุขแล้ว นานาชาติก็ไม่มาราวีรบกวนได้
25. พระมหากษัตริย์และเจ้านาย ผู้ปกครองประเทศบ้านเมืองก็มีความสุขสบาย.....
การปฏิบัติรักษาศีล 5 อันเป็นบันไดขั้นต่ำ เบื้องต้นของพระพุทธศาสนา
มีอานิสงส์ให้ได้รับความสุขในปัจจุบัน ประจักษ์แจ้งแก่ตาดังนี้
ครั้นตายแล้วก็ได้ขึ้นไปเกิดบนสวรรค์ ครั้นจุติจากสวรรค์ก็ได้ลงมาเกิดเป็นมนุษย์
มีรูปอันงาม มีปัญญาเฉลียวฉลาด มีทรัพย์สมบัติมาก มีอายุยืน
มีเมียมีลูกมีหลาน ก็ว่านอนสอนง่าย ไม่มีศัตรูเบียดเบียนได้
และเป็นปัจจัยให้มีความสุขไปตราบถึงพระนิพพาน
ผู้ที่รักษาศีล 8 ได้ ก็ได้รับความสุขในปัจจุบันมากกว่าศีลข้อ 5 ขึ้นไปอีก
คือ ไปนอนอยู่ที่วัด เป็นกายวิเวก จิตวิเวก สงบอารมณ์
ปราศจากความพยาบาท จองเวร ถีนมิทธะ
ปราศจากความง่วงเหงาหาวนอน อุทธัจจะ
ปราศจากความฟุ้งซ่านรำคาญใจ ไม่มีสิ่งใดมารบกวน
วิจิกิจฉา ปราศจากความสงสัยในพระธรรมคำสั่งสอนแล้ว
คือ ไปอบรมทำใจให้บริสุทธิ์แยบคายเสมอดั่งพรหม
ครั้นว่าตายก็ได้ขึ้นไปเกิดบนชั้นพรหม มีความสุขและอายุยืนยิ่งกว่าชั้นสวรรค์
ครั้นจุติก็ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ในตระกูลสูง มีรูปโฉมอันเงางาม
มีปัญญาเฉลียวฉลาด อายุยืน มียศ มีบริวาร มีอำนาจมาก
มนุษย์ผู้ใดถือศีล 5 ได้มั่นเที่ยงแล้ว ผู้นั้นได้เป็นอุบาสก
อุบาสิกาในพุทธศาสนา เป็นผู้มีปัญญา เกิดมามิเสียชาติ
เป็นผู้ฉลาดนำความสุข มาใส่ตัว
ประเสริฐกว่าทรัพย์สมบัติทั้งหลายที่มีอยู่ในโลกนี้ทั้งมวล
แก้วมณีโชติของพระยาจักพรรดิ์ ผู้เป็นใหญ่กว่ามนุษย์ทั้งปวง
และเครื่องของขัตติยนารีทั้งหลาย มีแก้วแหวนเงิน (ทอง) คำ เป็นต้น
เป็นของบำรุงตัณหากามคุณ เหมือนดั่งน้ำผึ้งแช่ยาพิษ
สำหรับนำความทุกข์มาใส่ตัว โดยไม่มีประโยชน์สิ่งใดเลย
น้ำแม่คงคา ยมมุนา อจิรวดี มหิ มหาสรภู ซึ่งเป็นแม่น้ำใหญ่ทั้ง 5 แม่น้ำ
แม้นจักเอามาอาบให้หมดสิ้นทั้ง 5 แม่นี้ ก็ไม่อาจจะล้างบาป
คือ ความเดือดร้อนภายในให้หายได้ และฝนลูกเห็บ
แม้นจะตกมาร้อยห่าให้เย็นและหนาวสักปานใดก็ดี
ก็ไม่อาจจะเย็นเข้าไปถึงภายในให้หายความทุกขเวทนาได้.....
ศีล 5 เป็นอริยทรัพย์ เป็นต้นของความบริสุทธิ์
เป็นน้ำทิพย์สำหรับล้างบาป คือ ความเดือดร้อนภายในให้หายได้
เป็นบันไดแก้ว สำหรับก่ายขึ้นไปอยู่สวรรค์ สมดั่งพระบาลีว่า
"สีเลนะ สุคติงยันติ"....ศีลให้เป็นที่จำเริญไปด้วยความสุข...
"สีเลนะ โภคะสัมปทา"....ศีลให้เป็นที่จำเริญไปด้วยโภคทรัพย์ทั้งมวล
"สีเลนะ นิพพุติงยันติ"....ศีลทำประโยชน์ให้มีความสุขไปตราบถึงนิพพาน
อันเป็นความสุขอย่างยิ่งได้แท้จริง.....
"ตัสสมา สีลัง วิโสทะเย"....เหตุนั้นศีลเป็นของดีวิเศษยิ่งนัก
หาอันใดจักเปรียบไม่ได้
สมดั่งพุทธภาษิตว่า...."อัพพยา ปัชชัง สุขัง โลเก"
....ความไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน เป็นความสุขในโลก....
พระธรรมคำสั่งสอนคือ ศีล 5 เป็นธงไชยเฉลิมโลก
ถ้ามนุษย์ทั้งหลายพากันถือศีล 5 ได้ทั้งโลก
มนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งมีในโลกก็มีความสุข
ธรรมก็มีความจำเริญ โลกกับธรรมถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกัน
ดังนี้แล้ว แผ่นดินโลกก็จักได้กลายเป็นแผ่นดินเมืองสวรรค์
(แผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง)
น้ำตาของมนุษย์อันเป็นทะเลนองท่วมโลกมาแล้วแต่ก่อน
ก็จักเหือดแห้งหายไป สมดั่งภาษิตว่า
ให้รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ประเทศบ้านเมืองจะมีความสุข ความจำเริญ
อันความรักชาติศาสนาและพระมหากษัตริย์ ก็คือผู้ที่มั่นอยู่ในศีล 5 นี้แล
ถ้าผู้ไม่มีศีล 5 กับตนแล้ว ก็แปลว่า เป็นผู้ล้มชาติ
ขุดขุมฝังตัวไว้ในชาตินี้เสียแล้ว จะไปติโทษผู้ใด
ปุถุชนทั้งหลาย อย่าได้สงสัยว่า พระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว
จะบำเพ็ญอย่างใดก็ไม่ได้ถึงมรรคผลและนิพพานนั้น
ความจริงพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ธรรมแล้ว
จึงได้เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อท่านถึงนิพพานไปแล้ว
ผู้ที่ปฏิบัติถูกต้องตามพระธรรมคำสั่งสอน
ก็ได้เป็นอรหันต์ ได้ถึงนิพพานเหมือนกัน
ถ้าผู้ใดเล็งเห็นว่า พระธรรมคำสั่งสอนเป็นความจริงบริสุทธิ์
ผู้นั้นย่อมเล็งเห็นพระพุทธเจ้าได้ทุกเมื่อ
แม้นว่าท่านยังทรมานอยู่ก็ดี ผู้ใดมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องธรรม
ก็ไม่อาจจะพ้นจากทุกข์ได้
ข้อปฏิบัติที่จะให้พ้นทุกข์ได้
ก็คือรักษาศีลบริสุทธิ์เสียก่อน ความตั้งมั่นก็จะมีขึ้น
เพราะฉะนั้น ปุถุชนทั้งหลาย ผู้แสวงหาความสุขใส่ตัว
จงพากันรักษาศีลให้บริสุทธิ์เถิด เมื่อศีลบริสุทธิ์แล้ว
สมาธิความตั้งมั่นก็จักเกิดมีมาแล้ว ให้ปลูกปัญญาๆ ก็หากจักเกิดมีขึ้น
ให้หมั่นระลึกถึงตนอยู่บ่อยๆ ว่ามิใช่ตัวตน
เป็นธาตุทั้ง 4 ขันธ์ 5 ทั้งอาการ 32 โสโครก
เป็นตัวทุกข์ตัวแก่ ตัวเจ็บ ตัวตาย มิใช่ตัวอันจักตามไปในโลกหน้า
ให้เห็นแจ้งด้วยปัญญาของตนเองแน่นอนลงไปแล้ว
จึงเป็นสมุจเฉทปหาน กิเลสหมดแล้ว
จักเป็นวิมุติ หลุดพ้นจากความทุกข์ได้เป็นอรหันต์จริง
อเสวนา จ พาลานํ สภาวะอันได้รู้จักพาลภายใน
คือ โลภ โกรธ หลง ซึ่งเป็นต้นแห่งความทุกข์แล้ว
ไม่ได้ซ่อมเสพคบหากับมันก็ดี บัณฑิตา นัญจะ เสวนา
สภาวะอันไปเสพไปคบหากับบัณฑิตนักปราชญ์
คือ ให้ฟังธรรม คำสั่งสอนแห่งพระพุทธเจ้า
จนได้รู้จักพาลภายในอันเป็นต้นเหตุแห่งบาปก็ดี
ปูชา จ ปูชนิยานํ กิริยาอันได้ไหว้และบูชายังพระพุทธเจ้าก็ดี
เอตํติวิทะ กัมมํ อันว่ากรรม 3 ประการนี้
มังคละ ก็ป็นมงคล อุตตะมํ อันอุดมดี
ความดังกล่าวมานี้....พระพุทธเจ้าไปบำเพ็ญสร้างบารมี
มาได้ 4 อสงไขยปลายแสนมหากัปป์ จึงได้ตรัสรู้ธรรมวิเศษ
รู้ต้นเหตุที่เกิดทุกข์ รู้เหตุที่บรรเทาทุกข์ รู้เหตุที่ดับทุกข์
รู้ทางปฏิบัติที่สู่ที่ดับทุกข์แล้ว
ได้นำมาเทศนาให้มนุษย์ทั้งหลายได้รู้ถี่เห็นแจ้งดังนี้
มิใช่ของที่จะพบได้ด้วยง่ายๆ
เมื่อใดผู้ที่ไม่มีบุญ ไม่เคยได้บำเพ็ญมาแต่ชาติก่อนแล้ว
ก็บ่ห่อนว่าจะพบได้เลย เมื่อได้เกิดมาพบคำสั่งสอนอันเป็นความจริงบริสุทธิ์
ที่จะนำตนให้พ้นทุกข์ได้ดังนี้ ก็เป็นมหาลาภอันประเสริฐแล้ว
เพราะว่าทรัพย์สมบัติทั้งหลายอันเป็นทรัพย์ภายนอกที่จะเอาไปไม่ได้นั้น
ยังพากันเร่งขวนขวายหาทั้งกลางวัยกลางคืนนี้
ได้มาพบพระธรรมคำสั่งสอนที่แนะนำให้ผู้ปฏิบัติตาม
ได้พ้นจากทุกข์ ในบัดนี้ไปตราบถึงนิพพานเป็นอริยทรัพย์
สำหรับติดตามไปทุกชาติ
ประเสริฐกว่าทรัพย์สมบัติอันมีในโลกนี้หมื่นเท่าแสนเท่า ดังนี้
ก็เป็นโอกาสอันดีวิเศษสำหรับในชั่วชีวิตนี้ ซึ่งจะหาโอกาสดีอย่างนี้ไม่มีอีกแล้ว
เมื่อเวลายังอยู่สบายนี้ ไม่ควรจะถือว่ายังเป็นเด็กหนุ่มน้อย
ถ้าแก่มาแล้วจึงค่อยทำบุญนั้น เป็นผู้มีความประมาทคิดผิด
เพราะตามีหน้าดูหน้าไม่เห็น พญามัจจุราชไม่มีความกรุณาใคร
ไม่ว่าหนุ่มแก่ แม้อยู่ในห้อง มันก็เอา หนุ่มมันก็เอา แก่มันก็เอา
ไม่ประมาทลาสา เพราะตนรู้สึกว่าจะต้องตาย หนีความตายไม่พ้นแล้ว
มีปัญหาว่าจะป้องกันอย่างไร ไม่ให้มีความเศร้าโศกเสียใจ
เมื่อความตายจะมีถึง ควรจะพากันรักษาศีล
ทำบุญให้ทานเป็นที่พึ่งแก่ตนไว้เสียเมื่อก่อนเฒ่า
เพื่อไม่ให้เสียทีที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนาที่ดีแล้ว
ไม่ให้มีความแคล้วคลาดกินแหนงใจ
เมื่อภายหลังนั้นเกิด กล่าวด้วยอานิสงส์ศีลสำเร็จแต่เท่านี้แล ฯ
โพสท์ในเวปกองทัพพลังจิต > พุทธศาสนา > พุทธศาสนา
โดย Kamen rider 11-04-2005
คัดลอกจาก...
http://www.dharma-gateway.com/
ฌาณ
บัวเงิน
เข้าร่วม: 23 ก.ค. 2008
ตอบ: 1145
ที่อยู่ (จังหวัด): หิมพานต์
ตอบเมื่อ: 11 ก.ย. 2008, 7:50 pm
_________________
ผมจะพยายามให้ได้ดาวครบ 10 ดวงครับ
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th